วันเวลาปัจจุบัน 02 พ.ค. 2025, 15:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2012, 08:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
ผมพูดเรื่องที่กำลังมองเห็น...เป็นเรื่องที่กำลังเป็นอยู่กับเราขณะปัจจุบัน...และก็ดูอยู่กับมันแค่นั้น

แค่..อยากมีบ้าน....จึงมีบ้าน

อวิชชา..มันยังอยู่ในเรา...ณ..ขณะนี้อยู่ใช่มั้ย?.....ก็ดูมันซิครับ

ดูของง่าย ๆ ..นี้แหละ...เพราะมันเป็นประสบการณ์ตรงที่กำลังเกิดขึ้นกับเรา ๆ ..มันถึงจะซึ่งแก่ใจ

แล้วเราจะไปดูประสบการณ์ของใครกันละ...

อยากมี...ถึงมี

หากสงสัย....ก็ลองกวาดตามองของ ๆ เราทั้งหลายดูว่ามีอะไร....ที่ไม่ได้เกิดจากความอยากมี...บ้าง...มีมั้ย?

จริงอย่...อยากมีตัวนี้....คงไม่ใช่เหมือนกันโต้ง ๆ ...กับวิชชา...แต่เป็นไปได้มั้ยว่าอาจจะคล้าย ๆ กัน

อยากมีของเรา...อาจหยาบ ๆ โต้ง ๆ

อยากมีสังขารของอวิชชา...อาจละเอียดเล็ก ๆ เป็นเพียงเจตนา

นี้แค่อยู่ที่.....อวิชชาเป็นปัจจัย....สังขารถึงมี...

กระผมว่า...เราต้องอธิบายได้ว่า...มีนะมีได้อย่างไร

คุณฝึกจิต...ก็ถามว่า...ทำอย่างไร?

กระผมก็เลยนึกถึง....อยากมีบ้าน...จึงมีบ้าน...นั้นเรา ๆ นึกคิดทำ..อะไรไปบ้าง...ซึ่งก็น่าจะมีเค้าของอวิชชาอยู่ตรงไหนบ้างสักแห่งแหละนะ....ในกระบวนการมีบ้าน...นี้นะ

แล้วคุณฝึกจิต....ก็นึกถึงตำรา....(ผมไม่ได้โทษนะ...แต่อยากให้พิจารณา)

ก็คงจะเข้ากับชื่อกระทู้พอดี..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2012, 18:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
:b12:
ผมพูดเรื่องที่กำลังมองเห็น...เป็นเรื่องที่กำลังเป็นอยู่กับเราขณะปัจจุบัน...และก็ดูอยู่กับมันแค่นั้น

แค่..อยากมีบ้าน....จึงมีบ้าน

อวิชชา..มันยังอยู่ในเรา...ณ..ขณะนี้อยู่ใช่มั้ย?.....ก็ดูมันซิครับ

ดูของง่าย ๆ ..นี้แหละ...เพราะมันเป็นประสบการณ์ตรงที่กำลังเกิดขึ้นกับเรา ๆ ..มันถึงจะซึ่งแก่ใจ

แล้วเราจะไปดูประสบการณ์ของใครกันละ...

อยากมี...ถึงมี

หากสงสัย....ก็ลองกวาดตามองของ ๆ เราทั้งหลายดูว่ามีอะไร....ที่ไม่ได้เกิดจากความอยากมี...บ้าง...มีมั้ย?

จริงอย่...อยากมีตัวนี้....คงไม่ใช่เหมือนกันโต้ง ๆ ...กับวิชชา...แต่เป็นไปได้มั้ยว่าอาจจะคล้าย ๆ กัน

อยากมีของเรา...อาจหยาบ ๆ โต้ง ๆ

อยากมีสังขารของอวิชชา...อาจละเอียดเล็ก ๆ เป็นเพียงเจตนา

นี้แค่อยู่ที่.....อวิชชาเป็นปัจจัย....สังขารถึงมี...

กระผมว่า...เราต้องอธิบายได้ว่า...มีนะมีได้อย่างไร

คุณฝึกจิต...ก็ถามว่า...ทำอย่างไร?

กระผมก็เลยนึกถึง....อยากมีบ้าน...จึงมีบ้าน...นั้นเรา ๆ นึกคิดทำ..อะไรไปบ้าง...ซึ่งก็น่าจะมีเค้าของอวิชชาอยู่ตรงไหนบ้างสักแห่งแหละนะ....ในกระบวนการมีบ้าน...นี้นะ

แล้วคุณฝึกจิต....ก็นึกถึงตำรา....(ผมไม่ได้โทษนะ...แต่อยากให้พิจารณา)

ก็คงจะเข้ากับชื่อกระทู้พอดี..


มันไม่ใช่แค่ตำราว่านะครับ ลองทำดูนะครับ ถ้าทำไม่ได้ไม่เห็นอย่างที่พูด ผมว่า อย่าพูดให้อาจ สุนัข เลย ประมาณว่า โฮ้งๆๆๆ ไปด้วย ยกหางตัวเองไปด้วย มันยิ่งตกต่ำมากกว่า ครับ... ผมไม่ได้ว่าท่านกบนะครับ เพราะเท่าที่ผมตามอ่านมาท่านกบไม่เป็นแบบนั้นแน่ แต่พูดให้แรงแค่อยากบอกว่า มันทำตามนั้นได้จริงๆ

ตอนนี้เองผมทำมาระยะเวลานึง บอกได้ว่าดูมันแทบทุกเวลา ที่เห็นใจกระเพื่อมเลย ครับ จนเกิดอะไรไม่รู้แล้ว อยากหาพระอาจารย์มาปรึกษาเหมือนกัน มันบอกรายละเอียดยาก (ไม่รู้ว่าจะบ้าหรือป่าวนะซิครับ)

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2012, 23:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อวิชชาอยู่ที่ไหนกันละครับ.....จะได้ไปละถูก?

ไม่ได้กวนเด้อ... :b32: ....เพราะเห็นเอาพุทธพจน์ที่ว่า...ยึดกายว่าเป็นตนยังดีกว่ายึดจิตว่าเป็นตน

:b12:

ให้คุนน้องตอบตามแบบฉบับของตนม่ะ ว่าอวิชชาละตรงไหน อวิชชามันอาศัย หู ตา ลิ้น จมูก กาย ใจ เป็นต้นเหตุ อวิชชา เพราะฉะนั้นก็ไปตัดกระแสมันตรง หู ตา ลิ้น จมุก กาย ใจ ว่าแต่ท่านกบ ปฏิบัติถึงขั้นนี้ยังละ
คุนน้องพิจารณาจาก พระไตรปิฎกมีท่อนนึง และจำได้แค่ท่อนนี้ท่อนเดียว จิตเดิมคือปภัสสร แต่เพราะอวิชชาที่จรมา..จิตประภัสสรก็คือจิตสังขารบริสุทธิ์ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง อวิชชามาจากไหน อวิชชาก็มาจาก ผัสสะที่มากระทบกับ หู ตา ลิ้น จมูก กาย ใจ แล้วปรุงแต่งไปตามตัณหาความอยากของตนนั่นเอง เพราะฉะนั้นพึงสำรวมอินทรีย์ของตน อวิชชาจะได้ไม่ครอบงำ แต่คุนน้องก็โดนอวิชาครอบงำบ่อย555 :b13: :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2012, 23:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากมี จะเรียกว่าตัณหาได้ไหมครับ อันนี้ถ้าลองกะๆดู เปรียบเทียบเป็นต้นไม้ น่าจะอยู่แถวๆโคนต้นแล้ว

อวิชชา รากเหง้าของความอยากมี น่าจะอยู่ลึกลงไปอีก ลึกๆลงไปใต้ดินโน้นเลยครับ

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2012, 00:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คนธรรมดาๆ เขียน:
อยากมี จะเรียกว่าตัณหาได้ไหมครับ อันนี้ถ้าลองกะๆดู เปรียบเทียบเป็นต้นไม้ น่าจะอยู่แถวๆโคนต้นแล้ว

อวิชชา รากเหง้าของความอยากมี น่าจะอยู่ลึกลงไปอีก ลึกๆลงไปใต้ดินโน้นเลยครับ

:b8:

อยากมีบ้าน...

เรียก...อยากมี...เป็นตัณหา...ก็ได้

แล้วทีนี้....มันอยากมี....เพราะอะไร...เพื่ออะไร?...ก็คิดค้นเข้าๆไปดู...

:b9: ลองดูซิว่า...สุดท้ายมันจะจบลงที่...เพื่อรูปกายนี้...เพราะคิดว่า...มันจะดีมีความสุข...มั้ย?

หรือของเพื่อน ๆ จะมีบทสุดท้ายตรงไหน...ก็มาโสเล่กันดู...(โสเล่..แปลว่า...Discussion )
:b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2012, 00:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
มันไม่ใช่แค่ตำราว่านะครับ ลองทำดูนะครับ ถ้าทำไม่ได้ไม่เห็นอย่างที่พูด ผมว่า อย่าพูดให้อาจ สุนัข เลย ประมาณว่า โฮ้งๆๆๆ ไปด้วย ยกหางตัวเองไปด้วย มันยิ่งตกต่ำมากกว่า ครับ... :b8: :b8: :b8:


:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2012, 00:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
.....

..... ผัสสะที่มากระทบกับ หู ตา ลิ้น จมูก กาย ใจ แล้วปรุงแต่งไปตามตัณหาความอยากของตนนั่นเอง เพราะฉะนั้นพึงสำรวมอินทรีย์ของตน อวิชชาจะได้ไม่ครอบงำ แต่คุนน้องก็โดนอวิชาครอบงำบ่อย555 :b13: :b45:

:b8: :b8:
ครูบาอาจารย์หลาย ๆ ท่านก็สอนว่า...ในสายปฏิจจฯ....จะตัดตรงข้อไหน...การเกิดในสายปฏิจจฯก็ขาด...

ไม่เกิดเสียอย่างเดียว....ก็หมดปัณหา...แล้วละเน๊าะ.. :b12:

คุณน้องจะถนัดตัดที่ผัสสะ....ก็น่าจะเข้าใด้กับคำสอนของครูบาอาจารย์เช่นกันครับ.. :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2012, 04:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
nongkong เขียน:
.....

..... ผัสสะที่มากระทบกับ หู ตา ลิ้น จมูก กาย ใจ แล้วปรุงแต่งไปตามตัณหาความอยากของตนนั่นเอง เพราะฉะนั้นพึงสำรวมอินทรีย์ของตน อวิชชาจะได้ไม่ครอบงำ แต่คุนน้องก็โดนอวิชาครอบงำบ่อย555 :b13: :b45:

:b8: :b8:
ครูบาอาจารย์หลาย ๆ ท่านก็สอนว่า...ในสายปฏิจจฯ....จะตัดตรงข้อไหน...การเกิดในสายปฏิจจฯก็ขาด...

ไม่เกิดเสียอย่างเดียว....ก็หมดปัณหา...แล้วละเน๊าะ.. :b12:

คุณน้องจะถนัดตัดที่ผัสสะ....ก็น่าจะเข้าใด้กับคำสอนของครูบาอาจารย์เช่นกันครับ.. :b8:

กระบวนการปฏิจสมุบาทตัดไม่ได้ จะตัดหรือดับอะไรต้องไปทำที่กระบวนการขันธ์
ให้เราสังเกตุดูในวงปฏิจสมุบาท ในช่วงของเวทนา
จะมีกระบวนการแยกออกมาต่างหาก เขาเรียกว่า กระบวนการขันธ์ห้า

นั้นก็คือ ความหมายของการตัดหรือดับเราต้องไปกระทำหรือปฏิบัติ ในกระบวนการขันธ์ห้า
พูดให้เข้าใจก็คือ วงปฏิจสมุบาทมันเป็นกฎแห่งธรรมชาติ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
ส่วนกระบวนการขันธ์ห้าก็คือตัวเรา เราสามารถเปลี่ยนแปลงขันธ์ ให้เกิดวิชชาได้
อวิขาแท้จริงแล้วมันเกิดที่กระบวนการขันธ์ การทำให้เกิดวิชชาก็ต้องทำที่กระบวนการขันธ์

ความหมายของจิดเดิมแท้ประภัสสร นั้นก็คือกระบวนการขันธ์ ที่ยังไม่ยึดตัวตัณหา
ในกระบวนการปฏิจสมุบาท
แต่ต่อเมื่อกระบวนการขันธ์หรือจิตไปยึดเอาตัณหาแสดงว่า
ในกระบวนการปฏิจสมุบาทมีกระบวนการขันธ์หรือจิตเราเข้าไปผสมปนเปแล้ว
อุปาทานในปฏิจจฯเมื่อมีขันธ์หรือจิตเราเข้าไปผสม จึงกลายเป็น อุปาทานขันธ์

การพูดที่ถูกต้องที่สุด คือ อย่าให้ขันธ์หรือกายใจเรา เข้าไปยึดกระบวนการปฏิจจฯ
ให้รู้วิชชา และเฝ้ามองการทำงานของปฏิจจฯ เหมือนว่าเรากำลังมองธรรมชาติอยู่ห่างๆ

ยกตัวอย่าง ตัวเราเปรียบเหมือนขันธ์ห้า ธรรมชาติที่ทำให้ฝนตกเปรียบเป็นปฏิจจฯ(กิเลส)
ร่มเป็นวิชชา
ยามใดที่ฝนตก เรามีวิชชาก็คือร่มเมื่อกางมันออกมา ย่อมต้องไม่เปียกฝน
ที่นี่เราย่อมต้องเห็นฝนตกได้โดยเราไม่เปียกฝน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2012, 17:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2012, 12:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รู้มากไม่สำคัญเท่ารู้จริงหรอกครับ รู้มากมีเยอะ รู้จริงมีน้อย

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2012, 06:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


dhama เขียน:
รู้มากไม่สำคัญเท่ารู้จริงหรอกครับ รู้มากมีเยอะ รู้จริงมีน้อย



แล้วจะทำอย่างไรว่าเรารู้จริงมั้ย

บางท่านเอาพุทธวจนมาวางให้ดูแล้ว ยังไม่เชื่อ หรือ ไม่แปลแบบตรงๆ กลับแปลไปตามที่เข้าข้างตัวเองไปเสียนะซิ แต่กระผมว่า ช่างเขาเถอะเนอะ ดูตัวเองก็พอ

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2012, 10:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
dhama เขียน:
รู้มากไม่สำคัญเท่ารู้จริงหรอกครับ รู้มากมีเยอะ รู้จริงมีน้อย



แล้วจะทำอย่างไรว่าเรารู้จริงมั้ย

บางท่านเอาพุทธวจนมาวางให้ดูแล้ว ยังไม่เชื่อ หรือ ไม่แปลแบบตรงๆ กลับแปลไปตามที่เข้าข้างตัวเองไปเสียนะซิ แต่กระผมว่า ช่างเขาเถอะเนอะ ดูตัวเองก็พอ

:b8:

พระสูตรหรือพุทธพจน์เขามีไว้ให้พิจารณา
ไม่ได้มีไว้ให้ท่องจำหรือให้แปล พระไตรปิฎกเขาก็แปลไว้ให้แล้ว
จะต้องไปแปลอะไรอีก

ในพระสูตร มีคำสอนของพระพุทธเจ้าตั้งหลายหมวดหลายหมู่
ที่มีมากมายก็เพราะพระองค์ มีวิธีการสอนคนหลายจำพวก
ฉะนั้นถ้าเราจะมาศึกษาพระสูตร เราต้องมีความเข้าใจและรู้จัก
การพิจารณาธรรม ไม่ใช่วิธีแบบคุณที่พอเห็นศัพท์คำไหนที่คล้ายกัน
ก็โมเมว่า เขาพูดแบบที่ตัวคิด

หลักการพิจารณาธรรม มันต้องใช้ ธัมวิจยะ
มันต้องคิดหาเหตุปัจจัยที่มาของธรรมแต่ละตัว
และต้องเป็นความคิดของตนเอง ไม่ใช่ไปก็อปปี้ความคิดคนอื่นมา
เพราะการตีความในบัญญัติของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

คุณนี่ก็แปลกนะครับ ในใจไม่คิดที่จะยอมแพ้ แต่ไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาอ้าง
สู้อุตสาห์แบกหน้าไปก็อปปี้ ความคิดของคนอื่นมาสู้ ผมถามหน่อยแล้วเมื่อไร
คุณถึงจะเข้าในธรรมครับ

เอาแค่คุณบอกว่า"ไม่แปลพระไตรปิฎกไปแบบตรงๆ"
ผมว่าคุณยังอีกไกลเลยครับ กว่าจะเจอปัญญา
อยากจะว่า อยากล้อว่าคุณเป็นไอ้เสือใบลาน คุณก็ยังเป็นไม่ได้
เพราะคุณเล่นก็อปปี้ความคิดคนอื่นมา

ที่หลังจะก็อปปี้บทความอะไรมาโพส กรุณาโพสแต่พระไตรปิฎกนะครับ
โพสพระไตรปิฎกแล้ว ก็อธิบายความประกอบเพื่อสนับสนุนความคิดคุณนะครับ
เขาจะได้พูดว่า คุณพอจะมีปัญญาอยู่บ้าง

ขำจริงๆครับ พูดมาได้แปลพระไตรปิฎก :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2012, 10:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


dhama เขียน:
รู้มากไม่สำคัญเท่ารู้จริงหรอกครับ รู้มากมีเยอะ รู้จริงมีน้อย

มีความสุขมากมั้ยครับ กับการเล่นสำบัดสำนวน
สงสัยคิดว่าพูดจาเท่ๆแล้วคงบรรลุธรรมมั้ง อนิจา! โลกียะเอ๋ย :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2012, 16:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
dhama เขียน:
รู้มากไม่สำคัญเท่ารู้จริงหรอกครับ รู้มากมีเยอะ รู้จริงมีน้อย



แล้วจะทำอย่างไรว่าเรารู้จริงมั้ย

บางท่านเอาพุทธวจนมาวางให้ดูแล้ว ยังไม่เชื่อ หรือ ไม่แปลแบบตรงๆ กลับแปลไปตามที่เข้าข้างตัวเองไปเสียนะซิ แต่กระผมว่า ช่างเขาเถอะเนอะ ดูตัวเองก็พอ

:b8:

พระสูตรหรือพุทธพจน์เขามีไว้ให้พิจารณา
ไม่ได้มีไว้ให้ท่องจำหรือให้แปล พระไตรปิฎกเขาก็แปลไว้ให้แล้ว
จะต้องไปแปลอะไรอีก

ในพระสูตร มีคำสอนของพระพุทธเจ้าตั้งหลายหมวดหลายหมู่
ที่มีมากมายก็เพราะพระองค์ มีวิธีการสอนคนหลายจำพวก
ฉะนั้นถ้าเราจะมาศึกษาพระสูตร เราต้องมีความเข้าใจและรู้จัก
การพิจารณาธรรม ไม่ใช่วิธีแบบคุณที่พอเห็นศัพท์คำไหนที่คล้ายกัน
ก็โมเมว่า เขาพูดแบบที่ตัวคิด

หลักการพิจารณาธรรม มันต้องใช้ ธัมวิจยะ
มันต้องคิดหาเหตุปัจจัยที่มาของธรรมแต่ละตัว
และต้องเป็นความคิดของตนเอง ไม่ใช่ไปก็อปปี้ความคิดคนอื่นมา
เพราะการตีความในบัญญัติของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

คุณนี่ก็แปลกนะครับ ในใจไม่คิดที่จะยอมแพ้ แต่ไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาอ้าง
สู้อุตสาห์แบกหน้าไปก็อปปี้ ความคิดของคนอื่นมาสู้ ผมถามหน่อยแล้วเมื่อไร
คุณถึงจะเข้าในธรรมครับ

เอาแค่คุณบอกว่า"ไม่แปลพระไตรปิฎกไปแบบตรงๆ"
ผมว่าคุณยังอีกไกลเลยครับ กว่าจะเจอปัญญา
อยากจะว่า อยากล้อว่าคุณเป็นไอ้เสือใบลาน คุณก็ยังเป็นไม่ได้
เพราะคุณเล่นก็อปปี้ความคิดคนอื่นมา

ที่หลังจะก็อปปี้บทความอะไรมาโพส กรุณาโพสแต่พระไตรปิฎกนะครับ
โพสพระไตรปิฎกแล้ว ก็อธิบายความประกอบเพื่อสนับสนุนความคิดคุณนะครับ
เขาจะได้พูดว่า คุณพอจะมีปัญญาอยู่บ้าง

ขำจริงๆครับ พูดมาได้แปลพระไตรปิฎก :b32:


มีคนร้อนตัวด้วยนะซิ อิอิ
คงงั้นแหละครับ ขนาด พระไตรปิฏกเขาแปลมาให้แล้วนะเนี่ย ยังไม่เข้าใจอีก ขำด้วยคน :b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2012, 17:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โดนใครก็เกาเอานะ Kiss Kiss Kiss

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร