วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 06:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2013, 17:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธคุณ เขียน:
ท่านลุงหมานครับ โปรดใช้สติ อย่าใช้อารมณ์ เราเป็นมนุษย์ผู้มีตรรกกะ สามารถ
คุยกันด้วยเหตุด้วยผลเยี่ยงผู้เจริญ ไม่ควรประชดประชันกันไปมา ควรคุยกันเยี่ยงบัณฑิต
เดรัจฉานเท่านั้นที่ใช้อารมณ์ในการตัดสินและรับอิทธิพลต่างๆได้โดยไม่ตรึกตรอง
เราคุยกันเยี่ยงบัณฑิตที่มีกัลยาณไมตรี ไม่สมควรจะพาบกันไปมาเหมือนเด็ก
การที่ท่านลุงหมานอายุมากอ่านหนังสือธรรมมากไม่ได้หมายความว่าท่านบรรลุ
เหนื่อกว่าพุทธศาสนิกชนคนอื่นๆนะครับ โดยเฉาะอย่างยิ่ง หากท่านผ่านโลกมามาก
ก็น่าจะรู้อะไรควรไม่ควร มีสติควบคุมอยู่เหนืออารมณ์ มีความอดทนที่จะฟังคำ
ของผู้อื่นบ้าง อย่างเห็นว่าผู้อื่นแปลกกว่าแล้วจะไปดูหมิ่นเขา ยกตนเองสูงส่ง
กรุณาอ่านโพสต์ของผมใหม่หลายๆรอบนะครับ อย่ามองว่าสิ่งที่ผมแนะนำนั้น
ไม่ถูกจริตหรือไม่ถูกใจท่าน อย่ามองว่าโพสต์ของผมจะไปทำร้ายท่าน ทุกคไม่มี
ใครอยากทำร้ายท่านลุงหมานหรอกนะครับ โปรดเปิดใจให้กว้าง และพร้อมก่อนที่
จะเข้ามาสนทนากับสมาชิก

การเป็นคนใจกว้างไม่ได้หมายความว่าต้องยอมรับคำติเตียน หรือทำนี่งเฉย จึงจะเรียกว่าใจกว้าง
การโต้แย้งนี่แหละใจกว้าง คือเอาเหตุผลของตนยกมาแสดงว่าของใครที่ถูกต้อง เห็นจริงตามได้
ผมคิดว่าไม่มีใครทำร้ายผมหรอก แต่ที่คิดคือกลัวผู้ที่หลงผิดคิดทำร้ายคำสอนของพระพุทธเจ้า
ซ้ำร้ายผู้ที่เข้ามาหาความรู้พลอยรับกรรมไปด้วย

อ้างอิงครับ>> http://siripong.net/%E0%B8%94%E0%B8%B2% ... %E0%B9%81/

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2013, 17:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2011, 10:18
โพสต์: 590

โฮมเพจ: www.bhuddhakhun.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ลุงหมาน เขียน:
การเป็นคนใจกว้างไม่ได้หมายความว่าต้องยอมรับคำติเตียน หรือทำนี่งเฉย จึงจะเรียกว่าใจกว้าง
การโต้แย้งนี่แหละใจกว้าง คือเอาเหตุผลของตนยกมาแสดงว่าของใครที่ถูกต้อง เห็นจริงตามได้
ผมคิดว่าไม่มีใครทำร้ายผมหรอก แต่ที่คิดคือกลัวผู้ที่หลงผิดคิดทำร้ายคำสอนของพระพุทธเจ้า
ซ้ำร้ายผู้ที่เข้ามาหาความรู้พลอยรับกรรมไปด้วย


คือท่านลุงหมานหมายถึงต้องยืนยันความคิดของตนเองเป็นหลัก แล้วเถียงกันไปมา
คอเป็นเอ็นจนกว่าจะได้ผู้ชนะหรือเปล่าครับ ถ้าเช่นนั้นผมต้องขออภัยที่เข้ามาสนทนากับท่าน
เพราะผมไม่สันทัดเรื่องการเถียงกันไปมา

.....................................................
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2013, 19:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธคุณ เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
การเป็นคนใจกว้างไม่ได้หมายความว่าต้องยอมรับคำติเตียน หรือทำนี่งเฉย จึงจะเรียกว่าใจกว้าง
การโต้แย้งนี่แหละใจกว้าง คือเอาเหตุผลของตนยกมาแสดงว่าของใครที่ถูกต้อง เห็นจริงตามได้
ผมคิดว่าไม่มีใครทำร้ายผมหรอก แต่ที่คิดคือกลัวผู้ที่หลงผิดคิดทำร้ายคำสอนของพระพุทธเจ้า
ซ้ำร้ายผู้ที่เข้ามาหาความรู้พลอยรับกรรมไปด้วย


คือท่านลุงหมานหมายถึงต้องยืนยันความคิดของตนเองเป็นหลัก แล้วเถียงกันไปมา
คอเป็นเอ็นจนกว่าจะได้ผู้ชนะหรือเปล่าครับ ถ้าเช่นนั้นผมต้องขออภัยที่เข้ามาสนทนากับท่าน
เพราะผมไม่สันทัดเรื่องการเถียงกันไปมา

การยกหลักฐานมาอ้างอิงนั้นยังจะมาพูดว่าผมยืนยันความคิดของตนเป็นหลักอีก
ผมไม่เคยเอาความคิดของตนเองเลย ผมเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามานำเสนอ
มาเผยแพร่ เมื่อไม่เชื่อหรือไม่ชอบใจมันก็สุดวิสัยผมที่นำมากล่าวต่อไป

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2013, 22:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


จริงๆกระทู้นี้คุนน้องว่าจะปล่อยผ่านไปแล้วนะเจ้าค่ะ แต่เผอิญไปเจอประโยคของลุงหมานที่โพสว่า
น่าสงสารที่นักร้องดารานักแสดงมืออาชีพตายไปต้องตกนรกถ้ามีดาราเข้ามาอ่านกระทู้นี้เค้าคงเสียใจ :b2:
เกิดเป็นคนเนียะนะจะประกอบอาชีพอะไรก็ขอให้สุจริตไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่น ถ้าเรามีสัมมาทิฏฐิแล้ว จะเป็นนักร้อง ดารานักแสดงเค้าไม่ตกนรกหรอกเจ้าค่ะ ขอแค่ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรม เป็นดารานักแสดงนั่นมันก็อาชีพของเค้าอยู่ที่เจตนาเค้าไม่ได้หลอกใครแล้วเค้าจะตกนรกได้ไง อาชีพของเค้าให้ความบันเทิงทุกคนก็รับรู้อยู่แล้วนี่ค่ะว่าเป็นการแสดงจะไปว่าเค้าแบบนั้นคุนน้องว่ามันไม่สมควรนะเจ้าค่ะ แบบนี้พวกที่ชอบดูมวยที่เค้าต่อยกันมันก็เพื่อความบันเทิง แล้วก็สะใจสนุกสนานน่าจะตกนรกมากกว่าดารานักแสดง เพราะมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของคนอื่น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2013, 05:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
กดดูนะท่านว่ามีการเปลี่ยนแปลงตรงไหน เพียงมีการเน้นสีเท่านั้น

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 768&Z=7822

นี่แหละเหตุที่เราไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
เพราะเราเอาความคิดของตนเองว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นน่าเป็นอย่างนี้
แล้วก็เที่ยวไปสอนคนอื่นว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าอย่างนี้ เอาความคิดของตนเองยัดเยียด
ว่าเป็นคำสอนพระพุทธเจ้า คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ใช่คำสอนตื้นๆ เป็นคำสอนที่ลึกซึ้งกว้างขวาง
ลองไปอ่านหมวดพระอภิธรรมดูที่ผมนำมาลงไว้ ว่าคำสอนพระพุทธเจ้าลึกซึ้งมากไหม คิดว่าถ้าผู้ที่ไม่ได้ศึกษามาคงคิดไม่ออกหรอกนะว่านี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า สิ่งที่นำเอามาเสนอนั้นไม่ได้คิดเอาเอง เรื่องนี้ผมเองเน้นมากมีหลักฐานอ้างอิงเสมอ...เพียงแต่บางครั้งไม่ได้อ้างอิงที่มา บางครั้งก็คัดลอกมาจากตำราที่ท่านผู้รู้ทั้งหลายที่น่าเชื่อถือได้ จากอรรกถาบ้างพระไตรปิฎกบ้าง

อย่างโฮฮับน่ะหรือครับที่ท่านเชื่อถือ...เชิญได้เลยครับตามสบาย.....



ท่านทั้งหลายครับ! ผมขอใช้สิทธิพาดพิงครับ :b9:

ลุงหมานครับ ลุงหมานจะพาดพิงเสียดสี ผมไม่ถือสาครับ ที่ต้องมาแสดงความเห็น
ก็เพราะ ลุงกำลังมีอาการแบบที่คุณพุทธคุณแกพูดจริงๆครับ
ลุงหมานไปหยิบ พระไตรปิฎกมาอ้างแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว ที่ไม่น่าให้อภัยเลยก็คือ
ไปเอาสิ่งที่คนอื่นเขาอ้างแล้วตัวเองก็เอามาอีกต่อหนึ่ง

ใช่ครับคำสอนของพระพุทธเจ้าลึกซึ้งมาก แต่ไม่ใช่แค่ได้เรียนพระอภิธรรมเบื้องตัน
หรือต่อให้เป็นเปรียญเก้าประโยคก็ตาม ถ้าไม่มีปัญญาที่จะเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง
ย่อมต้องเขลาต่อพระธรรมของพระพุทธองค์

เอาอย่างนี้นะครับ ผมจะชี้ให้เห็นว่า ลุงเอาพระไตรปิฎกมาอ้างแบบไม่รู้จริง
ในตาลปุตตสูตร พระพุทธองค์ไม่ได้สอนเรื่องศีลข้อห้ามหรือเรื่องมุสาแม้แต่น้อย
ลุงหมานไปเอาพระสูตรมาอ้างทั้งๆที่ขาดซึ่งธัมมวิจยะ

ในตาลปุตตสูตร ทำไมพระพุทธองค์ถึงได้ปฏิเสธที่จะบอกธรรมแก่นาย ตาลปุตต
ก็เพราะว่า........เรื่องกรรมวิบากเป็นเรื่องอจินไตของปุถุชน พระพุทธองค์ทรงห้าม
ไม่ให้ปุถุชนถามหรือบอกกล่าวแก่ปุถุชน
และอีกประเด็นเมื่อนายตาลปุตตคะยั้นคะยอถามในเรื่องนี้ พระพุทธองค์จึงบอกธรรม
ในที่สุด แต่ธรรมที่บอกทรงเน้นว่า....เป็นสิ่งที่พยากรณ์

นั้นหมายความว่า อาจจะเป็นกรรมวิบากหรือไม่ก็ได้ มันขึ้นอยู่กับเหตุ
ถ้าหมดเหตุกรรมวิบากย่อมไม่มี

สรุปให้ฟังพระพุทธองค์ไม่ได้สอนเรื่องศีลข้อห้าม
แต่พระพุทธองค์กำลังสอนท่านตาลปุตตให้มีสติในความไม่ประมาท เพื่อให้เกิดปัญญา
มองธรรมด้วยสัมมาทิฐิ

เรื่องของตาลปุตตมันไม่ได้เกี่ยวกับการพูดเท็จ พูดหลอกลวงอะไรทั้งนั้น
มันเป็นเรื่องของ......ศีลพรตปรามาส การหลงเชื่อถ้อยคำของคนอื่นโดยขาดปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2013, 05:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บอกกล่าวครับจะพูดเรื่องนรกสวรรค์ กรุณาอย่าอ้างพุทธพจน์
เพราะพระพุทธองค์สอนเรื่องกรรมวิบาก นั้นหมายถึงวัฏฏสงสาร(ปฏิจจ์สมุบาท)

การพูดถึงนรกสวรรค์ ผีเปรตอสุรกาย แล้วบอกว่าเป็นคำสอนของพระพุทธองค์
ผมว่าไอ้คนพูดมันมั่วไร้สาระครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2013, 05:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
การยกหลักฐานมาอ้างอิงนั้นยังจะมาพูดว่าผมยืนยันความคิดของตนเป็นหลักอีก
ผมไม่เคยเอาความคิดของตนเองเลย ผมเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามานำเสนอ
มาเผยแพร่ เมื่อไม่เชื่อหรือไม่ชอบใจมันก็สุดวิสัยผมที่นำมากล่าวต่อไป

การอ้างเอาพระธรรมที่ผิดกาลเทศะ มันก็คือการใช้ความคิดตนเองเป็นหลักนะครับ
พระพุทธองค์ทรงบอกให้ใช้ ธัมมวิจยะ ในการเลือกเฟ้นธรรม
การเลือกเฟ้นธรรมนั้นต้องอาศัยหลักแห่งเหตุผลปัจจัยต่างๆ
ไม่ใช่่แค่เห็นคำศัพท์ที่มันเหมือนกัน แล้วก็บอกว่า เป็นพุทธพจน์ที่ใช้กับธรรมที่เป็นปัญหา
แบบนี้เขาเรียกว่า แอบอ้างหรือขี้ตู่พุทธพจน์ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2013, 05:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
จริงๆกระทู้นี้คุนน้องว่าจะปล่อยผ่านไปแล้วนะเจ้าค่ะ แต่เผอิญไปเจอประโยคของลุงหมานที่โพสว่า
น่าสงสารที่นักร้องดารานักแสดงมืออาชีพตายไปต้องตกนรกถ้ามีดาราเข้ามาอ่านกระทู้นี้เค้าคงเสียใจ :b2:
เกิดเป็นคนเนียะนะจะประกอบอาชีพอะไรก็ขอให้สุจริตไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่น ถ้าเรามีสัมมาทิฏฐิแล้ว จะเป็นนักร้อง ดารานักแสดงเค้าไม่ตกนรกหรอกเจ้าค่ะ ขอแค่ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรม เป็นดารานักแสดงนั่นมันก็อาชีพของเค้าอยู่ที่เจตนาเค้าไม่ได้หลอกใครแล้วเค้าจะตกนรกได้ไง อาชีพของเค้าให้ความบันเทิงทุกคนก็รับรู้อยู่แล้วนี่ค่ะว่าเป็นการแสดงจะไปว่าเค้าแบบนั้นคุนน้องว่ามันไม่สมควรนะเจ้าค่ะ แบบนี้พวกที่ชอบดูมวยที่เค้าต่อยกันมันก็เพื่อความบันเทิง แล้วก็สะใจสนุกสนานน่าจะตกนรกมากกว่าดารานักแสดง เพราะมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของคนอื่น

ที่แรกๆก็เห็นด้วยกับที่คุณน้องว่ามา...
แต่ก็ควรย้อนไปอ่านคำสอนของพระพุทธเจ้าอีกครั้ง
เมื่อเราศรัทธาพระพุทธเจ้า เราก็ต้องเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า (ศรัทธาแปลว่าความเชื่อ)
ถ้าเราไม่เชื่อคำสอนก็เท่ากับเราไม่ศรัทธาพระองค์จริงไหม?
ถ้าหากเราไม่เชื่อไม่ศรัทธาเราก็จะไปแสวงหาศาสดาใหม่แทน ตามที่กิเลสของเราปรารถนา
ฉะนั้นพระองค์จึงได้ตรัสห้ามนายคามณีถามถึง ๓ ครั้ง นายคามณีก็ยังพยายามคาดคั้นที่จะรู้ให้ได้
เมื่อห้ามไม่ได้ พระองคจึงได้พยากรณ์เรื่องนี้ให้ฟัง พวกนักร้อง นักเต้นรำ ตลก ก็เราย่อมกล่าว
คติ ๒ อย่าง คือ นรกหรือกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง ของบุคคลผู้มีความเห็น ผิด ฯ

ถ้าเรามองให้ไกลพระพุทธเจ้าท่านมีความเมตตากับผู้มีอาชีพเหล่านี้ต่างหาก
เพราะเหตุบุคคลเหล่านี้มีความหลงผิดอยู่ คิดว่าเป็นอาชีพที่สุจริตไม่ได้เบียดเบียนใคร
คงนึกไม่ถึงว่าอาชีพเหล่านี้เป็นอาชีพที่ไม่เป็นไปกับความสิ้นไปแห่งราคะ
ทำให้บุคคลอื่นหลงไหลไปกับการแสดงที่ตนเป็นผู้ที่ก่อขึ้น
คำสอนของพระองค์นั้น ก็คงจะทำให้ผู้กระทำอยู่นั้นเจ็บปวด แต่ก็คุ้มมิใช่หรือ ?
ที่ผู้นั้นจะไปทนเจ็บปวดในนรกกับสัตว์เดรัจฉานอันยาวนานวนเวียนกว่าจะพ้นกับอบายภูมิได้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2013, 07:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ธ.ค. 2012, 16:46
โพสต์: 412

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเคยได้ยินมาว่า อาชีพไหน ก็ตกนรกหมด หากมัวแต่ทำงาน โดยมิได้สนใจเรื่อง ทาน ศีล ภาวนา

ส่วนอาชีพ การแสดงที่พุทธองค์แสดงไว้ ก็เพื่อสอนคนนั้นว่าอย่าประมาทมัวแต่ ให้ความบันเทิงผู้อื่น

จนลืมงานที่ตัวเองต้องทำ ก็คือการภาวนาเพื่อพ้นทุกข์

ทุกท่านว่าจริงไหมครับ มัวแต่ให้ความบันเทิง แต่ไม่เคยดูจิตตัวเองเลย จะไปสวรรค์ หรือ นิพพานได้อย่างไรกัน

ผิดถูกอย่างไร โปรดชี้แนะด้วยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2013, 08:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


choochu เขียน:
ผมเคยได้ยินมาว่า อาชีพไหน ก็ตกนรกหมด หากมัวแต่ทำงาน โดยมิได้สนใจเรื่อง ทาน ศีล ภาวนา

ส่วนอาชีพ การแสดงที่พุทธองค์แสดงไว้ ก็เพื่อสอนคนนั้นว่าอย่าประมาทมัวแต่ ให้ความบันเทิงผู้อื่น

จนลืมงานที่ตัวเองต้องทำ ก็คือการภาวนาเพื่อพ้นทุกข์

ทุกท่านว่าจริงไหมครับ มัวแต่ให้ความบันเทิง แต่ไม่เคยดูจิตตัวเองเลย จะไปสวรรค์ หรือ นิพพานได้อย่างไรกัน

ผิดถูกอย่างไร โปรดชี้แนะด้วยครับ


เห็นด้วยครับ...
พระพุทธองค์ตรัสว่า
ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย
คือตายไปจากความดีนั่นเอง
เมื่อคนเราตายไปจากความดีมันจะเหลืออะไร
หนทางเดียวคืออบายภูมิเป็นที่หวังแน่นอน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2013, 10:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
ที่แรกๆก็เห็นด้วยกับที่คุณน้องว่ามา...
แต่ก็ควรย้อนไปอ่านคำสอนของพระพุทธเจ้าอีกครั้ง
เมื่อเราศรัทธาพระพุทธเจ้า เราก็ต้องเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า (ศรัทธาแปลว่าความเชื่อ)
ถ้าเราไม่เชื่อคำสอนก็เท่ากับเราไม่ศรัทธาพระองค์จริงไหม?
ถ้าหากเราไม่เชื่อไม่ศรัทธาเราก็จะไปแสวงหาศาสดาใหม่แทน ตามที่กิเลสของเราปรารถนา

พระพุทธองค์ ไม่ได้บอกให้เชื่อในคำสอนของพระองค์ พระศาสดาทรงเน้นเรื่อง
ปัญญา ทรงชี้แนะให้บุคคลพิจารณาธรรมด้วยปัญญา เมื่อพิจารณาธรรมเห็นจริงไปตามปัญญา
ธรรมนั้นแหล่ะจึงจะเป็นเป็นธรรมที่เชื่อถือได้ เมื่อเชื่อถือธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสอนด้วยปัญญาของเราแล้ว
แบบนี้จึงจะเรียกว่า ศรัทธาในตัวพระพุทธองค์
ลุงหมาน เขียน:
ถ้าหากเราไม่เชื่อไม่ศรัทธาเราก็จะไปแสวงหาศาสดาใหม่แทน ตามที่กิเลสของเราปรารถนา
ฉะนั้นพระองค์จึงได้ตรัสห้ามนายคามณีถามถึง ๓ ครั้ง นายคามณีก็ยังพยายามคาดคั้นที่จะรู้ให้ได้
เมื่อห้ามไม่ได้ พระองคจึงได้พยากรณ์เรื่องนี้ให้ฟัง พวกนักร้อง นักเต้นรำ ตลก ก็เราย่อมกล่าว
คติ ๒ อย่าง คือ นรกหรือกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง ของบุคคลผู้มีความเห็น ผิด ฯ

ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสห้าม ท่านตาลปุตตถามถึงสามครั้ง เป็นเพราะเรื่องที่ถาม
ไม่ได้เป็นธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้ และไม่ใช่ธรรมที่พระองค์กำลังเผยแผร่

และที่ทรงกล่าวว่าคำพูดของพระองค์เป็นคำพยากรณ์ นั้นก็หมายความว่า
ในคำสอนของพระองค์ บุคคลสามารถแก้กรรมวิบากได้ พระทรงจึงไม่สามารถ
บอกอย่างชี้ชัดลงไปเลย (อยากให้ย้อนไปดูเรื่องของท่านองคุลีมาล)

และเรื่องนรกหรือสัตว์เดรรัจฉาน พระองค์ก็ไม่ได้หมายถึง การเป็นนักเต้นรำ ตลก
จะทำให้เป็นไปอย่างนั้น สิ่งที่พระองค์ชี้บอกก็คือ
การมีอาชีพหรือมีการกระทำแบบนี้บ่อยๆ อาจทำให้ขาดสติเกิดความประมาทในอกุศลธรรมได้ง่าย
การขาดสติย่อมต้องเกิดอกุศลต่อสิ่งที่กระทำ มันจะนำไปสู่นรกหรือสัตว์เดรรัจฉาน

พระพุทธองค์ไม่ได้กล่าวว่า การมีอาชีพเป็นตลกหรือนักเต้นรำ
เป็นสิ่งที่ผิดศีลธรรม แต่พระพุทธองค์ทรงบอกว่าให้ดูว่า ....
อาชีพแบบนี้มันอาจทำให้ประมาทขาดสติได้ง่าย แต่ถ้าผู้ใดไม่ประมาท
มีสติในการประกอบอาชีพที่ว่า ก็เป็นสัมมาอาชีวะได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2013, 10:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
ถ้าเรามองให้ไกลพระพุทธเจ้าท่านมีความเมตตากับผู้มีอาชีพเหล่านี้ต่างหาก
เพราะเหตุบุคคลเหล่านี้มีความหลงผิดอยู่ คิดว่าเป็นอาชีพที่สุจริตไม่ได้เบียดเบียนใคร
คงนึกไม่ถึงว่าอาชีพเหล่านี้เป็นอาชีพที่ไม่เป็นไปกับความสิ้นไปแห่งราคะ
ทำให้บุคคลอื่นหลงไหลไปกับการแสดงที่ตนเป็นผู้ที่ก่อขึ้น
คำสอนของพระองค์นั้น ก็คงจะทำให้ผู้กระทำอยู่นั้นเจ็บปวด แต่ก็คุ้มมิใช่หรือ ?
ที่ผู้นั้นจะไปทนเจ็บปวดในนรกกับสัตว์เดรัจฉานอันยาวนานวนเวียนกว่าจะพ้นกับอบายภูมิได้

ไปกันใหญ่แล้วครับ ก็เป็นซะแบบนี้ไง เอาพระสุตรมาอ้างผิดๆ จุดประสงค์เพื่อด่าชาวบ้านเขา

ที่พระพุทธองค์ทรงสอนท่านตาลบุตร ด้วยพระธรรมบทนี้
ก็เป็นเพราะว่า ท่านตาลบุตรกำลังหลงเข้าใจผิดกับสิ่งที่อาจารย์นำมาสอน
ที่ว่าเป็นนักเต้นรำ เป็นตลก ทำให้คนอื่นหัวเราะ แล้วตัวเองจะได้ไปเป็นเทวดาอะไรทำนองนี้

แล้วธรรมนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวเลยครับที่ว่า ทำให้ผู้อื่นหลงไหล มันเป็นเรื่องของท่านตาลบุตรล้วนๆ
ท่านตาลบุตรกำลังหลงว่า สิ่งที่ท่านทำจะส่งผลให้ไปเป็นเพื่อนกับเทวดา

พระพุทธองค์ทรงชี้แนะให้ท่านตาลบุตร ให้ดวงตาเห็นธรรม
เลยยึดในเรื่องของศีลพรตปรามาส
ไม่ได้เกี่ยวกับอาชีพ หรือศีลธรรมข้อห้ามบาปบุญอะไรเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2013, 11:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


คุนน้องอยากให้พี่น้องสหายธรรมทั้งหลาย ใช้สมาธิพิจารณาธรรมของพี่โฮฮับโดยวางทิฏฐิหรือความรู้สึกส่วนตัวลงก่อนนะค่ะ
คุนน้องอยากให้ทุกคนมีความเห็นถูกในเรื่องสัมมาอาชีวะ จะได้ไม่ต้องกลัวว่าประกอบอาชีพนั่นอาชีพนี่แล้วจะผิดศีลตายไปต้องตกนรก ใช้สติพิจารณาธรรมอย่างแยบคายจะได้ไม่เป็นการหลงยึดติดในศีลพรตปรามาส :b1:
ปล.คุนน้องไม่ได้เป็นหางเครื่องพี่โฮฮับนะ อย่างที่ลุงหมานบอกการยอมรับคำติเตือนหรือการนิ่งเฉยไม่ได้หมายความว่าเป็นคนใจกว้างแต่การมีเหตุมีผลในสิ่งที่ถูกหรือผิดและยอมรับแก้ไขปรับปรุงตนเองตะหาก คือคนใจกว้าง :b1: :b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2013, 11:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:

แล้วธรรมนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวเลยครับที่ว่า ทำให้ผู้อื่นหลงไหล มันเป็นเรื่องของท่านตาลบุตรล้วนๆ
ท่านตาลบุตรกำลังหลงว่า สิ่งที่ท่านทำจะส่งผลให้ไปเป็นเพื่อนกับเทวดา

พระพุทธองค์ทรงชี้แนะให้ท่านตาลบุตร ให้ดวงตาเห็นธรรม
เลยยึดในเรื่องของศีลพรตปรามาส
ไม่ได้เกี่ยวกับอาชีพ หรือศีลธรรมข้อห้ามบาปบุญอะไรเลย


เห็นด้วย...ครับ

หลาย ๆ คนดูพระสูตรนี้แล้ว...ก็ดูแค่ว่าอาชีพนักแสดง....แต่ไม่หยักกะเห็นท่อนต่อไปอีกนิดที่ว่า....ผู้มีความเห็นผิด
ซึ่งเป็นการแสดงสภาวะของจิต...มากกว่า...อาชีพเสียอีก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2013, 12:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


การเกิดในภพภูมิต่าง ๆ...แสดงใว้แล้วในปฏิจจสมุปบาท...ตัณหาอุปาทาน..เกิดภพ

ภาวะของจิต...คือภพ

อาชีพต้องห้าม..มี 5 อย่าง...ไม่มีอาชีพการแสดงในอาชีพต้องห้ามเหล่านี้...แสดงว่า...พอจะจัดอยู่ในสัมมาอาชีวะได้
แต่หากเดินตามมรรคไปเรื่อย ๆ...อาชีพการแสดงอาจเป็นอุปสรรค์ในมรรคข้อ...สัมมาวายามะ..สัมมาสติ...สัมมาสมาธิได้...
จึงคิดว่ามันน่าจะเป็นอกุศลในขั้นละเอียด...


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร