วันเวลาปัจจุบัน 05 ส.ค. 2025, 20:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2014, 15:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ศรีสมบัติ เขียน:
เข้ามาให้กำลังใจครับ คุณ น้อง มุ่งเดินทางปฏิบัตินั้นเดินมาถูกทางแล้ว เพราะ ทางก็มีอยู่ ผู้ชี้ทางก็มีอยู่ คนเดินทางก็มี แต่ ถึงจุดหมายอาจไม่พร้อมกัน เพราะ บุญบารมีเก่า ของเก่าที่สะสมมา ในสมัยพุทธกาล มีคนที่แค่ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า แล้วหลุดพ้น ได้มรรคผลขั้นนิพพานก็มีมาแล้ว เพียงแค่ได้ฟัง!! นะ เพราะบารมีบุญเก่าที่เขาสะสมมาแต่อดีตชาติ....เพราะฉะนั้น เมื่อศรัทธา เราเต็มเปี่ยม อินทรีย์เราพร้อม บารมีเก่าเรามี คุณน้องจะได้ มรรค ผล แน่นอน เพราะพระพุทธศาสนาเรา เป็นเรื่องพิสูจน์ได้ ลงมือปฏิบัติ แล้วจะเห็น จะรู้ ด้วยตัวเราเอง แต่บางครั้ง ครู บา อาจารย์ ก็จำเป็นที่จะต้องมีให้เพื่อ คลายความสงสัย หรือ ติดขัด เพื่อให้เดินตรงทาง คือ ไม่คด ไม่แวะ โค้ง ให้เสียเวลา...แชร์กันสนุกๆ นะครับ ว่างๆ ก็เข้ามา จะได้ไม่เหงา อย่างน้อย เราคือชาวพุทธบริษัท เราทั้งหลายเป็นกัลยณมิตร และเป็นนักเดินเหมือนกัน :b16:
เจริญในธรรม :b8:

อนุโมทนาค่ะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2014, 16:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
มีคนกล่าวว่าคุนน้องปฏิบัติโดยไม่มีปริยัติ แสดงว่าคุนน้องไม่เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า คุนน้องก็ขอถามเลยละกัน อยากทราบว่า
หัวใจของพระพุทธศาสนาคืออะไร?
พระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติอย่างไรถึงตรัสรู้?

จิตที่เป็นอุเบกขา ด้วยปัญญา สักแต่ว่ารู้ เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา

พระพุทธองค์ ทรงบำเพ็ญ บารมีทั้ง 10 จนถึงขนาด ปรมัตถบารมี และในพระชาติสุดท้าย
ทรงทำให้ปัญญาบารมีเต็มเปี่ยม จึงตรัสรู้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2014, 17:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
nongkong เขียน:
มีคนกล่าวว่าคุนน้องปฏิบัติโดยไม่มีปริยัติ แสดงว่าคุนน้องไม่เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า คุนน้องก็ขอถามเลยละกัน อยากทราบว่า
หัวใจของพระพุทธศาสนาคืออะไร?
พระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติอย่างไรถึงตรัสรู้?

จิตที่เป็นอุเบกขา ด้วยปัญญา สักแต่ว่ารู้ เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา

พระพุทธองค์ ทรงบำเพ็ญ บารมีทั้ง 10 จนถึงขนาด ปรมัตถบารมี และในพระชาติสุดท้าย
ทรงทำให้ปัญญาบารมีเต็มเปี่ยม จึงตรัสรู้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

อนุโมทนาในคำตอบค่ะ :b8: (คุนน้องก็แอบลุ้นว่าสัตบุรุษท่านนั้นที่เคยชี้แนะคุนน้องจะมาให้คำตอบคุนน้องไหม)
คุนน้องยังสงสัย จิตที่เป็นอุเบกขา จิตที่เป็นอุเบกขาประกอบด้วยปัญญา จะเป็นคุณลักษณะแตกต่างกับจิตที่เป็นอุเบกขาไม่ประกอบด้วยปัญญาอย่างไร?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2014, 17:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
คุนน้องยังสงสัย จิตที่เป็นอุเบกขา จิตที่เป็นอุเบกขาประกอบด้วยปัญญา จะเป็นคุณลักษณะแตกต่างกับจิตที่เป็นอุเบกขาไม่ประกอบด้วยปัญญาอย่างไร?

จิตที่เป็นอุเบกขา เพียงด้วยสมาธิขันธ์ เป็นอุเบกขาที่ยังกำเริบได้ด้วยอำนาจของกิเลส
จิตที่อบรมยิ่งขึ้นไปทำความเห็นแจ้งในความจริงของสภาวะธรรมตามเป็นจริง จาก จิตที่เป็นอุเบกขาด้วยสมาธิขันธ์ จิตจะปล่อยวาง พ้นจากอำนาจของกิเลสครอบงำจิตครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2014, 17:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
nongkong เขียน:
คุนน้องยังสงสัย จิตที่เป็นอุเบกขา จิตที่เป็นอุเบกขาประกอบด้วยปัญญา จะเป็นคุณลักษณะแตกต่างกับจิตที่เป็นอุเบกขาไม่ประกอบด้วยปัญญาอย่างไร?

จิตที่เป็นอุเบกขา เพียงด้วยสมาธิขันธ์ เป็นอุเบกขาที่ยังกำเริบได้ด้วยอำนาจของกิเลส
จิตที่อบรมยิ่งขึ้นไปทำความเห็นแจ้งในความจริงของสภาวะธรรมตามเป็นจริง จาก จิตที่เป็นอุเบกขาด้วยสมาธิขันธ์ จิตจะปล่อยวาง พ้นจากอำนาจของกิเลสครอบงำจิตครับ

อนุโมทนาค่ะ :b8:
แล้วจิตที่เป็นอุเบกขา แบบว่า นิ่งเฉย วางเฉย ไม่โต้ตอบผัสสะ เป็นอุเบกขาหรือไม่เจ้าค่ะ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2014, 17:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
nongkong เขียน:
คุนน้องยังสงสัย จิตที่เป็นอุเบกขา จิตที่เป็นอุเบกขาประกอบด้วยปัญญา จะเป็นคุณลักษณะแตกต่างกับจิตที่เป็นอุเบกขาไม่ประกอบด้วยปัญญาอย่างไร?

จิตที่เป็นอุเบกขา เพียงด้วยสมาธิขันธ์ เป็นอุเบกขาที่ยังกำเริบได้ด้วยอำนาจของกิเลส
จิตที่อบรมยิ่งขึ้นไปทำความเห็นแจ้งในความจริงของสภาวะธรรมตามเป็นจริง จาก จิตที่เป็นอุเบกขาด้วยสมาธิขันธ์ จิตจะปล่อยวาง พ้นจากอำนาจของกิเลสครอบงำจิตครับ

อนุโมทนาค่ะ :b8:
แล้วจิตที่เป็นอุเบกขา แบบว่า นิ่งเฉย วางเฉย ไม่โต้ตอบผัสสะ เป็นอุเบกขาหรือไม่เจ้าค่ะ?

เป็นไปไม่ได้ครับ
ผัสสะ เป็นเหตุให้เกิด กรรมบ้าง กิริยาบ้างครับ

จิตเป็นอุเบกขา สักว่ารู้
คือจิตไม่คิดปรุงแต่งเพิ่มเติมไปนำเอาสิ่งที่รู้นั้นมาเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ หรือยึดถือเอาด้วยความอยาก ไม่อยากจากการรู้นั้นๆ ครับ

เมื่อจิตสักว่ารู้ในลักษณะอย่างนั้น ก็ยังต้องอาศัยผัสสะอยู่ดีครับ
จิตที่ไม่ตอบโต้ผัสสะเลย คือจิตที่ละธาตุขันธ์ด้วย อนุปาทิเสสนิพพานธาตุแล้วครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2014, 12:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ย. 2014, 11:55
โพสต์: 123

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตาเห็นรูป จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส หูได้ยินเสียง นั้นเป็นวิญญาณ สัมผัสการรับรู้ทั้งหมดที่เป็นคือธรรมารมณ์ มีอวิชชา มีอุปทาน วิบากกรรม ปรุงแต่งเป็นกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมสัมผัสการรับรู้ทั้งหมดที่เป็นคือธรรมารมณ์ ลึกลงไปคือให้รู้ทันเรื่องที่เกิดในวิญญาณ เห็นวิญญาณเป็นเรื่องของทุกข์

การปฏิบัติธรรมภาวนา ด้วยความเพียรมีสติอยู่กับลมหายใจเข้าออก เราต้องผ่านเวทนาของกายเพียรรักษาจิตให้อยู่กับลมหายใจ ผ่านเวทนาอารมณ์ ด้วยความเพียรมีสติรักษาจิต อะไรเกิดขึ้นมาก็สติรักษาจิตปฏิเสธไปก่อน ให้จิตมีสติอยู่กับลมหายใจ เจ็บปวดก็ชั่งมัน เจ็บปวดมากๆ มันก็ชา พอหายชา จิตก็ผ่านเวทนาด้วยขันติอดทนเหมือนจิตได้สมาธิ กายก็จะตั้งตรงของเขาเอง ความเป็นตัวตนของกายก็หายไป ไม่มีอะไรเข้ารบกวนจิต จิตก็เป็นเอกัตคตาจิต นิ่งอยู่เฉย เมื่อน้อมจิตเอาขันธ์ห้ามาพิจารณาด้วยพระไตรลักษณ์ เพื่อให้เกิดปัญญาวิมุติเรียบเรียงเหตุผลคลี่คลายความยืดถือที่จิตหลงยึดเอาไว้ พิจารณาถึงกรรม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ก็จะยิ่งเห็นความผิดพลาดของตัวเอง ด้วยเป็นผู้เผลอสติไม่เท่าทันธรรมารมณ์ พิจารณาอุปทานที่จิตหลงยึดอยู่ในชาติในภพ จึงต้องเพียรมีสติรักษาจิตด้วยปัญญาของตนพาจิตตนพ้นทุกข์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2014, 14:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


toy1 เขียน:
ตาเห็นรูป จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส หูได้ยินเสียง นั้นเป็นวิญญาณ สัมผัสการรับรู้ทั้งหมดที่เป็นคือธรรมารมณ์ มีอวิชชา มีอุปทาน วิบากกรรม ปรุงแต่งเป็นกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมสัมผัสการรับรู้ทั้งหมดที่เป็นคือธรรมารมณ์ ลึกลงไปคือให้รู้ทันเรื่องที่เกิดในวิญญาณ เห็นวิญญาณเป็นเรื่องของทุกข์

การปฏิบัติธรรมภาวนา ด้วยความเพียรมีสติอยู่กับลมหายใจเข้าออก เราต้องผ่านเวทนาของกายเพียรรักษาจิตให้อยู่กับลมหายใจ ผ่านเวทนาอารมณ์ ด้วยความเพียรมีสติรักษาจิต อะไรเกิดขึ้นมาก็สติรักษาจิตปฏิเสธไปก่อน ให้จิตมีสติอยู่กับลมหายใจ เจ็บปวดก็ชั่งมัน เจ็บปวดมากๆ มันก็ชา พอหายชา จิตก็ผ่านเวทนาด้วยขันติอดทนเหมือนจิตได้สมาธิ กายก็จะตั้งตรงของเขาเอง ความเป็นตัวตนของกายก็หายไป ไม่มีอะไรเข้ารบกวนจิต จิตก็เป็นเอกัตคตาจิต นิ่งอยู่เฉย เมื่อน้อมจิตเอาขันธ์ห้ามาพิจารณาด้วยพระไตรลักษณ์ เพื่อให้เกิดปัญญาวิมุติเรียบเรียงเหตุผลคลี่คลายความยืดถือที่จิตหลงยึดเอาไว้ พิจารณาถึงกรรม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ก็จะยิ่งเห็นความผิดพลาดของตัวเอง ด้วยเป็นผู้เผลอสติไม่เท่าทันธรรมารมณ์ พิจารณาอุปทานที่จิตหลงยึดอยู่ในชาติในภพ จึงต้องเพียรมีสติรักษาจิตด้วยปัญญาของตนพาจิตตนพ้นทุกข์

อนุโมทนาค่ะ :b8:
คุนน้องจะปฏิบัติตามที่ท่านบอกนะเจ้าค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2014, 17:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


smiley
ละชั่ว ทำแต่ดี เพียรชำระจิตของตนให้ขาวรอบ เป็นสรุปคำสอนและทางเดินของพุทธศาสนา หาใช่หัวใจของพระพุทธศาสนาที่แท้จริงไม่

หัวใจของพุทธศาสนาหรือหัวใจการค้นพบของพระพุทธเจ้าคือ อริยสัจ 4
1.ทุกข์ สภาวะที่ต้องแบกรับ เป็นผล พึงกำหนดรู้
2.สมุทัย เหตุเกิดทุกข์ เป็นเหตุ พึงละ
3.นิโรธ ความดับทุกข์ เป็นผล พึงทำให้แจ้ง
4.มรรค ทางปฏิบัติเพื่อการค้นพบและดับเหตุทุกข์ พึงเจริญ

มีทั้งหลักทฤษฎีและวิธีการปฏิบัติอยู่ในอริยสัจ 4นี้พร้อมครบสมบูรณ์ยิ่งแล้วถ้าใครมีสติปัญญาเฉียบแหลมพิจารณา

สรุปเป็นภาษาง่ายๆ หัวใจพระพุทธศาสนาคือ "เหตุและผล"
สองคำเท่านี้แหละ

"เหตุมี ผลมี"

"เหตุดับ ผลดับ"
onion
รู้เรื่องธาตุ 4 ขันธ์ 5 อายตนะ 12 ปรมัตถธรรม เป็น รู้กว้าง

รู้เรื่อง สติปัฏฐาน 4 เปนรู้เทคนิคปฏิบัติ

รู้ปัจจุบันอารมณ์ เป็นรู้ลัด วิปัสสนาภาวนา
:b12:
ความรู้น้องคง เข้าทางอยูแล้ว มีแต่ต้องเร่งแจวเร่งพาย อย่าให้ใครมาหลอกให้ไปติดมากมายในบัญญัติธรรมที่แสนวิเศษพิสดารอื่นอีก
:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ย. 2014, 06:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
smiley
ละชั่ว ทำแต่ดี เพียรชำระจิตของตนให้ขาวรอบ เป็นสรุปคำสอนและทางเดินของพุทธศาสนา หาใช่หัวใจของพระพุทธศาสนาที่แท้จริงไม่

หัวใจของพุทธศาสนาหรือหัวใจการค้นพบของพระพุทธเจ้าคือ อริยสัจ 4
1.ทุกข์ สภาวะที่ต้องแบกรับ เป็นผล พึงกำหนดรู้
2.สมุทัย เหตุเกิดทุกข์ เป็นเหตุ พึงละ
3.นิโรธ ความดับทุกข์ เป็นผล พึงทำให้แจ้ง
4.มรรค ทางปฏิบัติเพื่อการค้นพบและดับเหตุทุกข์ พึงเจริญ

มีทั้งหลักทฤษฎีและวิธีการปฏิบัติอยู่ในอริยสัจ 4นี้พร้อมครบสมบูรณ์ยิ่งแล้วถ้าใครมีสติปัญญาเฉียบแหลมพิจารณา

สรุปเป็นภาษาง่ายๆ หัวใจพระพุทธศาสนาคือ "เหตุและผล"
สองคำเท่านี้แหละ

"เหตุมี ผลมี"

"เหตุดับ ผลดับ"
onion
รู้เรื่องธาตุ 4 ขันธ์ 5 อายตนะ 12 ปรมัตถธรรม เป็น รู้กว้าง

รู้เรื่อง สติปัฏฐาน 4 เปนรู้เทคนิคปฏิบัติ

รู้ปัจจุบันอารมณ์ เป็นรู้ลัด วิปัสสนาภาวนา
:b12:
ความรู้น้องคง เข้าทางอยูแล้ว มีแต่ต้องเร่งแจวเร่งพาย อย่าให้ใครมาหลอกให้ไปติดมากมายในบัญญัติธรรมที่แสนวิเศษพิสดารอื่นอีก
:b38:


หัวใจของพระศาสนานั้น ไม่ว่าจะตอบตรงไหนก็ถูกต้องทั้งหมด จะชี้ชัดตรงแป๊ะเลยคงไม่มี
อุปมาเหมือนเถาวัลย์ ไม่ว่าจะจับที่โคน จับที่กลาง จับที่ยอด จะกระเทือนถึงกันหมด
แต่ถ้าจะให้หาให้ได้ว่าตรงไหนเป็นที่สุดก็พอจะตอบได้นั่นคือ ความพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง
ไม่กลับมาเกิดอีก

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร