วันเวลาปัจจุบัน 26 มิ.ย. 2025, 00:41  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 37 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2013, 10:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธวจน บางบัวทอง เขียน:
...ถามกว้างมากครับ แต่ขอยกที่เกี่ยวกับต้นไม้มาซัก 2 เรื่องครับ..

มันไม่ได้กว้างหรอกครับ เพียงแต่คุณยังไม่เข้าใจ พุทธวจแท้ๆนั้นเองครับ
การศึกษาพุทธวจนะไม่ให้นอกลู่นอกทาง เป็นสิ่งดีครับ
นั้นหมายถึงเราต้องไม่เอาพุทธวจนะ ออกนอกหลักธรรม ที่เป็นพุทธวจนะเช่นกัน
อย่างเช่นคำถามนี้ที่ผมถามคุณด้วยเรื่องที่เกี่ยวกับต้นไม้
คุณไปเอาพุทธวจนะที่ผิดหลักธรรมของพระพุทธเจ้า มาบอกเพื่อนๆครับ


อธิบายเพื่อความเข้าใจ และจะได้เอาไว้เป็นแบบแผนในการอ้างอิงพุทธวจนะครับ
ก่อนอื่นคุณคงไม่เถียงผมนะครับว่า...สัพเพธัมมา อนัตตา
กับสัพเพสังขารา อนิจจา ทุกขัง อนัตตา
ธรรมทั้งสอง เป็นหลักธรรมหรือพุทะวจนะของพระพุทธเจ้า

ผมถามคุณด้วยเรื่องต้นไม้ คุณจะต้องพิจารณาก่อนครับว่า
ต้นไม้ที่ผมบอก มันเข้าได้กับหลักธรรมไหนของพระพุทธเจ้า

ไม่ใช่ผมถามคุณเรื่องต้นไม้ แต่คุณไม่ได้ดูในหลักธรรมเลยว่า
ต้นไม้ขึ้นอยู่กับหลักธรรมใดของพระพุทธเจ้า คุณไปเอาพุทธวจนะ
ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผมถาม ที่สำคัญมันผิดหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวไว้

พุทธวจนะที่คุณเอามาบอกผม มันเป็นเรื่องของ.....สังขาร
มันเป็นหลักธรรมที่ว่า...สัพเพ สังขารา อนิจัง ทุกขัง อนัตตา
แต่ต้นไม้มันขึ้นอยู่ในหลักธรรมที่ว่า.....สัพเพ ธัมมาอนัตตา


ลองพิจารณาดีๆครับว่ามันจริงอย่างที่ผมพูดมั้ย
ผมอยากจะชี้จุดที่ผผิดพลาดของคุณ(ขอโทษที่ต้องกล่าวแบบนี้)
ที่เห็นก็คือคุณไม่เข้าใจประเด็นที่ผมถาม ที่เป็นแบบนี้เพราะ คุณไม่เข้าใจ
ในหลักธรรมของพุทธเจ้า พอคุณเห็นคำถามของผม คุณก็มุ่งตรงไปที่คำศัพท์
แล้วก็ไปหาว่า เนื้อหาในพุทธวจนะมีบทนั้นที่มีคำว่าต้นไม้ แล้วก็เอามาบอกผม
ทั้งๆที่มันไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับต้นไม้ พุทธวนะที่คุณเอามามันเป็น เรื่อง....สังขารในใจคน

ดังนั้นพุทธวจะที่เราควรรู้ควรศึกษาคือหลักธรรม
ไม่ใช่ เนื้อหาในพระสูตรหรือพระวินัย พระสูตรหรือพระวินัย เขามีไว้เทียบเคียง
กับหลักธรรมครับ


ไม่เห็นด้วยตรงไหนยินดีรับฟังครับ และอยากให้คิดไว้ด้วยว่า
เราไม่ได้ทะเลาะกันครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2013, 10:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ส.ค. 2012, 11:26
โพสต์: 56


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:
เมื่อสังเกตพิจารณาให้ดี สติปัฏฐานทั้ง 4 ไม่ว่าจะเป็นที่ กาย...เวทนา....จิต...หรือ...ธรรม ล้วนมารวมลงสู่ปฏิบัติการหรืองานที่จะต้องทำที่ ....."วิเนยยะโลเก อภิชฌา โทมนัสสัง"ซึ่งแปลความได้ว่า ...."เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลกย์"
:b27:
ถามท่านพุทธวัจนะ บางบัวทองว่า

เราจะ ....."วิเนยยะโลเก อภิชฌา โทมนัสสัง"....หรือเอาความยินดียินร้ายในโลกย์....ออกได้โดยวิธีใดบ้างครับ?
:b4:


****ก่อนตอบคุณ asoka...ผมว่าคุณได้โพสต์ใน ลานธรรมเสวนาไว้ดังนี้ใช่ไหมครับ..
เมื่อสังเกตพิจารณาให้ดี สติปัฏฐานทั้ง 4 ไม่ว่าจะเป็นที่ กาย...เวทนา....จิต...หรือ...ธรรม ล้วนมารวมลงสู่ปฏิบัติการหรืองานที่จะต้องทำที่ ....."วิเนยยะโลเก อภิชฌา โทมนัสสัง"ซึ่งแปลความได้ว่า ...."เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลกย์"


ประเด็นสำคัญที่จะต้องลงมือทำเพื่อให้เกิดผลจากสติปัฏฐาน 4 ก็คือ ....เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลกย์

เราจะเอาความยินดียินร้ายในโลกย์ ออกได้อย่างไร?...จึงเป็นคำถามที่นักปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาทั้งหลายต้องถามตัวเอง และตอบคำถามนี้ให้ได้อย่างถูกต้องโดยภาคทฤษฎีก่อน.....แล้วหลังจากนั้นจึงลงมือปฏิบัติจริงเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีแห่งการเอาความยินดียินร้ายออก

ทำอย่างไรจึงจะเอาความยินดียินร้ายออกได้?.........ใคร่ขอเรียนเชิญท่านผู้รู้ กัลยาณมิตรทั้งหลายในลานธรรม มาช่วยกันวิตก วิจารณ์ วิจัย สู่กันฟัง...เพื่อให้ผู้ที่กำลังเดินทางสู่พระนิพพานด้วยการเจริญสติปัฏฐาน 4 ได้ทฤษฎีหรือความรู้ที่ถูกต้องในการ เอาความยินดียินร้ายออกจากใจ....

และผมได้ตอบไปว่า...

....."วิเนยยะโลเก อภิชฌา โทมนัสสัง"ซึ่งแปลความได้ว่า ...."เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลกย์"...
ปัญหาอยู่ที่ว่า ประโยคข้างต้น ผมหาในพุทธวจนหลายรอบๆแล้ว ทั้งไทยและบาลี ไม่ทราบว่าพระสูตรนี้อยู่ตรงไหนครับ ก็เลยทำวิตก วิจารณ์ ไม่ได้...
ขอความกรุณาด้วยครับ

.....................................................
ภิกษุทั้งหลาย จักไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่เคยบัญญัติ...จักไม่เพิกถอนสิ่งที่บัญญัติ
ไว้แล้ว...
จักสมาทานศึกษาในสิกขาบทที่บัญญัติไว้แล้วอย่างเคร่งครัด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2013, 11:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ส.ค. 2012, 11:26
โพสต์: 56


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
พุทธวจน บางบัวทอง เขียน:
...ถามกว้างมากครับ แต่ขอยกที่เกี่ยวกับต้นไม้มาซัก 2 เรื่องครับ..

มันไม่ได้กว้างหรอกครับ เพียงแต่คุณยังไม่เข้าใจ พุทธวจแท้ๆนั้นเองครับ
การศึกษาพุทธวจนะไม่ให้นอกลู่นอกทาง เป็นสิ่งดีครับ
นั้นหมายถึงเราต้องไม่เอาพุทธวจนะ ออกนอกหลักธรรม ที่เป็นพุทธวจนะเช่นกัน
อย่างเช่นคำถามนี้ที่ผมถามคุณด้วยเรื่องที่เกี่ยวกับต้นไม้
คุณไปเอาพุทธวจนะที่ผิดหลักธรรมของพระพุทธเจ้า มาบอกเพื่อนๆครับ


อธิบายเพื่อความเข้าใจ และจะได้เอาไว้เป็นแบบแผนในการอ้างอิงพุทธวจนะครับ
ก่อนอื่นคุณคงไม่เถียงผมนะครับว่า...สัพเพธัมมา อนัตตา
กับสัพเพสังขารา อนิจจา ทุกขัง อนัตตา
ธรรมทั้งสอง เป็นหลักธรรมหรือพุทะวจนะของพระพุทธเจ้า

ผมถามคุณด้วยเรื่องต้นไม้ คุณจะต้องพิจารณาก่อนครับว่า
ต้นไม้ที่ผมบอก มันเข้าได้กับหลักธรรมไหนของพระพุทธเจ้า

ไม่ใช่ผมถามคุณเรื่องต้นไม้ แต่คุณไม่ได้ดูในหลักธรรมเลยว่า
ต้นไม้ขึ้นอยู่กับหลักธรรมใดของพระพุทธเจ้า คุณไปเอาพุทธวจนะ
ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผมถาม ที่สำคัญมันผิดหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวไว้

พุทธวจนะที่คุณเอามาบอกผม มันเป็นเรื่องของ.....สังขาร
มันเป็นหลักธรรมที่ว่า...สัพเพ สังขารา อนิจัง ทุกขัง อนัตตา
แต่ต้นไม้มันขึ้นอยู่ในหลักธรรมที่ว่า.....สัพเพ ธัมมาอนัตตา


ลองพิจารณาดีๆครับว่ามันจริงอย่างที่ผมพูดมั้ย
ผมอยากจะชี้จุดที่ผผิดพลาดของคุณ(ขอโทษที่ต้องกล่าวแบบนี้)
ที่เห็นก็คือคุณไม่เข้าใจประเด็นที่ผมถาม ที่เป็นแบบนี้เพราะ คุณไม่เข้าใจ
ในหลักธรรมของพุทธเจ้า พอคุณเห็นคำถามของผม คุณก็มุ่งตรงไปที่คำศัพท์
แล้วก็ไปหาว่า เนื้อหาในพุทธวจนะมีบทนั้นที่มีคำว่าต้นไม้ แล้วก็เอามาบอกผม
ทั้งๆที่มันไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับต้นไม้ พุทธวนะที่คุณเอามามันเป็น เรื่อง....สังขารในใจคน

ดังนั้นพุทธวจะที่เราควรรู้ควรศึกษาคือหลักธรรม
ไม่ใช่ เนื้อหาในพระสูตรหรือพระวินัย พระสูตรหรือพระวินัย เขามีไว้เทียบเคียง
กับหลักธรรมครับ


ไม่เห็นด้วยตรงไหนยินดีรับฟังครับ และอยากให้คิดไว้ด้วยว่า
เราไม่ได้ทะเลาะกันครับ :b13:


***ก่อนอื่นขอบอกว่า เราไม่ได้ทะเลาะกันครับ และยินดีรับฟังทุกคอมเมนต์ แต่ต้องคอมเมนต์ด้วย
พุทธวจนเท่านั้น อย่าคอมเมนต์ด้วยคำสาวกครับ..

กระทู้นี้มีเพื่อตอบคำถามธรรมะตามประโยคคำถามเท่านั้น ไม่ได้ตีความให้ลึกลงไปเพราะถ้าต้องการแบบลึก ต้องไปศึกษาเอาเองครับ และผู้ที่มีความลึกอยู่แล้วทราบอยู่แล้วก็ไม่ควรถามครับ
เรื่องหลักธรรม ก็คือเนื้อหาในพระสูตร ถ้าหลักธรรมใดไม่ตรงกับพระสูตร จะถือว่าเป็นหลักธรรมไดอย่างไรครับ ..ตัวอย่างเช่น คำว่า ขนิกสมาธิ....เป็นหลักธรรม แต่ไม่มีในพระสูตรคือพระศาสดาไม่เคยตรัสมาทั้งชีวิต จะถือเป็นหลักธรรมได้อย่างไรครับ....
เอาเป็นว่ากระทู้นี้มีเพื่อผู้ที่ไม่เข้าใจในธรรมะที่เป็นพุทธวจนเท่านั้นครับ เพราะคำถามที่ไม่ใช่พุทธวจน
ผมขอสงวนสิทธิ์ไม่ตอบนะครับ....

สัพเพสังขารา อนิจจา ทุกขัง อนัตตา
สัพเพ ธัมมาอนัตตา
2 ประโยคธรรมะนี้ผมใคร่ถามว่าธรรมะชั้นลึกมันคืออะไรครับ ขอเป็นพุทธวจนนะครับ..


ไม่เห็นด้วยตรงไหนยินดีรับฟังครับ และอยากให้คิดไว้ด้วยว่า
เราไม่ได้ทะเลาะกันครับ.....

.....................................................
ภิกษุทั้งหลาย จักไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่เคยบัญญัติ...จักไม่เพิกถอนสิ่งที่บัญญัติ
ไว้แล้ว...
จักสมาทานศึกษาในสิกขาบทที่บัญญัติไว้แล้วอย่างเคร่งครัด


แก้ไขล่าสุดโดย พุทธวจน บางบัวทอง เมื่อ 08 ก.พ. 2013, 11:25, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2013, 11:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธวจน บางบัวทอง เขียน:
โฮฮับ เขียน:
พุทธวจน บางบัวทอง เขียน:
...ถามกว้างมากครับ แต่ขอยกที่เกี่ยวกับต้นไม้มาซัก 2 เรื่องครับ..

มันไม่ได้กว้างหรอกครับ เพียงแต่คุณยังไม่เข้าใจ พุทธวจแท้ๆนั้นเองครับ
การศึกษาพุทธวจนะไม่ให้นอกลู่นอกทาง เป็นสิ่งดีครับ
นั้นหมายถึงเราต้องไม่เอาพุทธวจนะ ออกนอกหลักธรรม ที่เป็นพุทธวจนะเช่นกัน
อย่างเช่นคำถามนี้ที่ผมถามคุณด้วยเรื่องที่เกี่ยวกับต้นไม้
คุณไปเอาพุทธวจนะที่ผิดหลักธรรมของพระพุทธเจ้า มาบอกเพื่อนๆครับ


อธิบายเพื่อความเข้าใจ และจะได้เอาไว้เป็นแบบแผนในการอ้างอิงพุทธวจนะครับ
ก่อนอื่นคุณคงไม่เถียงผมนะครับว่า...สัพเพธัมมา อนัตตา
กับสัพเพสังขารา อนิจจา ทุกขัง อนัตตา
ธรรมทั้งสอง เป็นหลักธรรมหรือพุทะวจนะของพระพุทธเจ้า

ผมถามคุณด้วยเรื่องต้นไม้ คุณจะต้องพิจารณาก่อนครับว่า
ต้นไม้ที่ผมบอก มันเข้าได้กับหลักธรรมไหนของพระพุทธเจ้า

ไม่ใช่ผมถามคุณเรื่องต้นไม้ แต่คุณไม่ได้ดูในหลักธรรมเลยว่า
ต้นไม้ขึ้นอยู่กับหลักธรรมใดของพระพุทธเจ้า คุณไปเอาพุทธวจนะ
ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผมถาม ที่สำคัญมันผิดหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวไว้

พุทธวจนะที่คุณเอามาบอกผม มันเป็นเรื่องของ.....สังขาร
มันเป็นหลักธรรมที่ว่า...สัพเพ สังขารา อนิจัง ทุกขัง อนัตตา
แต่ต้นไม้มันขึ้นอยู่ในหลักธรรมที่ว่า.....สัพเพ ธัมมาอนัตตา


ลองพิจารณาดีๆครับว่ามันจริงอย่างที่ผมพูดมั้ย
ผมอยากจะชี้จุดที่ผผิดพลาดของคุณ(ขอโทษที่ต้องกล่าวแบบนี้)
ที่เห็นก็คือคุณไม่เข้าใจประเด็นที่ผมถาม ที่เป็นแบบนี้เพราะ คุณไม่เข้าใจ
ในหลักธรรมของพุทธเจ้า พอคุณเห็นคำถามของผม คุณก็มุ่งตรงไปที่คำศัพท์
แล้วก็ไปหาว่า เนื้อหาในพุทธวจนะมีบทนั้นที่มีคำว่าต้นไม้ แล้วก็เอามาบอกผม
ทั้งๆที่มันไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับต้นไม้ พุทธวนะที่คุณเอามามันเป็น เรื่อง....สังขารในใจคน

ดังนั้นพุทธวจะที่เราควรรู้ควรศึกษาคือหลักธรรม
ไม่ใช่ เนื้อหาในพระสูตรหรือพระวินัย พระสูตรหรือพระวินัย เขามีไว้เทียบเคียง
กับหลักธรรมครับ


ไม่เห็นด้วยตรงไหนยินดีรับฟังครับ และอยากให้คิดไว้ด้วยว่า
เราไม่ได้ทะเลาะกันครับ :b13:


***ก่อนอื่นขอบอกว่า เราไม่ได้ทะเลาะกันครับ และยินดีรับฟังทุกคอมเมนต์ แต่ต้องคอมเมนต์ด้วย
พุทธวจนเท่านั้น อย่าคอมเมนต์ด้วยคำสาวกครับ..

กระทู้นี้มีเพื่อตอบคำถามธรรมะตามประโยคคำถามเท่านั้น ไม่ได้ตีความให้ลึกลงไปเพราะถ้าต้องการแบบลึก ต้องไปศึกษาเอาเองครับ และผู้ที่มีความลึกอยู่แล้วทราบอยู่แล้วก็ไม่ควรถามครับ
เรื่องหลักธรรม ก็คือเนื้อหาในพระสูตร ถ้าหลักธรรมใดไม่ตรงกับพระสูตร จะถือว่าเป็นหลักธรรมไดอย่างไรครับ ..ตัวอย่างเช่น คำว่า ขนิกสมาธิ....เป็นหลักธรรม แต่ไม่มีในพระสูตรคือพระศาสดาไม่เคยตรัสมาทั้งชีวิต จะถือเป็นหลักธรรมได้อย่างไรครับ....
เอาเป็นว่ากระทู้นี้มีเพื่อผู้ที่ไม่เข้าใจในธรรมะที่เป็นพุทธวจนเท่านั้นครับ เพราะคำถามที่ไม่ใช่พุทธวจน
ผมขอสงวนสิทธิ์ไม่ตอบนะครับ....

ไม่เห็นด้วยตรงไหนยินดีรับฟังครับ และอยากให้คิดไว้ด้วยว่า
เราไม่ได้ทะเลาะกันครับ.....
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2013, 11:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
กรณีนี้

http://www.youtube.com/watch?v=aZ4TG5Pc ... _embedded#

ไม่แตกต่างกับ พองหนอ ยุบหนอ หรือ พุทโธ หรือแม้กระทั่ง ในการใช้คำบริกรรมอื่นๆ ที่ไม่ใช้วิธีรู้สภาวะที่เกิดขึ้นกับกาย(ลมหายใจ/ท้องพองยุบ)

แต่ใช้วิธี กำหนดคำบริกรรมภาวนาเร็วๆ หายใจเร็วๆ หรือแบบในยูทูปที่นำมาให้ดู บางคนทำแบบนี้ถูกจริตก็มี(เป็นสมาธิ) บางคนไม่ถูกจริตก็มี จากภาพที่มองเห็น บางคนใช้วิธีนั่งปกติ

บางคนกำลังเขย่าตัว หันมามองกล้องนั่นคือ ยังไม่เป็นสมาธิ หากเป็นสมาธิ จะตัดขาดการรับรู้ภายนอก

บางที่ ผู้แนะนำคอยกระตุ้นว่า เร็วๆๆๆๆๆๆๆ หมายถึง เขย่าตัวเร็วๆ หรือให้หายใจเร็วๆ พอถึงจุดๆหนึ่ง จิตจะสงบลงเป็นสมาธิ แล้วจะนั่งนิ่งลงไปเอง

หากยังไม่เป็นสมาธิก็เขย่าตัว หรือหายใจแรงๆเร็วๆ จนเหนื่อย แล้วเลิกทำ เปลี่ยนเป็นนั่งนิ่งๆ จิตก็เป็นสมาธิไปเอง ก็มี

(จากประสพการณ์ส่วนตัว ไม่ได้คาดเดาเอาเอง)


หากใครทำได้ ตามสัปปายะ ตามเหตุปัจจัยของตน นั่นแหละ คือ ความเป็นมงคลภายใน และสามารถนำมาทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดในชีวิตได้ อันนี้ก็แล้วแต่เหตุปัจจัยของแต่ละคนอีกแหละ ใช่ว่า จะเหมือนกันหมด


พระที่มาสอน เขาไม่ได้มาทำนายทายทัก เพียงแต่ท่านมาแนะนำ ในการทำให้จิตเป็นสมาธิ โดยท่านทำได้ แบบวิธีไหน ท่านก็สอนแบบนั้น

จึงไม่ใช่วิธีของพวกปริพาชก และไม่เป็นเดรัจฉานวิชา แต่เป็นไปตามเหตุปัจจัยของแต่ละคน

ใครที่เชื่อท่าน ก็เพราะ สร้างเหตุมาร่วมกัน

ใครที่ไม่เชื่อ เพราะ ไม่ได้สร้างเหตุมาร่วมกัน

เหมือนกับการนำวิพากย์วิจารณ์ เช่นเดียวกัน


สิ่งดีที่มองเห็นคือ อย่างน้อยๆ ท่านไม่ได้สอนให้คนทำผิดศิล แต่อย่างใด และ การทำให้จิตเป็นสมาธิ ที่บางคนทำแล้วถูกจริต ของตัวเอง

หากทำได้ ย่อมทำให้เกิดความศรัทธา เป็นเหตุให้เกิดความเพียร ส่วนที่เหลือ แล้วแต่เหตุปัจจัย



สมาธิอะไร :b1:

ประสบการณ์อะไรครับ :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2013, 11:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณวลัยพร เคยมีประสบการณ์+สมาธิยังงี้หรอ :b14:

http://www.youtube.com/watch?v=aVz-xmGmcn8

ไม่ผิดกระทู้นะครับ นี่ก็คนในโลกนี้ :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2013, 11:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
คุณวลัยพร เคยมีประสบการณ์+สมาธิยังงี้หรอ :b14:

http://www.youtube.com/watch?v=aVz-xmGmcn8

ไม่ผิดกระทู้นะครับ นี่ก็คนในโลกนี้ :b13:
เทปนี้ดังตับๆๆเลยนะครับ ต้องลองๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2013, 11:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ส.ค. 2012, 11:26
โพสต์: 56


 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
คุณวลัยพร เคยมีประสบการณ์+สมาธิยังงี้หรอ :b14:

http://www.youtube.com/watch?v=aVz-xmGmcn8

ไม่ผิดกระทู้นะครับ นี่ก็คนในโลกนี้ :b13:
เทปนี้ดังตับๆๆเลยนะครับ ต้องลองๆ


มรรควิธีใน youtube นี้ไม่ใช่ที่พระศาสดาบัญญัติ เพราะการนั่งแล้วสั่นนี้ขัดกับพระสูตรนี้ครับ..

....ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะ
ซึ่งกายทั้งปวง หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะ
ซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก”;

ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำกายสังขาร
ให้รำงับ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับ
หายใจออก”;....

อุปริ. ม. ๑๔/๑๙๐-๒๐๑/๒๘๒-๒๙๑.

กายต้องรำงับ ไม่ใช่สั่นครับ...

และอีกพระสูตร..
เจริญอานาปานสติ :
ความหวั่นไหวโยกโคลงแห่งกายและจิต
ย่อมมีขึ้นไม่ได้

ครั้งหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทอดพระเนตร
เห็นพระมหากัปปินะ ผู้มีกายไม่โยกโคลง แล้วได้ตรัสแก่
ภิกษุทั้งหลายว่า :-
ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอเห็นความหวั่นไหว หรือ
ความโยกโคลงแห่งกายของมหากัปปินะบ้างหรือไม่ ?
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! เวลาใดที่ข้าพระองค์ทั้งหลาย
เห็นท่านผู้มีอายุนั่งในท่ามกลางสงฆ์ก็ดี นั่งในที่ลับคนเดียวก็ดี
ในเวลานั้นๆ ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ได้เห็นความหวั่นไหว หรือ
ความโยกโคลงแห่งกายของท่านผู้มีอายุรูปนั้นเลย พระเจ้าข้า !”
ภิกษุทั้งหลาย ! ความหวั่นไหวโยกโคลงแห่งกาย
ก็ตาม ความหวั่นไหวโยกโคลงแห่งจิตก็ตาม มีขึ้นไม่ได้
เพราะการเจริญทำให้มากซึ่งสมาธิใด; ภิกษุมหากัปปินะนั้น
เป็นผู้ได้ตามปรารถนา ได้ไม่ยาก ได้ไม่ลำบาก ซึ่งสมาธินั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! ความหวั่นไหวโยกโคลงแห่งกาย
ก็ตาม ความหวั่นไหวโยกโคลงแห่งจิตก็ตาม มีขึ้นไม่ได้
เพราะการเจริญทำให้มากซึ่งสมาธิเหล่าไหนเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ความหวั่นไหวโยกโคลงแห่งกาย
ก็ตาม ความหวั่นไหวโยกโคลงแห่งจิตก็ตาม ย่อมมีไม่ได้
เพราะการเจริญทำให้มากซึ่งอานาปานสติสมาธิ.
ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่ออานาปานสติสมาธิ อันบุคคล
เจริญ ทำให้มากแล้ว อย่างไรเล่า ความหวั่นไหวโยกโคลง
แห่งกายก็ตาม ความหวั่นไหวโยกโคลงแห่งจิตก็ตาม
จึงไม่มี ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ในกรณีนี้ ภิกษุไปแล้วสู่ป่า หรือ
โคนไม้ หรือเรือนว่างก็ตาม นั่งคู้ขาเข้ามาโดยรอบ ตั้งกายตรง
ดำรงสติเฉพาะหน้า เธอนั้น มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก :
เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว,
เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกยาว;
เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น,
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสั้น;
(แต่นี้ได้ตรัสไว้อย่างเดียวกัน ซึ่งเหมือนในหน้า ๑–๔
ทุกประการ).

ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่ออานาปานสติสมาธิ อันบุคคล
เจริญ ทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล ความหวั่นไหวโยกโคลง
แห่งกายก็ตาม ความหวั่นไหวโยกโคลงแห่งจิตก็ตาม
ย่อมมีไม่ได้ ดังนี้.

มหาวาร. สํ. ๑๙/๓๙๙-๔๐๐/๑๓๒๒-๑๓๒๖.

.....................................................
ภิกษุทั้งหลาย จักไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่เคยบัญญัติ...จักไม่เพิกถอนสิ่งที่บัญญัติ
ไว้แล้ว...
จักสมาทานศึกษาในสิกขาบทที่บัญญัติไว้แล้วอย่างเคร่งครัด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2013, 16:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
พุทธวจน บางบัวทอง เขียน:
...ถามกว้างมากครับ แต่ขอยกที่เกี่ยวกับต้นไม้มาซัก 2 เรื่องครับ..

มันไม่ได้กว้างหรอกครับ เพียงแต่คุณยังไม่เข้าใจ พุทธวจแท้ๆนั้นเองครับ
การศึกษาพุทธวจนะไม่ให้นอกลู่นอกทาง เป็นสิ่งดีครับ
นั้นหมายถึงเราต้องไม่เอาพุทธวจนะ ออกนอกหลักธรรม ที่เป็นพุทธวจนะเช่นกัน
อย่างเช่นคำถามนี้ที่ผมถามคุณด้วยเรื่องที่เกี่ยวกับต้นไม้
คุณไปเอาพุทธวจนะที่ผิดหลักธรรมของพระพุทธเจ้า มาบอกเพื่อนๆครับ


อธิบายเพื่อความเข้าใจ และจะได้เอาไว้เป็นแบบแผนในการอ้างอิงพุทธวจนะครับ
ก่อนอื่นคุณคงไม่เถียงผมนะครับว่า...สัพเพธัมมา อนัตตา
กับสัพเพสังขารา อนิจจา ทุกขัง อนัตตา
ธรรมทั้งสอง เป็นหลักธรรมหรือพุทะวจนะของพระพุทธเจ้า

ผมถามคุณด้วยเรื่องต้นไม้ คุณจะต้องพิจารณาก่อนครับว่า
ต้นไม้ที่ผมบอก มันเข้าได้กับหลักธรรมไหนของพระพุทธเจ้า

ไม่ใช่ผมถามคุณเรื่องต้นไม้ แต่คุณไม่ได้ดูในหลักธรรมเลยว่า
ต้นไม้ขึ้นอยู่กับหลักธรรมใดของพระพุทธเจ้า คุณไปเอาพุทธวจนะ
ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผมถาม ที่สำคัญมันผิดหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวไว้

พุทธวจนะที่คุณเอามาบอกผม มันเป็นเรื่องของ.....สังขาร
มันเป็นหลักธรรมที่ว่า...สัพเพ สังขารา อนิจัง ทุกขัง อนัตตา
แต่ต้นไม้มันขึ้นอยู่ในหลักธรรมที่ว่า.....สัพเพ ธัมมาอนัตตา


ลองพิจารณาดีๆครับว่ามันจริงอย่างที่ผมพูดมั้ย
ผมอยากจะชี้จุดที่ผผิดพลาดของคุณ(ขอโทษที่ต้องกล่าวแบบนี้)
ที่เห็นก็คือคุณไม่เข้าใจประเด็นที่ผมถาม ที่เป็นแบบนี้เพราะ คุณไม่เข้าใจ
ในหลักธรรมของพุทธเจ้า พอคุณเห็นคำถามของผม คุณก็มุ่งตรงไปที่คำศัพท์
แล้วก็ไปหาว่า เนื้อหาในพุทธวจนะมีบทนั้นที่มีคำว่าต้นไม้ แล้วก็เอามาบอกผม
ทั้งๆที่มันไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับต้นไม้ พุทธวนะที่คุณเอามามันเป็น เรื่อง....สังขารในใจคน

ดังนั้นพุทธวจะที่เราควรรู้ควรศึกษาคือหลักธรรม
ไม่ใช่ เนื้อหาในพระสูตรหรือพระวินัย พระสูตรหรือพระวินัย เขามีไว้เทียบเคียง
กับหลักธรรมครับ


ไม่เห็นด้วยตรงไหนยินดีรับฟังครับ และอยากให้คิดไว้ด้วยว่า
เราไม่ได้ทะเลาะกันครับ :b13:
เอากิเลสตัวเองเป็นหลัก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2013, 20:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
คุณวลัยพร เคยมีประสบการณ์+สมาธิยังงี้หรอ :b14:

http://www.youtube.com/watch?v=aVz-xmGmcn8

ไม่ผิดกระทู้นะครับ นี่ก็คนในโลกนี้ :b13:


คนไม่เคยได้ฌาณ....ได้ครั้งแรก ๆ มันจะหยาบ...เต้นไปเต้นมาบ้าง...สั่นไปบ้าง....ตีอกชกตัวไปบ้าง...เป็นธรรมด๊า..ธรรมดา

ซึ่งนั้นก็เรื่องของเขา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2013, 21:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธวจน บางบัวทอง เขียน:
[
ครั้งหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทอดพระเนตร
เห็นพระมหากัปปินะ ผู้มีกายไม่โยกโคลง แล้วได้ตรัสแก่

ภิกษุทั้งหลายว่า :-
ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอเห็นความหวั่นไหว หรือ
ความโยกโคลงแห่งกายของมหากัปปินะบ้างหรือไม่ ?
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! เวลาใดที่ข้าพระองค์ทั้งหลาย
เห็นท่านผู้มีอายุนั่งในท่ามกลางสงฆ์ก็ดี นั่งในที่ลับคนเดียวก็ดี
ในเวลานั้นๆ ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ได้เห็นความหวั่นไหว หรือ
ความโยกโคลงแห่งกายของท่านผู้มีอายุรูปนั้นเลย พระเจ้าข้า !”
ภิกษุทั้งหลาย ! ความหวั่นไหวโยกโคลงแห่งกาย
ก็ตาม ความหวั่นไหวโยกโคลงแห่งจิตก็ตาม มีขึ้นไม่ได้
เพราะการเจริญทำให้มากซึ่งสมาธิใด; ภิกษุมหากัปปินะนั้น
เป็นผู้ได้ตามปรารถนา ได้ไม่ยาก ได้ไม่ลำบาก ซึ่งสมาธินั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! ความหวั่นไหวโยกโคลงแห่งกาย
ก็ตาม ความหวั่นไหวโยกโคลงแห่งจิตก็ตาม มีขึ้นไม่ได้
เพราะการเจริญทำให้มากซึ่งสมาธิเหล่าไหนเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ความหวั่นไหวโยกโคลงแห่งกาย
ก็ตาม ความหวั่นไหวโยกโคลงแห่งจิตก็ตาม ย่อมมีไม่ได้
เพราะการเจริญทำให้มากซึ่งอานาปานสติสมาธิ.
ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่ออานาปานสติสมาธิ อันบุคคล
เจริญ ทำให้มากแล้ว อย่างไรเล่า ความหวั่นไหวโยกโคลง
แห่งกายก็ตาม ความหวั่นไหวโยกโคลงแห่งจิตก็ตาม
จึงไม่มี
?




ถ้ามี...แต่ยังไม่เจริญยังไม่มาก....แล้วจะเป็นยังงัย..น่า??? :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2013, 04:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
คุณวลัยพร เคยมีประสบการณ์+สมาธิยังงี้หรอ :b14:

http://www.youtube.com/watch?v=aVz-xmGmcn8

ไม่ผิดกระทู้นะครับ นี่ก็คนในโลกนี้ :b13:


คนไม่เคยได้ฌาณ....ได้ครั้งแรก ๆ มันจะหยาบ...เต้นไปเต้นมาบ้าง...สั่นไปบ้าง....ตีอกชกตัวไปบ้าง...เป็นธรรมด๊า..ธรรมดา

ซึ่งนั้นก็เรื่องของเขา...



ข้อความ จขกท.นี้

อ้างคำพูด:
กระทู้นี้เปิดขึ้นเพื่อให้ พุทธบริษัท ที่มีปัญหาในเรื่องธรรมและวินัย ได้เข้ามาถาม และคำตอบทุกคำตอบ
จะใช้พุทธวจนตอบเท่านั้นครับ...
ปัญหาธรรมทุกปัญหา พระศาสดาได้ทรงตอบไว้แล้วทุกเรื่อง เพราะการที่พระองค์ทรงทราบถึง
ทิฐิ 62 ของคนทั้งโลกจึงได้ตอบไว้อย่างครอบคลุม และคำตอบนั้นเป็น อกาลิโก ไม่ถูกจำกัดด้วยกาล
เวลา....
ท่านที่มีความที่ไม่ทราบอย่าเก็บไว้ครับ...


ซึ่งกรัชกายก็เป็นพุทธบริษัท จึงถามด้วยความอยากรู้ เพราะนั่นก็เป็นเรื่องของคนในโลก เพราะพุทธเจ้าตอบไว้แล้วทุกปัญหา ใช่หรือไม่ นี่คือคำถาม :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2013, 04:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
พุทธวจน บางบัวทอง เขียน:
[
ครั้งหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทอดพระเนตร
เห็นพระมหากัปปินะ ผู้มีกายไม่โยกโคลง แล้วได้ตรัสแก่

ภิกษุทั้งหลายว่า :-
ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอเห็นความหวั่นไหว หรือ
ความโยกโคลงแห่งกายของมหากัปปินะบ้างหรือไม่ ?
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! เวลาใดที่ข้าพระองค์ทั้งหลาย
เห็นท่านผู้มีอายุนั่งในท่ามกลางสงฆ์ก็ดี นั่งในที่ลับคนเดียวก็ดี
ในเวลานั้นๆ ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ได้เห็นความหวั่นไหว หรือ
ความโยกโคลงแห่งกายของท่านผู้มีอายุรูปนั้นเลย พระเจ้าข้า !”
ภิกษุทั้งหลาย ! ความหวั่นไหวโยกโคลงแห่งกาย
ก็ตาม ความหวั่นไหวโยกโคลงแห่งจิตก็ตาม มีขึ้นไม่ได้
เพราะการเจริญทำให้มากซึ่งสมาธิใด; ภิกษุมหากัปปินะนั้น
เป็นผู้ได้ตามปรารถนา ได้ไม่ยาก ได้ไม่ลำบาก ซึ่งสมาธินั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! ความหวั่นไหวโยกโคลงแห่งกาย
ก็ตาม ความหวั่นไหวโยกโคลงแห่งจิตก็ตาม มีขึ้นไม่ได้
เพราะการเจริญทำให้มากซึ่งสมาธิเหล่าไหนเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ความหวั่นไหวโยกโคลงแห่งกาย
ก็ตาม ความหวั่นไหวโยกโคลงแห่งจิตก็ตาม ย่อมมีไม่ได้
เพราะการเจริญทำให้มากซึ่งอานาปานสติสมาธิ.
ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่ออานาปานสติสมาธิ อันบุคคล
เจริญ ทำให้มากแล้ว อย่างไรเล่า ความหวั่นไหวโยกโคลง
แห่งกายก็ตาม ความหวั่นไหวโยกโคลงแห่งจิตก็ตาม
จึงไม่มี
?




ถ้ามี...แต่ยังไม่เจริญยังไม่มาก....แล้วจะเป็นยังงัย..น่า??? :b13: :b13:



อยากรู้เหมือนกัน มันเป็นยังไง รู้ก็บอกเขาไปซี่ครับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2013, 05:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธวจน บางบัวทอง เขียน:
***ก่อนอื่นขอบอกว่า เราไม่ได้ทะเลาะกันครับ และยินดีรับฟังทุกคอมเมนต์ แต่ต้องคอมเมนต์ด้วย
พุทธวจนเท่านั้น อย่าคอมเมนต์ด้วยคำสาวกครับ..

คุณเกริ่นนำเองนะครับว่าตอบได้ทุกเรื่อง แถมยังบอกด้วยว่าแก้กิเลสให้คนได้
คำของพระพุทธเจ้าที่คุณเอามาอ้าง คุณก็บอกเองว่าครอบคลุมไว้หมด และไม่จำกัดกาล

พุทธวจน บางบัวทอง เขียน:
กระทู้นี้เปิดขึ้นเพื่อให้ พุทธบริษัท ที่มีปัญหาในเรื่องธรรมและวินัย ได้เข้ามาถาม และคำตอบทุกคำตอบ
จะใช้พุทธวจนตอบเท่านั้นครับ...
ปัญหาธรรมทุกปัญหา พระศาสดาได้ทรงตอบไว้แล้วทุกเรื่อง เพราะการที่พระองค์ทรงทราบถึง
ทิฐิ 62 ของคนทั้งโลกจึงได้ตอบไว้อย่างครอบคลุม และคำตอบนั้นเป็น อกาลิโก ไม่ถูกจำกัดด้วยกาล
เวลา....
ท่านที่มีความที่ไม่ทราบอย่าเก็บไว้ครับ....


ตอนนี้คุณมาบอกว่า.....อย่าคอมเม้นดวยคำของสาวก ผมจะบอกให้ครับ
ถ้าใครเข้าคอมเม้นด้วยคำของสาวก คุณไม่เห็นด้วยตรงไหน ก็เอาพุทธพจน์มาแก้ให้เขาสซิครับ
อย่าลืมครับว่า คุณตั้งกระทู้ให้คนเขาถาม เรื่องพุทธวจนะ คนถามย่อมต้องไม่รู้คำใด
เป็นหรือไม่เป็น พุทธวจนะ

ในส่วนของผมที่เอาหลักธรรมมาคอมเม้นคุณ มันเป็นพุทธวจนะอยู่แล้วครับ
ก่อนที่ผมจะเอาหลักธรรมทั้งสองมาอ้าง ผมก็ให้เกียรติถามคุณก่อนแล้วว่า
สิ่งที่ผมอ้างเป็นพุทธวจนะ คุณจะยอมรับมั้ย แต่คุณก็เฉยๆแต่กลับไปเอาคำ
ของคนอื่น มาอ้างกับผม เรื่องขณิกสมาธิผมไม่ได้พูดกับคุณเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2013, 05:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธวจน บางบัวทอง เขียน:
กระทู้นี้มีเพื่อตอบคำถามธรรมะตามประโยคคำถามเท่านั้น ไม่ได้ตีความให้ลึกลงไปเพราะถ้าต้องการแบบลึก ต้องไปศึกษาเอาเองครับ และผู้ที่มีความลึกอยู่แล้วทราบอยู่แล้วก็ไม่ควรถามครับ


ถ้าเป็นแบบนี้ กระทู้ที่คุณตั้งขึ้นแล้วบอกว่า ตอบได้ทุกคำถามก็ไม่จริง
สิ่งที่คุณเอามาให้เพื่อนๆดู มันไม่ใช่การตอบคำถามครับ

แล้วเรื่องที่ผมถามในตอนแรก ผมไม่รู้ครับว่า พระพุทธกล่าวพุทะวจนะที่
เป็นเรื่องของต้นไม้ไว้อย่างไร สิ่งที่ผมรู้ก็แค่เป็นคำนิยามที่เกี่ยวกับต้นไม้
ซี่งมันก็ไม่ใช่พุทธวจนะ คุณไปเอาพุทธวจะนะที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผมถามมาตอบ
แสดงให้รู้ว่า คุณก็ไม่รู้ใน พุทธวจนะที่จริงแท้เป็นอย่างไร

พุทธวจน บางบัวทอง เขียน:
เรื่องหลักธรรม ก็คือเนื้อหาในพระสูตร ถ้าหลักธรรมใดไม่ตรงกับพระสูตร จะถือว่าเป็นหลักธรรมไดอย่างไรครับ ..ตัวอย่างเช่น คำว่า ขนิกสมาธิ....เป็นหลักธรรม แต่ไม่มีในพระสูตรคือพระศาสดาไม่เคยตรัสมาทั้งชีวิต จะถือเป็นหลักธรรมได้อย่างไรครับ....
เอาเป็นว่ากระทู้นี้มีเพื่อผู้ที่ไม่เข้าใจในธรรมะที่เป็นพุทธวจนเท่านั้นครับ เพราะคำถามที่ไม่ใช่พุทธวจน
ผมขอสงวนสิทธิ์ไม่ตอบนะครับ....


ทำไมคุณพูดกลับตาลปัตรแบบนี้ครับ .....
มันต้องเป็นว่า ถ้าใครเอาพระสูตรมาอ้างโดยผิดหลักธรรม พระสูตรที่มาอ้างก็ใช่ไม่ได้ครับ
หลักธรรมเป็นธรรมที่ครอบคลุมธรรมชาติไว้หมด แต่พระสูตรเป็นธรรมที่กล่าวจำเพาะเจาะจง
ในตัวบุคคลครับ.....ที่คุณบอกเองว่า กิเลสมี๖๒


ผมบอกคุณหรือว่า ขณิกสมาธิเป็นหลักธรรม
ขณิกสมาธิ ไม่ได้เป็นหลักธรรมอะไรเลย มันเป็นผลของการปฏิบัติเท่านั้น
และที่คุณบอกว่า ถามคำถามไม่ใช่พุทธวจนะจะไม่ขอตอบ อันนี้คุณกำลังเกเรนะครับ
การถามคนอื่นเขาถามในสิ่งที่ไม่ใช่พุทธพจน์ได้ครับ เพราะคนเรามันรู้ไม่เหมือนกัน
แต่การตอบของคุณต้องตอบเป็นพุทธวจนะครับ
ความผิดไม่ได้อยู่ที่ผู้ถามครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 37 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร