วันเวลาปัจจุบัน 22 มิ.ย. 2025, 03:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 40 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2011, 21:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


จางบาง เขียน:
พระพุทธเจ้า ไม่เคยตรัสว่า อริยมรรค คือ ปัญญา ศีล สมาธิ

ลองหามาให้ดูซิว่า พระพุทธเจ้าทรงตรัส เรื่องอริยมรรค ว่าคือ ปัญญาศีลสมาธิที่ตรงไหน
และพระองค์ ก็ไม่เคยแยกมรรค ออกมา ว่าสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ คือปัญญา
สัมมาวาจากัมมันตะอาชีวะคือ ศีล สัมมาวายามะสัมมาสติสัมมาสมาธิ คือสมาธิ

ท่านมีแต่กล่าวว่า มรรคมีองค์แปดได้แก่อะไรเท่านั้น ส่วนการแยกแยะเป็นเรื่องของพวก
ที่มาภายหลัง


สัมมาทิฏฐิ ขององค์แห่งอริยมรรค คือ ความเห็นในอริยสัจจ์4
ถึงแม้จะเป็นองค์แรกของมรรคทั้ง8 แต่ต้องไม่ใช่สิ่งแรกที่ผู้ปฏิบัติจะมีได้ทันทีหรือมีได้ก่อนมรรค
องค์อื่นๆ เพราะไม่มีใครที่รู้อริยสัจจน์มาก่อน ก่อนการมาศึกษาปฏิบัติ
onion


ผู้มีปัญญาย่อมเห็นชอบ เข้าใจถูก คิดชอบ รู้ผิดชอบ ชั่วดี
ผู้มีศีลย่อมกระทำชอบให้ศีลให้ทาน ทำบุญ ทำอาชีพสุจริต
ผู้มีสมาธิ ย่อมพากเพียร ระลึก และตั้งใจมั่น

สัมมาทิฏฐิ นำมาปฏิบัติไม่ได้ ได้มาจาการวิปัสสนาพิจารณาขันธ์ 5 และอินทรีย์ 6 ว่าสรรพสิ่ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หรือ ไม่เที่ยง เกิดดับ
เกิดจากเหตุและปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราวเท่านั้น นี่แหละที่พระพุทธองค์ทรงเห็นความจริงของธรรมชาติ รู้สาเหตุแห่งทุกข์ ทำให้เกิดปัญญาดับทุกข์ได้ทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิ(เห็นชอบ) และมรรคอื่นตามมา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2011, 09:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2011, 15:12
โพสต์: 190


 ข้อมูลส่วนตัว


มรรคมีองค์แปด พระองค์ทรงตรัสไว้ด้วยองค์ประกอบแปดอย่าง องค์ประกอบแปดอย่างถ้ามีปัญญาเห็นตามเป็นจริง ก็เกิดมีขึ้นพร้อมกันทีเดียว ศีล สมาธิ ปัญญาก้เป็นอันเดียวกัน ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งได้หรือ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2011, 09:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2011, 15:12
โพสต์: 190


 ข้อมูลส่วนตัว


ศีล สมาธิ ปัญญา ผู้ปฏิบัติมาทำทีละอย่างๆ จะทันกิเลสได้อย่างไร ศีลปกติได้เพราะมีสมาธิตั้งมั่น สมาธิมีได้เพราะรู้ทัน รู้ทันแล้วก้ไม่มีเหตุปัจจัยอะไรให้ติดยึดเป็นเจ้าของ เกิดที่ใจดับที่ใจนั้น จะมีเหตุอะไรอีกถ้ารู้ทันทั่วพร้อม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2011, 22:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


world2/2554 เขียน:
มรรคมีองค์แปด พระองค์ทรงตรัสไว้ด้วยองค์ประกอบแปดอย่าง องค์ประกอบแปดอย่างถ้ามีปัญญาเห็นตามเป็นจริง ก็เกิดมีขึ้นพร้อมกันทีเดียว ศีล สมาธิ ปัญญาก้เป็นอันเดียวกัน ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งได้หรือ


มันก็ใช่อยู่ แต่ต้องเรียงการเกิดเหตุปัจจัยให้ถูกต้อง ปัญญา หรือความรู้ที่ใช้ดับทุกข์ได้จากวิปัสสนาภาวนา
เห็นความจริง ปัญญาเป็นปัจจัยให้เกิดศีล ศีลเป็นปัจจัยให้เกิดสมาธิ หรือความสงบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2011, 05:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


world2/2554 เขียน:
มรรคมีองค์แปด พระองค์ทรงตรัสไว้ด้วยองค์ประกอบแปดอย่าง องค์ประกอบแปดอย่างถ้ามีปัญญาเห็นตามเป็นจริง ก็เกิดมีขึ้นพร้อมกันทีเดียว ศีล สมาธิ ปัญญาก้เป็นอันเดียวกัน ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งได้หรือ

ขออธิบายความเห็นนี้หน่อยครับ การจะพิจารณาธรรมหรือพระไตรปิฎกนั้น
ผู้ที่ศึกษาต้องเข้าใจด้วยว่า ธรรมวรรคนั้นตอนนั้น ท่านกล่าวถึงใครและบุคคลใด
เป็นผู้ปฏิบัติ

คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดในหลักธรรม ด้วยการนำพระธรรมที่ใช้สอนคนสถานะหนึ่ง
มาใช้กับบุคคลอีกสถานะหนึ่ง เด็กประถมมาพูดเรื่อง มัธยมย่อมต้องพูดผิดพูดถูก

การปฎิบัติก็เช่นกันต้องแยก ต้องแยกปุถุขนออกจากพระอริยะบุคคล
และในพระอริยะบุคคลยังต้องแยกออกเป็น พระเสขะกับพระอเสขะอีก
พระเสขะยังต้องเรียนต้องศึกษา คือพวกอริยะ3ขั้นเบื้องต้น คือโสดา สกิทาและอนาคา
ส่วนพระอเสขะคือผู้ไม่ต้องศึกษาแล้ว นั้นคือพระอรหันต์

ในเรื่องของมรรคมีองค์แปดของพระอริยะ มันเป็นเรื่องของพระเสขะบุคคล
พระเสขะบุคคล คือผู้มีปัญญาหรือมีสัมมาทิฐิแล้ว แต่ยังต้องศึกษาและปฏิบัติ
ในเรื่องอริยะมรรคมีองค์แปดอีก ความหมายก็คือทำ อริยะมรรคให้ครบองค์แปด

รวมความแล้วก็คือ ปัญญาหรือสัมมาทิฐิเป็นเพียงเครื่องมือที่ทำให้เกิด
อริยะมรรคอีกเจ็ดตัวที่เหลือ
อนึ่งผู้ที่ใช้ปัญญาหรือสัมมาทิฐิในเบื้องต้นนี้ว่าพระโสดาบัน
พระโสดาเป็นผู้ซึ่งรู้แล้วว่า อะไรเป็นสัมมามรรคและอะไรเป็นมิจฉามรรค
แต่ยังขาดการปฏิบัติ เพื่อให้เข้าถึงในสิ่งที่ตัวเองรู้
การปฏิบัติของพระโสดาหรือการไล่เลียงกันไปของพระเสขะทั้งสาม
ย่อมต้องอาศัยธรรมที่มาเกื้อหนุนกัน อันเป็น ธรรมสามัคคีที่เรียกว่า
โพธิปักขิยธรรม37ประการ เมื่อปฏิบัติได้โดยไม่ย่อหย่อนตามหลักธรรมทั้ง
37ประการ ย่อมต้องเป็นพระอเสขะหรือพระอรหันต์ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2011, 09:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ใช่ศีล สมาธิ ปัญญา ครับ
ไตรสิกขาที่แท้จริง คือ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา นี่คือข้อศึกษาสำหรับอริยสงฆ์หรือผู้มีปัญญาแล้ว มีสัมมาทิฏฐิ ผ่านการวิปัสสนามาแล้ว มีความรู้ในการดับทุกข์ ปัญญาได้จากไหนก็ได้จากการเห็นความจริงว่าสรรพสิ่ง (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป) หรือ ไม่เที่ยง เกิดดับ
คนเข้าใจว่านี่คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี่ไม่ใช่แนวทางปฏิบัติให้ไปสู่ปัญญา แนวปฏิบัติให้ไปสู่ปัญญา คือ วิปัสสนาภาวนะเท่านั้นทำให้เกิดสัมมาทิฏทิ (เห็นชอบ) องค์ธรรมอื่นๆ ก็ตามมากลายเป็น มรรคมีองค์ 8 หรือ (ปัญญา ศีล สมาธิ ) นั้นเอง


ส่วนแนวทางปฏิบัติสำหรับฆราวาสก่อนวิปัสสนา ท่านให้ทำตามดังนี้ (ทาน ศีล วิปัสสนาภาวนา)
1. ให้ทาน เพื่อลดความเห็นแก่ตัว
2. รักษาศีลเพื่อลดการเบียดเีีบียนตนเอง และผู้อื่น
3. วิปัสสนาภาวนา หรือการเจริญปัญญา


แก้ไขล่าสุดโดย ไม่เที่ยง เกิดดับ เมื่อ 17 พ.ย. 2011, 11:36, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2011, 10:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ชนที่พยายามจะน้อมกิ่งไผ่
หมายเอาไข่ในรังปักษา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2011, 11:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีความเห็นแย้งนะครับ ..

อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา มาจากไหนละ ถ้าไม่บำเพ็ญจาก ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างสม่ำเสมอ
ถ้าบอกว่า อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา เป็นคุณธรรมที่เกิดขึ้นพร้อมกับการบรรลุธรรมเป็นพระอริยะบุคคล
อย่างนี้แหละ ใช่เลย

ธรรมพระพุทธเจ้าตรัสไว้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เหมาะสำหรับวิสัยของสัตว์โลก
ที่จะปฏิบัติตามได้ พระองค์ไม่ได้แบ่งว่า หมวดนี้สำหรับพระอริยะ หมวดนี้สำหรับปุถุชน

ที่เราทั้งหลายพูดคุยกัน บางท่านพูดเกินวิสัยของตนก็มี พูดถึงวิสัยของพระอริยะขั้นนั้น ขั้นนี้
ทั้งๆ ที่ตัวเองก็เป็นปุถุชนอยู่ บางท่านพูดเรื่องพระนิพพาน พูดเหมือนตัวเองตรัสรู้แล้วก็มี

อย่างที่ยกตัวอย่างมา คือ
viewtopic.php?f=1&t=40114

ละชั่ว
ทำดี
ทำจิตให้ผ่องใส

ท่านตรัสกับพระอรหันต์ เอหิภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป ซึ่งเสร็จกิจในพระศาสนาแล้ว
ท่านเพียงสรุป คำสอนของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ว่า สอนเหมือนกันหมด

คิดดี ๆ พิจารณาสักหน่อย เราผู้เป็นปุถุชนทั้งหลาย ละชั่ว ทำดี ทำจิตให้ผ่องใส ไม่ได้จริงๆ หรือ

:b12:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2011, 11:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
เรียงแบบไตรสิกขาเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา

ก่อนอื่นอยากแนะนำคุณ "ไม่เที่ยงครับ" เรื่องการตั้งกระทู้ ผมสังเกตุเห็นการตั้ง
กระทู้ของคุณมันฟุ่มเฟือยเกินสมควร แบบนี้มันทำให้สมาชิกที่เขาสนใจที่จะศึกษา
เขาเบื่อหน่ายครับ อีกทั้งอาจมีสมาชิกบางคนที่พอมีความรู้ในเรื่องในเรื่องนั้นๆ
ไม่อยากแสดงความเห็น เพราะจับต้นชนปลายไม่ถูก เหตุด้วยเนื้อหาในกระทู้บางครั้ง
มันเป็นเรื่องเดียวกัน
การสนทนาธรรมไม่ใช่การโพสข้อความธรรมะ
ลักษณะของคุณเหมือนกับกับโพสข้อสมมุติบัญญัติ แล้วมาแปลบัญญัตินั้นๆให้มาชิกฟังครับ

เอาอย่างนี้ซิครับ เอาเป็นกระทู้เดียว เดียวก็มีสมาชิกมาแสดงความเห็น
แล้วคุณก็จะรู้ว่าหัวข้อกระทู้ที่คุณโพสทั้งหมด มันเป็นเรื่องเดียวกัน
และทุกเรื่องที่คุณโพสมันจะมาจบที่โพธิปักขิยธรรมครับ

เอาเป็นว่าผมชวนคุณคุยในกระทู้นี้ มันจะได้เป็นเรื่องที่สืบเนื่องกันครับ
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
ปัญญา ในไตรสิกขา หมายถึง ปัญญา ที่เกิดจากปฏิบัติในสมาธิและมีสมาธิเป็นฐาน ที่เรียกว่า "ภาวนามยปัญญา" ปัญญา ที่ทำให้เกิดความรู้ แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริงของสรรพสิ่งต่างๆ สามารถ ละ ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นได้

ครูบาอาจารย์ ท่านมักกล่าวครับว่า เราต้องรู้เสียก่อนแล้วจึงลงมือปฏิบัติ
การที่จะรู้ได้ ก็ด้วยการเรียน การฟังการอ่าน แล้วไปเรียนเรื่องอะไร มันก็เรื่อง
ของศีล สมาธิ ปัญญา แต่ด้วยเรื่องศีลไม่ใช่แต่ศีลข้อห้ามหรือเบญจศีล
มันเป็นเรื่องของศีลทั้งหมด ทั้งศีลข้อห้ามและศีลที่ควรปฏิบัติ แบบนี้เรียกว่า
อธิศีล
ส่วนสมาธิก็เช่นกัน เป็นการศึกษาเรื่องของจิต เจตสิกรูปนิพพานทั้งหมด
เรียกว่าอธิจิต
ปัญญาก็เป็นเรื่องของผลที่ได้รับจากการปฏิบัติว่ามีอะไรบ้างเป็นอย่างไรลักษณะอย่างไร
เรียกว่าอธิปัญญา

ทั้งสามที่กล่าวมารวมเรียกว่า ไตรสิกขา ความหมายก็คือการเรียนรู้หรือฟังอ่านเรื่อง
ศีลทั้งหมด จิตทั้งหมดและปัญญาทั้งหมด หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ได้เรียนอ่านฟัง
พระไตรปิฎกทั้งหมด มันยังไม่ถึงการลงมือปฏิบัติ
สิ่งที่กล่าวมาท่านเรียกว่า ปริยัติ

ความเห็นนี้ของคุณ มันเป็นการแสดงความเห็นที่เกิดจากความสับสน
คือ ถ้าจะกล่าวว่า ภาวนามยปัญญา เป็นปัญญาในไตรสิกขา มันผิดครับ
จะต้องกล่าวว่าภาวนามยปัญญา เป็นการอธิบายลักษณะของปัญญาที่อยู่ในเรื่อง
อธิปัญญาของไตรสิกขาครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2011, 11:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
เรียงแบบไตรสิกขาเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา

ก่อนอื่นอยากแนะนำคุณ "ไม่เที่ยงครับ" เรื่องการตั้งกระทู้ ผมสังเกตุเห็นการตั้ง
กระทู้ของคุณมันฟุ่มเฟือยเกินสมควร แบบนี้มันทำให้สมาชิกที่เขาสนใจที่จะศึกษา
เขาเบื่อหน่ายครับ อีกทั้งอาจมีสมาชิกบางคนที่พอมีความรู้ในเรื่องในเรื่องนั้นๆ
ไม่อยากแสดงความเห็น เพราะจับต้นชนปลายไม่ถูก เหตุด้วยเนื้อหาในกระทู้บางครั้ง
มันเป็นเรื่องเดียวกัน
การสนทนาธรรมไม่ใช่การโพสข้อความธรรมะ
ลักษณะของคุณเหมือนกับกับโพสข้อสมมุติบัญญัติ แล้วมาแปลบัญญัตินั้นๆให้มาชิกฟังครับ

เอาอย่างนี้ซิครับ เอาเป็นกระทู้เดียว เดียวก็มีสมาชิกมาแสดงความเห็น
แล้วคุณก็จะรู้ว่าหัวข้อกระทู้ที่คุณโพสทั้งหมด มันเป็นเรื่องเดียวกัน
และทุกเรื่องที่คุณโพสมันจะมาจบที่โพธิปักขิยธรรมครับ

เอาเป็นว่าผมชวนคุณคุยในกระทู้นี้ มันจะได้เป็นเรื่องที่สืบเนื่องกันครับ
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
ปัญญา ในไตรสิกขา หมายถึง ปัญญา ที่เกิดจากปฏิบัติในสมาธิและมีสมาธิเป็นฐาน ที่เรียกว่า "ภาวนามยปัญญา" ปัญญา ที่ทำให้เกิดความรู้ แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริงของสรรพสิ่งต่างๆ สามารถ ละ ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นได้

ครูบาอาจารย์ ท่านมักกล่าวครับว่า เราต้องรู้เสียก่อนแล้วจึงลงมือปฏิบัติ
การที่จะรู้ได้ ก็ด้วยการเรียน การฟังการอ่าน แล้วไปเรียนเรื่องอะไร มันก็เรื่อง
ของศีล สมาธิ ปัญญา แต่ด้วยเรื่องศีลไม่ใช่แต่ศีลข้อห้ามหรือเบญจศีล
มันเป็นเรื่องของศีลทั้งหมด ทั้งศีลข้อห้ามและศีลที่ควรปฏิบัติ แบบนี้เรียกว่า
อธิศีล
ส่วนสมาธิก็เช่นกัน เป็นการศึกษาเรื่องของจิต เจตสิกรูปนิพพานทั้งหมด
เรียกว่าอธิจิต
ปัญญาก็เป็นเรื่องของผลที่ได้รับจากการปฏิบัติว่ามีอะไรบ้างเป็นอย่างไรลักษณะอย่างไร
เรียกว่าอธิปัญญา

ทั้งสามที่กล่าวมารวมเรียกว่า ไตรสิกขา ความหมายก็คือการเรียนรู้หรือฟังอ่านเรื่อง
ศีลทั้งหมด จิตทั้งหมดและปัญญาทั้งหมด หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ได้เรียนอ่านฟัง
พระไตรปิฎกทั้งหมด มันยังไม่ถึงการลงมือปฏิบัติ
สิ่งที่กล่าวมาท่านเรียกว่า ปริยัติ

ความเห็นนี้ของคุณ มันเป็นการแสดงความเห็นที่เกิดจากความสับสน
คือ ถ้าจะกล่าวว่า ภาวนามยปัญญา เป็นปัญญาในไตรสิกขา มันผิดครับ
จะต้องกล่าวว่าภาวนามยปัญญา เป็นการอธิบายลักษณะของปัญญาที่อยู่ในเรื่อง
อธิปัญญาของไตรสิกขาครับ



ขอโทษนะครับ ข้อความข้างล่างนี้ไม่ใช่ของผม ผมไปคัดลอกข้อความของคนอื่นมาเพื่ออ้างอิง แต่ลืมคัดลอกโค้ดอ้างอิงมาด้วย ผมก็เลยอธิบายต่อจากข้อความคนอื่น

ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
ปัญญา ในไตรสิกขา หมายถึง ปัญญา ที่เกิดจากปฏิบัติในสมาธิและมีสมาธิเป็นฐาน ที่เรียกว่า "ภาวนามยปัญญา" ปัญญา ที่ทำให้เกิดความรู้ แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริงของสรรพสิ่งต่างๆ สามารถ ละ ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2011, 11:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
เรียงแบบไตรสิกขาเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา

ก่อนอื่นอยากแนะนำคุณ "ไม่เที่ยงครับ" เรื่องการตั้งกระทู้ ผมสังเกตุเห็นการตั้ง
กระทู้ของคุณมันฟุ่มเฟือยเกินสมควร แบบนี้มันทำให้สมาชิกที่เขาสนใจที่จะศึกษา
เขาเบื่อหน่ายครับ อีกทั้งอาจมีสมาชิกบางคนที่พอมีความรู้ในเรื่องในเรื่องนั้นๆ
ไม่อยากแสดงความเห็น เพราะจับต้นชนปลายไม่ถูก เหตุด้วยเนื้อหาในกระทู้บางครั้ง
มันเป็นเรื่องเดียวกัน
การสนทนาธรรมไม่ใช่การโพสข้อความธรรมะ
ลักษณะของคุณเหมือนกับกับโพสข้อสมมุติบัญญัติ แล้วมาแปลบัญญัตินั้นๆให้มาชิกฟังครับ

เอาอย่างนี้ซิครับ เอาเป็นกระทู้เดียว เดียวก็มีสมาชิกมาแสดงความเห็น
แล้วคุณก็จะรู้ว่าหัวข้อกระทู้ที่คุณโพสทั้งหมด มันเป็นเรื่องเดียวกัน
และทุกเรื่องที่คุณโพสมันจะมาจบที่โพธิปักขิยธรรมครับ

เอาเป็นว่าผมชวนคุณคุยในกระทู้นี้ มันจะได้เป็นเรื่องที่สืบเนื่องกันครับ
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
ปัญญา ในไตรสิกขา หมายถึง ปัญญา ที่เกิดจากปฏิบัติในสมาธิและมีสมาธิเป็นฐาน ที่เรียกว่า "ภาวนามยปัญญา" ปัญญา ที่ทำให้เกิดความรู้ แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริงของสรรพสิ่งต่างๆ สามารถ ละ ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นได้

ครูบาอาจารย์ ท่านมักกล่าวครับว่า เราต้องรู้เสียก่อนแล้วจึงลงมือปฏิบัติ
การที่จะรู้ได้ ก็ด้วยการเรียน การฟังการอ่าน แล้วไปเรียนเรื่องอะไร มันก็เรื่อง
ของศีล สมาธิ ปัญญา แต่ด้วยเรื่องศีลไม่ใช่แต่ศีลข้อห้ามหรือเบญจศีล
มันเป็นเรื่องของศีลทั้งหมด ทั้งศีลข้อห้ามและศีลที่ควรปฏิบัติ แบบนี้เรียกว่า
อธิศีล
ส่วนสมาธิก็เช่นกัน เป็นการศึกษาเรื่องของจิต เจตสิกรูปนิพพานทั้งหมด
เรียกว่าอธิจิต
ปัญญาก็เป็นเรื่องของผลที่ได้รับจากการปฏิบัติว่ามีอะไรบ้างเป็นอย่างไรลักษณะอย่างไร
เรียกว่าอธิปัญญา

ทั้งสามที่กล่าวมารวมเรียกว่า ไตรสิกขา ความหมายก็คือการเรียนรู้หรือฟังอ่านเรื่อง
ศีลทั้งหมด จิตทั้งหมดและปัญญาทั้งหมด หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ได้เรียนอ่านฟัง
พระไตรปิฎกทั้งหมด มันยังไม่ถึงการลงมือปฏิบัติ
สิ่งที่กล่าวมาท่านเรียกว่า ปริยัติ

ความเห็นนี้ของคุณ มันเป็นการแสดงความเห็นที่เกิดจากความสับสน
คือ ถ้าจะกล่าวว่า ภาวนามยปัญญา เป็นปัญญาในไตรสิกขา มันผิดครับ
จะต้องกล่าวว่าภาวนามยปัญญา เป็นการอธิบายลักษณะของปัญญาที่อยู่ในเรื่อง
อธิปัญญาของไตรสิกขาครับ



ขอโทษนะครับ ข้อความข้างล่างนี้ไม่ใช่ของผม ผมไปคัดลอกข้อความของคนอื่นมาเพื่ออ้างอิงและอธิบาย แต่ลืมคัดลอกโค้ดอ้างอิงมาด้วย ผมก็เลยอธิบายต่อจากข้อความคนอื่น

ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
ปัญญา ในไตรสิกขา หมายถึง ปัญญา ที่เกิดจากปฏิบัติในสมาธิและมีสมาธิเป็นฐาน ที่เรียกว่า "ภาวนามยปัญญา" ปัญญา ที่ทำให้เกิดความรู้ แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริงของสรรพสิ่งต่างๆ สามารถ ละ ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2011, 12:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
ปัญญาชนิดนี้ คือ ปัญญาที่ทำให้บุคคลธรรมดาสามัญ กลายเป็น พระอริยะบคคล ตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ ศีลเป็นฐานของสมาธิและสมาธิคือฐานของปัญญา ปัญญาที่เรียกกันว่า "ภาวนามยปัญญา" นั่นเอง

ใช่ครับปัญญาที่จะเป็นอริยะบุคคลได้ ต้องเป็นปัญญาที่เกิดจาก ภาวนามยปัญญา
แต่ถ้าจะกล่าวว่า ศีลเป็นฐานของสมาธิและสมาธิเป็นฐานของปัญญามันผิด
ในความเป็นจริงแล้ว สติเท่านั้นครับ ที่เป็นฐานของสมาธิและปัญญา
ปัญญาจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีสติทีฉับไวต่อสภาวะที่เกิดในปัจจุบันครับ
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
มรรคแปดหรือไตรสิกขา ท่านไม่ได้แยกแยะว่า ปุถุชนหรือพระอริยะต้องบำเพ็ญต่างกัน แต่ขึ้นอยู่กับ วาสนาบารมีและจริตนิสสัยเป็นสำคัญ

มรรคแปดก็คือมรรคแปด ไตรสิกขาก็คือไตรสิกขา ต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่าอะไรเป็นอะไร

ความหมายของมรรคแปด มันเป็นขั้นตอนของการปฏิบัติ
มันเลยความหมายของไตรสิกขาไปแล้วครับ

มรรคแปดคือการ นำเอาสิ่งที่เราศึกษาเรียนรู้ในไตรสิกขา
แล้วนำมาปฏิบัติเรียกว่า มรรคมีองค์แปด

ปุถุชนและอริยะ ต่างกันและเรียกก็ต่างกัน
การปฏิบัติของปุถุชนคือ การทำทาน ถือศีล(ข้อห้าม) และภาวนา(การมีสติอยู่เสมอ)
การกระทำที่ว่าเพื่อสร้างบารมีให้เกิดปัญญา

ส่วนของพระอริยะบุคคล ปฏิบัติโดยยึดหลักมรรคมีองค์แปด มีปัญญานำ(ใช้ปัญญาเป็นสติ)
และเป็นการกระทำเพื่อลดละเลิกไม่ยึดธรรมทั้งปวง
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
การปฏิบัติในพุทธศาสนา ต้องขึ้นต้นด้วย "สัมมาทิฏฐิ" ก่อนลงท้ายก็คือ "ภาวนามยปัญญาหรือวิปัสสนาปัญญา" ปัญญาความรู้แจ้งเห็นจริง อย่างนี้เสมอ

คุณตั้งกระทู้มากๆชักจะหลงแล้วนะครับ
การปฏิบัติในพุทธศานา ในปุถุชนคือการให้ทาน รักษาศีล และมีสติ
การมีสติของปุถุชนคือการภาวนา นี่เป็นเหตุปัจจัยให้เกิด "ภาวนามยปัญญาหรือวิปัสนาปัญญา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2011, 12:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
ไม่ใช่ศีล สมาธิ ปัญญา ครับ
ไตรสิกขาที่แท้จริง คือ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา นี่คือข้อศึกษาสำหรับอริยสงฆ์หรือผู้มีปัญญาแล้ว มีสัมมาทิฏฐิ ผ่านการวิปัสสนามาแล้ว มีความรู้ในการดับทุกข์ ปัญญาได้จากไหนก็ได้จากการเห็นความจริงว่าสรรพสิ่ง (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป) หรือ ไม่เที่ยง เกิดดับ
คนเข้าใจว่านี่คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี่ไม่ใช่แนวทางปฏิบัติให้ไปสู่ปัญญา แนวปฏิบัติให้ไปสู่ปัญญา คือ วิปัสสนาภาวนะเท่านั้นทำให้เกิดสัมมาทิฏทิ (เห็นชอบ) องค์ธรรมอื่นๆ ก็ตามมากลายเป็น มรรคมีองค์ 8 หรือ (ปัญญา ศีล สมาธิ ) นั้นเอง

ไตรสิกขา ปุถุชนหรือออริยะบุคคล สามารถศึกษาได้ครับ
แต่ถ้าเป็นขั้นตอนการปฏิบัติ ต้องแยกครับว่า ปุถุชนต้องปฏิบัติส่วนไหน
อริยะต้องปฏิบัติส่วนไหน


ถามหน่อยครับ ถ้าคุณว่า สัมมาทิฐิเป็นอธิปัญญาแล้ว ปัญญาวิมุตติเป็นปัญญาอะไรครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2011, 12:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระทู้ผมสับสนกันไปใหญ่ คุณไม่เที่ยง เกิดดับ เอาบทความผมไปแสดงโดยไม่ quote ชื่อ
ที่ คุณโฮฮับ เห็นแย้งนั้น เป็นบทความผมเอง ไม่ใช่ของ คุณไม่เที่ยง เกิดดับ เข้าใจตามนี้นะครับ ..

สุดท้ายที่ คุณโฮฮับตอบจึงเป็นของคุณไม่เที่ยง เกิดดับ จริงๆ :b13:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2011, 13:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
กระทู้ผมสับสนกันไปใหญ่ คุณไม่เที่ยง เกิดดับ เอาบทความผมไปแสดงโดยไม่ quote ชื่อ
ที่ คุณโฮฮับ เห็นแย้งนั้น เป็นบทความผมเอง ไม่ใช่ของ คุณไม่เที่ยง เกิดดับ เข้าใจตามนี้นะครับ ..

สุดท้ายที่ คุณโฮฮับตอบจึงเป็นของคุณไม่เที่ยง เกิดดับ จริงๆ :b13:

ผมถึงได้บอกไว้ในตอนต้นว่า ถ้าใจเป็นกุศลแล้ว ไม่ต้องกลัวใคร
อ้างอิงออกชื่อไปเลย มันจะได้ไม่สับสน
เนี้ยยังนึกว่าคุณ"ไม่เที่ยง" แกตั้งกระทู้มากจนเบลอเสียอีก :b13:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 40 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร