วันเวลาปัจจุบัน 20 มิ.ย. 2025, 23:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 24 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2014, 12:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สองใจ เขียน:
โฮฮับ เขียน:
โดยความเป็นจริงแล้ว วิปัสสนาที่คนส่วนใหญ่ที่มักจะพูดคู่กันกับสมถะ
คนมักจะเข้าใจว่า.....เป็นวิปัสสนาญาน๙หรือญาณ๑๖
นี้เป็นการเข้าใจผิดอย่างมาก วิปัสสนาที่เป็นพุทธพจน์
หมายความถึงหลักการพิจารณาธรรม

วิปัสสนาญานที่เป็นพุทธพจน์ หมายถึง......วิชชา๓หรือวิชชา๘(โลกุตตระ)

ส่วนวิปัสสนาญานที่ครูบาอาจารย์รุ่นหลังใช้พูดหมายความถึง...ระดับความรู้ในการหาไตรลักษณ์
วิปัสสนาพวกนี้ยังเป็นโลกียะ


สมถะกรรมฐานจัดเป็นสติปัฏฐานอย่างหนึ่ง
จัดอยู่ในธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ในหมวดของนิวรณ์บรรพ

อันที่จริงแล้ว ในวิปัสสนา๙หรือ๑๖(วิปัสสนาเฉยๆไม่มีญาน) ที่เป็นโลกียะ
ไม่มีความจำเป็นต้องอาศัยสมถะเลย หลักสำคัญก็คือให้มี...สติที่เป็นสัมปชัญญะ

การมีสติสัมปชัญญะ หมายความถึงการมีใจที่จดจ่อต่องานที่ทำ
นี่แหล่ะคือหลักของวิปัสสนาญาน๙
อาจจะยังไม่เข้าใจว่า สัมปชัญญะเป็นอย่างไร ขอยกตัวอย่างให้ดู

อย่างคนขับรถ การขับรถต้องอาศัยประสาทแทบจะทุกส่วน เพื่อที่จะขับรถให้ปลอดภัย
การใช้ประสาทที่มากกว่าหนึ่ง ท่านเรียกสัมปชัญญะ และการใช้ประสาทที่หลากหลาย
มาใช้ในการขับรถให้ปลอดภัยท่านเรียกสมาธิ บางที่เราขับรถแล้วหลงไปคิดฟุ้งซ่าน
ก็ต้องอาศัยจิตดึงกลับมาว่ากำลังขับรถ นี่เรียกสติ

การมีสติ....สัมปชัญญะ......จนเป็นสมาธิ นี่แหล่ะหลักของวิปัสสนาเพื่อหาไตรลักษณ์


ด้วยความเคารพท่านผู้รู้ทุกท่าน
ดิฉันมีดวงตามืดบอด
จึงมีความสงสัย ดังนั้นจึงขอสอบถามท่านผู้รู้ว่า
หากไม่ทำวิปัสสนาในขั้นโลกียะ ให้แจ้งเสียแล้ว โลกุตตระ(เขียนผิดหรือไม่)จะเกิดหรือทำให้แจ้งได้อย่างไร
หากไม่ทำโลกียะให้แจ้งแล้ว จะข้ามไปทำโลกุตตระ เลย ด้วยวิธีใด
รบกวนผู้รู้ช่วยแสดงธรรม ต่อดิฉันอันมีตามืดบอดให้เห็นธรรมด้วยเิทิญ :b8:


มันต้องแจ้งในโลกียะเสียก่อน จะข้ามไปทำโลกุตตระเลยไม่ได้...มันข้ามขั้นตอนของปัญญา
ปัญญาที่ว่าก็คือไตรลักษณ์

ไตรลักษณ์ไม่ใช่การได้เห็นการเกิดดับของสังขาร หรือการแยกรูปแยกนามอะไรทั้งนั้น
ไตรลักษณ์เป็นเรื่องของอารมณ์ที่เกิดภายในกายใจตนเอง....เช่นอารมณ์รัก ใคร่ โกรธ เกลียดฯลฯ

อารมณ์เหล่านี้แหล่ะ ถ้าเรามีสมาธิที่ดีตั้งมั่น จะทำให้เราเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของอารมณ์นั้นๆ
อารมณ์ที่ว่าจะต้องเป็นอารมณ์ที่เป็นปัจจุบันอารมณ์เท่านั้น

การปฏิบัติเบื้องต้น ก็คือการมีสติสัมปชัญญะอยู่กับงานที่ทำ จนเรียกว่ามีสมาธิในงาน
เวลาหลงก็รู้ว่าหลงหมั่นใช้สติให้จิตมาอยู่กับงาน

แม้แต่การใช้ชีวิตประจำวัน เกิดความโลภก็รู้ว่ากำลังโลภ โกรธก็รู้
ถ้าจะให้ดีไปกว่านั้น เมื่อเกิดอารมณ์ ราคะต่างๆก็รู้ กำลังมีความสุขก็รู้
หรือแม้กระทั้งกำลังกลัวก็รู้...............นี่แหล่ะหลักการปฏิบัติของปุถุชน

เราหมั่นปฏิบัติไปเรื่อยๆญาณต่างๆในวิปัสสนาญาณ๙ จะเกิดขึ้นที่ตัวเรา
มันไล่เรียงกันไปจนครบนั้นแหล่ะเรียกว่า....เกิดดวงตาเห็นธรรม ข้ามจากโลกียะ
ไปเป็นโลกุตตระ(โสดาปฏิมรรค)

อย่าลืมและอย่าหลงคิดว่า...วิปัสสนาญาณ๙เป็นโลกุตตระ
วิปัสสนาญาณ๙เป็นเพียงโลกียะ เป็นการปฏิบัติของปุถุชน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2014, 12:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 08:17
โพสต์: 73

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ สาธุ สาธุ
:b8: :b8: :b8:
สัมมาทิฐิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2014, 15:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
สองใจ เขียน:
โฮฮับ เขียน:
โดยความเป็นจริงแล้ว วิปัสสนาที่คนส่วนใหญ่ที่มักจะพูดคู่กันกับสมถะ
คนมักจะเข้าใจว่า.....เป็นวิปัสสนาญาน๙หรือญาณ๑๖
นี้เป็นการเข้าใจผิดอย่างมาก วิปัสสนาที่เป็นพุทธพจน์
หมายความถึงหลักการพิจารณาธรรม

วิปัสสนาญานที่เป็นพุทธพจน์ หมายถึง......วิชชา๓หรือวิชชา๘(โลกุตตระ)

ส่วนวิปัสสนาญานที่ครูบาอาจารย์รุ่นหลังใช้พูดหมายความถึง...ระดับความรู้ในการหาไตรลักษณ์
วิปัสสนาพวกนี้ยังเป็นโลกียะ


สมถะกรรมฐานจัดเป็นสติปัฏฐานอย่างหนึ่ง
จัดอยู่ในธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ในหมวดของนิวรณ์บรรพ

อันที่จริงแล้ว ในวิปัสสนา๙หรือ๑๖(วิปัสสนาเฉยๆไม่มีญาน) ที่เป็นโลกียะ
ไม่มีความจำเป็นต้องอาศัยสมถะเลย หลักสำคัญก็คือให้มี...สติที่เป็นสัมปชัญญะ

การมีสติสัมปชัญญะ หมายความถึงการมีใจที่จดจ่อต่องานที่ทำ
นี่แหล่ะคือหลักของวิปัสสนาญาน๙
อาจจะยังไม่เข้าใจว่า สัมปชัญญะเป็นอย่างไร ขอยกตัวอย่างให้ดู

อย่างคนขับรถ การขับรถต้องอาศัยประสาทแทบจะทุกส่วน เพื่อที่จะขับรถให้ปลอดภัย
การใช้ประสาทที่มากกว่าหนึ่ง ท่านเรียกสัมปชัญญะ และการใช้ประสาทที่หลากหลาย
มาใช้ในการขับรถให้ปลอดภัยท่านเรียกสมาธิ บางที่เราขับรถแล้วหลงไปคิดฟุ้งซ่าน
ก็ต้องอาศัยจิตดึงกลับมาว่ากำลังขับรถ นี่เรียกสติ

การมีสติ....สัมปชัญญะ......จนเป็นสมาธิ นี่แหล่ะหลักของวิปัสสนาเพื่อหาไตรลักษณ์


ด้วยความเคารพท่านผู้รู้ทุกท่าน
ดิฉันมีดวงตามืดบอด
จึงมีความสงสัย ดังนั้นจึงขอสอบถามท่านผู้รู้ว่า
หากไม่ทำวิปัสสนาในขั้นโลกียะ ให้แจ้งเสียแล้ว โลกุตตระ(เขียนผิดหรือไม่)จะเกิดหรือทำให้แจ้งได้อย่างไร
หากไม่ทำโลกียะให้แจ้งแล้ว จะข้ามไปทำโลกุตตระ เลย ด้วยวิธีใด
รบกวนผู้รู้ช่วยแสดงธรรม ต่อดิฉันอันมีตามืดบอดให้เห็นธรรมด้วยเิทิญ :b8:


มันต้องแจ้งในโลกียะเสียก่อน จะข้ามไปทำโลกุตตระเลยไม่ได้...มันข้ามขั้นตอนของปัญญา
ปัญญาที่ว่าก็คือไตรลักษณ์

ไตรลักษณ์ไม่ใช่การได้เห็นการเกิดดับของสังขาร หรือการแยกรูปแยกนามอะไรทั้งนั้น
ไตรลักษณ์เป็นเรื่องของอารมณ์ที่เกิดภายในกายใจตนเอง....เช่นอารมณ์รัก ใคร่ โกรธ เกลียดฯลฯ

อารมณ์เหล่านี้แหล่ะ ถ้าเรามีสมาธิที่ดีตั้งมั่น จะทำให้เราเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของอารมณ์นั้นๆ
อารมณ์ที่ว่าจะต้องเป็นอารมณ์ที่เป็นปัจจุบันอารมณ์เท่านั้น

การปฏิบัติเบื้องต้น ก็คือการมีสติสัมปชัญญะอยู่กับงานที่ทำ จนเรียกว่ามีสมาธิในงาน
เวลาหลงก็รู้ว่าหลงหมั่นใช้สติให้จิตมาอยู่กับงาน

แม้แต่การใช้ชีวิตประจำวัน เกิดความโลภก็รู้ว่ากำลังโลภ โกรธก็รู้
ถ้าจะให้ดีไปกว่านั้น เมื่อเกิดอารมณ์ ราคะต่างๆก็รู้ กำลังมีความสุขก็รู้
หรือแม้กระทั้งกำลังกลัวก็รู้...............นี่แหล่ะหลักการปฏิบัติของปุถุชน

เราหมั่นปฏิบัติไปเรื่อยๆญาณต่างๆในวิปัสสนาญาณ๙ จะเกิดขึ้นที่ตัวเรา
มันไล่เรียงกันไปจนครบนั้นแหล่ะเรียกว่า....เกิดดวงตาเห็นธรรม ข้ามจากโลกียะ
ไปเป็นโลกุตตระ(โสดาปฏิมรรค)

อย่าลืมและอย่าหลงคิดว่า...วิปัสสนาญาณ๙เป็นโลกุตตระ
วิปัสสนาญาณ๙เป็นเพียงโลกียะ เป็นการปฏิบัติของปุถุชน



อ้างคำพูด:
มันต้องแจ้งในโลกียะเสียก่อน จะข้ามไปทำโลกุตตระเลยไม่ได้...มันข้ามขั้นตอนของปัญญา
ปัญญาที่ว่าก็คือไตรลักษณ์



เอ้าา ไปได้มาแต่ไหน ปัญญาคือไตรลักษณ์....ปัญญาก็ปัญญา ไตรลักษณ์ก็ไตรลักษณ์ซี่ นี่อะไรเล่นไปว่าปัญญาก็คือไตรลักษณ์ :b32:

พูดให้ถูก ต้องพูดว่า ปัญญาที่รู้เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของนามรูป :b1:

พูดให้ถูกอีกวิปัสสนาเป็นอีกชื่อหนึ่งของปัญญา

พูดให้ถูกอีก สัมปชัญญะ =สัมปชาโน (อาตาปี สัมปชาโน สติมา) ก็เป็นชื่อของปัญญาในระดับที่ทำงานร่วมกับสติ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2014, 17:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เอ้าา ไปได้มาแต่ไหน ปัญญาคือไตรลักษณ์....ปัญญาก็ปัญญา ไตรลักษณ์ก็ไตรลักษณ์ซี่ นี่อะไรเล่นไปว่าปัญญาก็คือไตรลักษณ์ :b32:


การไปรู้เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของอารมณ์ จนแสดงความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
จิตจะจดจำสิ่งเหล่านี้ไว้....เรียกว่าการจดจำนี้ว่า....ปัญญา

กรัชกาย เขียน:
พูดให้ถูก ต้องพูดว่า ปัญญาที่รู้เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของนามรูป :b1:


นามรูปในวิปัสสนาญาน๙ ไม่ใช่ไตรลักษณ์

การเป็นไตรลักษณ์ของนามรูป เกิดจากการพิจารณาธรรม ของอริยะ
ท่านใช้ปัญญาไตรลักษณ์ มาพิจารณาความเป็นไตรลักษณ์ของนามรูปรูปเพื่อดับกิเลส(สังโยชน์)
(ปัญญาหมายถึงอะไรบอกไว้แล้วด้านบน)

กรัชกาย เขียน:
พูดให้ถูกอีก สัมปชัญญะ =สัมปชาโน (อาตาปี สัมปชาโน สติมา) ก็เป็นชื่อของปัญญาในระดับที่ทำงานร่วมกับสติ :b1:


เลอะเทอะ! ความหมายของบาลีคือ มีความเพียรหมั่นมีสติให้เป็นสัมปชัญญะ

พูดง่ายๆก็คือ มีสติสัมปชัญญะต่องานจนเป็นสมาธิ นี้เป็นขั้นตอนของการหาปัญญา

อาตาปี สัมปชาโน สติมา......ยังไม่ใช่ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2014, 18:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เอ้าา ไปได้มาแต่ไหน ปัญญาคือไตรลักษณ์....ปัญญาก็ปัญญา ไตรลักษณ์ก็ไตรลักษณ์ซี่ นี่อะไรเล่นไปว่าปัญญาก็คือไตรลักษณ์ :b32:


การไปรู้เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของอารมณ์ จนแสดงความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
จิตจะจดจำสิ่งเหล่านี้ไว้....เรียกว่าการจดจำนี้ว่า....ปัญญา

กรัชกาย เขียน:
พูดให้ถูก ต้องพูดว่า ปัญญาที่รู้เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของนามรูป :b1:


นามรูปในวิปัสสนาญาน๙ ไม่ใช่ไตรลักษณ์

การเป็นไตรลักษณ์ของนามรูป เกิดจากการพิจารณาธรรม ของอริยะ
ท่านใช้ปัญญาไตรลักษณ์ มาพิจารณาความเป็นไตรลักษณ์ของนามรูปรูปเพื่อดับกิเลส(สังโยชน์)
(ปัญญาหมายถึงอะไรบอกไว้แล้วด้านบน)

กรัชกาย เขียน:
พูดให้ถูกอีก สัมปชัญญะ =สัมปชาโน (อาตาปี สัมปชาโน สติมา) ก็เป็นชื่อของปัญญาในระดับที่ทำงานร่วมกับสติ :b1:


เลอะเทอะ! ความหมายของบาลีคือ มีความเพียรหมั่นมีสติให้เป็นสัมปชัญญะ

พูดง่ายๆก็คือ มีสติสัมปชัญญะต่องานจนเป็นสมาธิ นี้เป็นขั้นตอนของการหาปัญญา

อาตาปี สัมปชาโน สติมา......ยังไม่ใช่ปัญญา



อ้างคำพูด:
นามรูปในวิปัสสนาญาน๙ ไม่ใช่ไตรลักษณ์


แล้วนามรูปที่ไหนล่ะเป็นไตรลักษณ์

นามไ้ด้แก่อะไร

รูปได้อะไร

ถามเท่านี้ก่อน ตอบให้เคลียนะ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2014, 18:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เอ้าา ไปได้มาแต่ไหน ปัญญาคือไตรลักษณ์....ปัญญาก็ปัญญา ไตรลักษณ์ก็ไตรลักษณ์ซี่ นี่อะไรเล่นไปว่าปัญญาก็คือไตรลักษณ์ :b32:


การไปรู้เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของอารมณ์ จนแสดงความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
จิตจะจดจำสิ่งเหล่านี้ไว้....เรียกว่าการจดจำนี้ว่า....ปัญญา

กรัชกาย เขียน:
พูดให้ถูก ต้องพูดว่า ปัญญาที่รู้เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของนามรูป :b1:


นามรูปในวิปัสสนาญาน๙ ไม่ใช่ไตรลักษณ์

การเป็นไตรลักษณ์ของนามรูป เกิดจากการพิจารณาธรรม ของอริยะ
ท่านใช้ปัญญาไตรลักษณ์ มาพิจารณาความเป็นไตรลักษณ์ของนามรูปรูปเพื่อดับกิเลส(สังโยชน์)
(ปัญญาหมายถึงอะไรบอกไว้แล้วด้านบน)

กรัชกาย เขียน:
พูดให้ถูกอีก สัมปชัญญะ =สัมปชาโน (อาตาปี สัมปชาโน สติมา) ก็เป็นชื่อของปัญญาในระดับที่ทำงานร่วมกับสติ :b1:


เลอะเทอะ! ความหมายของบาลีคือ มีความเพียรหมั่นมีสติให้เป็นสัมปชัญญะ

พูดง่ายๆก็คือ มีสติสัมปชัญญะต่องานจนเป็นสมาธิ นี้เป็นขั้นตอนของการหาปัญญา

อาตาปี สัมปชาโน สติมา......ยังไม่ใช่ปัญญา



อ้างคำพูด:
นามรูปในวิปัสสนาญาน๙ ไม่ใช่ไตรลักษณ์


แล้วนามรูปที่ไหนล่ะเป็นไตรลักษณ์

นามไ้ด้แก่อะไร

รูปได้อะไร

ถามเท่านี้ก่อน ตอบให้เคลียนะ :b1:


การพิจารณาถึงความเป็นไตรลักษณ์ของนามรูป ไม่ใช่ตัวที่เป็นนามรูปแท้ๆ
แต่มันหมายถึง สิ่งที่เกิดจากนามรูปเป็นเหตุปัจจัย.....นั้นก็คือสังขาร(สังขตธรรม)

รูปคือ....รูปธรรม(กาย) นามธรรมคือจิต(ผู้รู้)....นี้กล่าวในแง่ยังไม่เกิดเหตุปัจจัย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2014, 18:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เอ้าา ไปได้มาแต่ไหน ปัญญาคือไตรลักษณ์....ปัญญาก็ปัญญา ไตรลักษณ์ก็ไตรลักษณ์ซี่ นี่อะไรเล่นไปว่าปัญญาก็คือไตรลักษณ์ :b32:


การไปรู้เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของอารมณ์ จนแสดงความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
จิตจะจดจำสิ่งเหล่านี้ไว้....เรียกว่าการจดจำนี้ว่า....ปัญญา

กรัชกาย เขียน:
พูดให้ถูก ต้องพูดว่า ปัญญาที่รู้เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของนามรูป :b1:


นามรูปในวิปัสสนาญาน๙ ไม่ใช่ไตรลักษณ์

การเป็นไตรลักษณ์ของนามรูป เกิดจากการพิจารณาธรรม ของอริยะ
ท่านใช้ปัญญาไตรลักษณ์ มาพิจารณาความเป็นไตรลักษณ์ของนามรูปรูปเพื่อดับกิเลส(สังโยชน์)
(ปัญญาหมายถึงอะไรบอกไว้แล้วด้านบน)

กรัชกาย เขียน:
พูดให้ถูกอีก สัมปชัญญะ =สัมปชาโน (อาตาปี สัมปชาโน สติมา) ก็เป็นชื่อของปัญญาในระดับที่ทำงานร่วมกับสติ :b1:


เลอะเทอะ! ความหมายของบาลีคือ มีความเพียรหมั่นมีสติให้เป็นสัมปชัญญะ

พูดง่ายๆก็คือ มีสติสัมปชัญญะต่องานจนเป็นสมาธิ นี้เป็นขั้นตอนของการหาปัญญา

อาตาปี สัมปชาโน สติมา......ยังไม่ใช่ปัญญา



อ้างคำพูด:
นามรูปในวิปัสสนาญาน๙ ไม่ใช่ไตรลักษณ์


แล้วนามรูปที่ไหนล่ะเป็นไตรลักษณ์

นามไ้ด้แก่อะไร

รูปได้อะไร

ถามเท่านี้ก่อน ตอบให้เคลียนะ :b1:


การพิจารณาถึงความเป็นไตรลักษณ์ของนามรูป ไม่ใช่ตัวที่เป็นนามรูปแท้ๆ
แต่มันหมายถึง สิ่งที่เกิดจากนามรูปเป็นเหตุปัจจัย.....นั้นก็คือสังขาร(สังขตธรรม)

รูปคือ....รูปธรรม(กาย) นามธรรมคือจิต(ผู้รู้)....นี้กล่าวในแง่ยังไม่เกิดเหตุปัจจัย



เมื่อก่อนพูดว่า

อ้างคำพูด:
นามรูปในวิปัสสนาญาน ๙ ไม่ใช่ไตรลักษณ์


จึงถามว่า แล้วนามรูปที่ไหนเป็นไตรลักษณ์

แต่กลับเลี่ยงไปอีกว่า
อ้างคำพูด:
การพิจารณาถึงความเป็นไตรลักษณ์ของนามรูป ไม่ใช่ตัวที่เป็นนามรูปแท้ๆ


กลิ้งเป็นนามรูปแท้ๆ นามรูปเทียมๆอีก คิกๆ มะนาวจริงๆ

อ้างคำพูด:
รูปคือ....รูปธรรม (กาย) นามธรรมคือจิต (ผู้รู้)


คำตอบนี้ ย้อนไปที่ำถามไว้ ที่กระทู้ ขันธ์ ๕ คืออะไร ที่นั่นถามว่า ขันธ์ ๕ นี้อยู่ที่ไหน ? ถาม ขันธ์ ๕ อยู่ที่ไหน ?

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2014, 04:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เอ้าา ไปได้มาแต่ไหน ปัญญาคือไตรลักษณ์....ปัญญาก็ปัญญา ไตรลักษณ์ก็ไตรลักษณ์ซี่ นี่อะไรเล่นไปว่าปัญญาก็คือไตรลักษณ์ :b32:


การไปรู้เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของอารมณ์ จนแสดงความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
จิตจะจดจำสิ่งเหล่านี้ไว้....เรียกว่าการจดจำนี้ว่า....ปัญญา

กรัชกาย เขียน:
พูดให้ถูก ต้องพูดว่า ปัญญาที่รู้เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของนามรูป :b1:


นามรูปในวิปัสสนาญาน๙ ไม่ใช่ไตรลักษณ์

การเป็นไตรลักษณ์ของนามรูป เกิดจากการพิจารณาธรรม ของอริยะ
ท่านใช้ปัญญาไตรลักษณ์ มาพิจารณาความเป็นไตรลักษณ์ของนามรูปรูปเพื่อดับกิเลส(สังโยชน์)
(ปัญญาหมายถึงอะไรบอกไว้แล้วด้านบน)

กรัชกาย เขียน:
พูดให้ถูกอีก สัมปชัญญะ =สัมปชาโน (อาตาปี สัมปชาโน สติมา) ก็เป็นชื่อของปัญญาในระดับที่ทำงานร่วมกับสติ :b1:


เลอะเทอะ! ความหมายของบาลีคือ มีความเพียรหมั่นมีสติให้เป็นสัมปชัญญะ

พูดง่ายๆก็คือ มีสติสัมปชัญญะต่องานจนเป็นสมาธิ นี้เป็นขั้นตอนของการหาปัญญา

อาตาปี สัมปชาโน สติมา......ยังไม่ใช่ปัญญา



อ้างคำพูด:
นามรูปในวิปัสสนาญาน๙ ไม่ใช่ไตรลักษณ์


แล้วนามรูปที่ไหนล่ะเป็นไตรลักษณ์

นามไ้ด้แก่อะไร

รูปได้อะไร

ถามเท่านี้ก่อน ตอบให้เคลียนะ :b1:


การพิจารณาถึงความเป็นไตรลักษณ์ของนามรูป ไม่ใช่ตัวที่เป็นนามรูปแท้ๆ
แต่มันหมายถึง สิ่งที่เกิดจากนามรูปเป็นเหตุปัจจัย.....นั้นก็คือสังขาร(สังขตธรรม)

รูปคือ....รูปธรรม(กาย) นามธรรมคือจิต(ผู้รู้)....นี้กล่าวในแง่ยังไม่เกิดเหตุปัจจัย



เมื่อก่อนพูดว่า

อ้างคำพูด:
นามรูปในวิปัสสนาญาน ๙ ไม่ใช่ไตรลักษณ์


จึงถามว่า แล้วนามรูปที่ไหนเป็นไตรลักษณ์

แต่กลับเลี่ยงไปอีกว่า
อ้างคำพูด:
การพิจารณาถึงความเป็นไตรลักษณ์ของนามรูป ไม่ใช่ตัวที่เป็นนามรูปแท้ๆ


กลิ้งเป็นนามรูปแท้ๆ นามรูปเทียมๆอีก คิกๆ มะนาวจริงๆ

อ้างคำพูด:
รูปคือ....รูปธรรม (กาย) นามธรรมคือจิต (ผู้รู้)


คำตอบนี้ ย้อนไปที่ำถามไว้ ที่กระทู้ ขันธ์ ๕ คืออะไร ที่นั่นถามว่า ขันธ์ ๕ นี้อยู่ที่ไหน ? ถาม ขันธ์ ๕ อยู่ที่ไหน ?


ไปไล่หาเหตุปัจจัยดู......ขันธ์ห้าเกิดจากอะไร.....สังขารเกิดจากอะไร สัญญาเกิดจากอะไร
เวทนาเกิดจากอะไร ผัสสะเกิดจากอะไร
และที่สำคัญ รูปนามหรือนามรูปคืออะไร

สิ่งใดเป็นสภาวะ สิ่งใดไม่ได้เป็นสภาวะ และไตรลักษณ์เป็นลักษณะของสภาวะใช่มั้ย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2014, 05:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เอ้าา ไปได้มาแต่ไหน ปัญญาคือไตรลักษณ์....ปัญญาก็ปัญญา ไตรลักษณ์ก็ไตรลักษณ์ซี่ นี่อะไรเล่นไปว่าปัญญาก็คือไตรลักษณ์ :b32:


การไปรู้เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของอารมณ์ จนแสดงความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
จิตจะจดจำสิ่งเหล่านี้ไว้....เรียกว่าการจดจำนี้ว่า....ปัญญา

กรัชกาย เขียน:
พูดให้ถูก ต้องพูดว่า ปัญญาที่รู้เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของนามรูป :b1:


นามรูปในวิปัสสนาญาน๙ ไม่ใช่ไตรลักษณ์

การเป็นไตรลักษณ์ของนามรูป เกิดจากการพิจารณาธรรม ของอริยะ
ท่านใช้ปัญญาไตรลักษณ์ มาพิจารณาความเป็นไตรลักษณ์ของนามรูปรูปเพื่อดับกิเลส(สังโยชน์)
(ปัญญาหมายถึงอะไรบอกไว้แล้วด้านบน)

กรัชกาย เขียน:
พูดให้ถูกอีก สัมปชัญญะ =สัมปชาโน (อาตาปี สัมปชาโน สติมา) ก็เป็นชื่อของปัญญาในระดับที่ทำงานร่วมกับสติ :b1:


เลอะเทอะ! ความหมายของบาลีคือ มีความเพียรหมั่นมีสติให้เป็นสัมปชัญญะ

พูดง่ายๆก็คือ มีสติสัมปชัญญะต่องานจนเป็นสมาธิ นี้เป็นขั้นตอนของการหาปัญญา

อาตาปี สัมปชาโน สติมา......ยังไม่ใช่ปัญญา



อ้างคำพูด:
นามรูปในวิปัสสนาญาน๙ ไม่ใช่ไตรลักษณ์


แล้วนามรูปที่ไหนล่ะเป็นไตรลักษณ์

นามไ้ด้แก่อะไร

รูปได้อะไร

ถามเท่านี้ก่อน ตอบให้เคลียนะ :b1:


การพิจารณาถึงความเป็นไตรลักษณ์ของนามรูป ไม่ใช่ตัวที่เป็นนามรูปแท้ๆ
แต่มันหมายถึง สิ่งที่เกิดจากนามรูปเป็นเหตุปัจจัย.....นั้นก็คือสังขาร(สังขตธรรม)

รูปคือ....รูปธรรม(กาย) นามธรรมคือจิต(ผู้รู้)....นี้กล่าวในแง่ยังไม่เกิดเหตุปัจจัย



เมื่อก่อนพูดว่า

อ้างคำพูด:
นามรูปในวิปัสสนาญาน ๙ ไม่ใช่ไตรลักษณ์


จึงถามว่า แล้วนามรูปที่ไหนเป็นไตรลักษณ์

แต่กลับเลี่ยงไปอีกว่า
อ้างคำพูด:
การพิจารณาถึงความเป็นไตรลักษณ์ของนามรูป ไม่ใช่ตัวที่เป็นนามรูปแท้ๆ


กลิ้งเป็นนามรูปแท้ๆ นามรูปเทียมๆอีก คิกๆ มะนาวจริงๆ

อ้างคำพูด:
รูปคือ....รูปธรรม (กาย) นามธรรมคือจิต (ผู้รู้)


คำตอบนี้ ย้อนไปที่ำถามไว้ ที่กระทู้ ขันธ์ ๕ คืออะไร ที่นั่นถามว่า ขันธ์ ๕ นี้อยู่ที่ไหน ? ถาม ขันธ์ ๕ อยู่ที่ไหน ?


ไปไล่หาเหตุปัจจัยดู......ขันธ์ห้าเกิดจากอะไร.....สังขารเกิดจากอะไร สัญญาเกิดจากอะไร
เวทนาเกิดจากอะไร ผัสสะเกิดจากอะไร
และที่สำคัญ รูปนามหรือนามรูปคืออะไร

สิ่งใดเป็นสภาวะ สิ่งใดไม่ได้เป็นสภาวะ และไตรลักษณ์เป็นลักษณะของสภาวะใช่มั้ย


คำตอบนี้ แสดงให้เห็นว่า ผู้พูดไม่มีหลักมีเกณฑ์อะไร ไหลไปเรื่อยๆ แล้วแต่สถานการณ์ คิกๆๆ ปล่อยไปปลายๆพุทธกาลแล้ว :b32: ไม่ไหวจะเคลีย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 24 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร