วันเวลาปัจจุบัน 05 ส.ค. 2025, 18:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ย. 2013, 13:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เมื่อเช้าไปวิ่งออกกำลัง เดินสวนกับคนแต่งตัวมอมแมม เหมือนพวกติดยา
มันยกมือไหว้ผม แล้วก็บอกว่า น้าๆพอมีเศษตังบางมั้ย

ผมควักให้ไปยี่สิบ แล้วก็ตะคอกมันไปว่า.....
เอาไปกินข้าวน่ะ อย่าให้รู้ว่าไปเล่นยา เอ็งโดนเตะแน่ๆ

แล้วถ้าคุณน้องขอตังซื้อขนมซัก 2 พันได้ป่ะไม่หิวข้าว แต่หิวขนมง่ะ :b13: :b32: :b32:
ปล.พี่โฮอาหารจานด่วนสมัยนี้ 25บาท มีไข่ดาว30 บาทนะ น่าจะให้ซัก30บาท เผื่อน้องเค้าอยากกินกระเพราไก่ไข่ดาว555+ :b32:


แบมือขอตังค์ แต่จะกินของดีๆแพงๆ หมูปิ้งไม้ล่ะ๕บาท๒ไม้ ข้าวเหนียวถุง๕บาท
ยังเหลืออีก๕บาทไว้กินน้ำ

สองพันต้องไปขอบิกทู่ขี้โม้โน้น บิกทู่เขาไม่เสียดายหรอก
เพราะเงินที่ใช่อยู่มันก็เงินเมียทั้งนั้น เอาเฮ! :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ย. 2013, 14:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเอง ถ้าเดินตามถนนเห็นคนขอเงิน บางทีก็ให้ บางทีก็ไม่ได้ให้ แล้วแต่จังหวะ และสถานะการณ์รอบข้าง แต่ที่ทำอยู่ทุกครั้งก็จะเลี้ยงข้าวพระหากในร้านอาหารที่เรานั่งกินอยู่แล้วพระเดินเข้ามาฉันเพลในร้าน

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ย. 2013, 18:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2011, 10:18
โพสต์: 590

โฮมเพจ: www.bhuddhakhun.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


nongkong เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เมื่อเช้าไปวิ่งออกกำลัง เดินสวนกับคนแต่งตัวมอมแมม เหมือนพวกติดยา
มันยกมือไหว้ผม แล้วก็บอกว่า น้าๆพอมีเศษตังบางมั้ย

ผมควักให้ไปยี่สิบ แล้วก็ตะคอกมันไปว่า.....
เอาไปกินข้าวน่ะ อย่าให้รู้ว่าไปเล่นยา เอ็งโดนเตะแน่ๆ

แล้วถ้าคุณน้องขอตังซื้อขนมซัก 2 พันได้ป่ะไม่หิวข้าว แต่หิวขนมง่ะ :b13: :b32: :b32:
ปล.พี่โฮอาหารจานด่วนสมัยนี้ 25บาท มีไข่ดาว30 บาทนะ น่าจะให้ซัก30บาท เผื่อน้องเค้าอยากกินกระเพราไก่ไข่ดาว555+ :b32:


ใครบอกว่า 30 พุทธคุณซื้อกระเพราไก่ไข่ดาว ตั้ง 43 บาท ปาเข้าไปครึ่งร้อย
ไม่ได้กินในห้างร้านหรูอะไรนะ เพิงหมาแหงนข้างทางนี่แหล่ะ ไม่เข้าใจว่าทำไม
แพงขนาดนี้ นี่ขนาดร้านคนรู้จักนะ แพงจริงๆ

.....................................................
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ย. 2013, 19:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2011, 10:18
โพสต์: 590

โฮมเพจ: www.bhuddhakhun.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


โฮฮับ เขียน:
nongkong เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เมื่อเช้าไปวิ่งออกกำลัง เดินสวนกับคนแต่งตัวมอมแมม เหมือนพวกติดยา
มันยกมือไหว้ผม แล้วก็บอกว่า น้าๆพอมีเศษตังบางมั้ย

ผมควักให้ไปยี่สิบ แล้วก็ตะคอกมันไปว่า.....
เอาไปกินข้าวน่ะ อย่าให้รู้ว่าไปเล่นยา เอ็งโดนเตะแน่ๆ

แล้วถ้าคุณน้องขอตังซื้อขนมซัก 2 พันได้ป่ะไม่หิวข้าว แต่หิวขนมง่ะ :b13: :b32: :b32:
ปล.พี่โฮอาหารจานด่วนสมัยนี้ 25บาท มีไข่ดาว30 บาทนะ น่าจะให้ซัก30บาท เผื่อน้องเค้าอยากกินกระเพราไก่ไข่ดาว555+ :b32:


แบมือขอตังค์ แต่จะกินของดีๆแพงๆ หมูปิ้งไม้ล่ะ๕บาท๒ไม้ ข้าวเหนียวถุง๕บาท
ยังเหลืออีก๕บาทไว้กินน้ำ

สองพันต้องไปขอบิกทู่ขี้โม้โน้น บิกทู่เขาไม่เสียดายหรอก
เพราะเงินที่ใช่อยู่มันก็เงินเมียทั้งนั้น เอาเฮ! :b32:


ไม่ได้จะขัดคอนะครับ แต่ที่ท่านโฮฮับแนะนำมา พุทธคุณกินไม่อิ่มหรอก
ข้าวเหนียวสมัยนี้ถุงเล็กมากมาย หมูก็ไม้กระจิ๋วเดียว แต่ถ้าขอเขากินพุทธ
คุณก็คิดว่ายังดีที่ยังมีรองท้องนะ แต่คนให้น่าจะคิดว่าไหนๆก็ให้แล้ว ให้เพิ่ม
อีกนิด ให้เขากินให้อิ่มๆ

.....................................................
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ย. 2013, 19:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2011, 10:18
โพสต์: 590

โฮมเพจ: www.bhuddhakhun.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


โฮฮับ เขียน:
การให้แล้วตักเตือน ไม่ใช่การปรุงแต่งที่เป็นอกุศล แต่เป็นไปตามหลักธรรม
ของพรหมวิหาร


อันนี้เราก็ต้องพิจารณาว่า เรามีเวลาตักเตือนเขามากแค่ไหน หากไม่มีเวลา
พอให้เงินเขาไป เขาก็กลับไปซื้อยา นี่ไม่ใช่การช่วยที่ถูกต้องนะ

โฮฮับ เขียน:
กรุณาช่วยเขาให้พ้นทุกข์ เมื่อช่วยแล้ว ก็เกิดมุทิตาจิต
ยินดีที่เขาพ้นทุกข์มีสุข คำกล่าวตักเตือนเกิดจากมุทิตาจิต คือยินดีที่เขาพ้นทุกข์
และไม่ต้องการให้เขากลับไปทุกข์อีก :b13:


เมื่อเราไม่มีเวลาตักเตือนเขาได้ตลอด พอเราให้เงินเขาไป เขาก็ไปซื้อยาอีก
ทำให้จิตกลับไปยึดอยู่กับการเสพยาอีก แบบนี้ยังไม่พ้นทุกข์นะ

พุทธคุณว่านานาจิตตัง คิดได้หลายมุม ลองไปดูสถานบำบัดผู้ติดยาเสพย์ติด
ว่าเขามีวิธีบำบัดผู้ติดยายังไง แล้วจะรู้ว่าเราควรจะช่วยยังไงจึงจะถูก

.....................................................
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ย. 2013, 19:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธคุณ เขียน:
ใครบอกว่า 30 พุทธคุณซื้อกระเพราไก่ไข่ดาว ตั้ง 43 บาท ปาเข้าไปครึ่งร้อย
ไม่ได้กินในห้างร้านหรูอะไรนะ เพิงหมาแหงนข้างทางนี่แหล่ะ ไม่เข้าใจว่าทำไม
แพงขนาดนี้ นี่ขนาดร้านคนรู้จักนะ แพงจริงๆ

:b1: ...

ทุกวันนี้เราต่างเผชิญหน้ากับของราคาประมาณนี้กันถ้วนทั่วเน๊อะ...

สำหรับเอกอนทำบุญเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ ...
คือ เวลาที่เราเห็นว่าอะไรที่เป็นการทำแล้วเป็นการช่วยเกื้อหนุน
ก็จะทำโดยที่บางทีก็ไม่ได้คิดและไม่ได้จำ เหมือนทำแล้ว ก็แล้วไป
ก็เลยมักจะรู้สึกว่าเหมือนตัวเองไม่ค่อยจะได้ทำบุญ
แต่พอมีเวลานักนึกทบทวน...อึ้ย...ห้าวันก่อนเพิ่งจะซื้อแก้วเข้าวัดสองโหล นี่หว่า
และ เมื่อสองวันก่อนก็เพิ่งสมทบทุนซื้อถังน้ำเข้าวัด
... :b6:
การนึกว่าเราทำบุญอะไรยังไงบ้าง
เรากลับต้องใช้เวลานึกนานขนาดนั้นเชียวหรือ... :b14:

นี่ถ้าอยู่ ๆ ปุปปับตายขึ้นมา
ด้วยอุปนิสัยอย่างนี้ เอกอนระลึกถึงบุญที่ตัวเองทำไม่ออกแน่ ๆ เรย... :b9:

โอกาสที่ว่า
เมื่อเอกอนตายแล้วเอกอนจะระลึกถึงบุญที่ตัวเองทำลงไปในชาตินี้ได้
คงจะเป็นไปได้น้อย... :b1:

แต่พอเป็นเรื่องทำชั่วทำสิ่งที่เป็นบาป
เอกอนกลับจำได้ ระลึกได้อย่างดี๊ ... :b12:
...
ดังนั้น เมื่อตาย
โอกาสที่เอกอนจะมีบุญเป็นหนทางไป...มีน้อย...

:b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 28 พ.ย. 2013, 21:15, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ย. 2013, 20:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำที่พูดกันสามัญว่า “ทำบุญ” ถ้าจะพูดให้ตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ ก็ต้องว่า “ศึกษาบุญ” คือให้ทำอย่างเป็นการฝึกฝนพัฒนา หมายความว่า บุญนี้เป็นคุณสมบัติ คือความดีงามความสามารถ ทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ทางใจบ้าง รวมทั้งทางปัญญา เราต้องทำให้เพิ่มขึ้นและประณีตขึ้นเรื่อยๆ ให้เป็นการฝึกกาย ฝึกวาจา ฝึกจิตใจ และฝึกปัญญา ชีวิตของเราก็ประณีตงอกงามขึ้นเรื่อยๆ เป็นการพัฒนาชีวิต หรือพัฒนาตนเอง



หลักศึกษาบุญสำหรับชาวบ้านนี้ เน้นชีวิตด้านนอก และการประพฤติปฏิบัติพื้นฐานขั้นต้น ตรงข้ามกับฝ่ายบรรพชิตคือพระสงฆ์ ที่เน้นด้านใน และขั้นสูงขึ้นไป

หลักปฏิบัติขั้นต้นของไตรสิกขา รวมคลุมไว้ด้วยศีลคำเดียว แต่บุญกิริยาวัตถุของชาวบ้านซึ่งเน้นด้านนอก ให้น้ำหนักแก่เรื่องการจัดการกับวัตถุ และการอยู่ร่วมสังคม จึงแยกขั้นต้นออกเป็น ๒ ข้อ โดยเอาเรื่องการจัดการวัตถุ คือทาน มาหนุนมานำศีล ขณะที่ของพระมีศีล แต่ของชาวบ้านมี ทาน และศีล

แต่ทางด้านใน ที่เป็นระดับลึกสูงขึ้นไป ไตรสิกขา ไตรสิกขาของพระแบ่งชัดเป็น ๒ คือ สมาธิ และปัญญา แต่บุญกิริยาของชาวบ้าน พูดรวมคลุมด้วยภาวนาคำเดียว และตามพุทธพจน์ ให้มุ่งที่เมตตาภาวนา คือเจริญเมตตา


ชีวิตของชาวบ้าน อยู่กับวัตถุโดยตรงเต็มที่ และการแสวงหาจัดการวัตถุนั้น ก็ดำเนินไปท่ามกลางเพื่อมนุษย์ร่วมสังคม ถ้าประพฤติปฏิบัติจัดการไม่ดี ทั้งวัตถุก็เสียหาย คนและสังคมก็เดือดร้อนวุ่นวาย จึงต้องยกทาน และศีล ขึ้นมาให้สำคัญโดดเด่น เป็นบุญกิริยา ๒ อย่างก่อน

ส่วนการพัฒนาด้านใน ถึงแม้สำคัญ ก็ต้องจัดให้พอเหมาะแก่กำลังเวลาเป็นต้น ที่เขาจะปฏิบัติได้ โดยเอาทั้งเรื่องจิตใจ และปัญญามารวมเป็นข้อเดียวกัน คือ ทั้งพัฒนาจิตใจ (จิตตภาวนา) และพัฒนาปัญญา (ปัญญาภาวนา) มารวมไว้เป็นภาวนาข้อเดียว และเพราะการอยู่ร่วมกันในสังคมเป็นลักษณะ ชีวิตของชาวบ้าน แต่แต่ภาวนานั้น ก็จึงเน้นที่การเจริญเมตตา คือเมตตาภาวนา

บุญกิริยาวัตถุ ๓ อย่างคือ

๑. ทาน การให้ เผื่อแผ่ แบ่งปัน
๒. ศีล การประพฤติสุจริต มีความสัมพันธ์ที่ดี เกื้อกูล ไม่เบียดเบียนกัน
๓. ภาวนา ฝึกอบรมพัฒนาจิตใจ พัฒนาปัญญา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ย. 2013, 21:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลักพุทธพจน์ที่แสดงหลักบุญกิริยาวัตถุ ๓ ดังนี้

“ภิกษุทั้งหลาย บุญกิริยาวัตถุ ๓ ประการนี้ คือ ทานมัย บุญกิริยาวัตถุ ๑ ศีลมัยบุญ กิริยาวัตถุ ๑ ภาวนามัย บุญกิริยาวัตถุ ๑...


"(ผู้ใฝ่อัตถะนั้น) พึงศึกษาบุญ (ปุญฺญเมว โส สิกฺเขยฺย) นั่นทีเดียว อันมีผลกว้างไกล มีความสุขเป็นกำไร คือ พึงเจริญทาน ๑ สมจริยา (ความประพฤติเข้ากับธรรม หรือสมตามธรรม) ๑ เมตตาจิต ๑ บัณฑิตเจริญธรรม ๓ ประการ อันก่อให้เกิดผลความสุขเหล่านี้แล้ว ย่อมเข้าถึงโลกที่เป็นสุข ไร้การเบียดเบียน”


หลักศึกษาบุญสำหรับชาวบ้านนี้ เน้นชีวิตด้านนอก และการประพฤติปฏิบัติพื้นฐานขั้นต้น ตรงข้ามกับฝ่ายบรรพชิต คือ พระสงฆ์ ที่เน้นด้านใน และขั้นสูงขึ้นไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2013, 12:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธคุณ เขียน:
nongkong เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เมื่อเช้าไปวิ่งออกกำลัง เดินสวนกับคนแต่งตัวมอมแมม เหมือนพวกติดยา
มันยกมือไหว้ผม แล้วก็บอกว่า น้าๆพอมีเศษตังบางมั้ย

ผมควักให้ไปยี่สิบ แล้วก็ตะคอกมันไปว่า.....
เอาไปกินข้าวน่ะ อย่าให้รู้ว่าไปเล่นยา เอ็งโดนเตะแน่ๆ

แล้วถ้าคุณน้องขอตังซื้อขนมซัก 2 พันได้ป่ะไม่หิวข้าว แต่หิวขนมง่ะ :b13: :b32: :b32:
ปล.พี่โฮอาหารจานด่วนสมัยนี้ 25บาท มีไข่ดาว30 บาทนะ น่าจะให้ซัก30บาท เผื่อน้องเค้าอยากกินกระเพราไก่ไข่ดาว555+ :b32:


ใครบอกว่า 30 พุทธคุณซื้อกระเพราไก่ไข่ดาว ตั้ง 43 บาท ปาเข้าไปครึ่งร้อย
ไม่ได้กินในห้างร้านหรูอะไรนะ เพิงหมาแหงนข้างทางนี่แหล่ะ ไม่เข้าใจว่าทำไม
แพงขนาดนี้ นี่ขนาดร้านคนรู้จักนะ แพงจริงๆ


จริงหรอค่ะ แต่แถวที่คุณน้องอยู่แค่25บาทเอง แต่ตอนนี้อาจจะ30ถ้ามีไข่ดาวก็35 แต่มีร้านนึงเป็นร้านป้าที่อยู่บ้านใกล้ๆกันเค้าทำข้าวราดแกงอร่อยมาก :b20: เค้าก็ฐานะค่อนข้างดีนะ และเค้าก็ทำกับข้าวอร่อยด้วย และเค้าทำก็ไม่ได้คำนึงถึงกำไรมากมายเพราะถึงเค้าไม่ทำกับข้าวขายเค้าก็รวยอยู่แล้ว (คือคนที่จะอยู่ละแวกแถวนั้นได้ต้องเป็นคนระดับที่มีฐานะพอสมควร)แต่เหมือนเค้าชอบที่จะทำกับข้าวให้คนอื่นทาน คืออยากให้คนอื่นได้กินของอร่อยๆ ดีๆ อาจจะเวลาเห็นคนอื่นกินกับข้าวที่ตนเองทำแล้วรู้สึกมีความสุขอะไรงี้555+ :b1:
เวลากินกับข้าวร้านป้า คุณน้องจะนึกถึงกับข้าวที่แม่ทำ เพราะว่ามันถุกปากเราเหมือนแม่ทำเลย และป้าแกก็ทำสะอาดด้วย ข้าวราดแกง 1อย่างก็30 แต่ถ้า2อย่างก็35 และพี่เค้าก็ทำ พแนงหมู และแกงส้ม อร่อยมาก ต้องรีบไปซื้อไว้เลยช่วงเช้าเพราะว่าหลังเที่ยงหมด อดแดรก555+ พนักงานออฟฟิตแถวนั้นก็ชอบมานั่งกินร้านป้าเค้า
และแกก็ชอบไปสระผมที่ร้านน้าคุณน้องด้วย :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2013, 22:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ทำไมอาหารที่เมืองไทยแพงมาก แพงจริงๆน่ะ เท่าที่อ่านดูเนื้อสัตว์อะไรก็ไม่แพงเท่าไหร่
แต่พอทำเป็นอาหาร ทำไมแพงจัง ไม่เข้ากันกับค่าแรงที่คนทำงาน
และที่สำคัญคือน้อยมาก อย่างเช่นก๋วยเตี๋ยวดูรูปแล้วขำ มีนิดเดียวเอง
ที่นี่ราคา3.3เหรียญ โอ้!โฮเยอะมาก พี่เต้กินไม่เคยหมดเลย
คนที่นี่กินก๋วยเตี๋ยว ไม่มีใครต่ออีกชามหรอก เยอะจริงๆ

โดยเฉพาะตอนเช้านี่ จะมีอาหารเช้าราคา1เหรียญขายกันเยอะมาก
กะหรี่ปัพ3ชิ้น1เหรียญ ชิ้นใหญ่ๆทั้งนั้นเลย ทั้งๆที่ของที่นี่แพงมาก
ยิ่งถ้าเป็นคนมุสลิม ขายข้าวนาซีลูม่าราคา5บาทเอง มีข้าว-น้ำพริกเผา-ถั่วทอด-ปลาชิงชังทอด
ถ้าผู้ชายกิน2ห่อก็อิ่มแล้ว

บางครั้งตอนเช้าๆ พี่เต้ใช้เงินแค่1เหรียญ มีข้าวนาซีลูม่า-ขนม2ชิ้นแค่1เหรียญเอง
แต่เมืองไทยนี่ มีเงิน10บาทกินอะไรได้ค่ะเนี่ย
มีใครสนใจอยากจะทำข้าวนาซีลูม่าขายไม๊! :b32:
อร่อยน่ะ :b12: ข้าวนาซีลูม่า
ถ้าใครทำน้ำพริกเผาเก่งๆล่ะก้อ รุ่งเลยค่ะ (ไม่ใช่รุ่งริ่งนะรุ่งเรืองค่ะ) :b32: :b41: :b55: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2013, 09:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


นำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้หรอกคุณเต้

ส่วนของจะแพง หรือ ไม่แพง ก็ไม่ใช่อย่างที่คิด

ใครอยู่ตรงไหน สภาพแวดล้อม ความเป็นอยู่ การดำเนินชีวิต เป็นยังไง
ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยของคนๆนั้น

น้ำอยู่แถวแฮปปี้แลนด์ กรุงเทพฯ

แหล่งขายของมีหลายระดับ

ตลาดคนรวย ของแพงหน่อย แกงถุงละ ๓๕ บาท

ร้านอาหารในศูนย์ ข้าวราดแกง อย่างเดียว ๒๕ บาท กับข้าวสองอย่าง ๓๐ บาท

แกงถุงละ ๓๐ บาท ก๋วยเตี๋ยว ชามละ ๓๐ บาท น้ำกินไม่เคยหมด ส่วนมากซื้อใส่ถุงกับบ้าน

ตามสั่ง จานละ ๓๐ บาท

ตลาดชาวบ้าน คือ หลากหลายแม่ค้า กับข้าว ถุงละ ๒๐ บาท เย็นหน่อย ถุงละ ๑๕ บาท

ผักสด สี่กำ ๑๐ บาท เย็นหน่อย ๕ กำสิบบาท


"เมืองไทยนี่ มีเงิน10บาทกินอะไรได้ค่ะเนี่ย"

เยอะแยะนะคุณเต้ ถ้ารู้คุณค่าของเงิน
ย่อมรู้วิธีใช้เงินแบบพอเพียง

ถ้าจับจ่าย เพราะ ความอยาก
มีเท่าไหร่ ก็ไม่พอหรอก เพราะใจ ยังไม่รู้จักคำว่า "พอ"

ใจที่รู้จักคำว่า "พอ"
ถึงแม้มีเงิน ๑ บาท อยู่ในมือ เขาก็รู้ว่า ทำยังไง ถึงจะอิ่มเพราะเงิน ๑ บาทได้


"พอทำเป็นอาหาร ทำไมแพงจัง ไม่เข้ากันกับค่าแรงที่คนทำงาน"

คุณเต้ อย่าไปเสียเวลาคิดแทนคนอื่น

ถ้ารู้จักใช้ รู้จักกิน รู้จักเก็บ รู้จักดำเนินชีวิต
เงินที่ได้มา ย่อมรู้จักจับจ่าย


เป็นเรื่องเหตุของใคร ของมัน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2013, 12:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณน้ำเขียน

อ้างคำพูด:
แหล่งขายของมีหลายระดับ

ตลาดคนรวย ของแพงหน่อย แกงถุงละ ๓๕ บาท



คุณน้ำเข้ามาได้ตรงจุดที่เรานั่งนึกอยู่พอดี :b1:
คือเหตุการณ์ที่เราเจอตอนเช้า เราเดินออกไปจะไปซื้ออาหารใกล้ๆบ้าน
เรามองไปที่ร้าน เราก็เห็นทุกคนที่ร้านมองมาที่เรา เราก็แปลกใจ พวกเค้ามองมาที่เราทำไม
พอเรามองที่ข้างทาง เราก็เห็นลูกสุนัขตัวหนึ่ง มันผอมมาก ขาที่มันวิ่งก็เหมือนไม่มีแรง
มันวิ่งตรงมาที่เรา กระดิกหางด้วยเหมือนดีใจ เเล้วมันก็มาหยุดอยู่ที่ตรงขา
เราก็ไม่เคยเห็นมัน

เราก็เห็นทุกคนในร้านมองมาที่เราอยู่ เราก็พูดกับลูกสุนัขว่า"รออยู่ตรงนี้น่ะเดี๋ยวเอาของมาให้กิน"
เราก็รีบกลับบ้านเอาของไปให้มันกิน แล้วเราก็เดินเข้าไปในร้าน
แล้วคนที่นั่งอยู่ในร้านก็พูดว่า "โอ้ว ! ผมเห็นลูกหมาตัวนี้แล้วมันน่าสงสารน่ะ
มันคงจะอดมาหลายวัน เวลามันเดินขามันอ่อน แล้วมันไม่มีแรง
ก็มีคนนี้พูดว่า ถ้าเต้เดินออกมาหมาตัวนี้ก็จะโชคดี ต้องได้ของกินแน่ๆ
แต่ถ้าเต้ไม่เดินออกมา มันต้องอดต่อไป "
เราก็เลยเข้าใจล่ะ ว่าทำไมพวกคนในร้านถึงมองเรา

ร้านนี้เป็นร้านเพื่อนเรา พอคนกินของเริ่มน้อยแล้ว
เราก็พูดกับเค้าว่า " ถ้าลูกหมามันมาแถวนี้ สภาพเหมือนลูกหมาตัวนี้
เธอช่วยทำของให้มันกินก่อนน่ะ แล้วเธอบอกฉัน ฉันจะจ่ายเงินให้ "
แต่เพื่อนเราตอบว่า " เฮ้ย!ไม่ได้เต้ ของในร้านฉัน ทำให้คนกิน ถ้าฉันทำไปให้หมากิน
คนอื่นก็ต้องคิดว่า เค้าของร่วมกับหมาน่ะสิ ฉันทำค้าขาย ฉันทำไม่ได้
แต่เอางี้แล้วกัน ถ้ามีมาสภาพแบบนี้ ฉันจะโทรไปบอกเธอแล้วกัน
ฉันก็สงสารมันเหมือนกัน แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะช่วยมันยังไง เธอคงไม่โกรธน่ะ
ที่ฉันต้องพูดตรงๆ ฉันค้าขาย"

เราฟังแล้วก็คิด มนุษย์เราทำไมจะต้องไปแยก สิ่งที่มนุษย์เราต้องไปแยกนี่
ใช่เรียกว่าความหลงหรือปล่าว ถ้าหลงคือหลงอะไร ไปยึดอะไร
เรานั่งพิจารณาเหตุนี้ตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ แต่ปัญญาก็ยังไม่เกิดซะที :b8: :b41: :b55: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2013, 14:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


แม่ค้า เขาค้าขาย เขาก็พูดตามเหตุของเขา

ส่วนคุณเต้ ก็พูดตาม เหตุของคุณเต้
สิ่งที่เขาพูดมา คือ พบกันครึ่งทาง

สุนัขมา เขาโทรบอกคุณเต้
คุณเต้ ก็สามารถนำอาหารให้สุนัขได้

โดยที่แม่ค้า ก็สามารถขายของได้ปกติ
ที่เป็นอย่างนี้ เพราะ คนที่คิดรังเกียจก็มี คนที่ไม่คิดก็มี

ความรังเกียจ และ ไม่รังเกียจ ที่เกิดขึ้น ล้วนเกิดจาก เหตุปัจจัย ที่มีต่อกัน
ทั้งที่เคยทำร่วมกันมา และ ไม่เคยทำร่วมกันมา

เหมือนขอทาน เรานำเขาไปนั่งกินในร้าน
คนในร้าน บางคน แสดงสีหน้ารังเกียจออกมา บางคนกล่าวสาธุ ออกมาก็มี บางคนเฉยๆ

นี่ขนาดคนเหมือนกัน แตกต่างแค่ฐานะ
นับประสาอะไรกับสุนัขข้างถนน

ทั้งเรื่อง ขอทาน และเรื่องขายอาหาร ได้เจอกับตัวเอง จึงพูดได้

เคยขายก๋วยเตี๋ยว ที่บ้านเลี้ยงกระต่าย ปล่อยเป็นอิสระในบ้าน จะ ฉี่ จะอึ ตรงไหน ปล่อยเขาตามสบาย เลี้ยงไว้ ๓ ตัว

ขายของเสร็จ เวลาเข้าบ้าน ถึงจะมาเก็บกวาด ทำความสะอาดบ้าน

ทีนี้ มีคนมาเห็น ทั้งอึ ทั้งฉี่ ของกระต่าย ที่กำลังเก็บ ทำความสะอาดอยู่

เขาก็นำไปพูดกับคนอื่นๆว่า บ้านนี้สกปรก ทำอาหารผสมกับฉี่ อึ ของกระต่าย
ทั้งๆที่ ไม่ได้เป็นตามที่เขาพูด


บางคนได้ฟังคำพูดนี้แล้ว ยังคงซื้อต่อ เป็นปกติ

บางคน พอได้ยิน ก็ตั้งท่ารังเกียจ
และปล่อยออกมาเป็นคำพูดว่า กินลงได้ยังไง และนำไปพูดกับคนอื่นๆต่อ

เหมือนเรื่อง ที่แม่ค้า เขาปฏิเสธคำขอ ของคุณเต้ไปน่ะแหละ
และให้ความช่วยเหลืออีกทางหนึ่ง ให้กับคุณเต้

เขามีอาชีพค้าขาย ต้องเอาใจเขา มาใส่ใจเรา เราจะเอาตามใจตัวเองไม่ได้


เรื่องการแบ่งแยกกัน ล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยที่มีต่อกัน เกิดจาก ความไม่รู้ที่มีอยู่(อวิชชา)
เมื่อไม่รู้ชัดในผัสสะ ที่เกิดขึ้น จึงนำสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของตัวเอง สร้างเหตุใหม่ ให้เกิดขึ้นอีก

เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงเกิดภพ

เมื่ออุปทานเกิด(การให้ค่าตามอุปทานที่มีอยู่) ภพจึงเกิด

เมื่อภพเกิด(มโนกรรม) ชาติจึงเกิด(กำเนิด เกิด คือ ก้าวล่วง ออกมาทาง วจีกรรม กายกรรม)

ชรา มรณะ (โลกธรรม๘)
โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย



ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็การเกิดขึ้น (สมุทโย) แห่งโลก เป็นอย่างไรเล่า
(การเกิดขึ้นแห่งโลก เป็นอย่างนี้คือ :-)

เพราะอาศัยซึ่งจักษุด้วย, ซึ่งรูปทั้งหลายด้วย, จึงเกิดจักขุวิญญาณ;
การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการ (จักษุ+รูป+จักษุวิญญาณ) นั่นคือผัสสะ;

เพราะ มีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา;

เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา;

เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน;

เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ,

เพราะมีภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ;

เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน :

นี้ คือการเกิดขึ้นแห่งโลก.



เพราะอาศัยซึ่งโสตะด้วย, ซึ่งเสียงทั้งหลายด้วย, จึงเกิดโสตวิญญาณ;
การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการ (โสตะ+เสียง+โสตวิญญาณ) นั่นคือผัสสะ;

เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา,
เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา; …ฯลฯ...
เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน:

นี้ คือการเกิดขึ้นแห่งโลก.


เพราะอาศัยซึ่งฆานะด้วย, ซึ่งกลิ่นทั้งหลายด้วย, จึงเกิดฆานวิญญาน;
การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการ (ฆานะ + กลิ่น + ฆานวิญญาณ) นั่นคือ ผัสสะ

เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา...ฯลฯ...
เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน :

นี้ คือการเกิดขึ้นแห่งโลก



เพราะอาศัยซึ่งชิวหาด้วย, ซึ่งรสทั้งหลาย จึงเกิดชิวหาวิญญาณ;
การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการ (ชิวหา + รส + ชิวหาวิญญาณ) นั่นคือผัสสะ

เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ;...ฯลฯ..
เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโมทนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน :

นี้ คือการเกิดขึ้นแห่งโลก



เพราะอาศัยซึ่งกายด้วย, ซึ่งโผฏฐัพพะทั้งหลายด้วย จึงเกิดกายวิญญาณ;
การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการ (กาย + โผฏฐัพพะ + กายวิญญาณ) นั่นคือผัสสะ;

เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา;
เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ;...ฯลฯ...
เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกปริเทวะทุกขะโมมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน :

นี้ คือการเกิดขึ้นแห่งโลก



เพราะอาศัยซึ่งมโนด้วย, ซึ่งธัมมารมณ์ทั้งหลายด้วย, จึงเกิดมโนวิญญาณ;
การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการ (มโน + ธัมมารมณ์ + มโนวิญญาณ) นั่นคือผัสสะ;

เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา;
เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา;
เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน;
เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ;
เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ;
เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปยาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน:

นี้คือการเกิดขึ้นแห่งโลก.



ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เหล่านี้แล คือการเกิดขึ้นแห่งโลก.


สูตรที่ ๔ โยคักเขมิวรรค สฬายตนสังยุตต์ สฬา.สํ.๑๘/๑๐๘/๑๕๖, ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย.

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2013, 15:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


พูดเรื่องสุนัขก็นึกถึงเจ้า สโนว์ สุนัขตัวโปรดของน้าคุณน้อง น้าแกรักเหมือนลูกชายเลยแหละ(ถ้ามีใครจับสโนว์ไปเรียกค่าไถ่รับรองรวยแน่ๆเรียกเป็นล้านแกยังกล้าให้เชื่อดิ :b32: ) สโนว์อายุ 11 ปีแล้วมั้ง แก่มากๆๆ555เป้นหมาที่นิสัยขี้เกียจเอาแต่กินและนอน 555+แถมเป็นหมาเย่อหยิ่งด้วยนะเพราะว่าหัวสูง เหอๆ หมาคนรวยไง นั่ง bmwไปไหนมาไหนกะน้าประจำ และเวลาเห้นสุนัขจรจัดเค้าก็จะเห่า555+รังเกียจหมาจรจัด :b5: (แล้วดูสารรุปตนเองมั้ยว่าก็เกิดเป็นหมาอ่ะ :b14: )แล้วเค้าเป้นสุนัขที่ขี้รำคาญหงุดหงิด และเค้าจะขี้น้อยใจเวลาน้าคุณน้องไม่มีเวลาให้ บางทีถึงกับร้องให้มีเสียงฟึดฟัดและน้ำตาไหลด้วยนะ s002 บางทีเวลาไม่มีคนอยู่ที่บ้าน เค้าจะแสดงอาการประชดประชันโดยการ คุ้ยขยะถ้าลืมปิดประตูห้องน้ำไว้ ทิชชู่เอย ผ้าอนามัยเอยเกลื่อนกลาด wink เจอน้าคุณน้องวีนแตก ตื๊บไปหลายครั้งแต่ก็ไม่เข็ด s002
และน้าคุณน้องกล้าเอาเจ้าสโนว์ไปนั่งกินก๋วยเตี๋ยว หรือไปร้านคนจีนแถวเยาวราช ซึ่งเค้ายอมให้สโนว์เข้าร้านนะ เพราะว่าเวลาสโนว์ไปร้านอาหาร สโนว์จะนั่งเก้าอี้เหมือนคนและอยู่นิ่งๆ มองตาปริบๆ555+(เมื่อไหร่ตูจะได้แดรก) และน้าคุณน้องยังกล้าพา สโนว์เข้าวัดด้วย 555+ ตอนนั้นเป็นวัดที่ยังสร้างไม่เสร็จ วัดที่ปากช่อง เป้นวัดของสรพงค์ ชาตรีอ่ะ คุณน้องว่าสโนว์คงเป็นหมามีบุญเหมือนกันนะได้เข้าวัดได้ไปนั่งดูพระพุทธรุป คือเป้นหมาแปลกมาก นั่งดูพระพุทธรุปและแลบลิ้น 5555 ไม่เคยเห็น อย่างหมาวัดนี่ไม่รู้ว่าได้เคยเข้าไปในโบสถ์ที่มีพระพุทธรุปไหม แต่สโนว์ได้เข้าไปในโบสถ์อ่ะ ไม่รู้ผิดกฏทางวัดรึเปล่า แต่น้าให้เหตุผลว่า เป็นหมาอยากเข้าวัดอยากทำบุญเหมือนคนไม่ได้หรอ เผื่อชาติหน้าเค้าจะได้เกิดเป็นคนไม่ต้องเกิดเป็นหมา 5555+


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร