วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 06:12  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 36 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 เม.ย. 2012, 11:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
คุณโฮ...กำลังจะทำให้ธรรมวิบัติ ความวิบัติในสมองของคุณโฮ...จึงเริ่มแสดงออกมาเรื่อยๆ อย่างน้อยๆก็ เรื่อง "ขวางโลก ที่คุณโฮ..กำลังมีพฤติกรรมชัดเจนอยู่ในห้วงเวลา 2 - 3 เดือนที่ผ่านมานี้ มีวาทะกับผู้คนไปทั่วทั้งลาน ไปเจอของแข็งของจริงอย่างท่านเช่นนั้นเข้าเสียบ้าง จึงดูพอจะรู้สึกตัวขึ้ันมา แต่นี่กลับจะเพี้ยนไปอีกแล้ว:

แน่ะ!อย่างนี้ก็มีด้วย พอใครมีความเห็นแย้งก็ว่า เขาขวางโลก
แล้วก็ไปดูใหม่ ไอ้พฤติกรรมของผม มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่
ผมเริ่มแสดงความเห็นแรกแล้ว ซึ่งมันก็นานเป็นปี ไม่ใช่สอง สามเดือน
อย่างที่คุณบอก

แล้วที่บอกว่าไปเจอของแข็ง ของจริง อะไรกัน
คนจริงที่ไหนกันหลบหน้าไม่คุย ลบความเห็นตัวเองหน้าตาเฉย

จะเข้าข้างใครกรุณามีสติหน่อยโสกะ อย่าหน้ามืดตามัวจนลืมดูว่า
ความจริงเป็นอย่างไร อย่าแต่งเรื่องเอาเองมันน่าเกลียดนะโสกะ

การกระทำอย่างคุณ"เช่นนั้น" ใครก็ทำได้ครับ
เหตุผลไม่มี แถมยัดเยียดข้อกล่าวหาให้ชาวบ้าน
เหมือนคุณเนี๊ยะเลย
:b13:
asoka เขียน:
ดูให้ดี สังเกตให้ดี ฝึกใช้ปัญญาสัมมาสังกัปปะเสียบ้าง ธรรมที่แจงมาให้ฟังข้างต้นนั้นเขาเป็นไปตามลำดับแห่งธรรม ไม่ใช่สวนทางธรรมอย่างที่คุณโฮ...เป็น ที่ว่าเป็นอริยะก่อนได้สัมมาทิฏฐิก่อนแล้วค่อยมาเจริญมรรค 8 นั่นหละ ผิดธรรม
ตื่นได้แล้วนะครับคุณโฮฮับ รู้ถูกต้อง......ตื่น.......แล้วจะได้เบิกบาน
:

พระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติให้ได้มาซึ่ง สัมมาสังกัปปะ
แต่คุณดันมาบอกให้ใช้ปัญญสังกัปปะ มั่วไม่กลัวชาวบ้านดูถูกเลยครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 เม.ย. 2012, 11:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
สมาธิมรรค 6 ข้อ ได้แก่ สติ วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา
ปัญญามรรค 1 ข้อ ได้แก่ ธัมมวิจัยยะ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของสัมมาทิฏฐิกับสัมมาสังกับปะ
ส่วนศีลมรรคอันเป็นฐานรองรับนั้นไม่ได้กล่าวถึงเพราะผู้ที่จะก้าวหน้าในการภาวนามาถึงโพชฌงค์ 7 นั้น ถ้าศีลมรรคไม่เป็นสัมมา จะเข้าไปถึงโพชฌงค์ไม่ได้

:b34:

จะอธิบายความท่อนนี้ให้ฟัง เห็นว่ามั่วจนเลยเถิด
ศีลมรรคที่คุณว่า ถ้าเป็นเรื่อง สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะหรือสัมมาอาชีวะ

เราจะต้องใช้ธัมวิจยะ โดยมีสัมมาทิฐิเป็นตัวนำ ไปพิจารณาว่า
วาจาใด ความประพฤติใดและความเป็นอยู่อย่างไร จึงจะเป็นกลาง
สามารถวาง อุเบกขาได้

ความคิดหรือธัมมวิจยะที่นำมาพิจารณาหาเหตุผลทำให้เกิด
ความเป็นกลางของสัมมาศีล จนวางอุเบกขาได้เราเรียก
ความคิดหรือธัมมวิจยะนี้ว่า สัมมาสังกัปปะ

กระบวนการนี้ยังมีธรรมในโพชฌงค์เป็นตัวประกอบอีก
แต่ขี้เกียจอธิบาย ที่สำคัญอธิบายไปโสกะก็คงไม่เข้าใจ
เดี๋ยวก็โต้อะไรเฉิ่มๆกลับมา กลัวฟันร่วงนี่ก็จะหมดปากอยู่แล้ว
เป็นเพราะหัวเราะโสกะนั้นเอง :b13:

:b12:
อธิบายมาอ่านดูเผินๆดูเหมือนเข้าท่าดี แต่พอพิจารณาให้ถ้วนถี่ เอาเรื่องอุเบกขาเกิดได้เพราะสัมมาศีลของคุณโฮ...มันไกลกับประเด็นธรรมมาก นี่ล่ะมั่วตัวจริง
:

ผิดกับที่พูดไว้มั้ยล่ะ เนี่ยขนาดเอาง่ายๆสั้นแล้วน่ะ ยังเฉิ่มกลับมาจนได้
คนเราถ้ามันไม่เข้าใจอะไรตั้งแต่ต้น ริจะข้ามขั้นมันก็หลงเละเทะแบบโสกะนี่แหล่ะ

ใครว่าอุเบกขาเกิดได้เพราะสัมมาศีล เฉิ่มซะไม่มี
ผมบอกว่าใช้ธัมมวิยสัมโพชฌงค์ไปพิจารณา วาจา ความประพฤติและการเป็นอยู่
เราจะได้สัมมาศีล และจะได้สัมมาสังกัปปะ เข้าใจมั้ยโสกะ :b13:

asoka เขียน:
ประเด็นธรรมของอุเบกขา ความวางเฉย ด้วยปัญญา มันต้องไปอธิบายตามสติปัฏฐาน 4 ขนาดน้องคงเธอยังจับประเด็นตีความออกและทำให้แตกฉานไปได้อีกจนถึง อุเบกขาที่ไร้ปัญญาประกอบ คุณโฮ...กลับมองไม่เห็นทั้งๆที่เป็นเรื่องที่เป็นสามัญสำนึก
:b34: :b34:

เพ้อเจ้อไร้สาระจริงๆ สงสัยไม่รู้จักโพธิปักขิยธรรม ธรรมที่ทำให้เราหลุดพ้นไปนิพพานได้
มีองค์ธรรมทั้งหมด ๓๗ประการ สติปัฏฐาน๔ เป็นองค์ธรรมที่เป็นองค์ประกอบหนึ่งเท่านั้น
มันยังมีองค์อื่นอีก
ที่สำคัญที่สุด เราจะได้อริยมรรคมีองค์๘ได้นั้น เราต้องผ่านการปฏิบัติโพชฌงค์๗เสียก่อน
ถ้าได้ธรรมตัวสุดท้ายของโพชฌงค์๗ คืออุเบกขาสัมโพชฌงค์ นั้นแสดงว่า เราได้สัมมามรรค
ในแต่ละมรรคที่เราไปพิจารณา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 เม.ย. 2012, 14:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


โพธิปักขิยธรรม 37 (ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ เกื้อหนุนแก่อริยมรรค อันได้แก่ สติปัฏฐาน4 สัมมัปปธาน4 อิทธิบาท4 อินทรีย์5 พละ5 โพชฌงค์7 และมรรคมีองค์ 8)

องค์ธรรมในแต่ละองค์ธรรมนั้น มีสติเป็นใหญ่สติเป็นประธาน การเจริญสติปัฏฐาน4 ถ้าเราอบรมให้มาก เราก็บำเพ็ญ โพชฌงค์7ให้บริบูรณ์ได้โดยปริยายเจ้าค่ะ จะทำได้มากน้อยก็ขึ้นอยู่กับอินทรีย์ของแต่ละบุคคลเจ้าค่ะ tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 เม.ย. 2012, 20:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




41_1718.jpg
41_1718.jpg [ 41.25 KiB | เปิดดู 4272 ครั้ง ]
:b34: cool
โฮฮับ......
เพ้อเจ้อไร้สาระจริงๆ สงสัยไม่รู้จักโพธิปักขิยธรรม ธรรมที่ทำให้เราหลุดพ้นไปนิพพานได้
มีองค์ธรรมทั้งหมด ๓๗ประการ สติปัฏฐาน๔ เป็นองค์ธรรมที่เป็นองค์ประกอบหนึ่งเท่านั้น
มันยังมีองค์อื่นอีก
ที่สำคัญที่สุด เราจะได้อริยมรรคมีองค์๘ได้นั้น เราต้องผ่านการปฏิบัติโพชฌงค์๗เสียก่อน
ถ้าได้ธรรมตัวสุดท้ายของโพชฌงค์๗ คืออุเบกขาสัมโพชฌงค์ นั้นแสดงว่า เราได้สัมมามรรค
ในแต่ละมรรคที่เราไปพิจารณา
Onion_L
ผิดใหญ่หลวงแล้วครับคุณโฮ.....ที่มากล่าวว่า "สติปัฏฐาน๔ เป็นองค์ธรรมที่เป็นองค์ประกอบหนึ่งเท่านั้น"
โดยมิได้เห็นความสำคัญอันยิ่งของสติปัฏฐาน 4 ว่าเป็นที่รวมของการเจริญมรรค 8 เป็นที่เกิดของ
โพชฌงค์และองค์ธรรมทั้งหมดของโพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ประการ ไปอ่านความเห็นสรุปของน้องคงดูให้ดีนะครับ

อนึ่งคำพูดที่ว่า "เราจะได้อริยมรรคมีองค์๘ได้นั้น เราต้องผ่านการปฏิบัติโพชฌงค์๗เสียก่อน"
นี่ก็สวนทางธรรม ย้อนทางแห่งปกติธรรม สวนทางกับคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วย

มีใครที่ไหนกันที่สอนให้เจริญโพชฌงค์ 7 ก่อน จึงจะได้มรรค 8
มีแต่เขาจะให้เจริญมรรค 8 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สัมมาสติหรือสติปัฏฐาน 4 แล้วจึงจะยังให้โพชฌงค์ 7 สมบูรณ์

ลองกลับไปอ่านดูอานิสงของอานาปานสติดูให้ดีๆอีกทีนะครับท่านเรียงลำดับไว้อย่างไร?
คุณโฮ...อยาทำตัวเก่งกว่าพระพุทธเจ้าบัญญัติขั้นตอนการปฏิบัติธรรมเสียใหม่ตามใจและความเห็นผิดของคุณอยู่เลยนะครับ ผู้คนเขาจะสับสน เป็นบาปหนักนะ
:b34: :b34: :b34:
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่ประกอบความเพียรในอันเจริญสติปัฏฐาน ๔ อยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ
ก่อนภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญสัมมัปปธาน ๔ อยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญอิทธิบาท ๔ อยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญอันทรีย์ ๕ อยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญพละ ๕ อยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญโพชฌงค์ ๗ อยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญมรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐอยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ก็มีอยู่ ฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่ประกอบความเพียรในอันเจริญเมตตาอยู่ แม้ภิกษุช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญกรุณาอยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ
ก่อนภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญมุทิตาอยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญอุเบกขาอยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญอสุภสัญญาอยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญอนิจจสัญญาอยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญอานาปานาสติอยู่ ฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก
ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมบำเพ็ญสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้
ภิกษุที่เจริญสติปัฏฐาน ๔ แล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมบำเพ็ญโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์ได้

ภิกษุที่เจริญโพชฌงค์ ๗ แล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมบำเพ็ญวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้ ฯ
:b8:
ต่อจากโพชฌงค์ 7 พระพุทธบิดาตรัสบอกว่าได้วิชชาและวิมุติ ไม่ใช่ได้มรรค 8 อย่างที่คุณโฮ...ว่ามาหรอกนะครับ :b34: :b34: :b34: :b34:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 เม.ย. 2012, 22:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันอยากขอสะกิดธรรมนิดหน่อยเจ้าค่ะ จากการพิจารณาธรรมของท่านโฮและท่านโสกา ดิฉันก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า การที่เราเจริญ มรรคมีองค์8นั้น ถ้าเราไม่ผ่านขั้นตอนของ สติปัฏฐาน4เพื่อไปพิจารณาโพชฌงค์7ให้บริบูรณ์ได้ เราก็ไม่สามารคพิจารณา มรรค8 ได้ว่าเราเข้าถึงความเป็นอริยะมรรคมีองค์8แท้จริงการที่เราจะได้ สัมมามรรค มาแต่ละตัวต้องผ่าน โพชฌงค์7 และจะสามารถพิจารณามรรคมีองค์8ได้เราถึงจะเข้าถึง อริยะมรรคมีองค์8 เผื่อให้ได้ปัญญาวิมุติ หนทางสู่การหลุดพ้นเจ้าค่ะ เพราะเหตุนี้จึงต้องอบรมสติปัฏฐาน4เพื่อบำเพ็ญ โพชฌงค์ 7 ให้บริบูรณ์ก่อน มรรคมีองค์8ก็จะบริบูรณ์เช่นกัน คือเข้าถึง อริยะมรรคอันแท้จริง แล้วถึงจะได้ปัญญาวิมุติมาเจ้าค่ะ โดยส่วนตัวดิฉันคิดว่าต้องเป็นแบบนี้แหละเจ้าค่ะ การเจริญมรรค 8 กับ การเข้าถึงอริยะมรรค มีองค์8 คนละอย่างกันนะเจ้าค่ะ และตัวดิฉันเองก็เจริญ มรรค 8 อยู่ แต่ยังไม่เข้าถึง อริยะมรรคมีองค์8 tongue onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 เม.ย. 2012, 10:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


จะเรียกว่าอะไร....ชื่อจะเป็นอะไร...แยกย่อยกันไปกี่ข้อ

ธรรมก็เป็นอันเดียวกัน...อยู่ดี

ดูดี..ดี

มันเป็นอันเดียวกัน..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 เม.ย. 2012, 13:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
จะเรียกว่าอะไร....ชื่อจะเป็นอะไร...แยกย่อยกันไปกี่ข้อ

ธรรมก็เป็นอันเดียวกัน...อยู่ดี

ดูดี..ดี

มันเป็นอันเดียวกัน..

ท่านกบพูดถูกเจ้าค่ะ :b20: ธรรมก็เปรียบเหมือนแม่น้ำหลายๆสาย แต่สุดท้ายก็ไหลมารวมจุดเดียวกันเสมอ
สภาวะธรรมจริงๆแล้วก็คือธรรมชาติ มีตั้งอยู่และดับไป ไม่มีกฏเกณฑ์ตายตัว
เพราะเช่นนี้เราถึงต้องแสวงหา หนทางหลุดพ้นจากทุกข์ ใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2012, 08:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ให้ทาง เขียน:
อุเบกขา การวางเฉย เราจะวางเฉยได้อย่างไร เพราะอะไร :b4:
สาธุ :b8:

อุเบกขา มีอยู่หลายความหมาย เช่น เป็นกลาง อยู่กลางๆ จึงวางเฉย ไม่เข้าข้างใคร
แบ่งได้เป็น

- อุเบกขาในสัมโพชฌงค์ ประกอบด้วย สัมมาสติ สัมมาสมาธิและสัมมาปัญญา
- อุเบกขาในฌาน คือ ความสงบ ความมีใจเป็นกลาง ความวางเฉย ซึ่งเกิดจากจิตตั้งมั่น
- อุเบกขาในเวทนา หรือ อทุกขมสุขเวทนานั่นเอง เกิดขึ้นเมื่อมีผัสสะกับอารมณ์ต่าง ๆ
- อุเบกขาในพรหมวิหาร ประกอบด้วยศรัทธา สติและปัญญาเป็นสำคัญ
แต่ไม่ใช่เป็นปัญญาญาณ (ญาณหยั่งรู้ ที่เป็นไปเพื่อการดับทุกข์ )

อุเบกขาสัมโพชนฌงค์ อุเบกขาในเวทนา อุเบกขาในพรหมวิหาร มีปัญญาเป็นสำคัญ
คือเห็นโทษของการเกาะยึดติดในอารมณ์ต่าง ๆ จึงวางใจเป็นกลางได้

ส่วนอุเบกขาในฌาน เกิดจากจิตตั้งมั่น จิตเป็นสมาธิ

:b12:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2012, 21:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
ดิฉันอยากขอสะกิดธรรมนิดหน่อยเจ้าค่ะ จากการพิจารณาธรรมของท่านโฮและท่านโสกา ดิฉันก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า การที่เราเจริญ มรรคมีองค์8นั้น ถ้าเราไม่ผ่านขั้นตอนของ สติปัฏฐาน4เพื่อไปพิจารณาโพชฌงค์7ให้บริบูรณ์ได้ เราก็ไม่สามารคพิจารณา มรรค8 ได้ว่าเราเข้าถึงความเป็นอริยะมรรคมีองค์8แท้จริงการที่เราจะได้ สัมมามรรค มาแต่ละตัวต้องผ่าน โพชฌงค์7 และจะสามารถพิจารณามรรคมีองค์8ได้เราถึงจะเข้าถึง อริยะมรรคมีองค์8 เผื่อให้ได้ปัญญาวิมุติ หนทางสู่การหลุดพ้นเจ้าค่ะ เพราะเหตุนี้จึงต้องอบรมสติปัฏฐาน4เพื่อบำเพ็ญ โพชฌงค์ 7 ให้บริบูรณ์ก่อน มรรคมีองค์8ก็จะบริบูรณ์เช่นกัน คือเข้าถึง อริยะมรรคอันแท้จริง แล้วถึงจะได้ปัญญาวิมุติมาเจ้าค่ะ โดยส่วนตัวดิฉันคิดว่าต้องเป็นแบบนี้แหละเจ้าค่ะ การเจริญมรรค 8 กับ การเข้าถึงอริยะมรรค มีองค์8 คนละอย่างกันนะเจ้าค่ะ และตัวดิฉันเองก็เจริญ มรรค 8 อยู่ แต่ยังไม่เข้าถึง อริยะมรรคมีองค์8 tongue onion

:b8:
Nongkong กำลังพยายามแยกมรรค 8 ออกเป็น 2 ระดับ ดีอยู่ครับ อีกหน่อยยิ่งจะเข้าใจละเอียดลึกซึ้งและแตกฉานในมรรค 8 ยิ่งขึ้นกว่านี้แน่ๆครับ
:b17:
สะกิดหน่อยด้วนะครับ "โสกา" กับ "อโศกะ" บัญญัติ 2 อย่างนี้นี่ความหมายต่างกันราวกับฟ้ากับดินเลยนะครับ บัญญัติผิดความหมายก็ผิดไปเยอะเลย เหมือนกับเรื่องมรรค 8 นี้หละครับ

ลองดูนี่ซิครับ

คนที่ 1 แปลความหมายของอริยมรรคมีองค์ 8 ว่า เป็น "ทางเดินสำหรับพระอริยะ"

คนที่ 2 แปลความหมายอริยมรรคมีองค์ 8 ว่า เป็น "ทางเดินเพื่อไปสู่ความเป็นอริยะ"

เมื่อแปลความหมายต่างกันอย่างนี้ ความเห็นและเรื่องที่จะแสดงความเห็นก็จึงไปคนละทิศละทางต่างกันมากเลย

คนที่ 1 เข้าใจว่าต้องได้ความเป็นอริยะเจ้าก่อน จึงจะเดินมรรค 8 ได้

แต่คนที่ 2 เข้าใจว่า เมื่อเอาหลักการของมรรค 8 มาใช้ในการเดินแล้วที่สุดย่อมจะพาให้ถึงความเป็นอริยะ
คนที่ 2 นี่เขาเอาหลักฐานมาจากพุทธภาษิตว่า "สัมมาวิหาเรยุง อสุญโญโลโก อรหันเตหิ" แปลความหมายว่า "ตราบใดที่ยังมีผู้เจริญสัมมา (หมายถึงสัมมาทั้ง 8) คือมรรค 8 อยู่ ตราบนั้นโลกนี้จักไม่ว่างจากพระอรหันต์"
onion
โดยสัจจธรรมความจริงแล้ว เมื่อไหร่ที่ ปัญญา สติ สมาธิ และศีล มาร่วมกันทำงานแล้ว เมื่อนั้น มรรคทั้ง 8 ก็เจริญขึ้นทันที ไมว่าผู้เจริญจะเป็น ปุถุชนหรืออริยะบุคคลชั้นต้นแล้ว จนกว่าจะได้บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ คือฆ่าศัตรู อันได้แก่ กิเลส ตัณหา อัตตา มานะทิฐิ อวิชชาตายเกลี้ยงแล้ว เมื่อนั้นจึงจะหมดงานเจริญมรรค 8

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2012, 21:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
nongkong เขียน:
ดิฉันอยากขอสะกิดธรรมนิดหน่อยเจ้าค่ะ จากการพิจารณาธรรมของท่านโฮและท่านโสกา ดิฉันก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า การที่เราเจริญ มรรคมีองค์8นั้น ถ้าเราไม่ผ่านขั้นตอนของ สติปัฏฐาน4เพื่อไปพิจารณาโพชฌงค์7ให้บริบูรณ์ได้ เราก็ไม่สามารคพิจารณา มรรค8 ได้ว่าเราเข้าถึงความเป็นอริยะมรรคมีองค์8แท้จริงการที่เราจะได้ สัมมามรรค มาแต่ละตัวต้องผ่าน โพชฌงค์7 และจะสามารถพิจารณามรรคมีองค์8ได้เราถึงจะเข้าถึง อริยะมรรคมีองค์8 เผื่อให้ได้ปัญญาวิมุติ หนทางสู่การหลุดพ้นเจ้าค่ะ เพราะเหตุนี้จึงต้องอบรมสติปัฏฐาน4เพื่อบำเพ็ญ โพชฌงค์ 7 ให้บริบูรณ์ก่อน มรรคมีองค์8ก็จะบริบูรณ์เช่นกัน คือเข้าถึง อริยะมรรคอันแท้จริง แล้วถึงจะได้ปัญญาวิมุติมาเจ้าค่ะ โดยส่วนตัวดิฉันคิดว่าต้องเป็นแบบนี้แหละเจ้าค่ะ การเจริญมรรค 8 กับ การเข้าถึงอริยะมรรค มีองค์8 คนละอย่างกันนะเจ้าค่ะ และตัวดิฉันเองก็เจริญ มรรค 8 อยู่ แต่ยังไม่เข้าถึง อริยะมรรคมีองค์8 tongue onion

:b8:
Nongkong กำลังพยายามแยกมรรค 8 ออกเป็น 2 ระดับ ดีอยู่ครับ อีกหน่อยยิ่งจะเข้าใจละเอียดลึกซึ้งและแตกฉานในมรรค 8 ยิ่งขึ้นกว่านี้แน่ๆครับ
:b17:
สะกิดหน่อยด้วนะครับ "โสกา" กับ "อโศกะ" บัญญัติ 2 อย่างนี้นี่ความหมายต่างกันราวกับฟ้ากับดินเลยนะครับ บัญญัติผิดความหมายก็ผิดไปเยอะเลย เหมือนกับเรื่องมรรค 8 นี้หละครับ

ลองดูนี่ซิครับ

คนที่ 1 แปลความหมายของอริยมรรคมีองค์ 8 ว่า เป็น "ทางเดินสำหรับพระอริยะ"

คนที่ 2 แปลความหมายอริยมรรคมีองค์ 8 ว่า เป็น "ทางเดินเพื่อไปสู่ความเป็นอริยะ"

เมื่อแปลความหมายต่างกันอย่างนี้ ความเห็นและเรื่องที่จะแสดงความเห็นก็จึงไปคนละทิศละทางต่างกันมากเลย

คนที่ 1 เข้าใจว่าต้องได้ความเป็นอริยะเจ้าก่อน จึงจะเดินมรรค 8 ได้

แต่คนที่ 2 เข้าใจว่า เมื่อเอาหลักการของมรรค 8 มาใช้ในการเดินแล้วที่สุดย่อมจะพาให้ถึงความเป็นอริยะ
คนที่ 2 นี่เขาเอาหลักฐานมาจากพุทธภาษิตว่า "สัมมาวิหาเรยุง อสุญโญโลโก อรหันเตหิ" แปลความหมายว่า "ตราบใดที่ยังมีผู้เจริญสัมมา (หมายถึงสัมมาทั้ง 8) คือมรรค 8 อยู่ ตราบนั้นโลกนี้จักไม่ว่างจากพระอรหันต์"
onion
โดยสัจจธรรมความจริงแล้ว เมื่อไหร่ที่ ปัญญา สติ สมาธิ และศีล มาร่วมกันทำงานแล้ว เมื่อนั้น มรรคทั้ง 8 ก็เจริญขึ้นทันที ไมว่าผู้เจริญจะเป็น ปุถุชนหรืออริยะบุคคลชั้นต้นแล้ว จนกว่าจะได้บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ คือฆ่าศัตรู อันได้แก่ กิเลส ตัณหา อัตตา มานะทิฐิ อวิชชาตายเกลี้ยงแล้ว เมื่อนั้นจึงจะหมดงานเจริญมรรค 8

onion

อนุโมทนาด้วยเจ้าค่ะ กับท่าน อโศกะ ที่แตกฉานในเรื่องพระอภิธรรม tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2012, 10:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
สาธุ อนุโมทนากับน้องคง Nongkong ครับ

เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปเทอญ

:b8: :b27: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2012, 06:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ธ.ค. 2010, 11:11
โพสต์: 94


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอขอบคุณและขอโมทนากับทุกท่านครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2012, 06:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




070dsq_resize.jpg
070dsq_resize.jpg [ 26.51 KiB | เปิดดู 4145 ครั้ง ]
cool
นี่คุณโฮฮับ คงมัวไปจีบสาวโรงงานในอาณัติ เพียรจะกินไก่วัดต้มยำอยู่หรือเปล่าจึงไม่ยอมมาเยี่ยมกราย อ่านคำตอบสุดท้ายที่วินิจฉัยพฤติกรรมของคุณโฮ.....
กวนอิมเนี่ยเนี้ย ในไซอิ๋วภาคพิสดารน่าจะทรงทราบด้วยพระญาณแล้วเรียกมาดูนะครับ
onion
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2012, 21:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 เม.ย. 2012, 17:44
โพสต์: 5


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อุเบกขา การวางเฉย เราจะวางเฉยได้อย่างไร


นี่เป็นความคิดเห็นส่วนตัวค่ะ อุเบกขาการวางเฉย ทุกๆคนมีกันอยู่ทุกคน แต่จะอุเบกขาหรือวางเฉยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับสภาวะของระดับจิต ว่าเราเป็นชาวโลกเต็มตัวเราก็วางอุเบกขาได้น้อยหน่อย พอเราเป็นชาวธรรมแต่ไม่ถึงพระอริยะ เราก็มีอุเบกขามากขึ้นนึิดนึง ถ้าเป็นพระอริยะก็จะมีอุเบกขามากขึ้นๆไปการสภาวะที่เป็น อุเบกขาจะเต็มได้ก็ต่อเมื่อละสังโยชน์10 ได้ครบ อุเบกขาถึงจะเต็มสมบูรณ์

อุเบกขาไม่ใช่ตอไม้ ไม่ใช่ไม่มีความรู้สึก ก่อนที่เราจะอุเบกขาวางเฉยในพรหมวิหาร4 ได้ เราต้องมีตัว เมตตา มีกรุณา มีมุทิตาก่อน อาจมีตัวใดตัวหนึ่ง หรือมี 2 ตัว หรือมีครบทั้ง 3 ตัวก่อน เราถึงจะวางเฉยได้


อ้างคำพูด:
เพราะอะไร


เพราะการวางเฉยหรืออุเบกขาในพรหมวิหาร4เท่านั้นที่เป็นอุเบกขาที่แท้จริง อุเบกขาที่เกิดจากฌานนั้นเป็นการกดอย่างหนึ่งของสมาธิเท่านั้น เมื่อกรรมสนอง อกุศลกรรมเข้าแทรก ทำให้ฌานเราตกลง หรือหลุดจากฌาน อุเบกขาตัวนี้ก็หายไปด้วย ไม่ไ่ด้เกิดจากจิตที่เมตตาจริง ไม่ได้เกิดจากจิตที่กรุณาจริง ไม่ได้เกิดจากจิตที่มุทิตาจริง เมื่อไม่มีทั้ง3 ตัวนี้ก่อน จะเป็นอุเบกขาในพรหมวิหาร4 ไม่ได้

เคยไหม ที่เราวางเฉยเพราะรัก..เช่นว่า เด็กๆขอขนมแต่เราทำเฉยไม่ให้เพราะกลัวฟังผุ นี่คืออุเบกขาการวางเฉยในพรหมวิหาร4 นี่เขียนให้ดูอย่างง่ายๆ

ส่วน เด็กๆขอขนมเราแต่เราเฉย ไม่ใส่ใจนั้น ไม่ให้นั้น เราเฉยเสีย อย่างนี้ไม่ใช่ อุเบกขาในพรหมวิหาร4 เพราะในการเฉยของเรานั้น ไม่ได้มี เมตตา ไม่ได้มีกรุณา ไม่ได้มีมุทิตา อยู่ในการเฉยนั้นเลย

เคยไหม เราเฉยเพราะเราสงสาร เราเลยทำเฉยเสีย..

เคยไหม เราเฉยเพราะเรายินดีโมทนาในความดีกับเขาแต่บางทีเราต้องเฉยเสีย ทำเป็นนิ่งเสีย


ส่วนเฉยในเวทนา ในความคิดเห็นส่วนตัวของก.ไก่ คิดว่า ไม่มี เพราะคำว่าไม่ทุกข์ไม่สุขนั้น แปลว่า ไม่รู้ว่าเราทุกข์หรือไม่แน่ใจว่าเราสุขต่างหาก ซึ่งภาษาชาวบ้านพูดง่ายๆว่า ไม่รู้ ถ้าไม่รู้ภาษาชาวบ้านเปลี่ยนเป็นภาษาธรรมจะตรงกับคำว่า อวิชชา ซึ่งคนละความหมายกับคำว่า เฉยๆในภาษาโลกเลย

เช่นว่า วันนี้มีคนถามเราว่า วันนี้มีความสุขไหม เราตอบว่าเฉยๆ..เฉยๆตัวนี้แปลว่าอะไร แปลว่า ไม่สุขและไม่ทุกข์ แปลว่าอารมณ์นี้ต้องอยู่ตรงกลางของ 2 คำนี้ใช่ไหม

แล้วมีคนถามเราว่า เธอเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นไหม เราตอบว่า เฉยๆ เฉยๆตัวนี้แปลว่า..ฉันไม่ได้เสียใจและฉันก็ไม่ได้ ไม่เสียใจ มันอยู่ตรงกลางใช่ไหม แล้วมันจะแปลว่า การวางเฉยหรืออุเบกขาไปได้ยังไง..เราแค่มองตามความเป็นจริง เราก็เห็นได้อย่างง่ายๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2012, 23:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


อุเบกขา ใน พรหมวิหาร 4 โดยความเห็นส่วนตัวดิฉันเกิดจาก การเห็นสัจธรรมความจริงก่อนแล้วใจถึงน้อมลงสูอุเบกขา เพราะดิฉันวางอุเบกขาได้เพราะ ดิฉันเห็นบุคคลที่ดิฉันเคารพทำตัวไม่เหมาะสม
ทำให้ดิฉันทุกข์ใจมาก สมมุติว่า คนที่ดิฉันรักกินเหล้าสูบบุหรี่ จิตใจเกิดความเป็นห่วงและหวังดี เราก็บอกไปถึงโทษที่เกิดจากการสูบบุหรี่กินเหล้าผลจะเป็นเช่นไร ในเมื่อเราพยายามบอกไปแล้ว แต่คนที่เราเคารพกับไม่สนใจ กลับมีความเห็นที่เป็นมิจฉาสติ เราก็ควรวางอุเบกขาเสีย เพราะไม่อย่างงั้นเราจะเป็นทุกข์ คือเราทุกขืแทนคนอื่นโดยที่ไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้ วางใจเป็นกลาง เห็นตามความเป็นจริง ดิฉันเจอมาจะๆกับตัวเอง ทำให้ดิฉันเข้าใจถึงอุเบกขา เพราะดิฉันชอบพูดเรื่องทางธรรม หรือ ผลจากการกระทำที่เป็นอกุศลเจตนาเพื่อหวังจะเปลี่ยนความคิดผู้อื่น ดิฉันโดนตอกกลับมาหน้าหงายว่า มรึงเป็นใครกุถึงต้องเชื่อ ขนาดพระพุทธเจ้ากุยังไม่เชื่อ
เพราะเหตุนี้แหละ เราถึงต้องวางอุเบกขา ไม่งั้นเราก็จะทุกข์


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 36 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร