วันเวลาปัจจุบัน 29 ก.ค. 2025, 22:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 26 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2014, 20:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
ดูจากวีดีโอแล้ว เหมือนเป็นการทะเลาะและเกิดการทำร้ายร่างกายกัน คนที่กลุ่มใหญ่ได้เปรียบ ทำลายรถ ทำร้ายคน มีรถผ่านไปผ่านมาเยอะแยะที่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่มีใครจอดช่วยหยุดเหตุการณ์ เพราะว่า

1 ไม่ใช่ปัญหาเขา
2 ไม่ใช่ญาติพี่น้อง
3 ไม่ใช่หน้าที่

เราเองไม่ควรจะโกรธ เพราะเราไม่รู้ว่าเป็นปัญหาอะไร เมื่อโกรธแล้ว หากเราเป็นคนรู้จัก ก็อาจจะเกิดการทำร้ายร่างกายกัน ดังเช่น คนกลุ่มใหญ่ที่เพื่อนเอาไม้ตีคนในรถ ก็พลอยผสมโรงร่วมกันทำร้ายด้วยโดยอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาทำร้ายกันเรื่องอะไร

เป็นการผูกอาฆาต เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกไปแขวนคอ


:b8: :b8: :b8:

มีคนเดียวที่ให้ทัศนะ....

อีกครั้ง...
ทำไมถึงโกรธ....และ...ทำไมถึงไม่โกรธ..
แม้ไม่โกรธ....ก็ต้องมีเหตุผล....หาไม่แล้ว....ก็เป็นเพียงอทุกขมสุข....เท่านั้น...ไม่ได้อะไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2014, 21:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แล้วใครโกรธ ใครไม่โกรธ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2014, 21:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


โกรธใครค่ะ เพราะในคลิปมีอยู่2เหตุการณ์ มีคนถูกยิงเสียชีวิต
อีกกลุ่มหนึ่งโดนรุมทำร้าย ถ้าถามคำว่าโกรธมั๊ย มันเป็นคำถามที่ตอบยาก

เหตุผลคือ พวกเค้าเต็มใจที่จะเล่นเกม โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
ผู้แพ้คือไม่ตายก็พิการ คือ....มันเป็นอะไรที่น่าเสียดายมากๆ
ชีวิตของทุกคนมีค่า ไม่น่าที่จะเอาชีวิต ไปยึดติดกับคำว่า " กูต้องชนะ "

คุณกบฯรู้จักกับเค้าเหรอค่ะ :b41: :b55: :b47:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2014, 22:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


โกรธสัตว์นรก....ที่กำลังทำร้าย..ทำลาย...ชีวิตของจิตดวงหนึ่ง....ชีวิตที่ทุกดวงจิตปราถณา...จิตดวงหนึ่งกำลังตะเกียกตะกาย..ดิ้นรน...รักษาเอาใว้....

ผมไม่รู้จักคนในคลิปหรอก...แม้จะเปลี่ยนจากคน..เป็นสุนัขแทนในคลิป...ผมก็โกรธ...เพราะนั้นก็จิตดวงหนึ่งเหมือนกัน

แต่....เรารู้ว่า..ไม่ควรโกรธ

แล้วเพราะอะไรถึงไม่ควรโกรธนี้ซิ...ตรงนี้ต้องใช้การโยนิโสเข้ามา....ไม่อย่างนั้นการหยุดความโกรธเพราะว่าแค่ไม่ควรหรือมีเหตุผลรองรับน้อยเกินไป...ก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาหินไปทับหญ้า...หรือ...เป็นได้แค่อทุกขมสุขเวทนาธรรมดาๆ...ขาดโอกาศจะเข้าใจโลกตามความเป็นจริง...ไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2014, 22:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พวกเขาไปทำอะไรกันแถวๆนั้น เขาโกรธใครแถวนั้นน่ะ :b1: เขามาจากไหนกันเยอะแยะ ฟังเสียงพูด ดูหน้าตาแล้ว เหมือนมาจากใต้ เขามาทำอะไรกัน :b1:

เต็มไปหมด จนท.ต้องพาออกไป :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2014, 23:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
eragon_joe เขียน:
วันที่ 2 เอกอนจะออกไปใช้สิทธิ

:b1:

:b4: :b4:

รัฐธรรมนูญมาตรา ๗๒ "บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง"

บุคคลซึ่งไปใช้สิทธิหรือไม่ไปใช้สิทธิ โดยไม่แจ้งเหตุอันสมควรที่ทำให้ไม่อาจไปใช้สิทธิได้
ย่อมได้รับสิทธิหรือเสียสิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติ

- สมัคร สส. ไม่ได้
- เข้าชื่อเสนอกฎหมายไม่ได้
- สมัคร กำนัน อบจ อบต ไม่ได้ ฯลฯ

ที่สำคัญ เป็นนายกหญิงคนที่สองไม่ได้ด้วย ..

555+ :b32:


:b32: :b32: :b32:

นี่นอนให้มันสำรวมกายหน่อย

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2014, 06:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
:b32: :b32: :b32:

นี่นอนให้มันสำรวมกายหน่อย

:b32: :b32: :b32:

รูปภาพ
ท่านี่ปกตินะ ท่าพิเศษยิ่งกว่านี้อีก อิอิ .. :b32: :b32:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2014, 06:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ทำไมถึงโกรธ....และ...ทำไมถึงไม่โกรธ..

เหตุการณ์ในเมืองไทยขณะนี้ ..
จะว่าโกรธก็ไม่ใช่ จะว่าไม่โกรธก็ไม่เชิง

เมื่อนึกถึงคำสอนของหลวงปู่เทสก์ฯ ก็จะทำให้เกิดความเมตตา
เกิดความสงสาร ขึ้นแทนได้ ..

" ..พวกเราต่างเกิดมา เพื่อแย่งชิงกิเลส คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข
อันพระพุทธเจ้าและเหล่าพระอริยะสาวกทั้งหลายท่านทิ้งไปแล้ว
แต่เรายังเห็นว่าดีว่าวิเศษ ยังแย่งชิง เบียดเบียนกัน เข่นฆ่ากันอยู่ .. "

"ประเทศชาติเปรียบเหมือนต้นโพธิ์ต้นไทร
ใครทำลายต้นโพธิต้นไทร ท่านเรียก คนอกตัญญู"


:b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2014, 08:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:

ทำไมถึงโกรธ....และ...ทำไมถึงไม่โกรธ..
แม้ไม่โกรธ....ก็ต้องมีเหตุผล....หาไม่แล้ว....ก็เป็นเพียงอทุกขมสุข....เท่านั้น...ไม่ได้อะไร





เมื่อผัสสะเกิด สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด
เกิดจาก เคยสร้างเหตุร่วมกันไว้(ไม่ว่าจะรู้จักกัน หรือ ไม่รู้จักกัน ในชาตินี้ก้ตาม)

และไม่ทำให้เกิด ความรู้สึกนึกคิด
เกิดจาก ไม่ได้สร้างเหตุปัจจัยมาร่วมกัน


กรรมเก่าและกรรมใหม่

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่งกรรมทั้งหลาย
ทั้งใหม่และเก่า (นวปุราณกัมม) กัมมนิโรธ และกัมมนิโรธคามินีปฏิปทา. ….

ภิกษุทั้งหลาย ! กรรมเก่า (ปุราณกัมม) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! จักษุ (ตา) …. โสตะ (หู) …. ฆานะ (จมูก) …. ชิวหา (ลิ้น) …. กายะ (กาย) …. มนะ (ใจ)

อันเธอทั้งหลาย พึงเห็นว่าเป็นปุราณกัมม (กรรมเก่า)
อภิสังขตะ (อันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น)
อภิสัญเจตยิตะ (อันปัจจัย ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น)
เวทนียะ (มีความรู้สึกต่ออารมณ์ได้).
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า กรรมเก่า.


ภิกษุทั้งหลาย ! กรรมใหม่ (นวกัมม) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่บุคคลกระทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ในกาลบัดนี้ อันใด,
อันนี้เรียกว่า กรรมใหม่.

ภิกษุทั้งหลาย ! กัมมนิโรธ (ความดับแห่งกรรม)เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่บุคคลถูกต้องวิมุตติ เพราะความดับแห่งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันใด,
อันนี้เรียกว่า กัมมนิโรธ.

ภิกษุทั้งหลาย ! กัม ม นิโ รธค ามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งกรรม) เป็นอย่างไรเล่า ?
กัมมนิโรธคามินีปฏิปทานั้น คือ อริยอัฏฐังคิกมรรค(อริยมรรคมีองค์แปด) นี้นั่นเอง ได้แก่
สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) สัมมาวาจา (การพูดจาชอบ)
สัมมากัมมันตะ(การทำการงานชอบ) สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีวิตชอบ)
สัมมาวายามะ (ความพากเพียรชอบ) สัมมาสติ(ความระลึกชอบ) สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นชอบ).
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา.

ภิกษุทั้งหลาย ! ด้วยประการดังนี้แล (เป็นอันว่า)
กรรมเก่า เราได้แสดงแล้วแก่เธอทั้งหลาย กรรมใหม่เราก็แสดงแล้ว,
กัมมนิโรธ เราก็ได้แสดงแล้ว,
กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา เราก็ได้แสดงแล้ว.

ภิกษุทั้งหลาย ! กิจใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล
อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย,
กิจนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอ.

ภิกษุทั้งหลาย ! นั่นโคนไม้, นั่นเรือนว่าง.
พวกเธอจงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท,
อย่าเป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย.
นี้แล เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนของเรา แก่เธอทั้งหลาย.
สฬา. สํ. ๑๘/๑๖๖/๒๒๗-๒๓๑.





เหตุของอวิชชา(ความไม่รู้ที่มีอยู่)
เป็นเหตุให้ หลงสร้างเหตุออกไป(วจีกรรม กายกรรม) ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น



ภิกษุทั้งหลาย ! กรรมใหม่ (นวกัมม) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่บุคคลกระทำกรรมด้วยกาย
ด้วยวาจา ด้วยใจ ในกาลบัดนี้ อันใด,
อันนี้เรียกว่า กรรมใหม่.




เหตุเกิดของกรรม ๓ อย่าง

ว่าด้วยเหตุเกิดของกรรม ๓ อย่าง

ภิกษุทั้งหลาย ! เหตุทั้งหลาย ๓ ประการเหล่านี้ มีอยู่
เพื่อความเกิดขึ้นแห่งกรรมทั้งหลาย.

๓ ประการเหล่าไหนเล่า ?
๓ ประการ คือ :-

โลภะ (ความโลภ) เป็นเหตุเพื่อความเกิดขึ้น แห่งกรรมทั้งหลาย,
โทสะ (ความคิดประทุษร้าย) เป็นเหตุเพื่อความเกิดขึ้น แห่งกรรมทั้งหลาย,
โมหะ (ความหลง) เป็นเหตุเพื่อความเกิดขึ้น แห่งกรรมทั้งหลาย.

ภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนเมล็ดพืชทั้งหลาย ที่ไม่แตกหัก
ที่ไม่เน่า ที่ไม่ถูกทำลายด้วยลมและแดด

เลือกเอาแต่เม็ดดี เก็บงำไว้ดี อันบุคคลหว่านไปแล้ว
ในพื้นที่ซึ่งมีปริกรรมอันกระทำดีแล้วในเนื้อนาดี.

อนึ่ง สายฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล.

ภิกษุทั้งหลาย ! เมล็ดพืชทั้งหลายเหล่านั้น
จะพึงถึงซึ่งความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์โดยแน่นอน,
ฉันใด;

ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนี้ก็ฉันนั้น คือ

กรรมอันบุคคลกระทำแล้วด้วยโลภะ เกิดจากโลภะ
มีโลภะเป็นเหตุ มีโลภะเป็นสมุทัย อันใด;

กรรมอันนั้น ย่อมให้ผลในขันธ์ทั้งหลาย
อันเป็นที่บังเกิดแก่อัตตภาพ ของบุคคลนั้น.

กรรมนั้นให้ผลในอัตตภาพใด เขาย่อมเสวยวิบากแห่งกรรมนั้น ในอัตตภาพนั้นเอง
ไม่ว่าจะ เป็นไปอย่าง ในทิฏฐธรรม (คือทันควัน)
หรือว่า เป็นไปอย่าง ในอุปปัชชะ (คือในเวลาต่อมา)
หรือว่า เป็นไปอย่าง ในอปรปริยายะ (คือ ในเวลาต่อมาอีก) ก็ตาม.

กรรมอันบุคคลกระทำแล้วด้วยโทสะ เกิดจากโทสะ
มีโทสะเป็นเหตุ มีโทสะเป็นสมุทัย อันใด;

กรรมอันนั้น ย่อมให้ผลในขันธ์ทั้งหลาย อันเป็นที่บังเกิดแก่อัตตภาพ ของบุคคลนั้น.
กรรมนั้นให้ผลในอัตตภาพใด เขาย่อมเสวยวิบากแห่งกรรมนั้น ในอัตตภาพนั้นเอง
ไม่ว่าจะ เป็นไปอย่างในทิฏฐธรรม
หรือว่า เป็นไปอย่างในอุปปัชชะ
หรือว่า เป็นไปอย่างในอปรปริยายะ ก็ตาม.

กรรมอันบุคคลกระทำแล้วด้วยโมหะ เกิดจากโมหะ
มีโมหะเป็นเหตุ มีโมหะเป็นสมุทัย อันใด;

กรรมอันนั้น ย่อมให้ผลในขันธ์ทั้งหลาย อันเป็นที่บังเกิดแก่อัตตภาพ ของบุคคลนั้น.
กรรมนั้นให้ผลในอัตตภาพใด เขาย่อมเสวยวิบากแห่งกรรมนั้น ในอัตตภาพนั้นเอง
ไม่ว่าจะ เป็นไปอย่างในทิฏฐธรรม
หรือว่า เป็นไปอย่างในอุปปัชชะ
หรือว่า เป็นไปอย่างในอปรปริยายะ ก็ตาม.

ภิกษุทั้งหลาย ! เหตุทั้งหลาย ๓ ประการ เหล่านี้แล
เป็นไปเพื่อความเกิดขึ้นแห่งกรรมทั้งหลาย.
ติก. อํ. ๒๐/๑๗๑/๔๗๓.







โยนิโสมนสิการ

โยนิ(เหตุ) ได้แก่ ดูตามความเป็นจริงของความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น(เหตุของการเกิด ที่มีอยู่)

มนสิการ ได้แก่ ไม่สร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น(กระทำไว้ในใจ)



โยนิ หรือ โยนี แปลตรงตัวอยู่แล้ว แปลว่า เหตุ

มนสิการ แปลตรงตัวแล้ว การกระทำไว้ในใจ

การเทียบเคียง โดยการนำคำสอนของพระพุทธเจ้า มาเทียบเคียง เหตุเกิดตรงไหน ดับที่นั่น


นำบาลีมาอ้างอิง

เย ธมมา เหตุปปะภะวา

เตสัง เหตุง ตถาคโต

เตสัญจ โย นิโรโธ จ

เอวัง วาที มหาสมโณฯ


เป็นประโยค ยะ ตะ นะครับ แยกได้ดังนี้นะครับ

(เย ธัมมา) อันว่า ธรรมทั้งหลายเหล่าใด (เหตุปปะภะวา)
มีเหตุเป็นแดนเกิดก่อน (คือ เกิดจากเหตุนั่นเอง) (จ) ด้วย

(โย นิโรโธ) อันว่า ความดับใด (เตสัง ธรรมานัง)แห่งธรรมทั้งหลาย เหล่านั้น (จ) ด้วย

(ตถาคโต) อันว่า พระตถาคต (อาห) ตรัส (เหตุง)ซึ่งเหตุ (เตสัง ธรรมานัง)
แห่งธรรมทั้งหลาย เหล่านั้นด้วย

(อาห)ตรัส (ตัง นิโรธัง) ซึ่งความดับนั้นด้วย

(มหาสมโณ) อันว่าพระมหาสมณะ (วาที) เป็นผู้มีปกติกล่าว (เอวัง) อย่างนี้



ค่อนข้างจะสับสนนะครับ สำหรับผู้ที่ไม่ได้เรียนบาลี เพราะประโยคนี้มี ยะ ตะ ถึงสองตัวด้วยกัน

ส่วนตัวนี้คือ เหตุง ต้องเป็น เหตุง นะครับ
ศัพท์เดิม คือ เหตุ ลงทุติยาวิภัติ จึงต้องผันเป็น เหตุง แปลว่า ซึ่งเหตุครับ

(ขอบคุณผู้แปลและถอดคำบาลี hug0_boss)

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3049.0




อะไรคือ เหตุ

เหตุคือ สิ่งที่เกิดขึ้น(ผัสสะ)

เหตุมาจากไหน ต้องสาวลงไปอีก สิ่งที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน ขณะ
ล้วนเกิดจาก เหตุปัจจัย ที่ทำไว้ในอดีต

เมื่อมีเหตุ ย่อมมีผล

ผลของเหตุ ที่เคยกระทำไว้(กรรม)ในอดีต ส่งมาให้ได้รับ
ในรูปของสิ่งที่เกิดขึ้น ในรูปของ ผัสสะ หรือ สิ่งที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน ขณะ

สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้ ล้วนเป็นการดับที่เหตุของการเกิด
โยนิโสมนสิการ ก็เช่นเดียวกัน เป็นธรรมที่ดับ เหตุของการเกิด
ไม่ใช่เป็นการสร้าง เหตุของการเกิดขึ้นมาใหม่ หรือ เรียกว่า กรรมใหม่


ภิกษุทั้งหลาย ! กัมมนิโรธ (ความดับแห่งกรรม)เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่บุคคลถูกต้องวิมุตติ เพราะความดับแห่งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันใด,
อันนี้เรียกว่า กัมมนิโรธ.



อานนท์ ! ความทุกข์นั้น เรากล่าวว่า
เป็นสิ่งที่อาศัยปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วเกิดขึ้น.

ความทุกข์นั้นอาศัยปัจจัยอะไรเล่า ?
ความทุกข์นั้น อาศัยปัจจัยคือ ผัสสะ,

ผู้กล่าวอย่างนี้แล ชื่อว่า กล่าวตรงตามที่เรากล่าว
ไม่เป็นการกล่าวตู่เรา ด้วยคำไม่จริง ;

แต่เป็นการกล่าวโดยถูกต้อง และสหธรรมิกบางคนที่กล่าวตาม
ก็จะไม่พลอยกลายเป็นผู้ควรถูกติไปด้วย.

อานนท์ ! ในบรรดาสมณพราหมณ์ ที่กล่าวสอนเรื่องกรรมทั้งสี่พวกนั้น :

สมณพราหมณ์ ที่กล่าวสอนเรื่องกรรมพวกใด ย่อมบัญญัติความทุกข์
ว่าเป็นสิ่งที่ ตนทำเอาด้วยตนเอง,

แม้ความทุกข์ ที่พวกเขาบัญญัตินั้น
ก็ยังต้องอาศัยผัสสะ เป็นปัจจัย จึงเกิดมีได้ ;

สมณพราหมณ์ที่กล่าวสอนเรื่องกรรมพวกใด
ย่อมบัญญัติ ความทุกข์ ว่าเป็นสิ่งที่ผู้อื่นทำให้,

แม้ความทุกข์ที่พวกเขาบัญญัตินั้น
ก็ยังต้องอาศัยผัสสะ เป็นปัจจัย จึงเกิดมีได้ ;

สมณพราหมณ์ที่กล่าวสอนเรื่องกรรมพวกใด
ย่อมบัญญัติความทุกข์ ว่าเป็นสิ่งที่ตนทำเอาด้วยตนเองด้วย ผู้อื่นทำให้ด้วย

แม้ความทุกข์ที่พวกเขาบัญญัตินั้น
ก็ยังต้องอาศัยผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีได้ ;

ถึงแม้สมณพราหมณ์ ที่กล่าวสอนเรื่องกรรมพวกใด
ย่อมบัญญัติความทุกข์ ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ทำเองหรือใครทำให้ก็เกิดขึ้นได้ ก็ตาม.

แม้ความทุกข์ที่ พวกเขาบัญญัตินั้น
ก็ยังต้องอาศัยผัสสะ เป็นปัจจัย จึงเกิดมีได้อยู่นั่นเอง.
- นิทาน. สํ. ๑๖/๔๐/๗๕.




ผล

ภิกษุ ท. ! ….ส่วนบุคคล เมื่อรู้เมื่อเห็น ซึ่ง จักษุ ตามที่เป็นจริง.
เมื่อรู้เมื่อเห็น ซึ่ง รูปทั้งหลาย ตามที่เป็นจริง,
เมื่อรู้เมื่อเห็นซึ่ง จักขุวิญญาณ ตามที่เป็นจริง,
เมื่อรู้เมื่อเห็น ซึ่ง จักขุสัมผัส ตามที่เป็นจริง,

เมื่อรู้เมื่อเห็นซึ่งเวทนาอันเกิดขึ้น เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย
อันเป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขก็ตาม ตามที่เป็นจริงแล้ว ;

เขาย่อมไม่กำหนัดในจักษุ, ไม่กำหนัดในรูปทั้งหลาย,
ไม่กำหนัดในจักขุวิญญาณ, ไม่กำหนัดในจักขุสัมผัส,

และไม่กำหนัดในเวทนาอันเกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย
อันเป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขก็ตาม.

เมื่อบุคคลนั้นไม่กำหนัดแล้ว ไม่ติดพันแล้ว ไม่ลุ่มหลงแล้ว
ตามเห็นอาทีนวะ (โทษของสิ่งเหล่านั้น) อยู่เนืองๆ,
ปัญจุปาทานขันธ์ทั้งหลาย ย่อมถึงซึ่งความไม่ก่อเกิดต่อไป;

และตัณหา อันเป็นเครื่องนำไปสู่ภพใหม่
อันประกอบอยู่ด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิน
เป็นเครื่องทำให้เพลินอย่างยิ่งในอารมณ์นั้น ๆ นั้นอันเขาย่อมละเสียได้;

ความกระวนกระวาย (ทรถ) แม้ ทางกาย อันเขาย่อมละเสียได้,
ความกระวนกระวาย แม้ ทางจิต อันเขาย่อมละเสียได้;
ความแผดเผา (สนฺตาป) แม้ทางกาย อันเขาย่อมละเสียได้,
ความแผดเผา แม้ทางจิต อันเขาย่อมละเสียได้;
ความเร่าร้อน (ปริฬาห) แม้ทางกาย อันเขาย่อมละเสียได้,
ความเร่าร้อน แม้ทางจิต อันเขาย่อมละเสียได้.

บุคคลนั้นย่อม เสวยซึ่งความสุข อันเป็นไป ทางกายด้วย.
ซึ่งความสุขอันเป็นไป ทางจิต ด้วย.

เมื่อบุคคลเป็นเช่นนั้นแล้ว ทิฏฐิ ของเขา ย่อมเป็นสัมมาทิฏฐิ;
ความดำริของเขา ย่อมเป็นสัมมาสังกัปปะ;
ความพยายาม ของเขา ย่อมเป็นสัมมาวายามะ ;
สติ ของเขา ย่อมเป็นสัมมาสติ;
สมาธิ ของเขา ย่อมเป็นสัมมาสมาธิ;

ส่วน กายกรรม วจีกรรม และ อาชีวะ ของเขา เป็นธรรมบริสุทธิ์อยู่ก่อนแล้วนั่นเทียว.
ด้วยอาการอย่างนี้ เป็นอันว่า อริยอัฏฐังคิกมรรค นี้
ของเขานั้น ย่อม ถึงซึ่งความเต็มรอบแห่งความเจริญ.

เมื่อเขาทำอริยอัฏฐังคิกมรรค ให้เจริญอยู่ด้วยอาการอย่างนี้,
สติปัฏฐาน แม้ทั้ง ๔ ย่อมถึงซึ่งความเต็มรอบแห่งความเจริญ ;
สัมมัปปธาน แม้ทั้ง ๔ ย่อมถึงซึ่งความเต็มรอบแห่งความเจริญ ;
อิทธิบาท แม้ทั้ง ๔ ย่อมถึงซึ่งความเต็มรอบแห่งความเจริญ ;
อินทรีย์ แม้ทั้ง ๕ ย่อมถึงซึ่งความเต็มรอบแห่งความเจริญ ;
พละ แม้ทั้ง ๕ ย่อมถึงซึ่งความเต็มรอบแห่งความเจริญ ;
โพชฌงค์ แม้ทั้ง ๗ ย่อมถึงซึ่งความเต็มรอบแห่งความเจริญ.

ธรรมทั้งสองคือ สมถะ และวิปัสสนา ของเขานั้น
ย่อมเป็นธรรมเคียงคู่กันไป.

บุคคลนั้น ย่อม กำหนดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง
ซึ่งธรรมทั้งหลายอันบุคคลพึงกำหนดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง ;

ย่อมละ ด้วยปัญญาอันยิ่ง
ซึ่งธรรมทั้งหลายอันบุคคลพึงละด้วยปัญญาอันยิ่ง ;

ย่อมทำให้เจริญ ด้วยปัญญาอันยิ่ง
ซึ่งธรรมทั้งหลายอันบุคคลพึงทำให้เจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง;

ย่อม ทำให้แจ้ง ด้วยปัญญาอันยิ่ง
ซึ่งธรรมทั้งหลายอันบุคคลพึงทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง.

ภิกษุ ท. ! ก็ ธรรมเหล่าไหนเล่า เป็นธรรมอันบุคคลพึงกำหนดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง ?

คำตอบ พึงมีว่า ปัญจุปาทานขันธ์ ทั้งหลาย กล่าวคืออุปาทาน
ขันธ์คือรูป อุปาทานขันธ์คือเวทนา อุปาทานขันธ์คือสัญญา
อุปาทานขันธ์คือสังขาร อุปาทานขันธ์คือวิญญาณ :

ธรรมทั้งหลายเหล่านี้แล ชื่อว่าเป็นธรรม อันบุคคลพึงกำหนดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง.

ภิกษุ ท. ! ก็ ธรรมเหล่าไหนเล่า เป็นธรรมอันบุคคลพึงละด้วย ปัญญาอันยิ่ง ?
คำตอบ พึงมีว่า อวิชชา ด้วย ภวตัณหา ด้วย :

ธรรมทั้งหลายเหล่านี้แลชื่อว่า เป็นธรรมอันบุคคลพึงละด้วยปัญญาอันยิ่ง.

ภิกษุ ท. ! ก็ ธรรมเหล่าไหนเล่า เป็นธรรมอันบุคคลพึงทำให้เจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง ?
คำตอบ พึงมีว่า สมถะ ด้วย วิปัสสนา ด้วย :

ธรรมทั้งหลายเหล่านี้แล ชื่อว่าเป็นธรรมอันบุคคลพึงทำให้เจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง.

ภิกษุ ท. ! ก็ ธรรมเหล่าไหนเล่า เป็นธรรมอันบุคคลพึงทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง ?
คำตอบ พึงมีว่า วิชชา ด้วย วิมุตติ ด้วย :

ธรรมทั้งหลายเหล่านี้แล ชื่อว่าเป็นธรรมอันบุคคลพึงทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง.






ทาน ศิล ภาวนา

ขณะผัสสะเกิด เป็นเหตุให้ เกิดความรู้สึกนึกคิดใดๆก็ตาม ให้กระทำไว้ในใจ
คือ รู้อยู่ในใจ ไม่สร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น

เป็นเหตุให้ สภาวะ การให้ทาน การเป็นผู้มีศิล และ ภาวนา
เกิดขึ้นเองตามเหตุปัจจัย ได้แก่

การให้ทาน หมายถึง การให้อภัยทานต่อผู้อื่น ทุกๆการกระทำ ที่เขาทำกับเรา ให้อภัยทุกอย่าง

การเป็นผู้มีศิล หมายถึง การเป็นผู้สำรวม สังวร ระวัง
ได้แก่ เป็นผู้มีสติ สัมปชัญญะ รู้อยู่ในกายและจิตของตัวเอง

ภาวนา หมายถึง เป็นผู้มีสมาธิ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
รู้ชัดอยู่ภายในกายและจิต ความรู้สึกนึกคิดอะไรเกิดขึ้น ก็รู้

สภาวะนี้ เป็นสภาวะสติปัฏฐาน ๔ ได้แก่ การรู้ชัดอยู่ภายใน กาย เวทนา จิต ธรรม

เป็นผู้ที่ละอภิชชา โทมนัสเสียได้ หมายถึง การไม่สร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น เป็นการละ โดยการกระทำ ละแบบหยาบๆ

เมื่อไม่สร้างเหตุออกไป เหตุไม่มี ผลย่อมไม่มี
หากเหตุยังมีอยู่ ผลย่อมมีอยู่ เพียงแค่รู้ และตั้งใจทำความเพียรต่อไป

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2014, 10:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
โกรธสัตว์นรก....ที่กำลังทำร้าย..ทำลาย...ชีวิตของจิตดวงหนึ่ง....ชีวิตที่ทุกดวงจิตปราถณา...จิตดวงหนึ่งกำลังตะเกียกตะกาย..ดิ้นรน...รักษาเอาใว้....

ผมไม่รู้จักคนในคลิปหรอก...แม้จะเปลี่ยนจากคน..เป็นสุนัขแทนในคลิป...ผมก็โกรธ...เพราะนั้นก็จิตดวงหนึ่งเหมือนกัน

แต่....เรารู้ว่า..ไม่ควรโกรธ

แล้วเพราะอะไรถึงไม่ควรโกรธนี้ซิ...ตรงนี้ต้องใช้การโยนิโสเข้ามา....ไม่อย่างนั้นการหยุดความโกรธเพราะว่าแค่ไม่ควรหรือมีเหตุผลรองรับน้อยเกินไป...ก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาหินไปทับหญ้า...หรือ...เป็นได้แค่อทุกขมสุขเวทนาธรรมดาๆ...ขาดโอกาศจะเข้าใจโลกตามความเป็นจริง...ไป


tongue

ความยึดติดถือมั่น ทำให้เราเป็นทุกข์ ยิ่งยึดมาก ยิ่งทุกข์มาก ....เมื่อเห็นเหตุแล้วให้ละเสีย...
ในคนปุถุชนมักจะมีอคติ 4 คือ ฉันทาคติลำเอียงเพราะรัก โทสาคติลำเอียงเพราะไม่ชอบกัน โมหาคติลำเอียงเพราะเขลา ภยาคติลำเอียงเพราะกลัวภัยมาถึงตัว เมื่อมีสิ่งเหล่านี้ทำให้ไม่อาจมองเข้าไปถึงเหตุของปัญหาและความเป็นจริงได้
ดังปัญหาในบ้านเมืองที่เป็นกันมากในขณะนี้...ต่างคนต่างเอาความคิด ความเห็นของตนเป็นที่ตั้ง..ใครมีความคิดเห็นที่ต่างจากตนก็มีอคติ...ไม่ชอบ เกลียดชังกัน...ตรงกันข้ามใครมีความคิดเห็นคล้อยตาม เสมือนตน ก็รักชอบ พอใจ ชื่นชม มองกันอยู่แค่นี้จึงทำให้เกิดการแตกแยก แบ่งพรรค แบ่งพวกกัน.....พร้อมที่จะมองฝั่งที่ไม่เห็นด้วยกับตน เป็นศัตรู ไม่ใช่คนเหมือนตน การทำร้ายทำลายชีวิตจึงเกิดขึ้นได้ถึงขั้นที่คิดว่า ตนเองไม่ผิด....คนพวกนั้นสมควรตายหรือควรประนามอย่างสมเหตุสมผลแล้วเพราะยึดติดว่าตนถูก..คนที่เห็นต่างผิด...คนทุกคนมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันไปตามภูมิความรู้ เป็นเรื่องธรรมดาของสังคมประชาธิปไตย แต่ที่สำคัญความคิดเห็นที่ควรจะเป็น หรือสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมในสังคมควรจะเป็นอย่างไร..ภายใต้หลักการ กฎ กติกา ระเบียบ กฎหมาย ที่มีไว้ควบคุมจัดสรรให้เป็นไปตามหลักการหรือวัตถุประสงค์ที่สังคมต้องการ...เราควรต้องคำนึงถึงหรือไม่?....เนื้อหาก็ใช่ว่าจะสำคัญกว่ารูปแบบเสมอไป หรือจะเอาแต่รูปแบบโดยไม่สนใจเนื้อหาก็ดูเหมือนจะไปกันไม่ได้...ถ้ามองออกจะเห็นว่าทั้งเนื้อหาและรูปแบบต้องอาศัยกัน ต้องควบคู่กันไปจึงจะสำเร็จวัตถุประสงค์ได้....

โดยส่วนตัว ปลีกวิเวก รู้สึกเฉยๆกับเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองในบ้านเรา..มานานแล้ว ถึงแม้เราจะอยากให้สังคมเจริญงอกงาม...คนในสังคมอยู่ดีกินดี ได้รับสิทธิเสรีภาพเท่าเทียม มีแต่คนดีไม่ทุจริตคดโกง แต่มันก็ไม่เป็นไปอย่างที่เราต้องการ แต่มันมีความเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมันอย่างนั้นเอง...เพียงแค่เราเรียนรู้ที่จะเข้าไปสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับ “ธรรม” ด้วยความรู้และเข้าใจ ไม่ยึดติดถือมั่นใจก็จะไม่เป็นทุกข์.....

“ความโกรธ และความเกลียดชัง เกาะกุมหัวใจผู้ใดย่อมเผาผลาญใจของตนเองให้เร่าร้อน และยังแผ่ขยายความเร่าร้อน ทำลายล้าง ไปยังคนรอบข้างและสังคมโลกให้เดือดร้อนกันถ้วนทั่ว”
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่..มีมาตลอดในสังคมทุกยุคสมัย...ถ้าเรามีความเข้าใจก็จะเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา เป็นอย่างนั้นเอง :b41:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2014, 13:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
....
คลิปชุดนี้ผมเคยเอามาลงทีหนึ่งแล้วแต่ก็ถูกเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลลบไป ผมยังไม่ทันจะอธิบายต่อเลย
ก็เลยไม่อยากจะอธิบายต่อ เพราะเป็นหน้าที่ของเขา แต่ตอนนี้ทำไมเขาไม่ลบล่ะ โงง งง ๆ นะ


ความเหมาะสมเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ ... กาลเวลา
หวังว่าลุงหมานคงไม่แอบน้อยใจน๊ะคะ...

เพราะตอนช่วงนั้นท่าทีของ พลังเงียบ ยังไม่แสดงอะไรที่ชัดเจนออกมา
คลิปนั้นก็สามารถจัดเข้าข่ายคลิปปลุกปั่น ยั่วอารมณ์มวลชนได้

แต่ตอนนี้ เสียงส่วนที่เคยเงียบ ได้แสดงจุดยืนออกมาให้เห็นบ้างแล้ว

:b1:

มันทำให้ สถานการณ์การนำเสนอประเด็นเกี่ยวกับการเมือง มีจุดถ่วงดุล
และคาดว่า กระทู้นี้ไม่น่าจะเป็นประเด็นร้อน

เราน่าจะสามารถสนทนาการเมือง ในแง่มุมของนักปฏิบัติธรรมได้...เน๊อะ

:b1: :b1: :b1:

ว่าแต่ถ้าตอนนั้นลุงหมานจะอธิบาย ลุงหมานจะอธิบายว่าอย่างไรล่ะ
เอกอนอยากรับฟัง...

smiley smiley smiley


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 26 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร