วันเวลาปัจจุบัน 24 ก.ค. 2025, 00:50  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 85 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2011, 11:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:

:b48: :b49: :b49: :b48:

ลองสังเกต จังหวะที่จิตขึ้นสู่ วิถี :b1:
ผู้ที่เราคิดว่าเป็นผู้ดูแล จะอยู่แถว ๆ นั้น

ลองพิจารณา ขณะเข้าทรง
ทำไมเราถึงคิดว่า ผู้มาทรง กับผู้ถูกทรง เป็นคนละอัน

:b1:


เพราะมันเป็นเรื่องของ จิต-เจตสิก-รูป
เอกอนจึงกล่าวเช่นนั้น

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2011, 12:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณน้ำค่ะคุณน้ำสวดมนต์ตั้งแต่เด็กๆใช่หรือปล่าวค่ะ

เราเคยอ่านเจอ ที่พระท่านบอกว่าถ้าเด็กสนใจเรื่องธรรมะ แสดงว่าเด็กคนนั้นตอนที่อยู่บนสวรรค์
เป็นเทวดาเค้าก็สวดมนต์รักษาศีล พอหมดบุญจากเทวดาก็มาเกิดเป็นมนุษย์

พออายุได้7ขวบขึ้นไปก็จะสวดมนต์ได้ คือลงมาสร้างบุญ พอตายไปก็จะได้ไปสู่ชั้นพรหม
(มีใครเคยอ่านเจอหรือปล่าวค่ะ)

พอดีตอนนั้นลูกสาวเพื่อนอายุ3ขวบ อ่านหนังสือสวดมนต์ได้ เราก็คิดว่าทำไมเค้าอ่านหนังสือได้
เราให้เค้าอ่านหนังสือพิมพ์ให้เราดู เค้าบอกเค้าอ่านหนังสืออย่างนี้ไม่ได้
เค้าอ่านได้แ่ต่คำสวดมนต์ :b41: :b55: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2011, 12:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณเอกอนเขียน

อ้างคำพูด:
ลองพิจารณา ขณะเข้าทรง
ทำไมเราถึงคิดว่า ผู้มาทรง กับผู้ถูกทรง เป็นคนละอัน


เป็นยังไงเหรอค่ะคนล่ะอัน :b12:
ตอนที่คุณน้ำ-กับคุณเอกอนมีร่างอีกร่างหนึ่งเข้ามานั้น รู้สึกตัวหรือปล่าวค่ะ

คนที่นี่ค่ะ(มาเลย์เซีย) เค้าเป็นร่างขององค์ฟะจู่กง เค้าเล่าให้เราฟังว่า
เค้าไปเที่ยวที่กรุงเทพฯไปที่วัดอะไรก็ไม่รู้ อยู่ๆเค้าก็เป็นลม
ญาติๆของเค้าก็บอกว่าเค้ามีของเข้า


พอเค้ากลับมามาเลย์
เค้าก็เลยเป็นร่างทรงขององค์ฟะจู่กง แต่ไม่ใช่ท่านจะมาทุกครั้งน่ะ ปีหนึ่งท่านจะมาแค่วันเดียว
ท่านมาเข้าฝันบอกกับเค้าว่า ให้ทำพิธีไหว้ท่านวันไหนเืดือนไหนของทุกๆปี
เราถามว่าเวลาที่ท่านมา คุณรู้สึกตัวมั๊ย!
เค้าบอกเค้าไม่รู้สึกตัวเลย เค้าบอกเค้าไม่ชอบเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2011, 13:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว



:b6: :b6:

ทำไม เราถึงคิดว่า เทพมาทรงเรา
ทำไม เราไม่คิดว่า จริงๆ แล้วเราเป็นเทพ แต่ตลอดเวลา โดนคนมาเข้าทรงอยู่ล่ะ

:b6: :b6: :b6:

:b9: :b9: อิอิ ตกลงไม่รู้ใครแทรกแซงใคร กันแน่

บางที สิ่งที่ปรากฎ นั่นคือเขาพยายามจะบอกเราเป็นนัย ๆ รึเปล่า
เพื่อให้เราเห็นแง่ว่า เขาเองก็สามารถเข้ามาควบคุมกายนี้ได้
และเพื่อให้เราเห็นแง่ธรรม เพื่อที่เราจะได้เลิกยึดพื้นที่นี้สักที :b9:
และก็เพื่อให้เราเห็นแง่ธรรม
อันเป็นในลักษณะทำนองกรณีพิพาทคาบเกี่ยว ประมาณว่า
กิ่งมะม่วงจากต้นมะม่วงข้างบ้านยื่นเข้ามาในบ้านเรา
ปรากฎว่า มะม่วงนั้นออกผล
ถามว่า มะม่วงที่ปรากฎอยู่ในอาณาเขตบ้านเรา จะถือว่าเป็นมะม่วงของใคร

:b1: :b1: :b12: :b12:

พอดี เอกอนไม่เคยโดนเข้าทรง อย่างไม่รู้สึกตัว
และก็น่าจะเป็นไปในทาง เอกอนไม่เคยโดนเข้าทรง
แต่มีประสบการณ์สภาวะคลื่นแทรก บางอย่างที่ ใกล้เคียง และรู้ตัว

สิ่งที่เคยประสบ อย่างน้อย ๆ มันก็ได้สร้างความสั่นคลอนต่อทัศนะในเรื่อง อัตตา

ถามว่า กาย/จิต นี้เป็นอัตตา หรือ อนัตตา
เอกอนไม่เคยต้องคิดตามตำรามาตอบ เพื่อที่จะตอบว่า ใช่ หรือ ไม่
แต่ จากประสบการณ์ ที่ อัตตามันถูกสั่นคลอน นี่ล่ะ
ทำให้ เราเกิดแง่มุม ที่ทำให้เราเริ่มไม่มั่นใจ
ในสิ่งที่เราเคยคิดว่ามันเป็นเรา มันเป็นของเรา

คือ เราเจอสภาวะที่ ทำให้เราไม่มั่นใจในความเข้าใจเดิม ๆ

สภาวะธรรมทุกอย่าง แสดงธรรมเสมอ
แต่ เราเก็บอะไรได้จาก สภาวะธรรมที่ปรากฎ

:b38: :b41: :b41: :b38:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 21 ธ.ค. 2011, 18:43, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2011, 17:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


และ ถ้าถึงบทที่ เธอคืออวิชา

"แก้วที่มันร้าว ไม่นานก็คงจะแตก
ใจที่มันร้าว ไม่นานก็คงจะแยก
แหลก...ส..ลาย ไม่..มี..วัน..เหมือนเดิม"

มันก็จะเป็นความสั่นคลอนชนิดที่ว่า
ดั่งเรามีแฟนและรักกันดีมาตลอด
พอระยะหนึ่งเราเห็นเขาเปลี๋ยนไป๋ เขาแสดงแววความมีคนอื่นเข้ามาแทรกแซง
เราคิดว่า เราเป็นของแท้ เขาเป็นมือที่สาม
แต่สืบสาวไป ๆ มา ๆ ปรากฎว่า "เราต่างหากที่เป็นมือที่สาม"

:b38: :b38: :b38:

แต่ในความไม่ชัดเจนในเขตแดนแห่งอายตนะ
มันก็ เป็นสิทธิที่มะม่วงผลนั้น จะเป็นของเราก็ได้

เรื่องจิต มันก็เลยเป็นเหมือน ของที่ว่าง
มันยากที่จะระบุลงไป ว่าแท้จริงแล้ว เราเป็นอะไร
"เราไม่มีที่ลง" - "รู้นั้น ไม่มีที่ลง"
ธรรมที่ไม่อาจจะเหยี่ยบลงฝั่งไหนได้


:b49: :b50: :b50: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2011, 19:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สงสัย...เจ..จะลอยฟ้า
s006 s006
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2011, 11:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
สงสัย...เจ..จะลอยฟ้า



เค้าเรียกว่าเป็นการคุยหลังจากทานอาหารหรือระหว่างรออาหารค่ะ :b12:
เค้าทานกันจนอิ่มแล้วค่ะ ก็เลยคุยเรื่องธรรมกัน
เห็นม่ะในห้องอาหารก็มีผู้รู้ให้ใธรรมด้วย

แล้วคุณกบฯไปๆไหน ทำไมมาช้าจัง สงสัยได้ยินคุณน้ำพูดเรื่องนั่งสมาธิแล้วเห็นตัวเลข
พอคุยเรื่องหวยรีบกระโดดเข้ามาเชียว :b17: :b17: :b32: :b41: :b47: :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2011, 14:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


น่าฟังค่ะ

กายเป็นเรือนของจิต ของหลวงปู่สิม







ค้นหาความสงบ หลวงพ่อชา สุภัทโท




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2011, 14:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


สาเหตุของการเกิดทุกข์



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2011, 14:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


การเห็นอริยสัจ
อ่านอริยสัจมาถึงตรงนี้ เรารู้แล้วว่าทุกข์มีกี่ประเภท อะไรบ้าง อะไรที่ทำให้เกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ รู้มรรคมีองค์ ๘ จำได้หมด แต่นี่ยังไม่เรียกว่าเห็นอริยสัจ เป็นแต่เพียงท่องจำอริยสัจได้เท่านั้น
การเห็นอริยสัจ แต่ละข้อจะต้องเห็นถึง ๓ รอบ รวม ๔ อริยสัจเท่ากับเห็นถึง ๑๒ ครั้งเราเรียกรอบ๓ อาการ๑๒ ของอริยสัจ
การเห็นอริยสัจ แปลกกว่าการเห็นอย่างอื่น คือ เมื่อเห็นแล้วจะสามารถทำได้ด้วย เช่น เห็นสมุทัย เหตุแห่งทุกข์ว่าคือ ตัณหา ก็จะเห็นว่าตัณหาควรละ และก็ละตัณหาได้ด้วย เป็นการเห็นที่บริบรูณ์จริงๆ ถ้าจะเปรียบก็เหมือนการรู้เรื่องยา จะเป็นความรู้ที่บริบูรณ์ ก็ต้องรู้อย่างนี้คือ
รู้ว่า นี่เป็นยา
รู้ว่า ยานี้ควรกิน
รู้ว่า ยานี้เราได้กินแล้ว

การเห็นอริยสัจนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนว่า เมื่อเห็นข้อใดข้อหนึ่งข้อที่เหลือก็จะเห็นหมด เช่น เมื่อเห็นทุกข์ ก็จะเห็นสมุทัย นิโรธ มรรค ด้วย เห็นสมุทัย ก็จะเห็นทุกข์ นิโรธ มรรค ด้วย
จะเห็นพร้อมกันทั้งหมด เพราะไม่ใช่การเห็นด้วยตาหรือการนึกคิดเห็นธรรมดา แต่เป็นการเห็นด้วยญานของธรรมกาย





กายในกาย
ในตัวของทุกคน มีกายที่ละเอียดประณีตซ้อนกันอยู่เป็นชั้นๆ กายเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้ด้วยอำนาจการปฏิบัติธรรม คือ
ประพฤติศีล ๕ ก่อให้เกิดกายมนุษย์ละเอียด (กายฝัน)
ประพฤติหิริโอตตัปปะ ก่อให้เกิดกายทิพย์ (เทวกาย)
ประพฤติพรหมวิหาร ๔ ก่อให้เกิดกายพรหม (พรหมกาย)
ประพฤติมรรค ๘ ก่อให้เกิดกายธรรม (ธรรมกาย)
เราทุกคนสามารถจะเข้าไปรู้ไปเห็นกายต่างๆ เหล่านี้ได้ด้วยตนเองโดยการฝึกสมาธิทำใจให้หยุด ให้นิ่ง อยู่ที่ศูนย์กลายกาย คือ จุดกึ่งกลางท้องเหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2011, 14:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ที่สามารถเห็นอริยสัจได้
คนทั้งหลายอาจแบ่งตามคุณความดีในตัวได้เป็น ๓ ระดับ คือ
๑.ปุถุชน หมายถึง ผู้ที่ยังหนาแน่นไปด้วยกิเลส ได้แก่ คนทั่วไปทั้งหลาย ซึ่งก็มีดีบ้างเลวบ้างคละกันไป แม้นในคนเดีวกันบางครั้งก็ทำดีบางทีก็ทำชั่ว
๒.โคตรภูบุคคล หมายถึงบุคคลผู้กำลังเปลี่ยนโคตร คือ เปลี่ยนจากปุถุโคตรเป็นอริยโคตร ได้แก่ ผู้ที่ปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงกายธรรมโคตรภูแล้ว มีกิเลสเบาบางลง เป็นบุคคลที่เปรียบเสมือนเท้าซ้ายเหยียบบนโลกเท้าขวาเหยียบบนพระนิพพาน ถ้าตั้งใจทำความดีต่อไป ก็จะมีกิเลสเบาบางลงอีกเข้าถึงกายธรรมที่ละเอียดอ่อนยิ่งขึ้นกลายเป็นพระอริยบุคคล แต่ถ้าท้อถอยในการทำความดี ก็จะถอยหลังกลับมาเป็นปุถุชน เป็นผู้ที่ยังหนาแน่นไปด้วยกิเลสอีก
๓.พระอริยบุคคล หมายถึงผู้ที่ปฏิบัติธรรมจนกระทั่งสามารถกำจัดกิเลสต่างๆ ออกได้ไปตามลำดับ จนหมดไปในที่สุด มีใจตั้งมั่นอยู่ในคุณความดีอย่างแน่นแฟ้น ยึดมั่นในพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจะไม่ถอยกลับมาเป็นปุถุชนทำความชั่วอีกอย่างเด็ดขาด เป็นผู้มีสุคติเป็นที่ไปแน่นอน แบ่งออกได้เป็น ๔ ระดับ คือ
- ผู้ที่เข้าถึงกายธรรมพระโสดา เป็นพระโสดาบัน
- ผู้ที่เข้าถึงกายธรรมพระสกิทาคา เป็นพระสกิทาคามี
- ผู้ที่เข้าถึงกายธรรมพระอนาคามี เป็นพระอนาคามี
- ผู้ที่เข้าถึงกายธรรมพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์

ผู้ที่จะสามารถเห็นอริยสัจได้ คือ พระอริยบุคคลทุกระดับและโคตรภูบุคคลที่เข้าถึงกายธรรมโคตรภูจนชำนาญแล้ว
อานิสงส์การเห็นอริยสัจ
เมื่อเราเข้าถึงธรรมกาย เห็นอริยสัจด้วยญานของธรรมกาย เราก็จะเข้าถึงความเป็นไปอันแท้จริงของโลกและชีวิตว่ามีแต่ทุกข์ ที่ว่าสุขๆ กันนั้นแท้ที่จริงก็คือ
ช่วงขณะที่ความทุกข์น้อยลงนั้นเอง เราจะเข้าใจถึงคุณค่าของบุญกุศล อันตรายความน่าขยะแขยงของบาป เป็นความเข้าใจที่เข้าไปในใจจริงๆ เวลามีความทุกข์หรือไปทำอะไรไม่ดีเข้า ก็จะเห็นเลยว่าบาปมันเกิดขึ้นที่ใจอย่างไร เหมือนเราลืมตามองเห็นดวงแก้วกลมใสแล้วมีฝุ่นผงละอองมาเคลือบมาจับอย่างไรเราก็จะต้องเห็นบาปมันมาหุ้มเคลือบ หมัก ดองใจของเรา ให้ดำมืดไปอย่างนั้น
เมื่อเอาน้ำมาชำระล้างแล้ว เราจะเห็นดวงแก้วสะอาดแวววาวใสบริสุทธิ์ขึ้นอย่างใด เวลาเราทำความดี ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาแล้ว เราก็จะเห็นบุญกุศลที่เกิดขึ้น มาชำระล้างหล่อเลี้ยงใจของเรา ให้สะอาดบริสุทธิ์ผ่องใสสว่างไสวขึ้นอย่างนั้น
เมื่อรู้เห็นเข้าใจอย่างนี้แล้ว ย่อมมีใจตั้งมั่นอยู่ในความดี หมั่นบำเพ็ญอริยมรรคมีองค์ ๘ ทำใจหยุด ใจนิ่ง เข้าศูนย์กลางกายหนักขึ้นๆ ๆ ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา โตใหญ่สว่างไสว มรรค ๘ เกิดขึ้นพร้อมบริบูรณ์ที่ศูนย์กลางกาย ใจก็หยุดนิ่งละเอียดลงทุกทีๆ กิเลสต่างๆ ก็ค่อยๆ ร่อนหลุดไปจากใจ จนหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2011, 14:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


อริยสัจที่ ๑ ทุกข์
ทุกข์ คือ ความไม่สบายกายไม่สบายใจต่างๆ พระองค์ทรงพบความจริงว่า สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนตกอยู่ในความทุกข์ จะเป็นมหาเศรษฐี เป็นนายกฯ เป็นประธานาธิบดี เป็นกษัตริย์ เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ แม้ที่สุดเป็นพระภิกษุ ก็มีทุกข์ทั้งนั้น ต่างแต่เพียงว่าทุกข์มากหรือทุกข์น้อยและมีปัญญาพอที่จะรู้ตัวหรือเปล่าเท่านั้น พระองค์ได้ทรงแยกแยะให้เราเห็นว่า ความทุกข์นี้มีถึง ๑๑ ประเภทใหญ่ๆ ด้วยกัน แบ่งออกเป็น ๒ ลักษณะ ได้แก่
๑.สภาวทุกข์ คือ ทุกข์ประจำ เป็นความทุกข์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เป็นสภาพธรรมดาของสัตว์ ซึ่งเมื่อเกิดแล้วต้องมีทุกข์ชนิดนี้ มี ๓ ประการได้แก่
๑.การเกิดเป็นทุกข์
๒.การแก่เป็นทุกข์
๓.การตายเป็นทุกข์
ศาสนาอื่นๆ ในโลก อย่างมากที่สุดก็บอกได้เพียงว่า ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นทุกข์ ส่วนการเกิดกลับถือว่าเป็นสุข เป็นพรพิเศษที่ได้รับประทานจากสรวงสวรรค์ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงทำสมาธิมามาก ทรงรู้แจ้งโลกด้วยดวงปัญญาอันสว่างไสว และชี้ให้เราเห็นว่า การเกิดนั้นแหละเป็นตัวทุกข์ ทุกข์ตั้งแต่ต้องขดอยู่ในท้อง พอจะคลอดก็ถูกมดลูกบีบรัดดันออกมา ศีรษะนี่ถูกผนังช่องคลอดบีบจนกระโหลกเบียดซ้อนเข้าหากันจากหัวกลมๆ กลายเป็นรูปยาวๆ เจ็บใจขาดเลยเพราะฉะนั้นทันทีที่คลอดออกมาได้สิ่งแรกที่เด็กทำคือ ร้องจ้าสุดเสียงเพราะมันเจ็บจริงๆ และการเกิดนี่เอง ที่เป็นต้นเหตุเป็นที่มาของความทุกข์อื่นๆ ทั้งปวง ถ้าเลิกเกิดได้เมื่อไหร่ก็เลิกทุกข์
อีกอย่างหนึ่งที่คนมักเข้าใจไขว้เขวกัน ก็คือ คิดว่าชราทุกข์นี่จะมีเอาก็ต่อเมื่ออายุ ๖๐-๗๐ปี แต่จริงๆ แล้วทันทีที่เราเริ่มเกิด เราก็เริ่มแก่แล้วชราทุกข์เริ่มเกิดตั้งแต่ตอนนั้น และค่อยๆ เป็นมากขึ้นเรื่อยๆ เซลล์ในร่างกายเริ่มแก่ตัวไปเรื่อยๆ อันนี้ขอให้ทราบกันด้วย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2011, 14:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


๒.ปกิณณกทุกข์ คือ ทุกข์จร เป็นความทุกข์ที่เกิดจากจิตใจหย่อนสมรรถภาพ ไม่อาจทนต่อเหตุภายนอกที่มากระทบตัวเราได้ ผู้มีปัญญารู้จักฝึกควบคุมใจตนเอง สามารถหลีกเลี่ยงทุกข์ชนิดนี้ได้ ทุกข์จรนี้มีอยู่ ๘ ประการ ได้แก่
๑.โสกะ ความโศก ความแห้งใจ
๒.ปริเทวะ ความคร่ำครวญรำพัน
๓.ทุกขะ ความเจ็บไข้ได้ป่วย
๔.โทมนัสสะ ความน้อยใจ
๕.อุปายาสะ ความท้อแท้กลุ้มใจ
๖.สัมปะโยคะ ความเบื่อหน่ายขยะแขยงจากการประสบสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก
๗.วิปปโยคะ ความห่วงใย จากการพลัดพรากจากของรัก
๘.อาลภะ ความเสียดายจากการปรารถนาสิ่งใด แล้วไม่ได้สิ่งนั้น
นี่คือผลการวิจัยเรื่องทุกข์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นเหมือนแพทย์ผู้ชำนาญโรค สามารถแยกแยะอาการของโรคให้เราดูได้อย่างละเอียดชัดเจน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2011, 21:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณเต้ ...

สิ่งที่น้ำเล่าให้ฟังเกี่ยวกับสมาธิ เจตนาเพียงต้องการให้รู้ว่า การเริ่มต้นของแต่ละคนแตกต่างกันไปตามเหตุปัจจัย อย่าไปหลงไหลกับสิ่งที่พบเจอ เพราะพอรู้แล้ว จะรู้ว่าเป็นเรื่องปกติมากๆ ไม่ใช่เรื่องวิเศษอะไร เพราะท้ายสุด มันก็แค่นั้นเอง

พอมารู้ว่า ไอ้ที่หมุนๆ ไอ้ที่โยกเยก อาการต่างๆที่เกิดขึ้น ทั้งๆที่รู้ แต่หยุดไม่ได้ สุดท้ายพอมารู้ มันก็แค่นั้นเอง เพราะความไม่รู้นี่แหละ ที่ทำให้ติดขัดอยู่ พอรู้แล้ว ติดอีก ติดกับคำเรียก เรียกว่าติดเป็นขั้นๆ เป็นระยะๆ

มีสมาธิน่ะดี แต่ต้องรู้จักวิธีการที่จะใช้ให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่ไปยึดติดกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะไม่ใช่ทางดับทุกข์

ถ้าคนที่ไม่รู้ ย่อมหลงในนิมิตต่างๆได้ เช่น การได้พบเจอพระพุทธเจ้า แม้กระทั่งการได้พูดคุยกับพระพุทธเจ้าก็ดี การจะรู้แจ้งเห็นตามความเป็นจริงได้ ไม่ใช่เกิดในนิมิต แต่เกิดจากการปฏิบัติ และไม่ใช่เกิดจากใครมาทำนายทายทัก

เพราะท้ายสุดแล้ว เรื่องได้อะไร เป็นอะไร ล้วนเป็นความทะยานอยากที่อยู่ในจิต

หากกล่าวว่าได้อะไร เป็นอะไร แต่ยังมีการสร้างเหตุของการเกิด นั่นคือ โดนกิเลสมันหลอกเอา

หากรู้แล้ว ต้องรู้ถึงเหตุของการเกิดในวัฏสงสารว่าเกิดจากอะไร รู้แล้วไม่คิดจะสร้างเหตุ ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเวียนว่ายในวัฏสงสาร มีแต่สำรวม สังวร ระวังมากขึ้น

คำเรียก ชื่อเรียกของสภาวะต่างๆ สุดท้าย มันก็แค่นั้นเอง แค่รู้ในกายและจิตของตัวเองให้มากๆ สภาวะจะดำเนินไปตามสภาวะเอง ที่สภาวะติดขัด ก็เนื่องจากการยึดติดในคำเรียกต่างๆนี่แหละ เหตุมี ผลย่อมมี


เหมือนเรื่องที่ได้ติงกับคุณเต้ไป เรื่องเหตุที่กำลังทำให้เกิดขึ้นมาใหม่ ถึงแม้จะเกิดจากความไม่รู้ก็ตาม

คุณเต้ อาจจะมีข้อสงสัยว่า การพูดความจริงนั้น ทำไมถึงกลายเป็นเหตุไปได้ ทั้งๆที่คุณไม่ได้คิดร้ายใดๆหรือคิดว่าไม่มีกิเลสใดๆในขณะที่พูด

ตรงนี้จะอธิบายให้ฟังนะคะ

คนทุกคน ถ้าทุกคนเลือกได้ ไม่มีใครอยากทำร้ายใคร ที่มาทำร้ายกันเพราะมันมีเหตุ เราเคยทำเขา เขาจึงทำกับเราเช่นนั้น

ความโกรธ ความเกลียด มันแค่ความรู้สึก มันแก้ไขได้

แต่ถ้าหาก มีความโกรธ ความเกลียด ที่มีดีกรีสุงกว่านั้น คือ มีความพยาบาทแฝง ความโกรธขั้นนี้แหละที่เป็นเหตุของการก่อภพก่อชาติขึ้นมาใหม่

เช่น ในความเจ็บช้ำน้ำใจ ในสิ่งที่ผู้อื่นทำกับเรา แล้วเรามีความรู้สึกนึกคิดขณะนั้นว่า อยากให้คนนั้นๆ เจอเหตุเช่นนี้ เหมือนกับที่เราเจอ ที่หนักกว่านั้น ถึงขั้นสาปแช่งอีกฝ่าย นี่แหละคือ การสร้างเหตุของการให้เวียนว่ายในวัฏสงสารไม่รู้จบ

น้ำถึงชอบพูดเสมอๆว่า ใครสร้างเหตุยังไง ตัวผู้นั้นเป็นคนรับผล เราไม่ต้องไปคิดแทนเขาว่า เขาจะได้รับผลเมื่อไหร่ หรือจะเป็นยังไงต่อไป การที่เราไปคิดแทน นั่นคือ มีความพยาบาทแฝงอยู่ แต่ไม่รู้ว่าพยาบาท

น้ำถึงไม่สนใจว่า ใครจะพูดอะไรยังไง เพราะนั่นคือเหตุของเขา แต่มันเป็นเหตุของน้ำที่ยังมีอยู่เท่านั้นเอง ไม่ต่อยอด มันก็จบ แก้ต้องแก้ที่ตัวเอง เหตุของคนอื่นๆ นั่นคือเรื่องของเขา

กับคุณเต้ ที่กล้าพูดตรงๆ เพราะเห็นว่ารับได้ น้ำจะดูที่การตอบรับ หากมีท่าทีที่จะมีแต่เหตุ น้ำก็จะหยุด ทำเพื่อดับ ไม่ได้ทำเพื่อเกิด แค่รู้ สุดท้ายมันก็แค่นั้นเอง

รู้ไหมคุณเต้ ต่อให้เจอความสุขมากแค่ไหน ไม่ว่าจะเกิดจากภายนอกหรือภายในก็ตาม สุดท้ายทุกๆสภาวะที่เกิดขึ้น มันก็แค่นั้นเอง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2011, 22:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8:
อาหารเจภาค 3 นี้...ท่าทางจะมีพลานุภาพมากส่งถึงนฤพานกันทีเดียว...


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 85 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร