วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 19:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 41 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2014, 16:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้นนิยามคำว่า นิพพาน ยังไงขอรับ :b1:


นิพพาน คือ นิพพาน

กรัชกายล่ะครับ นิยามไว้อย่างไรครับ


ตอบเหมือนไม่ได้ตอบ พูดเหมือนไม่ได้พูด นะขอรับ นิพพานคือนิพพาน :b32:

ก็เช่นนั้นพูดอยู่นี่

อ้างคำพูด:
:
กรัชกาย เวิ่นเว้อ ไปถึงนิพพาน เชียวนะครับ


แสดงว่า นิพพานเวิ่นเว้อ นิพพานเน่าซี่งั้น ท่านเช่นนั้นกำลังดูหมิ่นพระธรรม ไม่เคารพธรรม เมื่อไม่เคารพพระธรรม ก็ไม่เคารพพระศาสดา ตกนรกไปอยู่เทวทัตแล้วขอรับ :b1:

ให้มันน้อยๆหน่อยเหอะพี่กรัชกาย อะไรที่มันสูงเกินตนเองอย่าเอามาเล่น อะไรที่มันสูงเกินตนก็หัดสำรวมหน่อยเหอะ คุนน้องยังไม่กล้าพูดเลยสภาวะนิพพานนั่นน่ะ สภาวะนิพพานคนที่เป็นอรหันต์เท่านั้นถึงจะสามารถแสดงธรรมที่เกี่ยวกับพระนิพพานได้ บุคคลใดยังไม่ได้สัมผัสพระนิพพาน อย่ามาเว่อเวินอวดรู้อวดีทั้งที่ตนปฏิบัติยังไม่ถึง สาวกของพระศาสดาย่อมเคารพในธรรม เมื่อปฏิบัติยังไม่ถึงพร้อมย่อมไม่แสดงธรรมด้วยความไม่รู้แจ้งในสภาวะธรรมนั้น เพราะเมื่อใดไม่รู้แจ้งในสภาวะนั้นแล้วเที่ยวบอกคนนั้นคนนี้ นั่นแหละคือคนที่ไม่เจียมบอดี้ ไม่เคารพพระศาสดา เอาพระธรรมมายำเสียหายหมด



เราก็ลงไปตามนั้น เมื่อมีคนมาค้านมาประท้วง เราก็ถามประท้วงเรื่องอะไรหรอ มาๆๆคุยกันก่อน คนไทยด้วยกัน มีอะไรว่าไปสิ นี่่คุณน้องจะไม่ให้พูดให้จากันเลยหรือเป็นเผด็จหรอ เออ ขรรม :b32:

ถามคุณน้องก็ได้งั้น นิพพาน ตามที่ตนเองคิดน่าจะเป็นอะไร

เช่นนั้น ว่านิพพาน คือ นิพพาน :b1:


อ้าวเพิ่งเห็น เขาถามเราด้วย

อ้างคำพูด:
กรัชกายล่ะครับ นิยามไว้อย่างไรครับ


เมื่ออ่านตำราแล้วท่านบอกทำนองว่า นิพพาน ต้องกำจัดกิเลสาสวะให้หมดสิ้นไปจากใจ แล้วสภาวะที่จิตใจปราศจากกิเลสาสวะนั้นแหละคือนิพพาน (คือจิตใจไม่เร้าร้อนเพราะกิเลส ก็เย็นใจ) ท่านว่าไว้อย่างนี้ มีคำเรียกบุคคลผู้เช่นนั้นว่า "ขีณาสพ" :b20:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2014, 18:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ถามคุณน้องก็ได้งั้น นิพพาน ตามที่ตนเองคิดน่าจะเป็นอะไร

นิพพาน เป็นปรมัตถ์ธรรมสุดยอดของพุทธศาสนา รูป จิต เจตสิก นิพพาน แล้วเอามาพูดกันเป็นเรื่องสนุกเชียวนิพพานเป็นอย่างงั้นเป็นอย่างงี้ grin
นานมาแล้ว คุนน้องเคยนั่งสมาธิแล้วตกภวังค์แล้วจิตพูดเกี่ยวกับอมตะธาตุ คุนน้องไม่รู้หรอกตอนนั้นเพราะจิตตอนนั้นไม่ใช่คุนน้อง จิตเป็นใครไม่รู้ จิตคุนน้องเกิดดับสลับกันกับจิตดวงนั้น พอคุนน้องตื่นจากภวังค์จิต คุนน้องก็ไม่รู้หรอก จะรู้ก็ต่อเมื่อนั่งสมาธิ ด้วยความสงสัยคำว่าอมตะธาตุมันเป็นยังไงเลยไปหาข้อมูล ทั้งที่คุนน้องไม่เคยเห็นผ่านตาผ่านหูด้วยซ้ำ
แะไปบังเอิญเจอข้อความนี้
อ่านเจอในเวบๆหนึ่ง บันทึกลับของภิกษุรูปหนึ่งไม่ปรากฏชื่อ คัดมาดังนี้

"นิพพานที่ว่าเป็นสุขอย่างยิ่ง ต้องทราบก่อนว่า ธรรมชาติจิตเป็นธาตุอมตะ ไม่ใช่

ของสูญได้ จิตย่อมเวียนว่ายตายเกิดตามกรรมของตน การที่เราจะเข้าถึงนิพพานที่

เป็นสุขอย่างยิ่งคือ ทำให้จิตไม่ต้องเกิดตายต่อไป เป็นจิตที่สุขอย่างเดียว เหนือ

ธรรมชาติของจิตธาตุอมตะธรรมดาขึ้นไปอีก และเป็นจุดสุดยอดที่พระพุทธเจ้าทรง

เข้าถึง และเป็นจุดสุดยอดของพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่ใช่จะเข้าถึงได้โดยง่าย อย่าง

ที่คนโดยมากคิดกัน ต้องอาศัยบารมีที่สร้างสมมาหลายภพหลายชาติ เกื้อกูลส่งเสริม

ด้วย"
แล้วมีข้อความนี้ที่ค้านกับความเห็นข้างบน
คำว่า "ธรรมชาติจิตเป็นธาตุอมตะ" คำนี้ไม่มีในพระไตรปิฎกและอรรถกถา และ

ขัดแย้งกับพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะจิตที่เป็นอมตะไม่มี

เพราะจิตทุกดวงเกิดดับ แม้โลกุตรจิตที่รู้แจ้งพระนิพพานก็เกิดดับ จิตเป็นสังขาร

ธรรม เกิดเพราะมีปัจจัย เมื่อเกิดแล้วตั้งอยู่ชั่วขณะแล้วดับไป ธรรมที่เป็นอมตะ

หมายถึง พระนิพพานเท่านั้น เพราะ พระนิพพานไม่เกิด พระนิพพานไม่ดับ แต่จิต

เจตสิก รูป เมื่อมีปัจจัยให้เกิดขึ้นย่อมดับไป
เพราะเหตุนี้พระนิพพานที่ว่าคืออะไรหละที่ไม่เกิด ไม่ดับ เพราะจิตนั่นนะเกิดดับตามธรรมชาติ เพราะเหตุนี้ก็ถูกแล้วนิที่ท่านเช่นนั้นบอก นิพพานคือนิพพาน ถ้าไม่รู้แจ้งในนิพพานจะบอกได้อย่างไรละ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2014, 18:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นอันได้ข้อสรุปนิยามนิพพานของแต่ละคนๆแล้ว :b1: คือ

ของท่านเช่นนั้น นิพพาน คือ นิพพาน สั้นๆง่ายๆ นิพพานคือนิพพาน :b13:

ของกรัชกายก็ นิพพาน คือ กำจัดกิเลสให้หมดไปจากใจ :b13: ยาวกว่าของเช่นนั้นหน่อย ส่วน

ของคุณน้องยาวววววว ไม่รู้จะสรุปยังไง ก็อย่างที่เห็นข้างบนนั่นแหละ นิยามนิพพานคุณน้องเค้า :b1:

เจริญธรรม :b32:

ว่ากันไปครับ :b9:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2014, 22:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


มีคำตรัสของพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ตอนหนึ่งว่า ....ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้น (นิพพาน) มีอยู่ ซึ่งเป็นอายตนะที่ไม่มีดิน น้ำ ไฟ ลม เลย อากาสานัญจายตนะ วิญญาณณัญจายตนะ อากิญจิญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็ไม่ใช่ โลกนี้ก็ไม่ใช่ โลกอื่นก็ไม่ใช่ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ทั้งสองก็ไม่ใช่ อนึ่ง ภิกษุทั้งหลายอายตนะนั้นเราไม่กล่าวเลยว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งมั่น เป็นการจุติ (ตาย ) เป็นการอุปบัติ (เกิด ) อายตนะนั้นหาที่ตั้งที่อาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้ นั่นคือที่ (สิ้น) สุดแห่งทุกข์...
...ซึ่งก็คือ นิพพานเป็นเป้าหมายที่มีอยู่ เป็นตัวเชื่อมต่อจิตใจ เป็นสื่อให้ไปถึง แต่เมื่อบรรลุถึงนิพพาน ก็ไม่มีอะไรมีเหลืออยู่เลย เพราะนิพพานไม่ใช่รูป ไม่ใช่นาม นิพพานธาตุ เป็นความดับสนิทไม่มีส่วนเหลือแห่งกิเลส (มลทินแห่งจิต) ทั้งปวง นิพพานจะว่าสูญ ก็ไม่ได้ เพราะคนก็จะเอาแต่เพ้อเจ้อพูดถึงแต่ความสูญ แต่ไม่มีการปฏิบัติ ตามเหตุตามผลเพื่อความหมดสิ้นแห่งกิเลสเลย ซึ่งก็ไม่ใช่นิพพาน ..นิพพานจะว่าไม่สูญ ก็ไม่ได้ เพราะคนก็ จะเห็นว่านิพพานเป็นอัตตา เป็นสถานอันบรมสุขนิรันดรไปเลยเถิด แบบมีการกำเนิดเกิดขึ้นและเป็นอยู่ได้ตลอดกาลไม่มีประมาณไปเลย ซึ่งก็ไม่ใช่นิพพาน....ฉะนั้นผู้ที่ต้องการรู้ว่านิพพานตืออะไร ดับกิเลสให้หมดสิ้นเมื่อใด เมื่อนั้นคือนิพพาน............
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2014, 22:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
ดีครับ น้องก้อง

พระพุทธองค์ เพียงตรัสว่า อายตนะนั้นมีอยู่ เท่านั้น
ด้วย หมดคลองแห่งคำพูด ถึงนิพพานนั้น

นิพพาน คือนิพพาน
สิ่งที่กรัชกายเข้าใจ คืออรหัตผลจิต หยั่งลงสู่นิพพานธาตุ ก็คือสิ้นคลองแห่งคำพูดเช่นกัน

อนุโมทนาทั้งสองครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2014, 05:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
:b8:
ดีครับ น้องก้อง

พระพุทธองค์ เพียงตรัสว่า อายตนะนั้นมีอยู่ เท่านั้น
ด้วย หมดคลองแห่งคำพูด ถึงนิพพานนั้น

นิพพาน คือนิพพาน
สิ่งที่กรัชกายเข้าใจ คืออรหัตผลจิต หยั่งลงสู่นิพพานธาตุ ก็คือสิ้นคลองแห่งคำพูดเช่นกัน

อนุโมทนาทั้งสองครับ



อายตนะ มี 12 เป็นต้นว่า จักขายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชิวหายตนะ กายายตนะ มนายตนะ ฯลฯ

นิยามนิพพานของเราทั้งสามคน ดูแล้ว นิยามตามที่กรัชกายพูดถึง มันมีแรงเร้าให้กระทำการเพื่อกำจัดอาสวกิเลส

แต่นิยามของเช่นนั้น นิพพานคือนิพพาน มันอยู่นิ่งจบในตัว พูดแล้วจบ นิพพานคือนิพพาน เคลิ้มไป ท่านเช่นนั้นว่าไง ถามจริง ๆ เช่นนั้น ไปจำจากไหนมา หรือคิดเองครับ นิพพานคือนิพพาน





นางกีสาโคตรมี ราชกัญญาแห่งศากยราช ได้ทอดพระเนตรเห็นพระสิทธัตถะ มีพระทัยปฏิพัทธ์ ได้ตรัสคาถาสรรเสริญพระคุณสมบัติของพระกุมารด้วยสุรเสียงอันไพเราะว่า

นิพฺพุตา นูน สา มาตา นิพฺพุโต นูน โส ปิตา
นิพฺพุตา นูน สา นารี ยสฺสายํ อีทิโส ปติ.


ความว่า หญิงใด เป็นมารดาของพระกุมารนี้ หญิงนั้นดับทุกข์ได้ ชายใดเป็นบิดาของพระกุมารนี้ ชายนั้นดับทุกข์ได้ พระกุมารนี้เป็นสามีของนางใด นางนั้นก็ดับทุกข์ได้.


ศัพท์ที่เน้นเป็นคุณบทของนิพพาน เป็นคำสามัญของคนสมัยพุทธกาลเลย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2014, 09:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
:b8:
ดีครับ น้องก้อง

พระพุทธองค์ เพียงตรัสว่า อายตนะนั้นมีอยู่ เท่านั้น
ด้วย หมดคลองแห่งคำพูด ถึงนิพพานนั้น

นิพพาน คือนิพพาน
สิ่งที่กรัชกายเข้าใจ คืออรหัตผลจิต หยั่งลงสู่นิพพานธาตุ ก็คือสิ้นคลองแห่งคำพูดเช่นกัน

อนุโมทนาทั้งสองครับ



อายตนะ มี 12 เป็นต้นว่า จักขายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชิวหายตนะ กายายตนะ มนายตนะ ฯลฯ

นิยามนิพพานของเราทั้งสามคน ดูแล้ว นิยามตามที่กรัชกายพูดถึง มันมีแรงเร้าให้กระทำการเพื่อกำจัดอาสวกิเลส

แต่นิยามของเช่นนั้น นิพพานคือนิพพาน มันอยู่นิ่งจบในตัว พูดแล้วจบ นิพพานคือนิพพาน เคลิ้มไป ท่านเช่นนั้นว่าไง ถามจริง ๆ เช่นนั้น ไปจำจากไหนมา หรือคิดเองครับ นิพพานคือนิพพาน





นางกีสาโคตรมี ราชกัญญาแห่งศากยราช ได้ทอดพระเนตรเห็นพระสิทธัตถะ มีพระทัยปฏิพัทธ์ ได้ตรัสคาถาสรรเสริญพระคุณสมบัติของพระกุมารด้วยสุรเสียงอันไพเราะว่า

นิพฺพุตา นูน สา มาตา นิพฺพุโต นูน โส ปิตา
นิพฺพุตา นูน สา นารี ยสฺสายํ อีทิโส ปติ.


ความว่า หญิงใด เป็นมารดาของพระกุมารนี้ หญิงนั้นดับทุกข์ได้ ชายใดเป็นบิดาของพระกุมารนี้ ชายนั้นดับทุกข์ได้ พระกุมารนี้เป็นสามีของนางใด นางนั้นก็ดับทุกข์ได้.


ศัพท์ที่เน้นเป็นคุณบทของนิพพาน เป็นคำสามัญของคนสมัยพุทธกาลเลย

ถูกแล้วครับ
คุณบทของนิพพาน คือความดับเย็น ตามที่ท่านพรหมแสดง ไม่มีอะไรแปลกครับ
เพราะ นิพพาน คือนิพพาน
คุณบท ไม่ได้อธิบาย ลักษณะของนิพพาน ถูกต้องแล้วครับ

กรัชกายอย่าเก่งอวดรู้ เกินพระพุทธเจ้าเลยครับ แม้แต่ท่านพรหมคุณากรณ์ก็ตามก็ไม่อาจบรรยายลักษณะของนิพพานเป็นอื่นได้ ท่านยังต้องยอมรับ อายตนะนิพพาน ตามพระสูตรนั้นอยู่ดีครับ

นิพพาน คือนิพพาน ถูกต้องที่สุดแล้วครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2014, 10:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
:b8:
ดีครับ น้องก้อง

พระพุทธองค์ เพียงตรัสว่า อายตนะนั้นมีอยู่ เท่านั้น
ด้วย หมดคลองแห่งคำพูด ถึงนิพพานนั้น

นิพพาน คือนิพพาน
สิ่งที่กรัชกายเข้าใจ คืออรหัตผลจิต หยั่งลงสู่นิพพานธาตุ ก็คือสิ้นคลองแห่งคำพูดเช่นกัน

อนุโมทนาทั้งสองครับ



อายตนะ มี 12 เป็นต้นว่า จักขายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชิวหายตนะ กายายตนะ มนายตนะ ฯลฯ

นิยามนิพพานของเราทั้งสามคน ดูแล้ว นิยามตามที่กรัชกายพูดถึง มันมีแรงเร้าให้กระทำการเพื่อกำจัดอาสวกิเลส

แต่นิยามของเช่นนั้น นิพพานคือนิพพาน มันอยู่นิ่งจบในตัว พูดแล้วจบ นิพพานคือนิพพาน เคลิ้มไป ท่านเช่นนั้นว่าไง ถามจริง ๆ เช่นนั้น ไปจำจากไหนมา หรือคิดเองครับ นิพพานคือนิพพาน




นางกีสาโคตรมี ราชกัญญาแห่งศากยราช ได้ทอดพระเนตรเห็นพระสิทธัตถะ มีพระทัยปฏิพัทธ์ ได้ตรัสคาถาสรรเสริญพระคุณสมบัติของพระกุมารด้วยสุรเสียงอันไพเราะว่า

นิพฺพุตา นูน สา มาตา นิพฺพุโต นูน โส ปิตา
นิพฺพุตา นูน สา นารี ยสฺสายํ อีทิโส ปติ.


ความว่า หญิงใด เป็นมารดาของพระกุมารนี้ หญิงนั้นดับทุกข์ได้ ชายใดเป็นบิดาของพระกุมารนี้ ชายนั้นดับทุกข์ได้ พระกุมารนี้เป็นสามีของนางใด นางนั้นก็ดับทุกข์ได้.


ศัพท์ที่เน้นเป็นคุณบทของนิพพาน เป็นคำสามัญของคนสมัยพุทธกาลเลย

ถูกแล้วครับ
คุณบทของนิพพาน คือความดับเย็น ตามที่ท่านพรหมแสดง ไม่มีอะไรแปลกครับ
เพราะ นิพพาน คือนิพพาน
คุณบท ไม่ได้อธิบาย ลักษณะของนิพพาน ถูกต้องแล้วครับ

กรัชกายอย่าเก่งอวดรู้ เกินพระพุทธเจ้าเลยครับ แม้แต่ท่านพรหมคุณากรณ์ก็ตามก็ไม่อาจบรรยายลักษณะของนิพพานเป็นอื่นได้ ท่านยังต้องยอมรับ อายตนะนิพพาน ตามพระสูตรนั้นอยู่ดีครับ

นิพพาน คือนิพพาน ถูกต้องที่สุดแล้วครับ


ยังไม่ตอบไปจำมาจากไหน นิพพานคือนิพพาน :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2014, 10:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ยังไม่ตอบไปจำมาจากไหน นิพพานคือนิพพาน :b14:

ไม่ได้จำมาจากไหน กรัชกายจะเชื่อไหมครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2014, 10:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ยังไม่ตอบไปจำมาจากไหน นิพพานคือนิพพาน :b14:

ไม่ได้จำมาจากไหน กรัชกายจะเชื่อไหมครับ


เห็นตามบอร์ดต่างๆเขากล่าวถึงผู้พูดอยู่น่า หรือบังเอิญตรงกัน :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2014, 10:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ยังไม่ตอบไปจำมาจากไหน นิพพานคือนิพพาน :b14:

ไม่ได้จำมาจากไหน กรัชกายจะเชื่อไหมครับ


เห็นตามบอร์ดต่างๆเขากล่าวถึงผู้พูดอยู่น่า หรือบังเอิญตรงกัน :b1:

ครับ บังเอิญก็บังเอิญ
กรัชกายว่างมาก เที่ยวไปหลายบอร์ด

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2014, 10:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ยังไม่ตอบไปจำมาจากไหน นิพพานคือนิพพาน :b14:

ไม่ได้จำมาจากไหน กรัชกายจะเชื่อไหมครับ


เห็นตามบอร์ดต่างๆเขากล่าวถึงผู้พูดอยู่น่า หรือบังเอิญตรงกัน :b1:

ครับ บังเอิญก็บังเอิญ
กรัชกายว่างมาก เที่ยวไปหลายบอร์ด


จบข่าว :b9:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2014, 10:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b9:
กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ยังไม่ตอบไปจำมาจากไหน นิพพานคือนิพพาน :b14:

ไม่ได้จำมาจากไหน กรัชกายจะเชื่อไหมครับ


เห็นตามบอร์ดต่างๆเขากล่าวถึงผู้พูดอยู่น่า หรือบังเอิญตรงกัน :b1:

ครับ บังเอิญก็บังเอิญ
กรัชกายว่างมาก เที่ยวไปหลายบอร์ด


จบข่าว :b9:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2014, 19:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(นิพพานคือนิพพาน...)

ในหนังสือ พระไทยใช่เขาใช่เรา (นิพพาน อนัตตา ฉบับเพียงเพื่อไม่ประมาท) หน้า 14 พระพรหมคุณภรณ์เขียนไว้ ให้ดูนิดหนึ่ง

๓. แมว เป็นช้าง ก็ไม่ใช่ ไม่เป็นช้าง ก็ไม่ใช่?


ถ้าไม่เล่น ก็หลงภาษา วนไปเวียนมา ก็อยู่แค่อนัตตานี่เอง

ทีนี้ ในข้อศึกษาว่า นิพพานเป็นอัตตา หรือเป็นอนัตตานี้ เมื่อเกิดมีคำกล่าวขึ้นมาว่า “นิพพานเป็นนิพพาน ไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่อนัตตา” ก็ให้รู้กันว่า คำพูดนี้เกิดจากความหลงภาษา หรือเป็นการเล่นภาษาเท่านั้น

เป็นการหลงภาษา หรือเล่นภาษาอย่างไร

ขอพูดให้เข้าใจง่ายๆ สั้นๆ คือ ในภาษาบาลีนั้น พอพูดว่า “นิพพานไม่ใช่อัตตา” ก็คือบอกว่า “นิพพานเป็นอนัตตา”

เพราะอะไร ก็เพราะว่า คำว่า “ไม่ใช่อัตตา” หรือ “ไม่เป็นอัตตา” นั้น พูดเป็นคำภาษาบาลีว่า “อนัตตา”

คำบาลีว่า “อนัตตา” แปลเป็นภาษาไทยว่า “ไม่ใช่อัตตา” หรือ “ไม่เป็นอัตตา” (ไม่ใช่ ไม่เป็น ไม่มี ได้ทั้งนั้น)

เหมือนคำว่า “อนิจจัง” ที่คนไทยรู้จักกันดี แปลว่า “ไม่เที่ยง” เรารู้กันดีว่าเป็นการปฏิเสธ “นิจจัง” ที่แปลว่า “เที่ยง” เมื่อมัน “ไม่เที่ยง” ก็คือมัน “ไม่เป็นนิจจัง” และก็คือมัน “เป็นอนิจจัง”

พูดอย่างไทยว่า “ไม่เป็นนิจจัง” คือพูดแบบบาลีว่า “เป็นอนิจจัง”

พูดอย่างไทยว่า “ไม่เป็นอัตตา” คือพูดแบบบาลีว่า “เป็นอนัตตา”

ถ้าเขาถามว่า “สังขารเป็นนิจจัง” (เที่ยง) ไหม? ถ้ามันไม่เที่ยง ก็ตอบเขาไปว่า “สังขารเป็นอนิจจัง” หรือจะว่า “สังขารไม่เป็นนิจจัง (ไม่เที่ยง)” ก็ได้ มีความหมายเท่ากัน

แต่ถ้าตอบไปแล้วว่า “สังขารเป็นอนิจจัง” ก็หมดสิทธิ์ที่จะบอกว่า “สังขารไม่เป็นอนิจจัง” เพราะตัวเองบอกไปแล้วว่า “สังขารเป็นอนิจจัง”

เพราะฉะนั้น ใครจะพูดขึ้นมาว่า “สังขารก็เป็นสังขาร ไม่เป็นนิจจัง ไม่เป็นอนิจจัง” ก็พูดขัดคำพูดของตัวเอง คือพูดกลับไปกลับมา ก็เห็นอยู่ชัดๆ บอกว่าสังขารเป็นอนิจจัง แล้วก็บอกว่าไม่เป็นอนิจจัง

พอพูดว่า “สังขารไม่เป็นนิจจัง” ก็หมดสิทธิ์ที่จะพูดว่า “สังขารไม่เป็นอนิจจัง” เพราะตัวเองบอกไปแล้วว่าเป็นอนิจจัง

พอพูดว่า “นิพพานไม่เป็นอัตตา” ก็คือบอกตามคำบาลีว่า “นิพพานเป็นอนัตตา” ก็เลยหมดสิทธิ์ที่จะพูดว่า “นิพพานไม่เป็นอนัตตา”

เพราะฉะนั้น ท่านผู้ใดจะพูดว่า “นิพพานก็เป็นนิพพาน ไม่เป็นอัตตา ไม่เป็นอนัตตา” ก็พูดขัดกับคำของตัวเอง ก็เห็นอยู่ชัดๆ พูดออกมาแล้วว่า นิพพานเป็นอนัตตา แล้วก็บอกว่าไม่เป็นอนัตตา

ตามปกติ หรือจะให้ถูก เขาไม่ถามว่า “นิพพานเป็นอัตตา หรือเป็นอนัตตา” แต่เขาถามว่า ““นิพพานเป็นอัตตาไหม? แล้วทีนี้ก็ตอบมาซิ ถ้าเห็นว่าเป็น ก็บอกว่า “นิพพานเป็นอัตตา” ถ้าว่าไม่เป็น ก็บอกว่า “นิพพานเป็นอนัตตา” ก็คือหรือเท่ากับบอกว่า “นิพพานไม่เป็นอัตตา” นั่นเอง

เป็นอันว่า พอพูดขึ้นมาว่า “นิพพานไม่เป็นอัตตา” เท่านี้แหละ ก็พูดต่อไม่ได้ว่า “นิพพานไม่เป็นอนัตตา”

ดูง่ายๆ ในภาษาไทยนี่แหละ จะเข้าใจดี

ถ้าใครมาถามว่า “แมวเป็นช้างไหม” หรือถามว่า “แมว เป็นช้าง หรือไม่ใช่ช้าง” เราก็ตอบว่า “แมวไม่เป็นช้าง” หรือพูดเลียนภาษาบาลีว่า “แมวเป็นอช้าง” แค่นี้ก็จบ พอแล้ว

ทีนี้ ถ้าถูกถามว่า “แมวเป็นช้างไหม? ใครตอบว่า “แมวไม่เป็นช้าง ไม่เป็นอช้าง” คือพูดอย่างไทยแท้ว่า “แมวไม่เป็นช้าง ไม่ใช่ไม่เป็นช้าง” หรือ “แมวเป็นช้าง ก็ไม่ใช่ ไม่เป็นช้าง ก็ไม่ใช่” เราก็คงนึกว่านี่เอาไงกัน

เรื่องนี้ ถ้าไม่ใช่ว่าทั้งที่รู้อยู่ ก็ทำเป็นเล่นภาษา ก็เป็นเพราะหลงภาษาอย่างที่ว่าแล้ว คือ หลายคนทีเดียว เพราะไม่รู้ภาษาบาลี ไม่รู้ไม่เข้าใจคำที่มาจากบาลี ก็เลยนึกว่า “อัตตา” เป็นอะไรอย่างหนึ่ง และ “อนัตตา” ก็เป็นอะไรอีกอย่างหนึ่ง ก็เลยต้องมาเลือก หรือมาตัดสินว่า เป็นอย่างไหน หรือไม่ใช่ทั้งสองอย่าง

แต่ที่แท้ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ไม่ใช่มาตัดสินว่า นี่เป็นอะไรที่เรียกว่า “อัตตา” หรือเป็นอะไรอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า “อนัตตา”

ไม่ใช่มาตัดสินว่า “แมว เป็นช้าง หรือเป็นนกฮูก?

อย่างนั้น จึงตอบว่า “แมวเป็นแมว ไม่เป็นช้าง ไม่เป็นนกฮูก”

แต่นี่ เขาถามว่า “แมวเป็นช้างไหม?” “แมว เป็นช้างหรือไม่เป็นช้าง?”

ก็ตอบว่า “แมว ไม่เป็นช้าง” ก็จบ

ไม่ใช่บอกว่า “แมวเป็นแมว ไม่เป็นช้าง ไม่ใช่ไม่เป็นช้าง”

คราวนี้ เขาถามว่า “นิพพาน เป็นอัตตาไหม?” หรือว่า “นิพพานเป็นอัตตา หรือไม่เป็นอัตตา/เป็นอนัตตา”

ก็ทำนองเดียวกับที่ถามว่า “แมว เป็นช้างไหม? “ หรือว่า “แมว เป็นช้าง หรือไม่เป็นช้าง/เป็นอช้าง?”

ใช่หรือไม่ใช่ เป็นหรือไม่เป็น ก็ตอบมาได้ตรงๆทีเดียวเสร็จ ท่อนเดียวจบ

ย้ำไว้อีกทีว่า เรื่องนี้เป็นเพียงความสับสนทางภาษา

มิใช่ว่าอัตตาเป็นอะไรอย่างหนึ่ง และอนัตตาเป็นอะไรอีกอย่างหนึ่ง แต่อนัตตาเป็นเพียงคำปฏิเสธอัตตา

ใครพูดว่า “นิพพานไม่เป็นอัตตา” “นิพพานเป็นอนัตตา” จบแค่นี้

ท่านที่บอกว่า “นิพพานเป็นนิพพาน ไม่เป็นอัตตา ไม่เป็นอนัตตา” นั้น เมื่อพูดตามคำบาลี ก็คือท่านบอกว่า “นิพพานเป็นนิพพาน เป็นอนัตตา ไม่เป็นอนัตตา” (= “นิพพานเป็นนิพพาน ทั้งเป็นอนัตตา ทั้งไม่เป็นอนัตตา” หรือ “นิพพานเป็นนิพพาน เป็นทั้งอนัตตา เป็นทั้งไม่อนัตตา”)

เท่ากับพูดว่า “นิพพานเป็นนิพพาน ไม่เป็นอัตตา ไม่ใช่ไม่เป็นอัตตา”

เรื่องของภาษาไทยที่มีบาลีเข้ามาปน ก็อย่างนี้แหละ ถ้าจับจุดได้แล้ว ก็ไม่มีอะไรซับซ้อนที่จะต้องมาคิดอะไรไปไกลมากมาย

http://group.wunjun.com/#!/meditation/t ... 5459-14345

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2014, 20:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถูกแล้วครับ
เข้าใจนิพพาน ก็จะไม่เล่นคำเล่นภาษาครับ
ท่านแสดงถูกแล้วครับ
นิพพาน คือนิพพาน ไม่ต้องต่อท้ายต่ออะไรลงไปอีกให้มากความ
ขอบคุณครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 41 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร