วันเวลาปัจจุบัน 21 มิ.ย. 2025, 12:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 53 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2012, 08:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
ขอบคุณและอนุโมทนาสาธุกับข้อธรรมที่คุณโฮฮับยกมาอ้างอิงอธิบายขอให้อิ่มบุญอิ่มกุศลยิ่งๆขึ้นไป
เป็นโอกาสอันดีแล้วที่เราจะได้มาฟังธรรมทัสนะอีกแง่มุมหนึ่งที่อาจค้นหาจากพระสูตรมาอ้างอิงไม่ได้แต่กลับมีอยู่ในสัจธรรมความจริงในชีวิตจริงที่สามารถคืบลามรู้ได้ด้วยสติปัญญาและสามัญสำนึก
เราจะได้เห็นคำว่า “อริยสาวก” กันอยู่ทั่วไปในพระสูตรต่างๆแต่คำแปลและความหมายของอริยสาวกนั้นเราได้ฟังการแปลโดยศัพท์บัญญัติ แต่ไม่ค่อยได้ฟังการแปลโดยอรรถหรือปรมัตถ์ซึ่เป็นความหมายที่แท้จริงอันเป็นที่มาของศัพท์บัญญัตินั้น
“อริยสาวก” มาจากคำว่า “อริยะ” สนธิกับคำว่า “สาวก”
“อริยะ” แปลว่าประเสริฐ ในทางพุทธศาสนานั้นจะทำให้เข้าใจไปถึงอริยบุคคล อันได้แก่พระโสดาบันขึ้นไป หรือถ้าเป็นอริยสัจ 4 ก็แปลว่าความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ
“สาวก”แปลสั้นๆว่า ผู้ติดตาม ถ้าจะแปลยาวๆก็อย่างเช่น
สาวก แปลว่า ผู้ฟัง คือผู้ฟังตามครูบาอาจารย์ผู้สั่งสอนหลักธรรม ใช้สำหรับบุรุษ ถ้าเป็นสตรีใช้ว่า สาวิกา
สาวก ในคำวัดใช้หมายถึงผู้ฟังโอวาทนุสาสนี หรือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าโดยเคารพ ใช้เรียกทั้งที่เป็นบรรพชิตและคฤหัสถ์ เช่นใช้ว่า พระอรหันตสาวก พระสงฆ์สาวก ภิกษุสาวก ภิกษุณีสาวิกาและใช้หมายถึงลูกศิษย์ของศาสดาอื่นๆ ด้วย เช่นวสาวกของนิครนถ์นาฏบุตร สาวกของพราหมณ์พาวรี
สาวก ในคำไทยใช้หมายรวมไปถึงลูกศิษย์ ลูกน้อง ผู้ติดตามนักบวชนักบุญผู้มีชื่อเสียงตลอดถึงผู้มีอำนาจ เช่นใช้ว่า
"เจ้าสำนักแห่งนั้นมีชื่อเสียงไม่น้อยจึงมีสาวกอยู่ทั่วไป"
รวมความแล้ว “อริยสาวก”แปลโดยพยัญชนะหรือบัญญัติที่นิยมกัน คือ สาวกหรือผู้ติดตามที่เป็นพระอริยเจ้าอันได้แก่พระเสขะบุคคล ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปและพระอเสขะบุคคลอันหมายถึงพระอรหันต์
ซึ่งนี่ก็เป็นความหมายที่คุณโฮฮับคุณกบและผู้คนเป็นส่วนใหญ่ยึดถือกันอยู่
แต่ ความหมายของคำว่า “อริยสาวก” มีอีกนัยยะหนึ่งซึ่งแปลโดยอรรถะนั้นคงจะไม่ค่อยได้ยินและไม่ค่อยยอมรับกันว่า
อริยสาวก หมายถึง ผู้ติดตาม ยอมรับนับถีอปฏิบัติตามท่านผู้เป็นอริยะ คือติดตามพระพุทธเจ้าและพระอริยบุคคลทั้งหลาย ลองสังเกตและพิจารณากันดูให้ดีว่า คำว่า “อริยสาวก”นี้สามารถแปลและให้ความหมายได้เป็น 2 นัยยะ
ดังนั้นการที่คุณโฮฮับและมากท่านจะเชื่อและยึดถือว่าอริยมรรคมีองค์แปดนั้นเป็นธรรมเฉพาะพระอริยะเจ้าไม่ใช่ของปุถุชนคนธรรมดาก็จึงดูไม่ผิดอะไร แต่ ในใจของอีกหลายท่านคงจะรู้สึกขัดๆ ไม่ลงตัว ไม่สมดุลย์ ไม่เป็นธรรมที่ยุติคำถามและความสงสัยได้ เพราะถ้าเห็นว่าเป็นธรรมเฉพาะพระอริยเจ้าอย่างนี้แล้วพระบรมศาสดาจะทรงสอนว่ามรรค8เป็นทางสายกลางอันประเสริฐที่จะยังให้ผู้เจริญได้เข้าถึงความเป็นอริยะบุคคลคือบรรลุพระนิพพานไปทำไม?
ปุถุชนคนธรรมดาไม่มีสิทธิที่จะรู้เข้าใจและเจริญบนทางสายกลางนี้เลยหรือ
เมื่อมาพิจารณาคำว่า “อริยสาวก”โดยปรมัตถ์หรืออรรถะ ผู้ติดตาม ยอมรับนับถือปฏิบัติตามท่านผู้เป็นอริยะ คือติดตามพระพุทธเจ้าและพระอริยบุคคลทั้งหลายนั้นประกอบไปด้วย ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาหรือพุทธบริษัททั้ง 4 ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีทั้งที่เป็นอริยชนและปุถุชน แม้ในครั้งพุทธกาลผู้ที่ไปพังธรรมแม้เรื่องอริยสัจ 4 มรรค 8 ก็ตามก็มีทั้งอริยชนและปุถุชนซึ่งเมื่อฟังแล้วน้อมนำมาใส่ใจใคร่ครวญพิจารณาก็ย่อมจะยังสติปัญญาให้เกิดเป็นสัมมาทิฐิ สัมมามรรค แล้วบรรลุธรรมที่สูงขึ้นไปได้ ปุถุชนก็กลายเป็นอริยชน เสขะบุคคลก็ยกระดับขึ้นไปๆจนเป็นอเสขบุคคลคือพระอรหันต์
ถ้าเราพากันมายอมรับความหมายของ”อริยสาวก”ตามอรรถะดังที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ปัญหาข้อถกเถียงต่างๆในกระทู้ตั้งหลายกระทู้ในมหาจัตตารีสูตร หรือสัมมาทิฏฐิสูตร หรือสูตรอื่นๆก็คงจะยุติลงสู่ความเป็นธรรมได้และสบายใจกันทุกฝ่าย
ในที่สุดแห่งการวิจารณ์วิจัยธรรมในวันนี้อยากกราบขอความกรุณาท่านผู้ดูแลที่เชี่ยวชาญคัมภีร์อย่างท่านพุทธฎีกาได้โปรดมาชี้แนะด้วยครับจะเป็นพระคุณยิ่ง
คุณโฮฮับและคุณกบก็สบายๆใจดูไปฟังไปแล้วอย่าลืมเอาความเห็นนี้ไปพินิจพิเคราะห์ตามธรรมด้วยนะครับ มิใช่ตามความผูกยึดในบัญญัติที่ได้รู้มาแต่เพียงอย่างเดียวมีความเห็นอะไรดีๆก็หยิบยกมาวิตกวิจารณ์วิจัยกันต่อไป
:b12: :b16: :b4:
wink onion
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2012, 10:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อริยะสาวก....ผมเข้าใจอย่างเดียวว่า...สาวกที่ถึงความเป็นอริยะ...

จะแปลผิดหลักภาษา...รึ....ก็ว่าไป

แต่...จะเข้าใจอย่างนี้แหละ
:b16: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2012, 16:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ในที่สุดแห่งการวิจารณ์วิจัยธรรมในวันนี้อยากกราบขอความกรุณาท่านผู้ดูแลที่เชี่ยวชาญคัมภีร์อย่างท่านพุทธฎีกาได้โปรดมาชี้แนะด้วยครับจะเป็นพระคุณยิ่ง
คุณโฮฮับและคุณกบก็สบายๆใจดูไปฟังไปแล้วอย่าลืมเอาความเห็นนี้ไปพินิจพิเคราะห์ตามธรรมด้วยนะครับ มิใช่ตามความผูกยึดในบัญญัติที่ได้รู้มาแต่เพียงอย่างเดียวมีความเห็นอะไรดีๆก็หยิบยกมาวิตกวิจารณ์วิจัยกันต่อไป

คุณนี้น่าไม่อายนะครับ ตอนแรกมากล่าวหาผมว่า พูดไม่รู้เรื่องพูดนอกธรรม
แต่พอคุณมาถึงทางตัน ถึงกลับลืมตัวไปยกเรื่องอะไรมาก็ไม่รู้ ไม่มีที่มาที่ไป
แถมสิ่งที่พูดมา มันคนละเรื่อง ต้องพูดว่าไปได้น้ำขุ่นๆ
สงสัยตั้งใจอ่านพระไตรปิฎกที่ผมยกมาจนสติแตกแล้วมั้งครับ
ที่เราคุยกันอยู่ มันเป็นมรรคหรืออริยมรรคมีองค์แปด
เราเถียงกันถึงเรื่องที่ว่า มรรคหรืออริยมรรค พระพุทธเจ้าท่านทรงสอน
บุคคลประเภทใด คุณไปยกเอาเรื่อง อริยสาวกแปลว่าอะไร ผมว่าคุณจะมั่วแล้วครับ
ถ้าจะคุยเรื่องอริยสาวกแปลว่าอะไรก็ได้ครับ แต่ให้เรื่องนี้มันจบไปก่อน




.พุทธพจน์ครับ.....
[๒๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ
เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัญญา ปัญญินทรีย์
ปัญญาพละ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ความเห็นชอบ องค์แห่งมรรค ของภิกษุผู้มี
จิตไกลข้าศึก มีจิตหาอาสวะมิได้ พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่
นี้แล สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค ฯ
ภิกษุนั้นย่อมพยายามเพื่อละมิจฉาทิฐิ เพื่อบรรลุสัมมาทิฐิ ความพยายาม
ของเธอนั้น เป็นสัมมาวายามะ ฯ
ภิกษุนั้นมีสติละมิจฉาทิฐิได้ มีสติบรรลุสัมมาทิฐิอยู่ สติของเธอนั้น
เป็นสัมมาสติ ฯ
ด้วยอาการนี้ ธรรม ๓ ประการนี้ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาวายามะ
สัมมาสติ ย่อมห้อมล้อม เป็นไปตามสัมมาทิฐิของภิกษุนั้น ฯ
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/s ... A%D9%B5%C3

คุณโสกะผมไม่รู้ว่าคุณไปเอาคำว่าอริยสาวกมาจากไหน
สิ่งที่ผมเอามาอ้างอิง มันเป็นพุทธพจน์
พระองค์พูดว่า "ดูกรภิกษุ" พระองค์เรียกเหล่าสาวกของท่านว่าภิกษุ
และจากคำพูดพระองค์บอกว่า "สัมมาทิฐิของพระอริยะ"
สัมมาทิฐิเป็นมรรคหรืออริยมรรค "ของพระอริยะ มั้นก็คืออริยมรรคของพระอริยะ"
และพระองค์กล่าวว่า การปฏิบัติมรรคอีก7ตัวที่เหลือ ต้องมีอริยมรรคสัมมาทิฐิ
เป็นประธานเป็นตัวนำ นั้นย่อมแสดงว่า บุคคลนั้นย่อมต้องมีอริยมรรคสัมมาทิฐิแล้ว
จึงจะสามารถปฏิบัติอริยมรรคอีกเจ็ดได้

ผมถึงได้บอกว่า มรรคหรืออริยมรรคมีองค์แปดมีไว้สอนพระอริยะบุคคล
เพื่อบรรลุไปเป็นอรหันต์ ไม่ได้เอาไว้สอนปุถุชน
ปุถุชนถ้ายังไม่ได้มีสัมมาทิฐิที่เป็นโลกุตระ ย่อมไม่เข่าใขวิธีปฏิบัติในเรื่องอริยมรรค
ปุถุชนต้องปฏิบัติภาวนาให้ได้มาซึ่งสัมมาทิฐิอนาสวะ(โลกุตระ)เสียก่อน
หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือต้องเป็นอริยบุคคลขั้นต้น
หรือเป็นโสดาบันเสียก่อน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2012, 22:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
เรื่องสัมมาทิฏฐิ ที่เป็นสาสวะและอนาสวะนี้ก็เช่นกันถ้าตีความโดยพยัญชนะก็อาจทำให้เข้าใจว่ามรรคมีองค์ 8 นี้เป็นธรรมเฉพาะพระอริยะ
............ความหมายโดยอรรถนั้นสัมมาทิฏฐิที่เป็นสาสวะ เป็นความเห็นถูกต้องเพื่อการทำกุศลผลบุญคุณความดีที่ยังมีผลต้องทำให้เกิดสังขารไปรับผลความดีเหล่านั้นในสวรรค์สมบัติ รูปสมบัติ อรูปสมบัติ

............สัมมาทิฏฐิที่เป็นอนาสวะนั้นเป็นความเห็นถูกต้องที่เห็นอริยสัจ 4 เห็นไตรลักษณ์ เห็นปฏิจจสมุปบาทและธรรมที่ทำให้ผู้ปฏิบัติได้เข้าถึงพระนิพพานได้ความเป็นอริยะยิ่งๆขึ้นไป ความที่เรียกว่าเป็นธรรมของพระอริยนั้นเพราะผู้ใดที่เป็นปุถุชนเมื่อได้นำธรรมแห่งพระอริยะมาประพฤติปฏิบัติแล้วที่สุดย่อมจะได้ความเป็นอริยบุคคลจริงๆเป็นผลผู้ที่เป็นโสดาบันก็จะได้ความเป็นสกิทาคามีบุคคล ผู้ที่เป็นสกิทาคามีบุคคลก็จะได้ความเป็นอนาคามีบุคคล ผู้เป็นอนาคามีบุคคลก็จะได้ความเป็นอรหันต์บุคคลอันเป็นที่สิ้นสุด

..........มีสิ่งที่น่าสังเกตจากพระสูตรท่อนที่คุณโฮฮับยกมาซึ่งได้คาดสีแดงไว้ดังนี้
พุทธพจน์ครับ.....
[๒๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ
เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัญญา ปัญญินทรีย์
ปัญญาพละ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ความเห็นชอบ องค์แห่งมรรค ของภิกษุผู้มี
จิตไกลข้าศึก มีจิตหาอาสวะมิได้ พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่
นี้แล สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค ฯ
ภิกษุนั้นย่อมพยายามเพื่อละมิจฉาทิฐิ เพื่อบรรลุสัมมาทิฐิ ความพยายาม
ของเธอนั้น เป็นสัมมาวายามะ ฯ
ภิกษุนั้นมีสติละมิจฉาทิฐิได้ มีสติบรรลุสัมมาทิฐิอยู่ สติของเธอนั้น
เป็นสัมมาสติ ฯ
ด้วยอาการนี้ ธรรม ๓ ประการนี้ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาวายามะ
สัมมาสติ ย่อมห้อมล้อม เป็นไปตามสัมมาทิฐิของภิกษุนั้น ฯ
:b39:
ภิกษุนั้นย่อมพยายามเพื่อละมิจฉาทิฐิ เพื่อบรรลุสัมมาทิฐิ ดูที่ความข้อนี้
จะ[color=#FF0000]สังเกตเห็นว่าภิกษุนั้นอาจหมายถึงภิกษุปุถุชน หรือภิกษุที่เป็นเสขะบุคคลที่ยังไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ก็ได้ เพราะยังเป็นผู้พยายามเพื่อละมิจฉาทิฏฐิ
ถ้าเป็นพระอริยบุคคลระดับพระอรหันต์หรืออะเสขะบุคคล เรื่องการเจริญมรรค 8 หรือสัมมาทิฐิมิได้จำเป็นต่อท่านแล้ว[/color]


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2012, 03:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
เรื่องสัมมาทิฏฐิ ที่เป็นสาสวะและอนาสวะนี้ก็เช่นกันถ้าตีความโดยพยัญชนะก็อาจทำให้เข้าใจว่ามรรคมีองค์ 8 นี้เป็นธรรมเฉพาะพระอริยะ
............ความหมายโดยอรรถนั้นสัมมาทิฏฐิที่เป็นสาสวะ เป็นความเห็นถูกต้องเพื่อการทำกุศลผลบุญคุณความดีที่ยังมีผลต้องทำให้เกิดสังขารไปรับผลความดีเหล่านั้นในสวรรค์สมบัติ รูปสมบัติ อรูปสมบัติ

อย่างผมเขาเรียกตีความตามอรรถครับ อย่างคุณนั้นแหล่ะเรียกเรียกว่า ตีความตามตัวหนังสือ
พอเห็นว่ามี ประโยคที่เกี่ยวกับทิฐิของปุถุชนด้วย ก็เลยคิดว่ากำลังสอนปุถุชนอยู่ ทำไมหนอ
กล่าวหาอะไรผมมันถึงได้ย้อนเข้าหาตัวเองหมด
asoka เขียน:
:สัมมาทิฏฐิที่เป็นอนาสวะนั้นเป็นความเห็นถูกต้องที่เห็นอริยสัจ 4 เห็นไตรลักษณ์ เห็นปฏิจจสมุปบาทและธรรมที่ทำให้ผู้ปฏิบัติได้เข้าถึงพระนิพพานได้ความเป็นอริยะยิ่งๆขึ้นไป ความที่เรียกว่าเป็นธรรมของพระอริยนั้นเพราะผู้ใดที่เป็นปุถุชนเมื่อได้นำธรรมแห่งพระอริยะมาประพฤติปฏิบัติแล้วที่สุดย่อมจะได้ความเป็นอริยบุคคลจริงๆเป็นผลผู้ที่เป็นโสดาบันก็จะได้ความเป็นสกิทาคามีบุคคล ผู้ที่เป็นสกิทาคามีบุคคลก็จะได้ความเป็นอนาคามีบุคคล ผู้เป็นอนาคามีบุคคลก็จะได้ความเป็นอรหันต์บุคคลอันเป็นที่สิ้นสุด

ผมจะตีความโดยอรรถโดยธรรมให้ดูนะครับ

ยกตัวอย่างให้ดู ถ้าแบ่งคนเป็น2พวก พวกหนึ่งอ่านหนังสือไม่เป็น
อีกพวกอ่านหนังสือเป็น
การทำงานเขาต้องเอาพวกอ่านหนังสือเป็น มาทำและการทำงานนั้น
เขาจะแบ่งระดับขั้นการทำงานโดยขึ้นกับ ความชำนาญเช่นเป็น
เสมียน หัวหน้างานและผู้จัดการ เป็นเสมียนก็ต้องเรียนรู้งานให้เกิดความชำนาญ
เพื่อไต่ระดับขึ้นไป ที่พูดมาเป็นกลุ่มของคนทำงานที่เรียกบริษัท

ทีนี้มาดูคนที่อ่านหนังสือไม่ออก ถ้าคุณลองเอาคนที่อ่านหนังสือไม่ออก
มาลองทำงานในบริษัทที่ว่า ถามหน่อยเขาจะรู้เรื่องมั้ยครับ
อยากทำงานบริษัท มันต้องไปหัดอ่านหนังสือให้ออกก่อน

มันก็เหมือนกับคุณ ที่เอาคนที่ยังไม่มีสัมมาทิฐิ(โลกุตระ)มาเรียนเรื่อง
อริยมรรคมีองค์แปด

พนักงานบริษัทเป็นกลุ่มคนที่อ่านหนังสือออก คนที่ไม่ได้เป็นพนักงานบริษัท
คือกลุ่มคนที่อ่านหนังสือไม่ออก ถ้าคนที่อ่านหนังสือไม่ออกอยากเป็นพนักงานบริษัท
ก็ต้องไปหัดอ่านหนังสือเสียก่อน เส้นแบ่งระหว่างพนักงานบริษัทกับคนที่ไม่ได้ทำงานบริษัท
มันอยู่ตรงที่การอ่านหนังสือออกหรือไม่ออก(นี่เป็นการเปรียบเทียบเฉยๆ)

มันก็เหมือนปุถุชนอยากจะเรียนมรรคให้ครบองค์แปด
มันก็ต้องไปปฏิบัติให้ได้สัมมาทิฐิก่อน เส้นแบ่งปถุชนกับอริยะมันก็คือสัมมาทิฐิ(โลกุตระ)


สัมมาทิฐิ(โลกุตระ) ก็เปรียบเหมือนคนที่อ่านหนังสือออกอ่านหนังสือเป็นแล้ว
ส่วนอริยมรรคอีกเจ็ดตัวที่เหลือก็เปรียบเหมือนตำราอีกเจ็ดเล่ม ต้องเข้าใจ
ต้องอ่านหนังสือให้ออกเสียก่อน ถึงจะไปอ่านตำราเจ็ดเล่มเข้าใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2012, 03:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ภิกษุนั้นย่อมพยายามเพื่อละมิจฉาทิฐิ เพื่อบรรลุสัมมาทิฐิ ความพยายาม
ของเธอนั้น เป็นสัมมาวายามะ ฯ
ภิกษุนั้นมีสติละมิจฉาทิฐิได้ มีสติบรรลุสัมมาทิฐิอยู่ สติของเธอนั้น
เป็นสัมมาสติ ฯ
ด้วยอาการนี้ ธรรม ๓ ประการนี้ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาวายามะ
สัมมาสติ ย่อมห้อมล้อม เป็นไปตามสัมมาทิฐิของภิกษุนั้น ฯ
:b39:
ภิกษุนั้นย่อมพยายามเพื่อละมิจฉาทิฐิ เพื่อบรรลุสัมมาทิฐิ ดูที่ความข้อนี้
จะ[color=#FF0000]สังเกตเห็นว่าภิกษุนั้นอาจหมายถึงภิกษุปุถุชน หรือภิกษุที่เป็นเสขะบุคคลที่ยังไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ก็ได้ เพราะยังเป็นผู้พยายามเพื่อละมิจฉาทิฏฐิ
ถ้าเป็นพระอริยบุคคลระดับพระอรหันต์หรืออะเสขะบุคคล เรื่องการเจริญมรรค 8 หรือสัมมาทิฐิมิได้จำเป็นต่อท่านแล้ว[/color]

พุดโถ่! แล้วทำมาคุยว่าตีความตามอรรถไม่ได้ตีความตามบัญญัติ แบบนี้แหล่ะ
เขาเรียกไม่ได้ตีความอะไรเลย เห็นตัวหนังสือเขียนอะไรก็ยกมาทั้งดุ้น

เรื่องนี้ต้องยกพระอภิธรรมมาตีความด้วยครับ เราต้องรู้เรื่องรูปนาม ขันธ์ห้า
ตัวปัญญาสัมมาทิฐิมันคือการเห็นไตรลักษณ์และที่สำคัญมันก็คือไตรลักษณ์
ตัวสัมมาทิฐิ เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป แต่การดับไปของมันจะกลายเป็น สัญญา
ปุถุชนต่างจากโสดาบันตรงที่ ไม่มีสัญญาในส่วนของสัมมาทิฐิ แต่โสดาบันมี

เรื่องมิจฉาทิฐิ ทำไมถึงเรียกมิจฉาทิฐิ ก็เพราะว่า
ยามใดที่เรายังไม่ได้เอาสติ ดึงเอาส่วนสัญญาที่เป็นสัมมาทิฐิมาใช้ เขาเรียกว่า
ยังไม่ละมิจฉาทิฐิ อย่าลืมว่าการละมิจฉาทิฐิต้องอาศัยสติปัฏฐานสี่ด้วย

และเรื่องความเพียรพยายาม เขาใช้เป็นตัวนำสติ
เพื่อให้สติไปนำปัญญาสัมมาทิฐิออกมาใช้
สังเกตุดูมันมีตัวสติเชื่อมต่อระหว่าความเพียรพยายามกับสัมมาทิฐิ
อย่าลืมสัมมาทิฐิเกิดแล้วก็เป็นสัญญา ถ้าสติยังไม่นำสัมมาทิฐิมาใช้
ก็ยังไม่นับว่าละมิจฉาทิฐิ


จะบอกให้ครับการอ่านพระสูตรต้องอ่านให้จบบท แล้วจึงค่อยตีความ
ต้องเอาเนื้อหาทั้งหมดมาตีความร่วมกัน ไม่ใช่หยิบมาเป็นท่อนแบบคุณ
พระพุทธเจ้าก็ทรงกล่าวไว้ว่า
"ด้วยอาการนี้ ธรรม ๓ ประการนี้ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาวายามะ
สัมมาสติ ย่อมห้อมล้อม เป็นไปตามสัมมาทิฐิของภิกษุนั้น ฯ"
เขามีสามตัวเล่นดึงมาสองตัว แล้วมาพูดจ้อยๆ
ถ้าไม่รู้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ารู้ก็น่าไม่อายครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2012, 07:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




GEDC1654_resize.JPG
GEDC1654_resize.JPG [ 77.18 KiB | เปิดดู 2989 ครั้ง ]
s005
:b12:
ความเห็นของคุณโฮฮับ

ผมจะตีความโดยอรรถโดยธรรมให้ดูนะครับ

ยกตัวอย่างให้ดู ถ้าแบ่งคนเป็น2พวก พวกหนึ่งอ่านหนังสือไม่เป็น
อีกพวกอ่านหนังสือเป็น
การทำงานเขาต้องเอาพวกอ่านหนังสือเป็น มาทำและการทำงานนั้น
เขาจะแบ่งระดับขั้นการทำงานโดยขึ้นกับ ความชำนาญเช่นเป็น
เสมียน หัวหน้างานและผู้จัดการ เป็นเสมียนก็ต้องเรียนรู้งานให้เกิดความชำนาญ
เพื่อไต่ระดับขึ้นไป ที่พูดมาเป็นกลุ่มของคนทำงานที่เรียกบริษัท

ทีนี้มาดูคนที่อ่านหนังสือไม่ออก ถ้าคุณลองเอาคนที่อ่านหนังสือไม่ออก
มาลองทำงานในบริษัทที่ว่า ถามหน่อยเขาจะรู้เรื่องมั้ยครับ
อยากทำงานบริษัท มันต้องไปหัดอ่านหนังสือให้ออกก่อน

มันก็เหมือนกับคุณ ที่เอาคนที่ยังไม่มีสัมมาทิฐิ(โลกุตระ)มาเรียนเรื่อง
อริยมรรคมีองค์แปด

พนักงานบริษัทเป็นกลุ่มคนที่อ่านหนังสือออก คนที่ไม่ได้เป็นพนักงานบริษัท
คือกลุ่มคนที่อ่านหนังสือไม่ออก ถ้าคนที่อ่านหนังสือไม่ออกอยากเป็นพนักงานบริษัท
ก็ต้องไปหัดอ่านหนังสือเสียก่อน เส้นแบ่งระหว่างพนักงานบริษัทกับคนที่ไม่ได้ทำงานบริษัท
มันอยู่ตรงที่การอ่านหนังสือออกหรือไม่ออก(นี่เป็นการเปรียบเทียบเฉยๆ)

มันก็เหมือนปุถุชนอยากจะเรียนมรรคให้ครบองค์แปด
มันก็ต้องไปปฏิบัติให้ได้สัมมาทิฐิก่อน เส้นแบ่งปถุชนกับอริยะมันก็คือสัมมาทิฐิ(โลกุตระ)


สัมมาทิฐิ(โลกุตระ) ก็เปรียบเหมือนคนที่อ่านหนังสือออกอ่านหนังสือเป็นแล้ว
ส่วนอริยมรรคอีกเจ็ดตัวที่เหลือก็เปรียบเหมือนตำราอีกเจ็ดเล่ม ต้องเข้าใจ
ต้องอ่านหนังสือให้ออกเสียก่อน ถึงจะไปอ่านตำราเจ็ดเล่มเข้าใจ

:b6:
อโศกะตอบ
เพราะความติดยึดอยู่ในบัญญัติเสียจนเคยชินของคุณโฮ...จึงได้สำคัญผิดว่าตัวอย่างที่ยกมานี้เป็นปรมัตถ์
คุณโฮ..ไปเอาบัญญัติความรู้หนังสือไม่รู้หนังสือมาตัดสินการเลือกคนเข้าทำงานในบริษัท นี่มันเป็นการกำหนดหรือตีกรอบธรรมชาติด้วยความเห็นผิดของคุณโฮ...เองตัวอย่างนี้อธิบายความจริงตามธรรมชาติไม่ได้หรอกครับ


.......ตัวอย่างที่จะอธิบายความจริงตามธรรมชาติหรือปรมัตถธรรมที่คล้ายๆกับเรื่องที่คุณโฮ..ยกมานั้นต้องเป็นอย่างนี้ครับ
.......ชีวิตของคุณโฮ...ที่เติบโตมา ได้เรียนหนังสือรู้ตำรามามากมายจนจมและยึดอยู่กับตำราและตัวหนังสือจนลืมธรรมชาติที่เป็นจริงไปนี้มิใช่เป็นผลมาจาก ทรัพย์สมบัติและการเลี้ยงดูของพ่อแม่บรรพบุรุษที่ไม่รู้หนังสือหรือรู้หนังสือน้อยของคุณหรอกหรือครับ

คุณโฮ..เคยได้ทราบชีวประวัติของเจ้าสัวหรือเศรษฐีดังๆของเมืองไทยหลายท่านที่ไม่ได้เรียนหนังสือหรือไม่จบแม้ชั้น ป.4 แต่สามารถประสบความสำเร็จเป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่โตในเมืองไทยมีบริวารที่จบการศึกษาสูงๆทุกระดับจนถึงระดับดอกเตอร์

ความเจริญก้าวหน้าและความสำเร็จของชีวิตทั้งทางโลกทางธรรมไม่จำเป็นต้องมาจากการรู้หนังสือเสมอไป

ถ้าจะเอาความรู้บัญญัติมาตัดสินว่าจึงจะบรรลุธรรมเบื้องสูงได้มาชี้วัด พระที่เรียนจบเป็นมหาเปรียญ 7 – 8 - 9 ประโยคทั้งหลายคงเป็นพระโสดาบัน อนาคา อรหันตา กันไปหมดแล้ว

บริษัทใหญ่ๆดังๆในเมืองไทยไม่ใช่ใหญ่มาได้ด้วยแรงงานและการทำจริงของคนงานพนักงานที่รู้หนังสือน้อยหรือไม่รู้หนังสือแต่เป็นผู้ลงมือทำงานจริงๆให้กับบริษัทในโรงงานในไร่สวนของบริษัทหรอกหรือ?
.........ถ้าบริษัทมีแต่ผู้จัดการ เสมียนพนักงานที่รู้หนังสือ จบการศึกษาสูงๆ คนเหล่านั้นจะกล้าลงไปคลุกฝุ่นดินทรายอันตรายในโรงงานได้อย่างพนักงานที่รู้น้อยหรือไม่รู้หนังสือหรือ บริษัทจะประสบความสำเร็จได้หรือเปล่าถ้าปราศจากพนักงานคนงานกรรมกรผู้ใช้แรงงานผู้รู้น้อยหรือไม่รู้หนังสือทั้งหลาย

ที่ใกล้ตัว ชีวิตของคุณที่อยู่รอดมานี้ ข้าวทุกเม็ด เนื้อ หมู ไก่ ไข่ ปลา อาหารผลไม้ เครื่องนุ่งหม ที่อยู่อาศัยที่คุณโฮ..ได้กินได้ใช้มีชีวิตรอดมาอยู่ทุกวันนี้ ไม่ได้มาจากชาวนาชาวสวนจนๆ นายช่างคนงานก่อสร้างพนักงาน กรรมกรในโรงงานที่ไม่รู้หนังสือหรอกหรือครับ คุณอย่าได้ลอยสูงจนลืมบุญคุณของผู้คนเหล่านี้

คำพูดของโฮฮับ
“มันก็เหมือนกับคุณ ที่เอาคนที่ยังไม่มีสัมมาทิฐิ(โลกุตระ)มาเรียนเรื่อง
อริยมรรคมีองค์แปด”


Asoka วิเคราะห์
คำพูดนี้ค้านตัวเองอยู่ในตัวเห็นชัดๆสังเกตให้ดีนะครับว่า ถ้าคนมีสัมมาทิฐิโดยโลกุตระชัดๆอันหมายถึงผู้ได้ถึงความเป็นพระอริยเจ้าแล้ว ท่านจะจำเป็นอะไรอีกที่จะต้องมาเพียรทำให้เกิดสัมมาทิฐิ เพราะท่านได้ถึงผลได้รับผลของสัมมาทิฐิแล้ว

สิ่งที่ถูกต้องตามธรรมตามสัจจะ ปรมัตถ์จึงควรจะเป็นว่า
อริยมรรคมีองค์แปด ไม่ใช่เป็นธรรมเฉพาะของพระอริยะแต่
อริยมรรคมีองค์แปดคือธรรมที่ผู้นำมาใส่ใจประพฤติปฏิบัติจะได้ทำตนให้เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า
แล้วอันที่คุณบอกว่าต้องเจริญสติปัฏฐาน 4 มาก่อนจนเกิดสัมมาทิฐิ นั่นก็แสดงถึงความไม่รู้หรือรู้ไม่ถูกต้องหรือติดในบัญญัติของมหาจัตตารีสูตรจนไม่ฉุกใจคิดได้ว่า “การเจริญสติปัฏฐาน 4 นั้นก็คือการเจริญมรรค 8 อยู่แล้วในตัว เป็นการเจริญสมาธิมรรคในข้อสัมมาสติอยู่แล้วเชียว”
(ยังมีต่อเมื่อได้เวลาอันเหมาะสม)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2012, 12:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s005
อโศกะตอบ
เพราะความติดยึดอยู่ในบัญญัติเสียจนเคยชินของคุณโฮ...จึงได้สำคัญผิดว่าตัวอย่างที่ยกมานี้เป็นปรมัตถ์
คุณโฮ..ไปเอาบัญญัติความรู้หนังสือไม่รู้หนังสือมาตัดสินการเลือกคนเข้าทำงานในบริษัท นี่มันเป็นการกำหนดหรือตีกรอบธรรมชาติด้วยความเห็นผิดของคุณโฮ...เองตัวอย่างนี้อธิบายความจริงตามธรรมชาติไม่ได้หรอกครับ


.......ตัวอย่างที่จะอธิบายความจริงตามธรรมชาติหรือปรมัตถธรรมที่คล้ายๆกับเรื่องที่คุณโฮ..ยกมานั้นต้องเป็นอย่างนี้ครับ
.......ชีวิตของคุณโฮ...ที่เติบโตมา ได้เรียนหนังสือรู้ตำรามามากมายจนจมและยึดอยู่กับตำราและตัวหนังสือจนลืมธรรมชาติที่เป็นจริงไปนี้มิใช่เป็นผลมาจาก ทรัพย์สมบัติและการเลี้ยงดูของพ่อแม่บรรพบุรุษที่ไม่รู้หนังสือหรือรู้หนังสือน้อยของคุณหรอกหรือครับ

คุณโฮ..เคยได้ทราบชีวประวัติของเจ้าสัวหรือเศรษฐีดังๆของเมืองไทยหลายท่านที่ไม่ได้เรียนหนังสือหรือไม่จบแม้ชั้น ป.4 แต่สามารถประสบความสำเร็จเป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่โตในเมืองไทยมีบริวารที่จบการศึกษาสูงๆทุกระดับจนถึงระดับดอกเตอร์

ความเจริญก้าวหน้าและความสำเร็จของชีวิตทั้งทางโลกทางธรรมไม่จำเป็นต้องมาจากการรู้หนังสือเสมอไป

ถ้าจะเอาความรู้บัญญัติมาตัดสินว่าจึงจะบรรลุธรรมเบื้องสูงได้มาชี้วัด พระที่เรียนจบเป็นมหาเปรียญ 7 – 8 - 9 ประโยคทั้งหลายคงเป็นพระโสดาบัน อนาคา อรหันตา กันไปหมดแล้ว

บริษัทใหญ่ๆดังๆในเมืองไทยไม่ใช่ใหญ่มาได้ด้วยแรงงานและการทำจริงของคนงานพนักงานที่รู้หนังสือน้อยหรือไม่รู้หนังสือแต่เป็นผู้ลงมือทำงานจริงๆให้กับบริษัทในโรงงานในไร่สวนของบริษัทหรอกหรือ?
.........ถ้าบริษัทมีแต่ผู้จัดการ เสมียนพนักงานที่รู้หนังสือ จบการศึกษาสูงๆ คนเหล่านั้นจะกล้าลงไปคลุกฝุ่นดินทรายอันตรายในโรงงานได้อย่างพนักงานที่รู้น้อยหรือไม่รู้หนังสือหรือ บริษัทจะประสบความสำเร็จได้หรือเปล่าถ้าปราศจากพนักงานคนงานกรรมกรผู้ใช้แรงงานผู้รู้น้อยหรือไม่รู้หนังสือทั้งหลาย

ที่ใกล้ตัว ชีวิตของคุณที่อยู่รอดมานี้ ข้าวทุกเม็ด เนื้อ หมู ไก่ ไข่ ปลา อาหารผลไม้ เครื่องนุ่งหม ที่อยู่อาศัยที่คุณโฮ..ได้กินได้ใช้มีชีวิตรอดมาอยู่ทุกวันนี้ ไม่ได้มาจากชาวนาชาวสวนจนๆ นายช่างคนงานก่อสร้างพนักงาน กรรมกรในโรงงานที่ไม่รู้หนังสือหรอกหรือครับ คุณอย่าได้ลอยสูงจนลืมบุญคุณของผู้คนเหล่านี้

คำพูดของโฮฮับ
“มันก็เหมือนกับคุณ ที่เอาคนที่ยังไม่มีสัมมาทิฐิ(โลกุตระ)มาเรียนเรื่อง
อริยมรรคมีองค์แปด”


คุณโสกะ คุณเป็นอะไรไปแล้วครับ ตั้งสติก่อนครับ
เดี๋ยวธาตุไฟเข้าแทรก ผมว่าหยุดพักไปหาหมอบ้างก็ดีนะครับ :b14:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2012, 21:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




41_1723.jpg
41_1723.jpg [ 31.14 KiB | เปิดดู 2963 ครั้ง ]
s004
โฮฮับพูด
คุณโสกะ คุณเป็นอะไรไปแล้วครับ ตั้งสติก่อนครับ
เดี๋ยวธาตุไฟเข้าแทรก ผมว่าหยุดพักไปหาหมอบ้างก็ดีนะครับ

asokaพูด
คำพูดของคุณโฮฮับที่กล่าวข้างบนควรจะกลับไปบอกตัวคุณโฮฮับเองได้แล้วด้วยครับเพราะผมตอบคำอธิบายเรื่องพนักงานรู้ไม่รู้หนังสือของคุณให้คุณเข้าใจตามความเป็นจริงแต่คุณไม่เข้าใจ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2012, 01:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:

asoka เขียน:
s004
โฮฮับพูด
คุณโสกะ คุณเป็นอะไรไปแล้วครับ ตั้งสติก่อนครับ
เดี๋ยวธาตุไฟเข้าแทรก ผมว่าหยุดพักไปหาหมอบ้างก็ดีนะครับ

asokaพูด
คำพูดของคุณโฮฮับที่กล่าวข้างบนควรจะกลับไปบอกตัวคุณโฮฮับเองได้แล้วด้วยครับเพราะผมตอบคำอธิบายเรื่องพนักงานรู้ไม่รู้หนังสือของคุณให้คุณเข้าใจตามความเป็นจริงแต่คุณไม่เข้าใจ

พนักงานบริษัทเป็นกลุ่มคนที่อ่านหนังสือออก คนที่ไม่ได้เป็นพนักงานบริษัท
คือกลุ่มคนที่อ่านหนังสือไม่ออก ถ้าคนที่อ่านหนังสือไม่ออกอยากเป็นพนักงานบริษัท
ก็ต้องไปหัดอ่านหนังสือเสียก่อน เส้นแบ่งระหว่างพนักงานบริษัทกับคนที่ไม่ได้ทำงานบริษัท
มันอยู่ตรงที่การอ่านหนังสือออกหรือไม่ออก(นี่เป็นการเปรียบเทียบเฉยๆ)

มันก็เหมือนปุถุชนอยากจะเรียนมรรคให้ครบองค์แปด
มันก็ต้องไปปฏิบัติให้ได้สัมมาทิฐิก่อน เส้นแบ่งปถุชนกับอริยะมันก็คือสัมมาทิฐิ(โลกุตระ)


สัมมาทิฐิ(โลกุตระ) ก็เปรียบเหมือนคนที่อ่านหนังสือออกอ่านหนังสือเป็นแล้ว
ส่วนอริยมรรคอีกเจ็ดตัวที่เหลือก็เปรียบเหมือนตำราอีกเจ็ดเล่ม ต้องเข้าใจ
ต้องอ่านหนังสือให้ออกเสียก่อน ถึงจะไปอ่านตำราเจ็ดเล่มเข้าใจ

ก็สู้อุตสาห์วงเล็บไว้ว่า"เป็นการเปรียบเทียบ" ก็ยังดันทุรัง
เดินลุยน้ำไปหาผักบุ้ง แต่หาผักบุ้งไม่ได้สักต้น กลับน้ำขุ่นเต็มท้องทุ่ง :b13:

เอาองกรณ์ที่ต้องอาศัย เอกสารหรือคอมพิวเตอร์ในการทำงาน ยกมาให้ดูว่าความสำคัญ
มันอยู่ที่ต้องอ่านหนังสือออก เพราะเขาสื่อสารกันด้วยตัวหนังสือ ยังไม่เข้าใจอีก
เถียงกลับมาชนิดที่พูดได้คำเดียวว่า น่ารำคาญ ไปไหนมาสามวาสองศอกจริงๆ

คุณโสกะครับคุณอ่านหนังสือไม่แตกหรือว่าหน้าแตกครับ
ถึงได้ทนเขียนเรื่องดร่าม่าไร้สาระมาซะเต็มเยียดแบบนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2012, 03:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
Asoka วิเคราะห์
คำพูดนี้ค้านตัวเองอยู่ในตัวเห็นชัดๆสังเกตให้ดีนะครับว่า ถ้าคนมีสัมมาทิฐิโดยโลกุตระชัดๆอันหมายถึงผู้ได้ถึงความเป็นพระอริยเจ้าแล้ว ท่านจะจำเป็นอะไรอีกที่จะต้องมาเพียรทำให้เกิดสัมมาทิฐิ เพราะท่านได้ถึงผลได้รับผลของสัมมาทิฐิแล้ว

ด่าคนอื่นพูดนอกธรรม พอเขาเอาพระพจน์มาอ้างอิง
ก็ว่าเขาอีก หาว่ายึดติดกับบัญญัติ คุณจะเอายังไงกันแน่ครับคุณโสกะ
พระสูตรก็ไม่ได้เรื่อง พระอภิธรรมก็ไม่ได้ความ ยังมีหน้ามาว่า
คนอื่นพูดนอกธรรม

เอาง่ายๆและสั้นๆ......
อริยบุคคลแตกต่างจากปุถุชนในเรื่องปัญญาสัมมาทิฐิ ตรงที่
อริยบุคคลได้พบปัญญาสัมมาทิฐิแล้ว จึงเรียกได้ว่า อริยบุคคลมีสัญญา
ในส่วนของปัญญาสัมมาทิฐิแล้ว

แต่ปุถุชนไม่มีสัญญาในส่วนของปัญญาสัมมาทิฐิ
เพราะปุถุชนยังไม่พบปัญญาในส่วนนี้

asoka เขียน:
s005
สิ่งที่ถูกต้องตามธรรมตามสัจจะ ปรมัตถ์จึงควรจะเป็นว่า
อริยมรรคมีองค์แปด ไม่ใช่เป็นธรรมเฉพาะของพระอริยะแต่
อริยมรรคมีองค์แปดคือธรรมที่ผู้นำมาใส่ใจประพฤติปฏิบัติจะได้ทำตนให้เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า
แล้วอันที่คุณบอกว่าต้องเจริญสติปัฏฐาน 4 มาก่อนจนเกิดสัมมาทิฐิ นั่นก็แสดงถึงความไม่รู้หรือรู้ไม่ถูกต้องหรือติดในบัญญัติของมหาจัตตารีสูตรจนไม่ฉุกใจคิดได้ว่า “การเจริญสติปัฏฐาน 4 นั้นก็คือการเจริญมรรค 8 อยู่แล้วในตัว เป็นการเจริญสมาธิมรรคในข้อสัมมาสติอยู่แล้วเชียว”
(ยังมีต่อเมื่อได้เวลาอันเหมาะสม)[/b][/color]

แบบคุณเขาเรียกว่าหางอึ้งครับ ยิ่งปฏิบัติปัญญาก็ยิ่งหดหาย
ดูก็รู้แล้วว่า ไม่รู้จักไตรสิกขา อริยมรรคแต่ละมรรค มีธรรมอื่นเป็นส่วนประกอบ
มีธรรมอื่นเป็นเหตุปัจจัย ที่พูดมาจ้อยๆรู้ได้ทันทีว่าไม่ได้เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองพูด
แม้แต่น้อย จำบัญญัติใดได้ก็ออกเสียงเป็นนกแก้ว
ไล่ให้กลับไปปฏิบัติเรื่อง ทาน ศีล ภาวนาก็ไม่ฟัง

เรื่องสติปัฏฐานสี่มันเป็นเรื่องที่คุณไม่มีความเข้าใจแต่ต้นแล้ว
จะบอกให้ครับ สติปัฏฐานสี่เป็นเพียงเหตุปัจจัยหนึ่งในการเข้าถึงอริยมรรค
มันยังมีธรรมอื่นเป็นองค์ประกอบอีก

สติปัฏฐานสี่เป็นธรรมที่พระอริยะ ใช้เป็นเหตุปัจจัยเรียกสัญญาที่เป็นปัญญาสัมมาทิฐิ
ออกมาเป็นประธานในการพิจารณาธรรม
แล้วทำไมจึงต้องเรียกสติปัฏฐานสี่ ก็เพราะการพิจารณาธรรมจะต้องใช้
สติทั้งสี่ฐานมาพิจารณา

คุณโสกะครับ ผมว่าที่ผมพูดไปคุณคงไม่เข้าใจหรอกครับ
เพราะมันข้ามขั้นตอนเกินกว่าที่คุณจะเข้าใจ ผมว่าคุณไปเริ่มที่
ทาน ศีล ภาวนา มีสติอยู่กับปัจจุบันผมว่าแบบนี้จะดีกว่านะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2012, 03:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
“การเจริญสติปัฏฐาน 4 นั้นก็คือการเจริญมรรค 8 อยู่แล้วในตัว เป็นการเจริญสมาธิมรรคในข้อสัมมาสติอยู่แล้วเชียว”
(ยังมีต่อเมื่อได้เวลาอันเหมาะสม)[/b][/color]

คุณโสกะรู้จักหัวมังกุท้ายมังกรมั้ยครับ ถ้าไม่รู้จักก็ดูที่คำพูดของคุณซิครับ
คุณนี่มันมั่วสุดประมาณการเลยนะครับ

เอาเหมือนเดิมครับ พูดมากไปคุณก็ไม่รู้เรื่อง ผมยกพุทธพจน์มาเทียบเคียง
ให้ดูจะรู้เรื่องไม่รู้เรื่อง มันขึ้นอยู่กับคุณเองที่จะเอาปัญญาเป็นหางลูกอ๊อด
หรือจะเป็นหางจิ้งจก

พุทธพจน์...

[๒๗๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน
ก็สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร คือ เมื่อมีสัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะจึงพอเหมาะได้
เมื่อมีสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจาจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ
จึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาอาชีวะ
สัมมาวายามะจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาวายามะ สัมมาสติจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาสติ
สัมมาสมาธิจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาสมาธิ สัมมาญาณะจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาญาณะ
สัมมาวิมุตติจึงพอเหมาะได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการนี้แล พระเสขะผู้
ประกอบด้วยองค์ ๘ จึงเป็นพระอรหันต์ประกอบด้วยองค์ ๑๐

*คุณโสกะ รู้จักมัคสมังคีมั้ย มัคสมังคีหรือมรรคสามัคี คือการเกิดอริยมรรคครบแปด
แล้วลักษณะการเกิด คุณก็ดูเอาจากพุทธพจน์ที่ผมยกมา และสังเกตุดูให้ดี
สัมมาสมาธิ เกิดจากสัมมาอื่นทั้งเจ็ดได้เกิดขึ้นแล้ว
การรวมกันเป็นหนึ่งของอริยมรรคทั้งเจ็ด เขาเรียกว่า สัมมาสมาธิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2012, 20:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


cool
ทั้งหมดที่แสดงมาก็เป็นธรรมมะสไตล์ลุงโฮฮับผมไม่จำเป็นต้องโต้ตอบแสดงเหตุผลอะไรมากเอาแค่ข้อความท่อนที่ยกมาต่อไปนี้ ก็ขัดกันเองอยู่แล้ว

s004
เรื่องสติปัฏฐานสี่มันเป็นเรื่องที่คุณไม่มีความเข้าใจแต่ต้นแล้ว
จะบอกให้ครับ สติปัฏฐานสี่เป็นเพียงเหตุปัจจัยหนึ่งในการเข้าถึงอริยมรรคมันยังมีธรรมอื่นเป็นองค์ประกอบอีก

สติปัฏฐานสี่เป็นธรรมที่พระอริยะ ใช้เป็นเหตุปัจจัยเรียกสัญญาที่เป็นปัญญาสัมมาทิฐิ
ออกมาเป็นประธานในการพิจารณาธรรม

แล้วทำไมจึงต้องเรียกสติปัฏฐานสี่ ก็เพราะการพิจารณาธรรมจะต้องใช้
สติทั้งสี่ฐานมาพิจารณา

s005
asoka วิเคราะห์
สติปัฏฐานสี่เป็นเพียงเหตุปัจจัยหนึ่งในการเข้าถึงอริยมรรค นี่ความท่อนที่ 1 (เป็นพระอริยะเจ้าแล้วจะต้องมาทำเหตุอะไรให้ถึงอริยมรรคอีก)

สติปัฏฐานสี่เป็นธรรมที่พระอริยะ ใช้เป็นเหตุปัจจัยเรียกสัญญาที่เป็นปัญญาสัมมาทิฐิ นี่ความท่อนที่ 2 (พระอริยเจ้ามีสัมมาทิฐิอยู่เป็นนิจแล้วจำเป็นอะไรที่จะต้องเรียกหาสัมมาทิฐิ)

ลองพิจารณาให้ดีๆลึกๆจะเห็นความขัดกันกับที่คุณอธิบายมาทั้งหมด แค่นี้ก็พอแล้วว่าคุณโฮฮับฟั่นเฟือนในบัญญัติป่วยประโยชน์ที่จะพูดเรื่องอี่น
:b11:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2012, 03:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
cool
ทั้งหมดที่แสดงมาก็เป็นธรรมมะสไตล์ลุงโฮฮับผมไม่จำเป็นต้องโต้ตอบแสดงเหตุผลอะไรมากเอาแค่ข้อความท่อนที่ยกมาต่อไปนี้ ก็ขัดกันเองอยู่แล้ว

ไอ้ที่บอกว่า"ไม่จำเป็นต้องตอบเนี่ย" พูดออกมาไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือครับ
ถ้าจะไม่ตอบก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปซะก็หมดเรื่อง ทำไมต้องแสดงออก
เหมือนกำลังประจานตัวเองครับ
asoka เขียน:
เรื่องสติปัฏฐานสี่มันเป็นเรื่องที่คุณไม่มีความเข้าใจแต่ต้นแล้ว
จะบอกให้ครับ สติปัฏฐานสี่เป็นเพียงเหตุปัจจัยหนึ่งในการเข้าถึงอริยมรรคมันยังมีธรรมอื่นเป็นองค์ประกอบอีก

สติปัฏฐานสี่เป็นธรรมที่พระอริยะ ใช้เป็นเหตุปัจจัยเรียกสัญญาที่เป็นปัญญาสัมมาทิฐิ
ออกมาเป็นประธานในการพิจารณาธรรม

แล้วทำไมจึงต้องเรียกสติปัฏฐานสี่ ก็เพราะการพิจารณาธรรมจะต้องใช้
สติทั้งสี่ฐานมาพิจารณา
asoka วิเคราะห์
สติปัฏฐานสี่เป็นเพียงเหตุปัจจัยหนึ่งในการเข้าถึงอริยมรรค นี่ความท่อนที่ 1 (เป็นพระอริยะเจ้าแล้วจะต้องมาทำเหตุอะไรให้ถึงอริยมรรคอีก)

พระอริยะมีกี่ระดับคุณไม่รู้เลยหรือ เห็นพูดพูดแจ้วๆถึง เสขะ อเสขะ
พระอริยะระดับเสขะคือ โสดา สกิทาคาและอนาคา ส่วนอเสขะคือพระอรหันต์
ที่เรียกอริยมรรคมีองค์แปดนั้นน่ะ เขามีไว้ให้พระอริยะระดับเสขะปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึง
พระอริยะระดับอรหันต์
ประเด็นสำคัญก็คือ พระอรหันต์หรือพระอเสขะมีอริยมรรคครบองค์แปดแล้ว
แต่พระอริยะอื่นๆหรือพระเสขะยังมีอริยมรรคไม่ครบองค์แปด ในลักษณะมัคสมังคี

asoka เขียน:
สติปัฏฐานสี่เป็นธรรมที่พระอริยะ ใช้เป็นเหตุปัจจัยเรียกสัญญาที่เป็นปัญญาสัมมาทิฐิ นี่ความท่อนที่ 2 (พระอริยเจ้ามีสัมมาทิฐิอยู่เป็นนิจแล้วจำเป็นอะไรที่จะต้องเรียกหาสัมมาทิฐิ)

ธรรมทั้งมวลล้วนเป็นไตรลักษณ์ ปัญญาเมื่อรู้แล้วก็เป็นไตรลักษณ์
สิ่งที่รู้แล้วดับไปก็กลายเป็นสัญญา มันเป็นเรื่องกระบวนการขันธ์ห้า
การมีปัญญาหรือสัมมาทิฐิเป็นนิจนั้น ต้องอาศัยสติไปดึงสัญญาที่เป็นปัญญา
ออกมาเมื่อเกิดผัสสะขึ้น
asoka เขียน:
ลองพิจารณาให้ดีๆลึกๆจะเห็นความขัดกันกับที่คุณอธิบายมาทั้งหมด แค่นี้ก็พอแล้วว่าคุณโฮฮับฟั่นเฟือนในบัญญัติป่วยประโยชน์ที่จะพูดเรื่องอี่น

เรื่องขัดมันไม่ขัดอยู่แล้ว ปัญหามันเกิดจากคุณไม่รู้ในสิ่งที่ผมรู้
พระพุทธเจ้าสอนให้รู้เหตุปัจจัย แต่คุณเล่นทางลัดมาดูแต่ผล
พอมีคนมาพูดถึงเหตุที่มาของผลให้ฟัง คุณก็มีอาการงงเป็นไก่ตาแตก :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2012, 06:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




41_1718.jpg
41_1718.jpg [ 41.25 KiB | เปิดดู 2923 ครั้ง ]
grin
rolleyes
s007
:b16:
:b12:
ผมถึงได้บอกว่า มรรคหรืออริยมรรคมีองค์แปดมีไว้สอนพระอริยะบุคคล
เพื่อบรรลุไปเป็นอรหันต์ ไม่ได้เอาไว้สอนปุถุชน
ปุถุชนถ้ายังไม่ได้มีสัมมาทิฐิที่เป็นโลกุตระ ย่อมไม่เข่าใขวิธีปฏิบัติในเรื่องอริยมรรค
ปุถุชนต้องปฏิบัติภาวนาให้ได้มาซึ่งสัมมาทิฐิอนาสวะ(โลกุตระ)เสียก่อน
หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือต้องเป็นอริยบุคคลขั้นต้น
หรือเป็นโสดาบันเสียก่อน
:b32:
ที่ยกมาข้างบนนี้คือความติดยึดอย่างแน่นหนาของคุณโฮฮับ เพราะจะไปแสดงความเห็นที่ไหนก็จะยกบทนี้และมหาจัตตารีสูตรมาอ้างรับรองว่าความเห็นของตนเองนั้นถูกต้อง

asoka จึงกล่าวว่าความยึดติดในความเห็นอย่างนี้เป็นความเห็นผิด มิจฉาทิฐิ พยายามที่จะขัดโดยวิธีการต่างๆเพื่อให้คุณโฮฮับได้สติและสัมปชัญญะกลับคืนมาจะได้กลับมาสู่ความเป็นคนธรรมดาสามัญติดดินกินข้าวราดแกงเหมือนผู้คนทั้งหลายแต่ก็ยากเย็นแสนเข็ญ จึงต้องทั้งคาะและขัดกันอย่างแรงๆไปบ้าง คุณโฮฮับทราบหรือเปล่าว่าคำว่าขัด โดยบัญญัติแปลว่า ขวาง แต่โดยปรมัตถ์นั้นแปลว่า "ทำให้ขาวสะอาดเงางาม"
ดังนั้นการที่ผมขัดคุณก็ด้วยปารถนาดีอยากจะให้คุณขาวและเงางามขึ้นจากความเห็นผิดยึดผิด

คุณโฮฮับยึดตัวหนังสือในพระสูตรเป็นหลักแล้วบอกว่านี่คือใช่ นี่คือพุทธวัจจะนะ ใครกล้าเถียง ใครไม่เชื่อไม่ได้นะ แล้วเที่ยวไปคัดลอกตัวหนังสือในพระไตรปิฎกมาข่มทับปรับวาทะผู้อื่นเช่นนี้ คุณรู้ตัวไหมว่ากำลังทำผิดพุทธวัจจนะในเรื่องอื่นๆ
พุทธวัจจนะที่ส้้นและเข้าใจง่ายอย่างเช่น "สัพเพธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ" แปลว่า "ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น" ข้อนี้คุณโฮฮับได้เอามาใส่ใจใคร่ครวญหรือประพฤติปฏิบัติบ้างไหม?


อีกข้อหนึ่งก็คือพุทธดำรัสเรื่อง กาลามสูตร คุณรู้ไหมว่าคุณกำลังทำผิดหลักกาลามสูตร เพราะคุณไปเชื่อตัวหนังสือในมหาจัตตารีสูตรแล้วยึดติดแน่น พระพุทธบิดาทรงสอนมิให้สาวกเชื่ออะไรโดยง่ายแต่ทรงสอนให้พิสูจน์จนเห็นจริงแล้วจึงค่อยเชื่อ แล้วคุณโฮฮับได้พิสูจน์ตามตัวหนังสือที่แปลมหาจัตตารีสูตรมาดีแล้วหรือยังจึงได้เชื่อเป็นตุเป็นตะอย่างไม่ลืมหูลืมตาเช่นนี้ คุณรู้ไหมว่าการผูกยึดในความเห็นเป็นเครื่องบอกชี้ถึงพฤติกรรมของบุคคล ดังพฤติกรรมของคุณโฮฮับที่ทำอยู่ทุกวันนี้

คุณโฮฮับทราบไหมว่าasoka ก็ยึดธรรมเหมือนกันแต่ไม่ยึดแน่นโดยไร้สัมปชัญญะอย่างคุณโฮฮับ asoka ยึดเพื่อพิสูจน์ว่าจริงไหม?ตามพุทธดำรัสและก็ได้พิสูจน์แล้วว่า มรรคมีองค์แปดนั้นพระพุทธองค์ทรงดำรัสตรัสสอนไว้ให้เป็นธรรมอันเอกเป็นเครื่องมืออันวิเศษที่สัตว์โลกผู้นำไปเจริญจะได้พัฒนาตนจากความเป็นปุถุชนขึ้นสู่ความเป็นอริยชนตามลำดับแห่งธรรมและasokaก็ได้รับผลจากการเจริญมรรคมีองค์ 8 นี้เพิ่มขึ้นๆทุกเมื่อเชื่อวัน
ข้อธรรมอันไหนหรือที่asokaยึดขึ้นมาพิสูจน์ ก็เป็นพุทธดำรัสที่ทรงตรัสไว้เป็นอมตะวาจา เป็นหลักฐานสำคัญที่จะแสดงถึงความมั่นคงดำรงอยู่่ของพระพุทธศาสนาคือคำว่า

"สัมมาวิหาเรยุง อสุญโญโลโก อรหันเตหิ" แปลความโดยอรรถะว่า หากยังมีผู้ประพฤติปฎิบัติตามสัมมาทั้ง 8 ข้อ คือ มรรคมีองค์ 8 ตราบนั้นโลกนี้จักไม่ว่างจากพระอรหันต์

พุทธวัจจนะข้อนี้คุณโฮฮับเคยเอามาใส่ใจ่พิจารณาและพิสูจน์ดูหรือยังครับถ้ายังต้องรีบพิสูจน์ เพราะจะได้รู้ความจริงว่า มรรคมีองค์ 8 นั้นเป็นสิ่งที่พระพุทธบิดาทรงประทานให้กับชาวโลกทุกชิวิตจิตวิญญาณ มิใช่เฉพาะพระอริยบุคคล เพราะความในมรรคมีองค์ 8พระพุทธองค์ได้ทรงอธิบาย จำแนกแจกแจง ทำให้ง่ายและเข้าใจกันได้ในบุคคลทุกระดับชั้น ไม่เหลือวิสัยที่คนธรรมดาสามัญทั้งหลายจะรู้ เข้าใจและนำไปประพฤติปฎิบัติได้


คลายความเห็นผิดยึดผิดเสียทีนะคุณโฮฮับจะได้กลับมาสู่ปกติธรรมดา

(ยังมีต่ออีกเมื่อถึงกาลอันควร)
onion
:b16:
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 53 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร