วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 00:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 40 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2010, 21:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 11:59
โพสต์: 105

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การแอบสังเกตุจิตตามที่คุณตะเกียงว่ามานั้น ผมเห็นด้วยครับ
เรื่องนอนนั้น สมัยที่เคยปฏิบัติอย่างข้นเข้นนั้น
มันเหมือนกับเราไม่ได้นอนหลับแต่อย่างใดครับ
สติมันตามจี้ระลึกรู้ทุกๆเวทนา จนสภาพร่างกายมันรับไม่ไหว

เมื่อรู้ว่าการตามจี้ติดแบบนั้น มันไม่น่าจะใช่
ก็เลยเลิกตามจี้ ตามรู้ ตามดู แบบจี้ติดนั้นไป

เมื่อเราแอบสังเกตุพฤติกรรมของจิตไปเรื่อยๆ แบบไม่คาดหวังผล
มันจะเริ่มรู้ เริ่มสว่างขึ้นไปเรื่อยๆของมันเอง
อ๋อ...เพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้มันจึงเกิด
อ๋อ...เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้มันจึงดับ
...มันเป็นของมันเช่นนี้ นี่เอง...มันจะอุทานของมันไปเรื่อยๆ

การใช้ชีวิตประจำวัน มันก็จะปรับเปลี่ยนของมันเอง
โดยไม่ต้องไปปรุงแต่งอะไรๆ ศีลก็ไม่ต้องปรุง สมาธิก็ไม่ต้องปรุง ปัญญาก็เรียนรู้ของมันไปเรื่อยๆ
หลังจากที่เราหมดสิ้นความลังเลสงสัยในขั้นธ์ทั้ง๕ ได้แล้ว
ทุกอย่างจะกลับคืนสู่ความเป็นปกติ
ราคะ โทสะ โมหะ จะถูกเฝ้าดู ถูกเฝ้าสังเกตุ มากบ่อยขึ้น
ตัวนี้เกิดขึ้นได้ เพราะอะไร
ตัวนี้ดับไป เพราะอะไร
นี้คือโทษ นี้คือคุณ...มันจะรู้ของมันเองโดยไม่ต้องมีใครมาบอก

เมื่อทำอย่างนี้ ผลมันต้องเป็นอย่างนี้นะ
จะทำไหม? ถ้าทำ รับได้หรือไม่ได้...

ชีวิตประจำวัน สำหรับผมนั้น
หากวันใดภาระกิจหน้าที่ ไม่หนักหนาสาหัสจนเกินไป
ผมจะรู้สึกตัวประมาณตี2หนึ่งครั้ง ตี3หนึ่งครั้ง
และจะลุกขึ้นมาเจริญภาวนาตอนประมาณตี4
ด้วยการสวดมนต์ทำวัตรเช้าแปล(ฉบับสวนโมกข์)ประมาณ45นาที
และเจริญสมาธิไปจนกระทั้งใกล้สว่าง...

และตลอดทั้งวัน ผมเองก็จะปล่อยให้จิตมันเป็นไปเองตามธรรมชาติ
ว่างตอนไหน ก็อยู่กับลมหายใจไป
เวทนาบางตัว ที่เมื่อก่อนผัสสะอย่างนี้เกิด มันก็จะต้องเกิดร่วมด้วย
มาตอนนี้ ผัสสะตัวเดิมเกิด แต่เวทนาที่เคยเกิดร่วมด้วย มันกลับไม่เกิด
และเมื่อมันเป็นบ่อยๆเข้า เราก็จะเริ่มรู้แล้วว่า เฮ้ย!...ตัวนี้เราผ่านได้แล้วโว้ย :b12:

จิตหรือวิญญาณ เมื่อมันไม่เข้าไปจับยึดเกาะอะไรๆ ได้บ่อยๆ
มันก็จะไม่เหนื่อย มันก็จะไม่เพลีย
เพราะสมาธิ (ฌาน)มันเป็นที่พักจิตชั้นยอดอยู่แล้ว ไล่ตั้งแต่ขั้นต่ำไปจนถึงขั้นสูงสุด

ตามความเข้าใจของผมนั้น ผมเห็นว่าฌาน๔
เป็นที่พักจิตที่ยอดเยี่ยมที่สุดกับการที่ต้องดำเนินชีวิตอยู่กับโลก...

เรื่อง"ศีล" สำหรับผมนั้น ผมมองเป็นเรื่องปกติธรรมดาครับ
ไม่ได้ไปจริงจังอะไรมากนัก
เพราะถ้าเมื่อเราสามารถข้ามพ้นผ่านสักกายะทิฎฐิไปได้แล้ว
ตัวสัมมาทิฏฐิมันจะบอกเราเองว่า อะไรคือศีลที่ปกติ อะไรคือศีลที่ผิดปกติ
มรรคทั้งแปด คือศีล สมาธิ อยู่ในตัวแล้ว
ปฏิบัติถูก ทุกข์เกิดขึ้นไม่ได้ ปฏิบัติมรรคไม่ถูกก็แสดงว่าศีลรั่วแล้ว ทุกข์ก็เล็ดรอดทะลุเข้ามาได้
ผม เอาทุกข์เป็นตัววัดสอบครับ จึงไม่ต้องคอยห่วงพะวงว่า อะไรผิดศีล อะไรถูกศีล

วัตรประเพณีเคยปฏิบัติกันมาอย่างไร ก็ว่าไป ไม่ไปค้ดง้าง งัดข้ออะไรกับใคร
มีมรรคแปดตรวจเช็คอยู่ตลอด ก็น่าจะพอ
สัมมาอาชีโว สัมมากัมมันโต สัมาวาจา ว่าอย่างไร ก็ปฏิบัติไปตามนั้น
สิ่งใดท่านไม่ได้กำหนด ก็อย่าไปกำหนดเพิ่มขึ้นมา
พลาดพลั้งเผลอไป เริ่มใหม่ ไม่เป็นไร อดีตแก้ไขคืนกลับไม่ได้ อนาคตยังมาไม่ถึง
อยู่กับปัจจุบัน ผัสสะเกิด เวทนาเกิด
เวทนาไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตนแต่อย่างไร
ผัสสะแล้วเป็นทุกข์ นั้นแสดงว่าอุปาทานเกิดแล้ว มีการเผลอยึดขันธ์๕ว่าเป็นตัวเราเกิดขึ้นแล้ว :b45:

การพูด การสนทนา มันต้องมีรั่ว มีหลุดบ้าง เป็นเรื่องปกติธรรมดา
ก็เรายังไม่ได้จบกิจอย่างสมบูรณ์เป็นพระอรหันต์ที่ไหนแต่อย่างไรนิ
พระอาจารย์สอนวิปัสสนา ที่พูดเก่งๆ ยังมีรั่ว มีหลุด มีเพลิน มีเผลอ ทั้งนั้นครับ
เสียงหลุดออกจากปาก ก็สังขารทั้งนั้นแล้วครับ
พิมพ์ข้อความอยู่นี้ ก็สังขารแล้วทั้งนั้นเหมือนกัน
ส่งข้อความไปแล้ว นึกได้ทีหลัง ตรงนี้ไม่น่าแสดง ตรงนี้ไม่น่าพิมพ์ :b45:

แต่มีข้อสังเกตุอย่างหนึ่ง คือเรื่องของการพูดถึงสิ่งที่ไม่ดีของคนอื่น
ถึงแม้นจะเป็นเรื่องที่เกิดจริง เป็นเรื่องที่กระทำจริง
การตำหนิ ซ้ำเติม วิพากษ์วิจาร เป็นสิ่งที่พึงหลีกเลี่ยง ไม่สมควรที่จะกระทำเป็นอย่างยิ่งครับ
เพราะนั้นคือวจีกรรมอย่างหนึ่ง มีผล มีวิบากครับ
ผมมักจะเปรียบเที่ยบกับกองขี้ครับ เมื่อรู้ว่าเป็นขี้ ก็อย่าไปคุ้ย อย่าไปเหยียบ
เพราะมันจะเหม็น มันจะเปอะเปลื้อนกับตัวเราได้ ครับ :b41:


เรื่องกิน ต้องลองให้มันถึงสุดๆครับ
ไม่ลองไม่รู้ กินเจ กินมังสะวิรัต กินมื่อเดียว กินสองมื้อ กินสามมื้อ
กินผสม กินแยก ลองมันให้หมดครับ แล้วสังเกตุจิตวิญญาณ ดูมันไปเรื่อยๆ
เดี๋ยวมันจะรู้ของมันเองว่า กินแบบไหม ที่กินแล้วมันจะไม่เป็นทุกข์
ทั้งขณะที่จะกิน ที่กำลังกิน หรือว่ากินอิ่มแล้ว...สังเกตุดูมันไปเรื่อยๆครับ

ยิ่งไปอยู่สำนักปฏิบัติ เราฆารวาสกินที่หลังพระ
เราจะเห็นกิเลสของเราได้แจ่มกว่าพระเยอะที่เดียวครับ

และการสังเกตุกิเลส สังเกตุจากเรื่องกินนี้จะเห็นได้ชัดมาก ครับ
ผัสกับอาหาร เวทนาเป็นไง ตัณหาเป็นไง
ดูตัวเรามั่ง ดูคนอื่นมั่ง .... :b16: สนุกครับ


แก้ไขล่าสุดโดย อนัตตญาณ เมื่อ 30 ก.ย. 2010, 21:39, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2010, 21:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อนัตตญาณ เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Yodyood เขียน:
สักกายทิฐิ ของพระโสดาบัน พระสกิทาคามี กับพระอนาคามียังไม่หมดสิ้นไปเลยนะครับ
ไปหมดจริงๆที่พระอรหันต์ครับ


หลวงพ่อฤาษี..ท่านสอนอย่างนี้ว่า..

สักกายทิฎฐิ..โสดาบันจะมีอารมณ์เบา ๆ ..ไม่หลงในกายเพราะเห็นความตายเป็นอารมณ์
สักกายทิฎฐิ..พระอนาคามี..มีอารมณ์ปานกลาง..ไม่หลงในกายเพราะเห็นกายเป็นของปฏิกูลเป็นอารมณ์
สักกายทิฎฐิ..พระอรหันต์..มีอารมณ์หนัก..ไม่หลงในกายเพราะเห็นกายนี้ไม่ใช่เรา..เราไม่มีในกายนี้..
เป็นอารมณ์

สักกายทิฎฐิ..ของพระโสดาบันที่มีอารมณ์เบา ๆ เพราะเห็น..ความตายเป็นอารมณ์.มีตัวอย่างที่ชัดเจนคือลูกสาวนายช่างถอหูก..




ภิกษุ ท .! สักกายะเป็นอย่างไรเล่า?

ภิก ท .! คําตอบคือ
อุปาทานขันธ์ทั้งห้า.

ห้าเหล่าไหนเล่า?
ห้าคือ รูปขันธ์ที่ยังมีอุปาทาน ๑
เวทนาขันธ์ที่ยังมีอุปาทาน ๑
สัญญาขันธ์ที่ยังมีอุปาทาน ๑
สังขารขันธ์ที่ยังมีอุปาทาน ๑
และ วิญญาณขัันธ ์ที่ยัังมีอุปาทาน ๑
ภิกษุ ท .! นี้เรียกว่า สักกายะ.
(ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๙๓, ๑๙๒/๒๘๕, ๒๗๕.)


ภิกษุ ท.!
เมื่อใดแล สาวกของพระอริยเจ้าในธรรมวินัยนี้
มารู้จักความก่อขึ้นแห่งอุปาทานขันธ์ห้า.
รู้จักความตั้งอยู่ไม่ได้ของอุปาทานขันธ์ห้านี้.
รู้จักอุปาทานขันธ์ห้าในแง่ที่มันให้รสอร่อย,
รู้จักอุปาทานขันธ์ห้าในแง่ที่มันให้แต่โทษร้ายกาจ,
ทั้งรู้จักอุบายที่ไปให้พ้นอุปาทานขันธ์ห้านี้เสีย
ตามที่ถูกที่จริง ;

ภิกษุ ท.! เมื่อนั้นแหละ สาวกของพระอริยเจ้าผู้นั้น
เราเรียกว่าเป็นพระโสดาบัน ผู้มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เที่ยงแท้ต่อพระนิพพาน
จักตรัสรู้ธรรมได้ในกาลเบื้องหน้า.
(ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๙๖/๒๙๖.)



สารีบุตร ! ที่มัักกล่าวกันว่า 'โสดาบัน -โสดาบัน ดัังนี ้ เป็็นอย่างไรเล่า สารีบุตร ?

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !
ท่านผู้ใด เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยอริยมรรคมีองค์แปดนี้อยู่
ผู้เช่นนั้นแล ข้าพระองค์เรียกว่าเป็นพระโสดาบัน ผู้มีชื่ออย่างนี้ ๆ มี
โคตรอย่างนี้ ๆ พระเจ้าข้า !"

สารีบุตร ! ถูกแล้ว ถูกแล้ว ผู้ที่ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยอริยมรรคมีองค์แปดนี้อยู่
ถึงเราเองก็เรียกผู้เช่นนั้น ว่าเป็น พระโสดาบัน ผู้มีชื่ออย่างนี้ๆ มีโคตรอย่างนี้ ๆ.
(มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๓๕/๑๔๓๒-๑๔๓๓.)


พอจะมีพระสูตรกรณี..ของ..ลูกสาวนายช่างถอหูก..ไหมครับ?? :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2010, 14:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ม.ค. 2010, 20:54
โพสต์: 163

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ โสดาเค้ายอมรับได้และปล่อยวางเรื่องนี้แล้ว โสดาเข้าถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้ว (ไม่ใช้พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์แบบวัสถุหรือมีตัวมีตนนะคับ)รู้ถึงอริยะสัจ4 รู้จัก บาปบุญ กุศล อกุศล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2010, 10:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 11:59
โพสต์: 105

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เจ้าวังทอง เขียน:
เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ โสดาเค้ายอมรับได้และปล่อยวางเรื่องนี้แล้ว โสดาเข้าถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้ว (ไม่ใช้พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์แบบวัสถุหรือมีตัวมีตนนะคับ)รู้ถึงอริยะสัจ4 รู้จัก บาปบุญ กุศล อกุศล



คุณธรรมโสดาบันนั้น จักยอมรับว่า ขันธ์ทั้ง๕นี้ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนแต่อย่างใด
ขันธ์ทั้ง๕ เป็นสักแต่ว่าธรรมที่อาศัยเหตุปัจจัยในการเกิดมีขึ้นมาเท่านั้นเอง
คุณธรรมโสดาบัน ย่อมหมดสิ้นความลังเลสงสัยในขันธ์ทั้ง๕ อย่างไม่เหลือเชื้อใดๆทั้งสิ้น

โสดาบัน จักไม่สงสัย เรื่องชาติที่แล้ว ชาติหน้า ชาติอะไรๆที่ว่าด้วยเรื่องสัตว์บุคคล
โสดาบัน จักไม่สงสัยในชาติที่ว่าด้วยเรื่องของสัตว์ บุคลตัวตน ใดๆทั้งนั้น

ใครจะมาชวนพูดคัยเรื่องของชาติที่ว่าด้วยเรื่องของสัตว์บุคคลตัวตนนั้น
โสดาบันจะไม่สนใจ ไม่สนทนาเรื่องชาติอย่างนี้
เพราะโสดาบันมองหาความเป็นสัตว์บุคคลตัวตนไม่เจอในขันธ์ทั้ง๕แต่อย่างใดแล้วนั่นเอง

การที่มีใครจะมาชวนสนทนาว่าสัตว์บุคคลตัวตนตายแล้วไปไหน
ขาติหน้ามีจริงไหม เวียนว่ายตายเกิดมีจริงไหม
การสนทนาพูดคุยเรื่องอย่างนี้นั้น จะไม่ได้คำตอบหลุดจากปากโสดาบันแต่อย่างใด
เพราะเริ่มต้นก็ตั้งคำถามผิดเสียแล้ว

ในเมื่อมองเห็นว่าขันธ์ทั้ง๕ หาความเป็นสัตว์บุคคลตัวตนใดๆไม่ได้เลยสักขันธ์เดียว ได้แล้ว
แล้วจะให้ตอบว่าสัตว์บุคคลตัวตนเวียนว่ายตายเกิดอย่างไร ได้อย่างไร :b1:
เพราะไม่รู้ว่าจะเอาสัตว์บุคคลตัวตนที่ไหนมาตอบคำถาม
เพราะมันมีแต่ขันธ์ทั้ง๕เท่านั้น ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป :b45: มิใช่หรือ :b16:

หากจะหาคำตอบว่า ขันธ์ทั้ง๕เกิดขึ้นได้เพราะอะไร
ขันธ์ทั้ง๕จะดับลงได้เพราะอะไร
อย่างนี้มีคำตอบจากปากพระโสดาบันแน่

ทุกข์เกิดขึ้นได้เพราะอะไร
ทุกข์จะดับลงได้เพราะอะไร
ถามอย่างนี้ มีคำตอบจากปากพระโสดาบัน อย่างแน่นอน

ความเห็น(ทิฏฐิ) ก็คือความเห็น
ความเห็นไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลตัวตน แต่อย่างไร เป็นเพียงแต่ว่าสังขารธรรมอย่างหนึ่ง
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป อาศัยเหตุปัจจัยในการเกิดขึ้น มีขึ้น เป็นธรรมดา

เห็นว่าตายแล้ว มีสัตว์ มีบุคคล มีตัวตน ไปเกิดเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ..ก็สักแต่ว่าความเห็น
(เห็นด้วยตาจริงๆหรือเปล่ายังไม่รู้ จะมีจริงๆหรือเปล่ายังไม่รู้ )

ความเห็นว่าตายแล้ว แล้วกัน ไม่มีอะไรไปเกิดเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
นรก สวรรค์ พรหม ไม่มีแต่อย่างใด
นี้เป็นเป็นสักแต่ว่าความเห็นอย่างหนึ่ง...แต่จะเป็นจริงตามที่ความเห็นนั้นหรือไม่อย่างไร ยังไม่รู้.

ไม่ว่าจะเป็นความเห็น(ทิฏฐิ)ใดก็ตาม (มีตั้งหกสิบกว่าความเห็น)
ล้วนแล้วแต่เป็นความเห็นทั้งสิ้น เป็นเพียงสักแต่ว่าความเห็น
เป็นเพียงสักแต่ว่าความเชื่อ เป็นเพียงสังขารธรรม เช่นนั้นเอง
ความเห็น หรือความเชื่ออย่างนั้น หาได้มีความเป็นสัตว์ ไม่ใช่บุคล ตัวตนแต่อย่างไรทั้งสิ้น
เพราะบรรดาความเห็นทั้งหมดนั้น ล้วนเกิดมาจากขันธ์๕นี้ทั้งสิ้น

ไม่เมื่อขันธ์ทั้ง๕นั้น ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่สัตว์บุคคลแต่อย่างใด
แล้วจะเอาทิฏฐิความเห็นใดๆ มาเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนที่ไหน ได้อย่างใดกัน :b8:

ความเข้าใจว่าขันธ์ทั้ง๕ เป็นสัตว์บุคคล เป็นตัวน
ล้วนแต่เป็นความเห็นที่ผิด เป็นความเข้าใจที่ผิด
เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นกายะทิฏฐิ ทั้งสิ้น...
ซึ่งคุณธรรมของพระโสดาบันจักต้องข้ามผ่านทิฏฐิอย่างนี้ ความเห็นอย่างนี้ไปให้ได้ :b41:


ความเห็นที่ว่า สิ่งที่จะต้องกระทำต่อไปสำหรับพระโสดาบัน คือยังเหลือสัญโญชน์อีก๗ข้อ
กับความเห็นที่ว่า ยังเหลืออีก๗ชาติ ที่โสดาบันจะยังต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิด
ระหว่างความเห็นทั้งสองอย่างนี้
ในความเป็นโสดาบัน ควรที่จะให้น้ำหนัก ความเห็นอย่างไหนมากกว่ากัน?


แก้ไขล่าสุดโดย อนัตตญาณ เมื่อ 03 ต.ค. 2010, 10:30, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2010, 14:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 11:59
โพสต์: 105

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อจับคำของพระพุทธเจ้าเป็นที่ตั้ง ที่พระองค์ทรงบอกเอาไว้ว่า
การเกิดขึ้นของวิญญาณ ต้องอาศัย รูป เวทนา สัญญา สังขาร ในการเกิดปรากฏ ตั้งอยู่.

จิตหรือวิญญาณดวงหนึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
จิตหรือวิญญาณรู้ได้ที่ละอารมณ์

เพราะจิตอาศัยสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นฐาน(รูป เวทนา สัญญา สังขาร)ในการเกิดปรากฏ
เมื่อฐานที่จิตหรือวิญญาณใช้อาศัยในการเกิดหรือตั้งอยู่ เปลี่ยนไปหรือดับลง
จิตหรือวิญญาณที่อาศัยใช้ฐานใดฐานหนึ่งนั้น
ก็ย่อมดับลงหรือเปลี่ยนไปเป็นจิตหรือวิญญาณดวงใหม่ขึ้นมาแทน

ในขณะที่กำลังเจริญฌานใดฌานหนึ่งอยู่
จิตหรือวิญญาณย่อมต้องอาศัยใช้สิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นฐานที่ตั้งแห่งจิตหรือวิญญาณ
ยกตัวอย่าง หากกำหนดเอาลมหายใจเข้าออก(กาย)เป็นฐาน
เมื่ออยู่ในฌาน(สมาธิ) จิตหรือวิญญาณย่อมที่จะต้องแนบแน่นอยู่กับลมหายใจเข้า-ออกตลอดเวลา

หากจิตหรือวิญญาณไปรับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมาที่ไม่ใช่ลมหายใจเข้า-ออก นั่นแสดงว่า
จิตหรือวิญญาณที่รู้อยู่กับลมหายใจเข้าออกในทีแรกนั้นได้ดับลงไปแล้ว
แล้วได้เปลี่ยนไปเป็นจิตหรือวิญญาณดวงใหม่เกิดขึ้นมาแทนแล้ว
ฌาน(สมาธิ)องค์นั้นเคลื่อนแล้ว.

ไม่ว่าจะลืมตาหรือว่าหลับตา
จิตหรือวิญญาณทั้งหก(จักษุวิญญาณ ฯลฯ มโนวิญญาณ)
สามารถเกิดดับสลับเปลี่ยนได้อยู่ตลอดเวลา
บางขณะลืมตา แต่จักษุวิญญาณไม่เกิด ไปเกิดมโนวิญญาณแทนหรือโสตวิญญาณแทนก็ได้

สิ่งที่จิตหรือวิญญาณไปรับรู้
ก็เป็นเพียงสักแต่ว่า เป็นสิ่งที่จิตหรือวิญญาณอาศัยใช้ในการเกิด(รูป เวทนา สัญญา สังขาร)
หาใช่เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนแต่อย่างใดไม่ :b45:

ในองค์ฌาน ไม่ว่าจะเป็นฌานในระดับใดๆก็ตาม
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏเกิดขึ้นในองค์ฌานนั้น
หาใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน แต่อย่างใดทั้งสิ้น
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เป็นสักแต่ว่าสังขารธรรมทั้งสิ้น
ล้วนมีการดับสลายหายไปในที่สุด ด้วยกันทั้งหมด
ทั้งสิ่งที่ถูกรู้ และสิ่งที่เข้าไปรู้

อาการเพี้ยนจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย อาการฟุ้งจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย สัญญาวิปลาสจะเกิดขึ้นมิได้เลย
หากเห็นอยู่ รู้อยู่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏเกิดขึ้นในองค์ฌาน
ไม่ว่าจะเป็นองค์ฌานในระดับใดๆก็ตาม
ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นล้วนสักแต่หนีไปไม่พ้นจากรูป เวทนา สัญญา สังขารทั้งสิ้น
และทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลตัวตน แต่อย่างใดทั้งสิ้น.

ยังไม่รู้... มันก็จะก่อไปเรื่อยๆ
แต่เมื่อรู้... มันก็จะเลิกก่อ มันจะทุบ มันจะยุบ มันจะทิ้งไป มันจะวางลงไป

ทั้งในฌาน ทั้งนอกฌาน...
ล้วนแล้วหนีความว่างเปล่าไปไม่พ้น
ที่สุดแล้วสูญญตาทั้งสิ้น

ผู้ใดเห็นโลกนี้เป็นดุจดังของว่างเปล่า ผู้นั้นมารย่อมตามไม่พบตัว :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2010, 23:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 11:59
โพสต์: 105

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จิตหรือวิญญาณ ในความหมายที่ผมสื่อนั้นคือตัวเดียวกัน
จะเรียกว่าจิตก็ได้ จะเรียกว่าวิญญาณก็ได้ จะเรียกว่าผู้รู้ก็ได้(วิชานาติ)...

:b42: ภิกษุ ท ! ส่วนสิ่งที่เรียกกันว่า"จิต"ก็ดี ว่า"มโน"ก็ดี ว่า"วิญญาณ" ก็ดี
นั้นดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ตลอดวัน ตลอดคืน.

ภิกษุ ท ! เปรียบเหมือนวานร เมื่อเที่ยวไปอยู่ในป่าใหญ่ ย่อมจับกิ่งไม้ :
ปล่อยกิ่งนั้น จับกิ่งอื่น
ปล่อยกิ่งที่จับเดิม เหนี่ยวกิ่งอื่น เช่นนี้เรื่อยๆไป, ข้อนี้ฉันใด;
ภิกษุ ท ! สิ่งที่เรียกกันว่า "จิต" ก็ดี ว่า "มโน" ก็ดี ว่า"วิญญาณ" ก็ดี ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ตลอดวัน ตลอดคืน. :b42:

-นิทาน.สํ. ๑๖/๑๑๔- ๑๑๕/๒๓๐ - ๒๓๒.

เคยฝึกเข้าฌานแล้ว ขณะที่ลืมตาเนี่ย ก็เห็นภาพในจิต เห็นชัดมาก เป็นรูปหญิงสาว แต่งชุดดำ ผมยาว หน้าตาเศร้ามาก ปรากฏในจิต เห็นหลายๆครั้งเป็นภาพเดิม ทุกครั้งที่เห็น ก็ไม่ได้ตกใจกลัวอะไร คิดว่าจิตสร้างภาพขึ้นมาให้เห็น จนบางครั้งก็หัวเราะกับเรื่องราวที่จิตสร้างขึ้นมา (เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าน่าจะเป็นอย่างนี้มากกว่าเรื่องอื่น)

ผมเลยจะสื่อให้เข้าใจว่า
เพราะจิตหรือวิญญาณทีกำหนดฐานภาวนาในตอนแรกนั้น มีการเปลี่ยนแปลงไป
มีการดับไปแล้ว และมีการเกิดจิตหรือวิญญาณดวงใหม่เกิดขึ้นมาแทน
รูปผู้หญิงชุดดำผมยาวนั้น เป็นฐานใหม่ที่ให้จิตดวงใหม่เกิดขึ้น
คือมีการเกิดดับ ของจิตหรือวิญญาณเกิดขึ้นแล้ว

รูปผู้หญิงผมยาว เป็นเพียงสักแต่ว่าสังขารอย่างหนึ่ง ที่ถูกปรุงขึ้นมา
จะถูกปรุงขึ้นมาด้วยเหตุใดนั้น ไม่ใช่สาระสำคัญที่จะต้องไปรู้
สิ่งที่สำคัญกว่าคือ การเห็นทุกข์ เห็นความไม่เที่ยงของจิตหรือวิญญาณที่เข้าไปรู้รูปผู้หญิงนั้นต่างหาก
รูปผู้หญิงผมยาวนั้น ไม่มีอำนาจอะไรเลย หากไม่มีการยึดมั่นถือมั่น ไม่มีการใส่ใจ...

พอจิตดวงที่เข้าไปรู้รูปผู้หญิงผมยาวนั้นดับไป
รูปผู้หญิงผมยาวนั้น ก็จะหายไปทันทีเช่นกัน :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2010, 22:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ม.ค. 2010, 20:54
โพสต์: 163

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความเห็นที่ว่า สิ่งที่จะต้องกระทำต่อไปสำหรับพระโสดาบัน คือยังเหลือสัญโญชน์อีก๗ข้อกับความเห็นที่ว่า ยังเหลืออีก๗ชาติ ที่โสดาบันจะยังต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิดระหว่างความเห็นทั้งสองอย่างนี้
ในความเป็นโสดาบัน ควรที่จะให้น้ำหนัก ความเห็นอย่างไหนมากกว่ากัน?
................................................
มันเป็นไปตามธรรมชาติของธรรมที่เรียกว่า กงล้อธรรมจักร(เหมือนกับวัฎจักรสงสารแต่ละอกุศลเจริญกุศล) อยู่ที่เรามีความเพียรมากแค่ไหน ไม่เกิน7ชาติใช่ว่าจะอยู่ถึง7ชาติสะเมื่อไรละ 1ก็ได้2ก็ได้3ก็ได้ ขี้เกียจก็7 กงล้อธรรมจักรจบไม่เกิน7ชาติสิ้นทุกข์ กงล้อวัฎจักรสงสารไม่มีวันจบไม่มีสิ้นชาติ ไม่มีสิ้นทุกข์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2010, 16:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 11:59
โพสต์: 105

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เจ้าวังทอง เขียน:
ความเห็นที่ว่า สิ่งที่จะต้องกระทำต่อไปสำหรับพระโสดาบัน คือยังเหลือสัญโญชน์อีก๗ข้อกับความเห็นที่ว่า ยังเหลืออีก๗ชาติ ที่โสดาบันจะยังต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิดระหว่างความเห็นทั้งสองอย่างนี้
ในความเป็นโสดาบัน ควรที่จะให้น้ำหนัก ความเห็นอย่างไหนมากกว่ากัน?
................................................
มันเป็นไปตามธรรมชาติของธรรมที่เรียกว่า กงล้อธรรมจักร(เหมือนกับวัฎจักรสงสารแต่ละอกุศลเจริญกุศล) อยู่ที่เรามีความเพียรมากแค่ไหน ไม่เกิน7ชาติใช่ว่าจะอยู่ถึง7ชาติสะเมื่อไรละ 1ก็ได้2ก็ได้3ก็ได้ ขี้เกียจก็7 กงล้อธรรมจักรจบไม่เกิน7ชาติสิ้นทุกข์ กงล้อวัฎจักรสงสารไม่มีวันจบไม่มีสิ้นชาติ ไม่มีสิ้นทุกข์



แสดงว่า๗ชาติ ยังเอาแน่ไม่ได้ อาจจะไม่ถึง๑ หรือ๒หรือ๓หรือ๔ ๕ ๖ ๗ ก็ได้
แต่ที่แน่ๆคือ๗ข้อในสัญโญชน์ทั้ง๑๐ เหลือแน่ๆ

เพียรมุ่งทำลาย อีก๗ข้อที่เหลือ โดยไม่สนใจในเรื่องชาติว่าจะอีกกี่ชาติ
และคุณธรรมของโสดาบัน ก็น่าที่จะข้ามผ่านเรื่องชาติแบบตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย นี้ไปได้แล้ว :b1:
และจะไม่มีวันเวียนกลับมาสงสัยเรื่องชาติที่เกิดแล้วตาย ที่ตายแล้วเกิด นี้อีกเด็ดขาด
และไม่น่าที่จะมีความเชื่อว่า มี สัตว์ บุคคล ตัวตน ที่เกิดตาย แต่อย่างใดอีกต่อไปแล้ว

เพราะคุณธรรมของโสดาบัน เห็นชัดเจนแล้วว่า
ขันธ์ทั้ง๕ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ที่เกิดแล้วตาย ที่ตายแล้วเกิด แต่อย่างไร
แต่โสดาบันจะเห็นขันธ์เป็นเพียงสักแต่ธาตุตามธรรมชาติ ที่มีการเกิดโดยอาศัยเหตุปัจจัยเป็นธรรมดา
และมีการดับไปโดยอาศัยเหตุและปัจจัยเป็นธรรมดา เท่านั้น :b45:

ทุกข์เรื่องตายแล้วเกิดหรือไม่ ตายแล้วไม่เกิดหรือไม่
สวรรค์ นรก พรหม เปรต อสูรกาย มีจริงหรือไม่
โสดาบัน น่าจะข้ามพ้นความทุกข์จากเรื่องเหล่านี้ไปได้แล้ว :b42: :b41: :b41: :b41:


แก้ไขล่าสุดโดย อนัตตญาณ เมื่อ 12 ต.ค. 2010, 16:09, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2010, 17:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 21:59
โพสต์: 234

สิ่งที่ชื่นชอบ: ในตัวเอง
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อถึงคุณธรรมชั้นโสดาบันแล้ว น่าจะไม่มีสิ่งใดบอกได้ว่าตอนนี้ตนเองเป็นโสดาบันแล้ว
นอกจากจะกางตำราหยิบสังโยชน์10ขึ้นมา แล้วตรวจตราเอาเองด้วยความคิดตนเองว่าตอนนี้ตน
ละอะไรไปได้บ้างแล้ว และโดยมากก็มักจะตรวจตราเข้าข้างตัวเองด้วยสิ


สังโยชน์3ข้อถ้าสิ้นไป นั่นหมายถึงเนื้อตัวชีวิตของผู้นั้นมีมรรคทั้ง8เป็นเนื้อตัวชีวิต
มีศีลสมบูรณ์สมาธิปานกลาง ปัญญาปานกลาง ซึ่งหมายถึงชีวิตของพระโสดาบัน
จะเป็นชีวิตที่ก้าวเข้าไปในเขตแห่งความมั่นคงในกุศลธรรม มั่นคงในศีล มั่นคงในทาง
และมั่นคงในธรรม ไม่มีถอยหลังและไม่กลับกำเริบ


เพราะคุณธรรมแห่งความเป็นผู้แรกสู่กระแสนิพพานบังเกิด สังโยชน์10 สิ้นไปแล้ว3
โมหะบางส่วนถูกทำลายไป แล้วเหตุไฉน การทำลายสังโยชน์ไปแล้วจึงเกิดความรู้สึก
ต่อกิเลสที่เด่นชัดและมากขึ้น เพราะโดยธรรมชาติผู้มีสังโยชน์ทั้ง10อยู่น่าจะมีกิเลสรบกวน
มากกว่าผู้ละกิเลสไปแล้วบางส่วนจนเหลือสังโยชน์แค่7ตัว


ความสงสัยของผมเกิดขึ้นว่า คนเราจะมีอะไรเป็นเครื่องบอกว่าตอนนี้สังโยชน์3สิ้นไปแล้ว
และตอนนี้เราเป็นโสดาบันแล้ว

และความสงสัยของผมก็เกิดอีกว่า ตอนเหลือสังโยชน์แค่7ตัว ทำไมกิเลสแรงกว่าตอน
ยังละสังโยชน์ไม่ได้สักตัว

ความสงสัยของผมเกิดอีกว่า ระดับจิตที่เข้าถึงความเป็นอริยะน่าจะค่อยๆเย็นค่อยๆเบาบาง
ค่อยๆบริสุทธิ์สะอาด และค่อยๆสงบระงับสูงขึ้นมิใช่หรือ

ในขณะเดียวกัน อริยมรรคที่สมบูรณ์มีขึ้นในตัวเองของพระโสดาบันไม่ได้ทำให้กิเลสเกิดยากขึ้น
เลยหรืออย่างไร

ช่วยแก้ไขให้หายสงสัยด้วยเถิด เพราะปัญหามาถึงท่านแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2010, 18:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ใครสอนเหรอครับ ว่าโสดาบันเหลืออีก 7 ข้อ

9 ครับ 9


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2010, 18:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


จางบางลางเลือน เขียน:

และความสงสัยของผมก็เกิดอีกว่า ตอนเหลือสังโยชน์แค่7ตัว ทำไมกิเลสแรงกว่าตอน
ยังละสังโยชน์ไม่ได้สักตัว


:b12: :b12:
เจอแล้ว..จึงสงสัย..รึ??


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2010, 19:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
ใครสอนเหรอครับ ว่าโสดาบันเหลืออีก 7 ข้อ

9 ครับ 9

:b12: :b12:

ผมว่า..7 ข้อ..ครึ่ง..
(ยังกะจะประมูลของงั้นแหละ :b32: :b32: )


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2010, 23:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


โสดาบัน ล้างความเห็นผิดเด็ดขาดได้เพียง 1 อย่างเท่านั้น คือสักกายทิฐิ
ส่วนอีกสองข้อที่ว่านั้น มันแค่บางเบาลง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2010, 23:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้า..เอาแบบ..ได้ 1 เหลือ 9 นะ

กระผมเลือก :b6: :b6:

..วิจิกิจฉา...คือไม่มีความลังเลในพระรัตนไตรแล้ว..เรียกว่าศรัทธาเต็มหัวใจ :b4: :b4:

ส่วน..สักกายทิฏฐิ..กับ..ศีลัพพตฯ..นี้เบาบาง

ที่ว่า..สักกายทิฏฐิ..เบาบางนะ..ก็ดูตอนที่..ลูกหรือหลานก็จำไม่ได้..ของนางวิสาขา..ตาย..นางวิสาขาเสียใจร้องให้ใหญ่เลย..โสดาบันนะร้องให้เพราะกายของคนอันเป็นที่รัก..ตาย..ใครเอาพระสูตรตรงนี้มาแสดงได้ก็ขอโมทนาสาธุ..ล้วงหน้านะครับ :b8: :b8:

ศีลัพพตฯ..ความยึดมั่นในศีลพรตของตน..ที่ว่ายังเบาบาง..ก็เพราะหากจริงจังมั่นคง..ก็คงถึงอรหันตผลไปแล้ว...คงไม่อยู่ที่ชั้นโสดาบันแล้วละ..(ในกรณีที่ปฏิบัติในมรรค 8 แล้วนะ) :b12: :b12:

คิดเล่น ๆ นะครับผม :b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2010, 00:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้าว กระผมเข้าใจผิด ขออำภัย
จำสับสนกับสกิาคามี

ปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่ออีกแล้ว
อายยย


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 14 ต.ค. 2010, 00:35, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 40 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร