วันเวลาปัจจุบัน 19 มิ.ย. 2025, 13:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2012, 12:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


<ตะวัน> เขียน:
ตะวัน เขียน:
สะกิดโดนใจ!!!!! เข้าหน่อยเดียวออกอาการเลยนะท่าน
อย่าซีเรียส มากเลย แค่ล้อเล่นหน่อยเดียวทำเคือง
โอ๋ๆๆๆๆๆๆ ไม่ว่าเป็นเกย์แล้วก็ได้

คุณนี้ตลกดีนะครับ พูดจาน้อมแน้มเหมือนเด็กที่นมพึ่งแตกพาน
คำพูดแบบนี้ถ้าเป็นผู้ใหญ่พูดเข้าทำนอง ผิดแล้วพูดแก้เกี้ยวครับ

แล้วที่บอกว่าออกอาการที่คุณว่า มันเป็นไงหรือครับ
เป็นอาการเหมือนเต่าหดหัว ที่คุณไปจีบปากฉอเลอะออดอ้อนแก้ตัว
กับคุณกะลาใช่ไมครับ

อย่าคิดไปเองซิครับว่าคนอื่นจะเคือง ก็แค่โดนว่าเป็นเกย์ไม่เห็นเสียหายตรงไหน
แต่ที่น่าจะเคืองมันต้องโดนชาวบ้านเขาว่า ...
เป็นเต่าหดหัว จนต้องเอาไม้แยงตูดครับ :b32:

<ตะวัน> เขียน:
[เห็น...เน้นแต่แยงก้น...ซะมากมาย
เขียนแค่ไม่กีบรรทัดแต่เล่นเน้นซะตั้ง 3 ครั้งติดๆกัน

มันก็เลยผิดสังเกตว่าท่านโฮฯน่าจะ........จุดจุดจุด............
(เอ้าหยุด!!!!ไม่คิดต่อแล้วกันเดี๋ยวจะว่าผมคิดอกุศลกับท่านอีก 55555)

มันแปลกดีครับ เขาพูดแยงก้นเต่า มันจะกี่ร้อยครั้งมันก็เป็นก้นเต่า
มันเป็นคุณที่คิดวิตถารเอง ดันคิดเคลิ้มไปได้ว่า ก้นเต่าเป็นก้นคุณ
เพราๆบ้างก็ดีนะครับเรื่องพรรณนี้ มันจะดึงจิตคุณลงต่ำ :b13:
<ตะวัน> เขียน:
คำอื่นที่มัน...ฟังแล้ว...ไพเราะเสนาะหูกว่านี้มีตั้งเยอะแยะทำไมไม่เอามาเทียบหนอ???
อย่าง...โต้กัน...ปะทะกับ...ลุยกับ...ประมือ...ประลองยุทธ...

ไม่มีปัญญาคิดเอามาใช้หรืองัย ถึงได้เอาคำต่ำๆสกปรกแบบ...แยงก้น...มาเทียบ

มาบอกอะไรผมครับ มันเป็นคุณสองคนที่พูดเอง ไอ้เต่าหดหัวเนี่ยน่ะ
คุณก็ปะลองยุทธกันไปซิครับ เต่ามันอยู่ของมันดีๆคุณไปเอ่ยถึงมันก่อนทำไม
ตัวเองพูดเอง ดันมาโยนให้คนอื่น อายมั้ยครับ

แยงก้นเต่ามันสกปรกมันต่ำตรงไหนครับ ผมว่าผมสุภาพแล้วน่ะ
ขนาดเรียกตูดเต่า เป็นก้นเต่า มันเป็นคุณเองที่คิดสกปรก วิตถารจินตนาการก้นเต่า
เป็นก้นตัวเอง ความจริงย่อมเป็นความจริง เมื่อเต่ามันหดหัว จะให้มันโผล่หัว
ก็ต้องเอาไม้แยงก้นมัน ไม่ใช่แยงก้นคุณ


<ตะวัน> เขียน:
ผมก็เลยเอะใจสงสัยไปตามเหตุตามปัจจัยที่แสดงออกมาจากภายในจิตใจท่าน
นิดๆ หน่อยๆ ไปเท่านั้นเอง
ท่านไม่เป็นเกย์...ก็แล้วไปเถอะ....อย่าคิดมาก

150]..............ยินดีต้อนรับเสมอครับท่าน.................[/size]

มันเป็นจิตใจคุณไม่ใช่จิตใจผม คุณมันคิดแต่เรื่องลามก ก็เลยปรุงแต่งเรื่งนี้
ให้มันลามกไปตามจิตคุณ

ส่วนจิตผมคิดแต่เรื่องเต่า เรื่องสำนวนสุภาษิตไทยที่ผมเคยศึกษามาจาก
ครูบาอาจารย์ที่เป็นฆราวาสและเป็นพระ มันจะเป็นเรื่องลามกไปได้อย่างไร
แล้วเรื่องเต่าหดหัวก็เป็นสำนวนไทยที่มีอยู่จริง ไม่ใช่พึ่งแต่งขึ้นมา
เรื่องที่ผมพูดมันเป็น วาจาสุจริต แต่ของคุณแค่จะบอกว่าเป็นวาจาทุจริต
มันยังน้อยไป ต้องเรียกว่า...วาจาลามก จกกาเป็ด :b32:


อีกอย่างครับกับคำที่ปลอบผมน่ะที่ว่า "นิดๆหน่อยๆ
แล้วก็แล้วกันไป อย่าคิดมาก" กรุณาจำคำของคุณไว้ด้วยนะครับ
ยามเมื่อต้องมาสนทนากับผมนะครับ จิตมันจะได้ไม่กระเจิงไปซะก่อน
<ตะวัน> เขียน:
และถ้าผมเป็นประเภท...หดหัวในกระดอง...
ผมจะกล้าลุยกับ...ท่านกบฯเหรอ????....
แถมยังกล้าส่งเทียบเชิญ...ท่านโฮฯ...เข้าไปชี้แนะในกระทู้ผมอีกตะหาก


มันเกี่ยวกับประเด็นนี้มั้ยครับ มันคนละเรื่องแล้วครับ
ประเด็นมันอยู่ที่ มันมีประโยคคำพูดว่า"เต่าหดหัวอยู่ในกระดอง"จริง
ผมก็เอามันมาขยายความให้เข้าใจมากขึ้น แต่คุณไม่เข้าใจดันไปคิดสองแง่สองง่าม
<ตะวัน> เขียน:
...ทั้งๆที่ใครๆในนี้เขาก็รู้กันหมดแหละว่า...
....ท่านโฮฯนั่นน่ะธรรมดาซะที่ไหนกันเล่า....
คงไม่ค่อยมีใครในนี้อยากจะให้ท่านย่างกรายเข้าไปในกระทู้เขาหรอก
แต่สำหรับผม...เชิญท่านแวะมาชี้แนะได้ตามสบาย
.............ทุกเมื่อ..ทุกโอกาส..ทุกเวลา.................

..............ยินดีต้อนรับเสมอครับท่าน.................

รู้เรื่องผมจริงหรือครับ รู้แล้วทำไมหาว่าผมเคือง คิดมากล่ะครับ
แบบนี้รู้ไม่จริงหรอกครับ อีกอย่างก่อนที่จะให้ผมไปกระทู้คุณกรุณา
พูดจาให้มันอยู่ในประเด็นซะก่อนก็ดีครับ คุยอะไรมันต้องมีเหตุผล
มีที่มาที่ไป ไม่ใช่นึกคิดจินตนาการอะไร หรือใช้ความอยากในจิตใต้สำนึก
ออกมาคุย แบบนี้มันไม่ใช่คุยธรรมหรอกครับ

หรือเป็นเพราะคุณ เข้ามาชวนคนคุยเพราะความเหงา ขาดเพื่อน ขาดคนเอาใจ
จะคุยอะไรก็ได้ขอแค่หายเหงา น่าสงสารนะครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2012, 13:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมที่โฮฮับเข้าใจอะไรหว่า เคยถามก็ไม่ตอบสักที ธรรมะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ท่องเป็นนกขุนทองไปได้ อะไรธรรมไหนบอกหน่อยดิ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2012, 23:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


‎มาดู ปฏิจจสมุปบาท ในรูปแบบ อริยสัจจ4 กันครับ


เริ่มด้วย ทุกขอริยสัจ4
ภิกษุ ท. ! ทุกขอริยสัจ เป็นอย่างไรเล่า ? แม้ความเกิด ก็เป็นทุกข์, แม้ความแก่ ก็เป็นทุกข์, แม้ความตาย ก็เป็นทุกข์, แม้โสกะปริเทวะ-ทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย ก็เป็นทุกข์, การประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก เป็นทุกข์, ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รัก เป็นทุกข์, ปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์ : กล่าวโดยย่อ ปัญจุปาทานขันธ์ทั้งหลาย เป็นทุกข์.ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า ทุกขอริยสัจ.

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2012, 03:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
‎มาดู ปฏิจจสมุปบาท ในรูปแบบ อริยสัจจ4 กันครับ


เริ่มด้วย ทุกขอริยสัจ4
ภิกษุ ท. ! ทุกขอริยสัจ เป็นอย่างไรเล่า ? แม้ความเกิด ก็เป็นทุกข์, แม้ความแก่ ก็เป็นทุกข์, แม้ความตาย ก็เป็นทุกข์, แม้โสกะปริเทวะ-ทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย ก็เป็นทุกข์, การประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก เป็นทุกข์, ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รัก เป็นทุกข์, ปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์ : กล่าวโดยย่อ ปัญจุปาทานขันธ์ทั้งหลาย เป็นทุกข์.ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า ทุกขอริยสัจ.
:b8: :b8: :b8:

มั่วอีกแล้วฝึกจิต เตือนแล้วก็ไม่เชื่อ ทุกขอริยสัจสี่ มันเกี่ยวอะไรกับปฏิจสมุปบาท
ในปฏิจสมุปบาท มันเป็นอวิชา เป็นความไม่รู้ อริยสัจจสี่

พูดมาได้ไงว่า"ปฏิจสมุปบาทในรูปแบบอริยสัจสี่"
มันมั่วตั้งแต่หัวข้อกระทู้แล้ว
:b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2012, 06:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
‎มาดู ปฏิจจสมุปบาท ในรูปแบบ อริยสัจจ4 กันครับ


เริ่มด้วย ทุกขอริยสัจ4
ภิกษุ ท. ! ทุกขอริยสัจ เป็นอย่างไรเล่า ? แม้ความเกิด ก็เป็นทุกข์, แม้ความแก่ ก็เป็นทุกข์, แม้ความตาย ก็เป็นทุกข์, แม้โสกะปริเทวะ-ทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย ก็เป็นทุกข์, การประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก เป็นทุกข์, ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รัก เป็นทุกข์, ปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์ : กล่าวโดยย่อ ปัญจุปาทานขันธ์ทั้งหลาย เป็นทุกข์.ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า ทุกขอริยสัจ.
:b8: :b8: :b8:

มั่วอีกแล้วฝึกจิต เตือนแล้วก็ไม่เชื่อ ทุกขอริยสัจสี่ มันเกี่ยวอะไรกับปฏิจสมุปบาท
ในปฏิจสมุปบาท มันเป็นอวิชา เป็นความไม่รู้ อริยสัจจสี่

พูดมาได้ไงว่า"ปฏิจสมุปบาทในรูปแบบอริยสัจสี่"
มันมั่วตั้งแต่หัวข้อกระทู้แล้ว
:b9:


:b12: ท่านเองก็ต้องเห็น ปฏิจสมุปบาทในรูปแบบอริยสัจสี่ ให้ได้นะครับ

บทที่ว่าก่อนตรัส ทุกขอรินสัจ4 เป็นอย่างไรเล่า นะท่านโฮ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ธรรมดาอันเราแสดงแล้วว่า "เหล่านี้ คืออริยสัจทั้ง ๔"
ดังนี้ เป็นธรรมอันสมณพราหมณ์ผู้รู้ทั้งหลายข่มขี่ไม่ได้ ทำให้เราเศร้าหมองไม่ได้ ติเตียน
ไม่ได้ คัดง้างไม่ได้. ข้อนี้ เป็นธรรมที่เรากล่าวแล้วอย่างนี้ เราอาศัยซึ่งอะไรเล่า จึง
กล่าวแล้วอย่างนี้? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เพราะอาศัยซึ่งธาตุทั้งหลาย ๖ ประการ
การก้าวลงสู่ครรภ์ ย่อมมี; เมื่อการก้าวลงสู่ครรภ์ มีอยู่, นามรูป ย่อมมี; เพราะ
มีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ; เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ;เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เราย่อมบัญญัติว่า
"นี้ เป็นความทุกข์" ดังนี้; ว่า "นี้ เป็นทุกขสมุทัย" ดังนี้; ว่า “นี้ เป็น
ทุกขนิโรธ” ดังนี้; ว่า นี้ เป็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา" ดังนี้; แก่สัตว์
ผู้สามารถเสวยเวทนาอยู่.


:b8: :b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย ฝึกจิต เมื่อ 15 ส.ค. 2012, 06:15, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2012, 06:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อด้วย ทุกขสมุทยอริยสัจ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ทุกขสมุทยอริยสัจ เป็นอย่างไรเล่า? เพราะมี
อวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย; เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ;
เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป; เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ;
เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ; เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา;
เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา; เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน;
เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ; เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ; เพราะมีชาติ
เป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน:
ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย!
นี้เรากล่าวว่าทุกขสมุทยอริยสัจ.

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2012, 07:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมแถม บทนี้ให้ท่านโฮ นะครับ เอาไปพิจารณา

หรือป่าวก็ตามใจนะ :b12:

พระพุทธองค์ท่านกล่าวตั้งแต่ ชรามรณะ ฯลฯ ชาติ ...ตลอดสาย เหมือนกันกับ สังขารทั้งหลาย จนมาถึง

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็สังขารทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า? ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย! สังขารทั้งหลาย ๓ อย่างเหล่านี้ คือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร : ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย! เหล่านี้เรียกว่า สังขารทั้งหลาย. ความก่อขึ้นพร้อมแห่งสังขาร ย่อมมี
เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งอวิชชา ;ความดับไม่เหลือแห่งสังขาร ย่อมมีเพราะ
ความดับไม่เหลือแห่งอวิชชา ; มรรคอันประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐนั่นเอง
เป็นปฏิปทาให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งสังขาร, ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ ความเห็นชอบ ความ
ดำริชอบ การพูดจาชอบ การทำการงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพียรชอบ
ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ;

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ในกาลใดแล อริยสาวก ย่อมมารู้ทั่วถึงซึ่งธรรม
อันเป็นปัจจัย (ปัจจัยธรรมดา)ว่าเป็นอย่างนี้ๆ; มารู้ทั่วถึงซึ่งเหตุแห่งธรรมอันเป็น
ปัจจัย ว่าเป็นอย่างนี้ๆ; มารู้ทั่วถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่งธรรมอันเป็นปัจจัย ว่าเป็น
อย่างนี้ๆ; มารู้ทั่วถึงซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งธรรมอันเป็น
ปัจจัย ว่าเป็นอย่างนี้ๆ, ดังนี้; ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ในกาลนั้น เราเรียกอริยสาวกนั้น
ว่า "ผู้สมบูรณ์แล้วด้วยทิฏฐิ" ดังนี้บ้าง; ว่า "ผู้สมบูรณ์แล้วด้วยทัสสนะ"ดังนี้บ้าง;
ว่า "ผู้มาถึงพระสัทธรรมนี้แล้ว" ดังนี้บ้าง; ว่า "ได้เห็นพระสัทธรรมนี้"ดังนี้บ้าง;
ว่า "ผู้ประกอบแล้วด้วยญาณอันเป็นเสขะ" ดังนี้บ้าง; ว่า "ผู้ประกอบแล้วด้วยวิชชา
อันเป็นเสขะ" ดังนี้บ้าง; ว่า "ผู้ถึงซึ่งกระแสแห่งธรรมแล้ว" ดังนี้บ้าง; ว่า
"ผู้ประเสริฐ มีปัญญาเครื่องชำแรกกิเลส" ดังนี้บ้าง; ว่า "ยืนอยู่จดประตูแห่งอมตะ"
ดังนี้บ้าง, ดังนี้ แล.


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2012, 10:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
‎มาดู ปฏิจจสมุปบาท ในรูปแบบ อริยสัจจ4 กันครับ


เริ่มด้วย ทุกขอริยสัจ4
ภิกษุ ท. ! ทุกขอริยสัจ เป็นอย่างไรเล่า ? แม้ความเกิด ก็เป็นทุกข์, แม้ความแก่ ก็เป็นทุกข์, แม้ความตาย ก็เป็นทุกข์, แม้โสกะปริเทวะ-ทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย ก็เป็นทุกข์, การประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก เป็นทุกข์, ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รัก เป็นทุกข์, ปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์ : กล่าวโดยย่อ ปัญจุปาทานขันธ์ทั้งหลาย เป็นทุกข์.ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า ทุกขอริยสัจ.
:b8: :b8: :b8:

มั่วอีกแล้วฝึกจิต เตือนแล้วก็ไม่เชื่อ ทุกขอริยสัจสี่ มันเกี่ยวอะไรกับปฏิจสมุปบาท
ในปฏิจสมุปบาท มันเป็นอวิชา เป็นความไม่รู้ อริยสัจจสี่

พูดมาได้ไงว่า"ปฏิจสมุปบาทในรูปแบบอริยสัจสี่"
มันมั่วตั้งแต่หัวข้อกระทู้แล้ว
:b9:


:b12: ท่านเองก็ต้องเห็น ปฏิจสมุปบาทในรูปแบบอริยสัจสี่ ให้ได้นะครับ

บทที่ว่าก่อนตรัส ทุกขอรินสัจ4 เป็นอย่างไรเล่า นะท่านโฮ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ธรรมดาอันเราแสดงแล้วว่า "เหล่านี้ คืออริยสัจทั้ง ๔"
ดังนี้ เป็นธรรมอันสมณพราหมณ์ผู้รู้ทั้งหลายข่มขี่ไม่ได้ ทำให้เราเศร้าหมองไม่ได้ ติเตียน
ไม่ได้ คัดง้างไม่ได้. ข้อนี้ เป็นธรรมที่เรากล่าวแล้วอย่างนี้ เราอาศัยซึ่งอะไรเล่า จึง
กล่าวแล้วอย่างนี้? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เพราะอาศัยซึ่งธาตุทั้งหลาย ๖ ประการ
การก้าวลงสู่ครรภ์ ย่อมมี; เมื่อการก้าวลงสู่ครรภ์ มีอยู่, นามรูป ย่อมมี; เพราะ
มีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ; เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ;เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เราย่อมบัญญัติว่า
"นี้ เป็นความทุกข์" ดังนี้; ว่า "นี้ เป็นทุกขสมุทัย" ดังนี้; ว่า “นี้ เป็น
ทุกขนิโรธ” ดังนี้; ว่า นี้ เป็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา" ดังนี้; แก่สัตว์
ผู้สามารถเสวยเวทนาอยู่.

:b8: :b8: :b8:

แล้วไงพระพุทธองค์ทรงบอกหรือว่า ทุกข์อริยสัจสี่เป็นแบบปฏิจสมุปบาท
อ่านพระธรรมไม่รู้เรื่องก็โพสส่งเดช

จะบอกให้ อริยสัจจ์สี่มันตรงข้ามกับปฏิจสมุบาทโดยสิ้นเชิง
เพราะบุคคลไม่รู้ความมีอยู่ของอริยสัจจ์สี่ จึงทำให้เกิดวงปปฏิจสมุปบาท
หรือวัฏสงสาร เมื่อได้รู้ได้ปฏิบัติในเรื่องอริยสัจจ์สี่แล้วเรียกว่าวิชชา วิชชาหรืออริยสัจจ์
ย่อมไปตัดวงจรปฏิจสมุบาทให้ขาด ไม่เกิดวัฏสงสารอีกต่อไป

จำได้น่ะว่าเคยสอนว่า พระธรรมหรือพุทธพจน์ต้องดูว่า
พระพุทธเจ้ากำลังสอนใคร อย่าคิดเองเออเอง
เรื่องนี้คุณก็เคยถูกคุณโกวิทแนะนำแล้วไม่ใช่หรือ ไม่รู้จักสำเหนียก


มีสติแล้วพิจารณาดูว่า พระพุทธเจ้ากำลังสอนสาวกที่ยังมีอวิชา ยังไม่รู้เรื่องทุกข์อริยสัจจ์
ท่านชี้แนะให้สาวกรู้เรื่องทุกข์อริยสัจจ์ เพื่อมาดับหรือมาตัดวงจรปฏิจจสมุบาท

จำให้ขึ้นใจเลยว่า สิ่งที่เกี่ยวข้องกับปฏิจสมุบาทมันคือ...
อวิชา ความไม่รู้ในทุกข์อริยสัจจ์สี่
มันไม่ใช่ทุกข์อริยสัจจ์สี่ เพราะทุกข์อริยสัจจ์สี่
เป็นวิชชาไม่ใช่อวิชา เข้าใจมั้ย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2012, 10:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
ต่อด้วย ทุกขสมุทยอริยสัจ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ทุกขสมุทยอริยสัจ เป็นอย่างไรเล่า? เพราะมี
อวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย; เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ;
เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป; เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ;
เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ; เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา;
เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา; เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน;
เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ; เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ; เพราะมีชาติ
เป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน:
ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย!
นี้เรากล่าวว่าทุกขสมุทยอริยสัจ.

:b8: :b8: :b8:

ทุกขสมุทยอริยสัจจ์ คืออะไรรู้หรือเปล่า มันคือวิชชา การรู้ถึงเหตุแห่งทุกข์
พระพุทธองค์ทรงบอกให้เอาทุกขสมุทัย มาดับอวิชาซึ่งในอวิชามันมีความไม่รู้ทุกข์สมุทัย

แยกแยะให้มันถูกฝึกจิต การธรรมมันต้องพิจารณาด้วย ไม่ใช่อ่านตามคำศัพท์

จะบอกให้พระธรรมบทนี้ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับวงปฏิจสมุบาท อวิชา คุณเห็นมั้ย
และในอวิชามันมีความไม่รู้ทุกขสมุทัยอยู่

ส่วนทุกขสมุทัยที่พระพุทธเจ้าบอกมันอยู่วงนอกไม่เกี่ยวข้อง
กับปฏิจฯ แต่ทุกขสมุทัยเป็นส่วนหนึ่งที่ใช้ดับวงปฏิจฯ


แยกแยะความแตกต่างให้ดีระหว่าง ความไม่รู้ทุกขสมุทัย กับทุกขสมุทัย
ตัวหนึ่งเป็นอวิชชา อีกตัวเป็นวิชชา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2012, 10:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
ผมแถม บทนี้ให้ท่านโฮ นะครับ เอาไปพิจารณา

หรือป่าวก็ตามใจนะ :b12:

พระพุทธองค์ท่านกล่าวตั้งแต่ ชรามรณะ ฯลฯ ชาติ ...ตลอดสาย เหมือนกันกับ สังขารทั้งหลาย จนมาถึง

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็สังขารทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า? ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย! สังขารทั้งหลาย ๓ อย่างเหล่านี้ คือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร : ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย! เหล่านี้เรียกว่า สังขารทั้งหลาย. ความก่อขึ้นพร้อมแห่งสังขาร ย่อมมี
เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งอวิชชา ;ความดับไม่เหลือแห่งสังขาร ย่อมมีเพราะ
ความดับไม่เหลือแห่งอวิชชา ; มรรคอันประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐนั่นเอง
เป็นปฏิปทาให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งสังขาร, ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ ความเห็นชอบ ความ
ดำริชอบ การพูดจาชอบ การทำการงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพียรชอบ
ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ;

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ในกาลใดแล อริยสาวก ย่อมมารู้ทั่วถึงซึ่งธรรม
อันเป็นปัจจัย (ปัจจัยธรรมดา)ว่าเป็นอย่างนี้ๆ; มารู้ทั่วถึงซึ่งเหตุแห่งธรรมอันเป็น
ปัจจัย ว่าเป็นอย่างนี้ๆ; มารู้ทั่วถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่งธรรมอันเป็นปัจจัย ว่าเป็น
อย่างนี้ๆ; มารู้ทั่วถึงซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งธรรมอันเป็น
ปัจจัย ว่าเป็นอย่างนี้ๆ, ดังนี้; ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ในกาลนั้น เราเรียกอริยสาวกนั้น
ว่า "ผู้สมบูรณ์แล้วด้วยทิฏฐิ" ดังนี้บ้าง; ว่า "ผู้สมบูรณ์แล้วด้วยทัสสนะ"ดังนี้บ้าง;
ว่า "ผู้มาถึงพระสัทธรรมนี้แล้ว" ดังนี้บ้าง; ว่า "ได้เห็นพระสัทธรรมนี้"ดังนี้บ้าง;
ว่า "ผู้ประกอบแล้วด้วยญาณอันเป็นเสขะ" ดังนี้บ้าง; ว่า "ผู้ประกอบแล้วด้วยวิชชา
อันเป็นเสขะ" ดังนี้บ้าง; ว่า "ผู้ถึงซึ่งกระแสแห่งธรรมแล้ว" ดังนี้บ้าง; ว่า
"ผู้ประเสริฐ มีปัญญาเครื่องชำแรกกิเลส" ดังนี้บ้าง; ว่า "ยืนอยู่จดประตูแห่งอมตะ"
ดังนี้บ้าง, ดังนี้ แล.

:b8: :b8: :b8:

มันเละตั้งแต่ต้นแล้ว ยิ่งเอามือไปกวนมันก็ยิ่งเละ ฝึกจิตเอ๋ยฝึกจิต :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2012, 11:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
ผมแถม บทนี้ให้ท่านโฮ นะครับ เอาไปพิจารณา

หรือป่าวก็ตามใจนะ :b12:

พระพุทธองค์ท่านกล่าวตั้งแต่ ชรามรณะ ฯลฯ ชาติ ...ตลอดสาย เหมือนกันกับ สังขารทั้งหลาย จนมาถึง

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็สังขารทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า? ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย! สังขารทั้งหลาย ๓ อย่างเหล่านี้ คือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร : ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย! เหล่านี้เรียกว่า สังขารทั้งหลาย. ความก่อขึ้นพร้อมแห่งสังขาร ย่อมมี
เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งอวิชชา ;ความดับไม่เหลือแห่งสังขาร ย่อมมีเพราะ
ความดับไม่เหลือแห่งอวิชชา ; มรรคอันประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐนั่นเอง
เป็นปฏิปทาให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งสังขาร, ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ ความเห็นชอบ ความ
ดำริชอบ การพูดจาชอบ การทำการงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพียรชอบ
ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ;

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ในกาลใดแล อริยสาวก ย่อมมารู้ทั่วถึงซึ่งธรรม
อันเป็นปัจจัย (ปัจจัยธรรมดา)ว่าเป็นอย่างนี้ๆ; มารู้ทั่วถึงซึ่งเหตุแห่งธรรมอันเป็น
ปัจจัย ว่าเป็นอย่างนี้ๆ; มารู้ทั่วถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่งธรรมอันเป็นปัจจัย ว่าเป็น
อย่างนี้ๆ; มารู้ทั่วถึงซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งธรรมอันเป็น
ปัจจัย ว่าเป็นอย่างนี้ๆ, ดังนี้; ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ในกาลนั้น เราเรียกอริยสาวกนั้น
ว่า "ผู้สมบูรณ์แล้วด้วยทิฏฐิ" ดังนี้บ้าง; ว่า "ผู้สมบูรณ์แล้วด้วยทัสสนะ"ดังนี้บ้าง;
ว่า "ผู้มาถึงพระสัทธรรมนี้แล้ว" ดังนี้บ้าง; ว่า "ได้เห็นพระสัทธรรมนี้"ดังนี้บ้าง;
ว่า "ผู้ประกอบแล้วด้วยญาณอันเป็นเสขะ" ดังนี้บ้าง; ว่า "ผู้ประกอบแล้วด้วยวิชชา
อันเป็นเสขะ" ดังนี้บ้าง; ว่า "ผู้ถึงซึ่งกระแสแห่งธรรมแล้ว" ดังนี้บ้าง; ว่า
"ผู้ประเสริฐ มีปัญญาเครื่องชำแรกกิเลส" ดังนี้บ้าง; ว่า "ยืนอยู่จดประตูแห่งอมตะ"
ดังนี้บ้าง, ดังนี้ แล.

:b8: :b8: :b8:

มันเละตั้งแต่ต้นแล้ว ยิ่งเอามือไปกวนมันก็ยิ่งเละ ฝึกจิตเอ๋ยฝึกจิต :b13:



ไม่เป็นไรหรอกท่าน ดูๆคลำกันไปนะ :b12:

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2012, 11:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง ทุกขนิโรธอริยสัจ

ภิกษุ ท. ! ทุกขนิโรธอริยสัจ เป็นอย่างไรเล่า ? เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว. จึงมีความดับแห่งสังขาร ;เพราะมีความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ ; เพราะมีความดับแห่งวิญญาณ จึงมีความดับแห่งนามรูป ; เพราะมีความดับแห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งสฬายตนะ ; เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะ จึงมีความดับแห่งผัสสะ ;เพราะมีความดับแห่งผัสสะ จึงมีความดับแห่งเวทนา ; เพราะมีความดับแห่งเวทนา จึงมีความดับแห่งตัณหา ; เพราะมีความดับแห่งตัณหา จึงมีความดับแห่งอุปาทาน ; เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ ; เพราะมีความดับแห่งภพ จึงความดับแห่งชาติ ; เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับ
ลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้. ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า
ทุกขนิโรธอริยสัจ.

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2012, 11:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ (มรรค8)

ภิกษุ ท. ! ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ เป็นอย่างไรเล่า ?
มรรคอันประเสริฐ ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ นี้นั่นเอง กล่าวคือ สัมมาทิฏฐิ
สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ
สัมมาสมาธิ. ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ.

ภิกษุ ท. ! ข้อที่ว่า “ธรรมอันเราแสดงแล้วว่า ‘เหล่านี้ คืออริยสัจ
ทั้งหลาย ๔ ประการ’ ดังนี้ เป็นธรรมอันสมณพราหมณ์ผู้รู้ทั้งหลายข่มขี่ไม่ได้
ทำให้เศร้าหมองไม่ได้ ติเตียนไม่ได้ คัดง้างไม่ได้” ดังนี้อันใด อันเรากล่าว
แล้ว ; ข้อนั้น เรากล่าวหมายถึงข้อความดังกล่าวมานี้ แล.
- ติก. อํ. ๒๐/๒๒๕/๕๐๑.

[๒๙๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คืออริยสัจ ๔อยู่ ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมคืออริยสัจ ๔ อยู่ อย่างไรเล่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อม
รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขอริยสัจเป็นไฉน แม้ชาติก็เป็นทุกข์ แม้ชราก็ เป็นทุกข์
แม้มรณะก็เป็นทุกข์ แม้โสกะ ปริเทวะทุกข์โทมนัสอุปายาส ก็เป็น ทุกข์ แม้ความประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ แม้ความพลัดพรากจากสิ่ง ที่รักก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ แม้
อันนั้นก็เป็นทุกข์ โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ทั้ง ๕ เป็นทุกข์ ฯ


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2012, 23:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เราจักแสดง ซึ่งการถึงซึ่งอันตั้งอยู่ไม่ได้แห่งทุกข์(ทุกขอัตถังคนะ) แก่พวกเธอทั้งหลาย, เธอทั้งหลายจงฟังซึ่งความข้อนั้น, จงทำในใจ
ให้สำเร็จประโยชน์, เราจักกล่าวบัดนี้.
(ครั้นภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ทูลสนองรับพระพุทธดำรัสแล้ว, พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัส
ถ้อยคำเหล่านี้ว่า:-)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็การถึงซึ่งอันตั้งอยู่ไม่ได้แห่งทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า?
(๑) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เพราะอาศัยตาด้วย รูปทั้งหลายด้วย จึงเกิด
จักขุวิญญาณ; การประจวบพร้อมแห่งธรรมสามประการ (ตา+รูป+จักขุวิญญาณ)
นั่นคือ ผัสสะ; เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมี
ตัณหา. เพราะความจางคลายดับไปไม่เหลือแห่งตัณหานั่นเอง, จึงมีความดับ
แห่งอุปาทาน; เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ; เพราะมี
ความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ; เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชรามรณะ
โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น: ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้น
นี้ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้ นี้คือ การถึงซึ่งอันตั้งอยู่ไม่ได้แห่งทุกข์.

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2012, 06:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
ผมแถม บทนี้ให้ท่านโฮ นะครับ เอาไปพิจารณา

หรือป่าวก็ตามใจนะ :b12:

พระพุทธองค์ท่านกล่าวตั้งแต่ ชรามรณะ ฯลฯ ชาติ ...ตลอดสาย เหมือนกันกับ สังขารทั้งหลาย จนมาถึง

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็สังขารทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า? ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย! สังขารทั้งหลาย ๓ อย่างเหล่านี้ คือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร : ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย! เหล่านี้เรียกว่า สังขารทั้งหลาย. ความก่อขึ้นพร้อมแห่งสังขาร ย่อมมี
เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งอวิชชา ;ความดับไม่เหลือแห่งสังขาร ย่อมมีเพราะ
ความดับไม่เหลือแห่งอวิชชา ; มรรคอันประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐนั่นเอง
เป็นปฏิปทาให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งสังขาร, ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ ความเห็นชอบ ความ
ดำริชอบ การพูดจาชอบ การทำการงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพียรชอบ
ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ;

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ในกาลใดแล อริยสาวก ย่อมมารู้ทั่วถึงซึ่งธรรม
อันเป็นปัจจัย (ปัจจัยธรรมดา)ว่าเป็นอย่างนี้ๆ; มารู้ทั่วถึงซึ่งเหตุแห่งธรรมอันเป็น
ปัจจัย ว่าเป็นอย่างนี้ๆ; มารู้ทั่วถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่งธรรมอันเป็นปัจจัย ว่าเป็น
อย่างนี้ๆ; มารู้ทั่วถึงซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งธรรมอันเป็น
ปัจจัย ว่าเป็นอย่างนี้ๆ, ดังนี้; ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ในกาลนั้น เราเรียกอริยสาวกนั้น
ว่า "ผู้สมบูรณ์แล้วด้วยทิฏฐิ" ดังนี้บ้าง; ว่า "ผู้สมบูรณ์แล้วด้วยทัสสนะ"ดังนี้บ้าง;
ว่า "ผู้มาถึงพระสัทธรรมนี้แล้ว" ดังนี้บ้าง; ว่า "ได้เห็นพระสัทธรรมนี้"ดังนี้บ้าง;
ว่า "ผู้ประกอบแล้วด้วยญาณอันเป็นเสขะ" ดังนี้บ้าง; ว่า "ผู้ประกอบแล้วด้วยวิชชา
อันเป็นเสขะ" ดังนี้บ้าง; ว่า "ผู้ถึงซึ่งกระแสแห่งธรรมแล้ว" ดังนี้บ้าง; ว่า
"ผู้ประเสริฐ มีปัญญาเครื่องชำแรกกิเลส" ดังนี้บ้าง; ว่า "ยืนอยู่จดประตูแห่งอมตะ"
ดังนี้บ้าง, ดังนี้ แล.

:b8: :b8: :b8:

มันเละตั้งแต่ต้นแล้ว ยิ่งเอามือไปกวนมันก็ยิ่งเละ ฝึกจิตเอ๋ยฝึกจิต :b13:

onion onion onion

คุณโฮ......คุณโฮ.......คุณโฮ......ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

เรียกหลายครั้งเพื่อดึง "สัมปชัญญะ" ของคุณโฮ..ให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวนะครับ

อย่าตั้งท่าเถียงดะตะพึดตะพือตามนิสัยเดิมที่สารภาพไว้กับสาธารณชนซิครับ

ดูให้ดีๆ นี่คุณฝึกจิตเขายกข้อความตามพุทธวัจนะในพระ สูตรมาแสดง
ไม่ใช่ความเห็นของคุณฝึกจิตโดยขาดพยานหลักฐาน

โปรดพิจารณาดูให้ดีๆ ถึงความเกี่่ยวโยงของอริยสัจ กับ ปฏิจจสมุปบาทที่คุณฝึกจิตมีเมตตาจะเชื่อมโยงให้ผู้อ่านได้รู้นะครับ

Onion_L


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร