วันเวลาปัจจุบัน 04 ต.ค. 2025, 04:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 65 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2011, 21:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


คนธรรมดาๆ เขียน:
โค้ด:
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์
เพราะความเข้าไปยึดถือในสิ่งที่ไม่เที่ยง
ความทุกข์จึงเกิดขึ้นจากการเข้าไปถือในสิ่งที่ไม่เที่ยงนั้น

ความยึดถือ(อุปาทาน)จะดับสิ้นลงได้ เพราะความดับสิ้นลงแห่งตัณหา
ตัณหาจะดับลงได้ เพราะความดับลงแห่งเวทนา
เวทนาจะดับลงได้ เพราะความดับลงแห่งผัสสะ

:b42: เมื่อใดที่ได้เห็น ให้สักแต่ว่าเห็น
เมื่อใดที่ได้ยิน ให้สักแต่ว่าได้ยิน
ฯลฯ
เมื่อใดได้รู้แจ้งธรรมมารมณ์ ก็ให้สักว่าได้รู้แจ้งแล้ว
เมื่อนั้น"เธอ"จักไม่มี

เมื่อใด"เธอ"ไม่มี
เมื่อนั้นเธอก็ไม่ปรากฏในโลกนี้ ไม่ปรากฏในโลกอื่น
ไม่ปรากฏในระหว่างโลกทั้งสอง
นั้นแหละ คือที่สุดแห่งทุกข์ละ :b42:


:b8: :b8: อนุโมทนาครับ

และอยากจะขอความกรุณาคุณปล่อยรู้รวมถึงท่านอื่นๆช่วยชี้แจงเพิ่มเติมหน่อยครับ

เพราะอะไรตัณหาจึงเป็นเหตุของอุปาทาน ไม่ใช่ในทางกลับกัน(คืออุปาทานเป็นเหตุของตัณหา)ครับ
เช่นเดียวกัน เพราะอะไรเวทนาจึงเป็นเหตุของตัณหา ไม่ใช่ในทางกลับกัน
และ เพราะอะไรผัสสะจึงเป็นเหตุของเวทนา ไม่ใช่ในทางกลับกัน



นี่เป็นไปตามกฎเหตุปัจจัยครับ "ปฏิจจสมุปบาท" คือ
ทุกชีวิตจะเกิดขึ้นดำรงอยู่ ย่อมเป็นเหตุปัจจัยของกันและกัน อิงอาศัยกันเกิดขึ้น

รูปภาพ

องค์ประกอบของปฏิจจสมุปบาท
องค์ประกอบของชีวิต ซึ่งมีความสัมพันธ์กันตามหลักของปฏิจจสมุปบาทนี้ ท่านเรียกว่าองค์ประกอบของปฏิจจสมุปบาท ซึ่งมี อวิชชา สังขาร วิญญาณ ฯลฯ แต่ละองค์มีความสัมพันธ์กันเหมือนลูกโซ่ ชีวิตของสัตว์ก็ย่อม
หมุนเวียนอยู่ในวัฏจักร มีความเกี่ยวเนื่องกันเหมือลูกโซ่ ดังนี้
อวิชชา เป็นปัจจัยให้มี สังขาร
สังขาร เป็นปัจจัยให้มี วิญญาณ
วิญญาณ เป็นปัจจัยให้มี นามรูป
นามรูป เป็นปัจจัยให้มี สฬายตนะ
สฬายตนะ เป็นปัจจัยให้มี ผัสสะ
ผัสสะ เป็นปัจจันให้มี เวทนา
เวทนา เป็นปัจจัยให้มี ตัณหา
ตัณหา เป็นปัจจัยให้มี อุปาทาน
อุปาทาน เป็นปัจจัยให้มี ภพ
ภพ เป็นปัจจัยให้มี ชาติ
ชาติ เป็นปัจจัยให้มี ชรามรณะ
ชรามรณะ เป็นปัจจัยให้มี โสกะ , ปริเทวะ

นี่คือกระบวนการเกิดและดับไปแห่งทุกข์ ถ้าต้องการหยุดกระบวนการนี้ไม่ให้เกิดเป็นวัฏจักรการเกิดการตาย หรือดับทุกข์ ต้องหยุดตรง ผัสสะ หรือ การกระทบ คือการกระทบของอินทรีย์ 6 กับ สิ่งที่มากระทบอินทรีย์ 6 ที่ทำให้เราเกิดความพอใจ ไม่พอใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2011, 21:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ตัณหาเป็นเหตุของอุปาทาน..ได้อย่างไรนั้น..

ลองมาดูเหตุการสมมุติ..

หนุ่ม ๆ เห็นสาวสวย...ก็ว่าดี..แล้วก็อยากได้เพราะคิดว่าดี..นึกขึ้นมาทีไรก็รู้แต่ว่าสาวสวยนี้ดีอยากได้

เห็นทีไรก็นึกอย่างนี้...คิดเห็นทีไรก็นึกอย่างนี้...

หลัง ๆ มา..ไม่ต้องนึกว่าดีแล้ว...อยากได้ท่าเดียว...

นานวันเข้า...เห็นก็อยากได้จนนึกไม่ออกว่าเพราะอะไร

ความที่ตัณหาเกิดซ้ำ ๆ ..คิดจนชิน..จนเป็นชุดความคิดอัตโนมัตที่แทบจะหาต้นตอไม่ได้....ชุดความคิดนี้แหละ...คืออุปาทาน..ฟุ้งขึ้นมาเมื่อไรก็ทำงานของมันทันที

นี่แหละจึงเรียก...ตัณหาเป็นเหตุของอุปาทาน

โปรแกรมชุดนี้นี่แหละตัวอันตรายของแท้....ไม่รู้ตัวไหนจะฟุ้งขึ้นมากลายเป็นปฏิสนธิจิตพาเราไปในภพต่าง ๆ

แล้ว..อุปาทานก็เป็นเหตุให้เกิดภพ...ได้อย่างนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2011, 21:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:

นี่คือกระบวนการเกิดและดับไปแห่งทุกข์ ถ้าต้องการหยุดกระบวนการนี้ไม่ให้เกิดเป็นวัฏจักรการเกิดการตาย หรือดับทุกข์ ต้องหยุดตรง ผัสสะ หรือ การกระทบ คือการกระทบของอินทรีย์ 6 กับ สิ่งที่มากระทบอินทรีย์ 6 ที่ทำให้เราเกิดความพอใจ ไม่พอใจ


ไม่ใช่หยุดที่ผัสสะ....แต่เป็นผัสสะแล้วหยุด..ต่างหาก

หยุดก่อนเวทนาจะเกิด...

หยุดด้วยชุดความคิดที่เรียกว่า..ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2011, 00:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


แต่ที่คุณกบบอกว่า "หนุ่ม ๆ เห็นสาวสวย...ก็ว่าดี..แล้วก็อยากได้เพราะคิดว่าดี"

ความคิดที่ว่าสาวสวยๆเป็นของดี ไม่ได้เกิดจากอุปาทาน คือความยึดมั่นในความสวยงามว่าเป็นของดีเหรอครับ

ผมเข้าใจว่าอุปาทานเกิดขึ้นก่อน ยึดมั่นในสิ่งนั้นก่อน แล้วจึงอยาก/ไม่อยากในสิ่งนั้น ทำให้เกิดตัณหาตามมา แต่พอลองไล่เรียงเทียบดูกับปฏิจจสมุปบาท ความคิดผมดูจะสวนทางกับที่ท่านมีกล่าวไว้ คิดว่าผมคงเข้าใจผิดอะไรซักอย่าง ท่านใดทราบช่วยชี้แนะวิธีแก้ไขด้วยครับ

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2011, 07:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แค่ยกตัวอย่างสมมุติ นะครับ....ไม่ใช่เพิ่มมาเกิดตอนนี้..

ตั้งแต่เล็กจนโตมา..ไม่รู้เริ่มตั้งแต่ตอนไหน...

บางทีพ่อแม่ก็เป็นคนสอนว่าอันนี้ดี..อันนี้ไม่ดี...เด็กก็จำ

บางทีสิ่งรอบข้างเราก็สอนเราทุกวินาที...

เดินผ่านแผงหนังสือ...ก็เห็นแต่คนหน้าตาดีขึ้นปก

แล้วไหนจะ...ของเก่าเก็บแต่ชาติบางก่อนอีกละ..

เราไม่ได้เพิ่งเกิดในอัตตาภาพนี้เป็นครั้งแรก..ซะเมื่อไร

คนธรรมดาๆ เขียน:
ผมเข้าใจว่าอุปาทานเกิดขึ้นก่อน ยึดมั่นในสิ่งนั้นก่อน แล้วจึงอยาก/ไม่อยากในสิ่งนั้น ทำให้เกิดตัณหาตามมา...


ถูกครับ...
เรานี้มีอุปาทานอยู่ก่อนแล้ว...พอมันฟุ้งขึ้นมา..มันก็ทำงานของมันทันที

เป็นอุปาทานของเก่า...มันเป็นอาสวะตกตะกอนนอนเนื่องในใจเรา
แต่การเกิดของมันก็เกิดตามกระบวนการของปฏิจจฯ..นั้นแหละ

พอมันเกิดขึ้นมา..เราไม่ได้เอาออก...มันก็ตกตะกอนในใจเรา

จำความเพียรชอบ 4 ข้อได้มั้ย..

ข้อแรก...เพียรอย่าให้อกุศลความชั่วเกิด
ข้อสอง..เพียรละอกุศลความชั่วที่เกิดแล้ว..ออก

ที่ครูบาอาจารย์หลายท่านบอกว่าควานหากิเลส..เอามาฆ่านั้นแหละ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2011, 07:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมเข้าใจว่า...อุปาทานของเก่านี้แหละ...ต่อมของภพ

แสดงว่าเรามีภพแล้วในใจเรา..ต่าง ๆ มากมาย..รอเราอยู่
เราเองเป็นผู้สร้างมัน

โกรธ..กลัว...ก็ภพของอสุรกาย
ทุกข์ใจ...ก็ภพของนรก
สุขใจ...ก็ภพของเทวดา
ใจสงบ..ก็ภพของพรหม

ทุกภพเกิดแล้ว..ในจิต

ปุถุชนคนไม่รู้..พอตอนอัตตาภาพนี้ดับ...ไม่รู้มันจะไปจับภพไหน

อันไหนทำมาก ๆ... ทำจนชิน... ก็มีสิทธิ์มาก

น่ากลัวเน๊าะ

อริยะชนคนรู้...จึงรอด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2011, 09:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เพราะอะไรตัณหาจึงเป็นเหตุของอุปาทาน ไม่ใช่ในทางกลับกัน(คืออุปาทานเป็นเหตุของตัณหา)ครับ
เช่นเดียวกัน เพราะอะไรเวทนาจึงเป็นเหตุของตัณหา ไม่ใช่ในทางกลับกัน
และ เพราะอะไรผัสสะจึงเป็นเหตุของเวทนา ไม่ใช่ในทางกลับกัน



:b8:

เมื่อใดที่ความรู้สึกยินดีพอใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ปรากฏเกิดมีขึ้นมา
การเสาะแสวงหาจึงเกิดตามมา
เมื่อมีการเสาะแสวงหา จึงมีการได้มา
เมื่อมีการได้มา จึงมีการตระหนี่หวงกั้น ยึดเกาะ เก็บกักเฝ้ารักษา

หากความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ยังไม่ปรากฏ
การดิ้นรนแสวงหาในสิ่งนั้นๆ ก็จะยังไม่มี
เมื่อการดิ้นรนแสวงหาในสิ่งใดๆไม่มี การได้มาซึ่งสิ่งใดๆก็ยังไม่มี
เมื่อการได้มาซึ่งสิ่งใดๆยังไม่มี การตระหนี่หวงกั้น ยึดมั่นถือมั่น เก็บกักรักษา ในสิ่งใดๆก็ยังไม่มี
ด้วยเหตุนี้ ตัณหาจึงเป็นเหตุแห่งการยึดมั่นถือมั่น :b8:


อ้างคำพูด:
เพราะอะไรผัสสะจึงเป็นเหตุของเวทนา


...หากตายังไม่เห็นรูป
ความยินดีพอใจ ความไม่ยินดีไม่พอใจ ในรูปนั้น ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้...
ด้วยเหตุนี้ผัสสะจึงเป็นเหตุให้เกิดเวทนา :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2011, 10:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ผัสสะเป็นเหตุให้เกิดเวทนา
เมื่ออายตนะภายนอกกระทบอายตนะภายใน...เรียกผัสสะเกิด

ผัสสะเกิดที่ใด....วิญญาณก็เกิดที่นั้น...จิตรับรู้...
สัญญาเทียบเคียง...สิ่งนั้นเป็นอะไร...เรียกว่าอะไร..
สังขารปรุง..เป็นคุณหรือเป็นโทษ...
เป็นคุณ...ก็อยากได้..
เป็นโทษ...ก็อยากผลักออก..
หากไม่รู้เป็นคุณหรือเป็นโทษ...ก็ค่อยคิดต่อไป

หากอยากได้....ก็สร้างสุขเวทนา
ไม่อยากได้...ก็สร้างทุกข์เวทนา
หากยังไม่รู้....มันก็งง..งง...เป็นอทุกขมสุขเวทนาไป


ผัสสะเป็นเหตุให้เกิดเวทนา..ก็ด้วยเหตุนี้
***สังเกตุ...มีตัณหาเล็ก ๆ..เกิดหลังสัญญาเทียบเคียงรู้ว่าเป็นคุณหรือเป็นโทษบ้างแล้ว***

พอเกิดขึ้นจริง..ๆ...มันก็ไม่ได้ค่อยเป็นค่อยไปอย่างที่เขียนมานี้หรอก

หากใครเป็นคนโบราณแล้วเคยเขียนโปรแกรมบน DOS จะเห็นว่านี้มันโปรแกรมคอมพิวเตอร์ดี ๆ นี้เอง

ที่ครูบาอาจารย์ว่า...สุข..ทุกข์...มันไม่ใช่ของจริง..ก็ด้วยเหตุนี้...มันเป็นสุขสร้าง..ทุกข์ก็ทุกข์สร้าง

ปัณหาคือว่าเราจะตัดวงจรนี้ได้อย่างไร...

จะตัดตรงไหนในวงปฏิจจฯ...ก็ขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละคน...บุญบารมีสร้างมาไม่เหมือนกัน


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 14 พ.ย. 2011, 10:23, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2011, 10:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


คนธรรมดาๆ เขียน:
แต่ที่คุณกบบอกว่า "หนุ่ม ๆ เห็นสาวสวย...ก็ว่าดี..แล้วก็อยากได้เพราะคิดว่าดี"

ความคิดที่ว่าสาวสวยๆเป็นของดี ไม่ได้เกิดจากอุปาทาน คือความยึดมั่นในความสวยงามว่าเป็นของดีเหรอครับ

ผมเข้าใจว่าอุปาทานเกิดขึ้นก่อน ยึดมั่นในสิ่งนั้นก่อน แล้วจึงอยาก/ไม่อยากในสิ่งนั้น ทำให้เกิดตัณหาตามมา แต่พอลองไล่เรียงเทียบดูกับปฏิจจสมุปบาท ความคิดผมดูจะสวนทางกับที่ท่านมีกล่าวไว้ คิดว่าผมคงเข้าใจผิดอะไรซักอย่าง ท่านใดทราบช่วยชี้แนะวิธีแก้ไขด้วยครับ


สิ่งที่มีมาก่อนนั่นเป็นลักษณะของ อนุสัย ที่นอนเนื่อง

ลักษณะการปรากฎของอุปทาน
คือ เห็นเชือกในที่มืด แล้วคิดไปว่าเป็นงู แล้วเกิดอาการสะดุ้งหวาด
และวิ่งไปหยิบไม้มาตี

อุปทานก็เกิด เนื่องจาก อนุสัยที่นอนเนืองเป็นปัจจัย
อย่างเช่นการเป็นผู้ที่มักตีโพยตีพาย กระต่ายตื่นตูม
ทำอะไรไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือให้ดีอยู่เป็นนิสัยเป็นต้น
เมื่อผัสสะเกิด มักคิดมักจินตนาการ

:b1: ตอนเอกอนพิจารณาเรื่องนี้ ก็คอยสังเกตจากลักษณะอาการกระต่ายตื่นตูมที่ปรากฏนี่ล่ะ
เมื่อเริ่มแยกแยะจากสิ่งง่าย ๆ ได้ ก็ค่อย ๆ พิจารณาเรื่องอื่น ๆ
ว่า ที่เรามักคิดไปในลักษณะนั้น เนื่องด้วยอะไร
เนื่องด้วย ณ ขณะที่เห็น เราไม่มีองค์ธรรมอันเป็นคุณประกอบอยู่กับจิต
ทำให้เราไม่มีสติ-แสดงอาการควบคุมสติไม่อยู่ ไม่มีสมาธิ-แสดงความฟุ้งซ่าน
จนเกิดตัณหา รักตัวกลัวตาย แสดงอาการแห่งโทสะ คิดฆ่างูให้ตาย

การเห็นเชือกเป็นงู เป็นอาการของอุปทาน
แต่การปรากฎของอุปทานนั้น ก็เนื่องด้วยอวิชา อนุสัยอันนอนเนือง

:b1: :b8:

ตอนพิจารณาเอกอนมองอย่างนี้ค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2011, 18:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 21:59
โพสต์: 234

สิ่งที่ชื่นชอบ: ในตัวเอง
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อุปาทาน ในความหมายอย่างชาวบ้าน ภาษาบ้านๆ และภาษาไทยๆ
เป็นคนละอย่างกับอุปาทานตามความหมายของสภาพธรรมตามหลักการของตัวธรรมะ


ถ้าอุปาทาน ตามความหมายอย่างชาวบ้านคือ อาการของการ คิดไปเอง รู้สึกไปเอง
สร้างภาพเอาเอง ด้วยความสำคัญผิด หรือด้วยความรู้สึกสังหรณ์บางชนิดแบบผิดๆ

แต่อุปาทานในความหมายทางธรรม หมายเอาถึงกิริยาของจิต ที่มีอาการเข้าไปเจาะจง
เข้าไปยึดถือ เข้าไปสำคัญมั่นหมาย เข้าไปกำหนด เข้าไปนอนประจำ เข้าไปผูกไว้ เข้าไปติดใจ
เข้าไปฝังใจ ไม่ว่าจะเข้าไปเจาะจงอะไร มั่นหมายอะไร กิริยาอย่างนั้นคืออุปาทาน

เข้าไปยึดถือว่าตัวตน เข้าไปยึดถือในความเห็น เข้าไปยึดถือสภาพสภาวะใดๆสิ่งนั้นคือกำลัง
มีอุปาทาน

cool :b38: :b38: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2011, 19:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


อุปสงค์ คือ ความต้องการ
อุปทาน คือ การตอบสนองความต้องการ
เคยได้ยินคำพวกนี้ไหมครับทางเศรษฐศาสตร์ การตลาด

ตัณหา ก็น่าจะเป็นอุปสงค์
อุปทาน ก็คือตอบสนองตัณหานั้นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2011, 20:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ผมเข้าใจว่าอุปาทานเกิดขึ้นก่อน ยึดมั่นในสิ่งนั้นก่อน แล้วจึงอยาก/ไม่อยากในสิ่งนั้น ทำให้เกิดตัณหาตามมา แต่พอลองไล่เรียงเทียบดูกับปฏิจจสมุปบาท ความคิดผมดูจะสวนทางกับที่ท่านมีกล่าวไว้
คิดว่าผมคงเข้าใจผิดอะไรซักอย่าง ท่านใดทราบช่วยชี้แนะวิธีแก้ไขด้วยครับ



เพราะไม่รู้ ... จึงอยาก/ไม่อยาก
เพราะอยาก/ไม่อยาก...จึงแสวงหา จึงได้มา จึงยึดมั่นจับถือ

เพราะรู้...จึงหายอยาก
เพราะหายอยาก จึงเลิกแสวงหา จึงไม่ได้มา จึงไม่อะไรให้จับถือยึดเกาะ...

เพราะรู้ว่ารูปที่เห็นนั้น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
จึงหมดความอยาก/ไม่อยากในรูป จึงไม่แสวงหา จึงไม่เข้าไป จึงไม่ได้มา จึงไม่มีรูปให้ยึดถือ...


การที่จะเลิก สละละวางทิ้งอะไรซักอย่าง
นั้นคือ สิ่งที่จะสละทิ้งละวางลงไปนั้น หมดค่า หมดความหมาย ไม่มีอะไรน่าสนใจ อีกต่อไป
แต่ตราบใดที่สิ่งนั้นยังมีความสำคัญ มีความหมาย ยังสร้างความพอใจได้อยู่
การที่จะสละละทิ้งสิ่งนั้นลงไปไม่ใช่สิ่งที่จะกระทำได้โดยง่าย


เพราะความไม่รู้ จึงทำให้เกิดความปรุงแต่ง(สังขาร)...ฯลฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2011, 20:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะสังขาร มีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลา
วิญญาณ(ธาตุรู้) จึง มีความเกิดดับอยู่ตลอดเวลา
นามรูป จึงมีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลา
อายะตะนะ จึงมีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลา
ผัสสะ จึงมีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลา
เวทนา จึงมีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2011, 22:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


วิธีดับทุกข์ คือเอาความจริง (วิชชา) เอาความจริงของโลกและชีวิตที่ว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิดจากเหตุและปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราวสุดท้ายก็แตกสลาย ไม่มีตัวตน
เอาไปดับความความเชื่อ (อวิชชา)ความหลงพอใจ ความไม่พอใจ ที่เกิดขึ้นทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ
นั้นคือ ความโลภ โกรธ หลง หรือโลภะ โทสะ โมหะ นั้นคือ ดับทุกข์ที่เราสร้างขึ้นมา ทุกข์ที่เราสร้างขึ้นมานี้เป็นเหตุปัจจัยของทุกข์อริยสัจจะ หรือเกิดขึ้นตั้งอยู่ ดับไป เมื่อดับอวิชชาได้แล้วก็ดับความเกิดได้ เมื่อดับความแก่ได้ ความตายก็ไม่มีต่อไปจึงดับทุกข์ถาวรได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2011, 22:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


จางบาง เขียน:
อุปาทาน ในความหมายอย่างชาวบ้าน ภาษาบ้านๆ และภาษาไทยๆ
เป็นคนละอย่างกับอุปาทานตามความหมายของสภาพธรรมตามหลักการของตัวธรรมะ


ถ้าอุปาทาน ตามความหมายอย่างชาวบ้านคือ อาการของการ คิดไปเอง รู้สึกไปเอง
สร้างภาพเอาเอง ด้วยความสำคัญผิด หรือด้วยความรู้สึกสังหรณ์บางชนิดแบบผิดๆ

แต่อุปาทานในความหมายทางธรรม หมายเอาถึงกิริยาของจิต ที่มีอาการเข้าไปเจาะจง
เข้าไปยึดถือ เข้าไปสำคัญมั่นหมาย เข้าไปกำหนด เข้าไปนอนประจำ เข้าไปผูกไว้ เข้าไปติดใจ
เข้าไปฝังใจ ไม่ว่าจะเข้าไปเจาะจงอะไร มั่นหมายอะไร กิริยาอย่างนั้นคืออุปาทาน


เข้าไปยึดถือว่าตัวตน เข้าไปยึดถือในความเห็น เข้าไปยึดถือสภาพสภาวะใดๆสิ่งนั้นคือกำลัง
มีอุปาทาน


cool :b38: :b38: :b53:


เอ้อ นั่นจิ่ มัวแต่คิดว่าจะอธิบายยังไงให้มันดูง่าย ๆ :b9:
ก็เลยลืมคิดไป :b22: :b22: :b22:

smiley smiley


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 65 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร