วันเวลาปัจจุบัน 20 มิ.ย. 2025, 21:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2010, 08:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 11:59
โพสต์: 105

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะกำหนด จึงกำหนัด อึดอัดข้อง
จึงเรียกร้อง จ้องจับทาง แสวงหา
เพื่อให้สม ดังใจหวัง ตั้งเจตนา
สัพเพสังขารา ทั้งนั้นเลย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2010, 22:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


91One เขียน:
walaiporn เขียน:
สังขาร เกิดจากอุปทาน การให้ค่าต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
ปัญญา เกิดได้หลายทาง เช่น จากการอ่าน การฟัง การภาวนา

เริ่ม Get แล้วครับ ติดตรงนี้ครับ "การให้ค่าต่อสิ่งที่เกิดขึ้น" อ่านกระทู้คุณ walaiporn หลายกระทู้
ไม่เข้าใจ ขยายความหน่อยได้ไมครับ สาธุ :b8:






ให้ค่าตามปริยัติ ย่อมเป็นไปตามปริยัติ
ให้ค่าตามบัญญัติ ย่อมเป็นไปตามบัญญัติ
ให้ค่าตามสภาวะ ย่อมเป็นไปตามสภาวะ
ตราบใดที่ยังมีการให้ค่า ล้วนเป็นไปตามการให้ค่า


ใครรู้แบบไหน ย่อมให้ค่าไปตามที่ตัวเองคิดว่าตัวเองรู้
ส่วนใครเชื่อใครนั้น ล้วนเกิดจากเหตุที่เคยกระทำมาร่วมกัน
คนไหนที่ไม่เชื่อกัน นั่นเพราะไม่ได้สร้างเหตุมาร่วมกันมา มันมีเท่านี้เอง

การเข้ามาสนทนา จุดหมายของแต่ละคนแตกต่างกันไป
อ่านข้อคิดเห็นแล้ว รู้สึกอย่างไร ก็ล้วนเกิดจากเหตุที่ทำร่วมกันมา
เรียกว่าทุกอย่างล้วนมีเหตุทั้งสิ้น ถ้าไม่มีเหตุร่วมกัน ย่อมไม่ส่งผลกระทบใดๆ

ตราบใดที่ยังมีตัวกู ของกู ย่อมมีการให้ค่า เรื่องธรรมดาค่ะ
รู้ในกายและจิตให้มากๆค่ะ แล้วจะทำให้เข้าใจอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น


.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2010, 23:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


91One เขียน:
โอ้โห้..ทำไมเข้าใจยากจังครับ มีอะไรต่ออะไรยุบยับไปหมด แหะ ๆ ขอสั้น ๆ กระชับ ๆ สัก สอง-สาม บรรทัด อธิบายโดยความเข้าใจของท่านที่สามารถถ่ายทอดให้คนอื่นเข้าใจ แบบภาษาชาวบ้านนะคร้บท่าน ขอโมทนากับทุกท่านนะคร้าบบบ :b17: :b4: :b8:


:b32: :b32: :b32:
ก็แต่ละท่าน..ยอด ๆ.. ทั้งนั้นนี้ครับ :b12:

เจอ..ยอด ๆ มันของง่ายซะเมื่อไร :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2010, 23:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8:
อ้างคำพูด:
สังขาร การปรุงแต่ง เกิดจากอะไร

สังขาร การปรุงแต่ง เกิดจากพื้นฐานเดิมต้องการสิ่งที่มันดีแก่ตัวเรา.และขจัดสิ่งไม่ดีออกให้พ้นตัวเรา..โดยใช้ประสบการณ์..ความจำที่ผ่านมา..ช่วยตัดสินใจ

เมื่อทำจนชินจนเป็นอัตโนมัติ..มันก็ปรุงแต่งทุกครั้งรับรู้..โดยไม่ได้คิดว่าต้องการหรือไม่ต้องการ

อ้างคำพูด:
เปรียบกับปัญญาแล้ว ต่างกันอย่างไรครับ

ปัญญาตัวนี้เข้าใจว่า..หมายถึงปัญญารู้แจ้ง..นะครับ

จะเปรียบยังงัยดีน่า :b7:

ก็เจ้าตัวปัญญารู้แจ้งนี้..มันเห็นสังขารการปรุงแต่ง..เป็นการกระทำที่โง่มากนะซิ..ที่มัวแต่ก้นหน้าก้มตาทำงานหนักมากมายเพื่อสิ่งที่มันเข้าใจว่าเป็น..ตัวเรา..

โง่กับฉลาด..บนโลกกับอวกาศ..จะเปรียบกันท่าไหนดีละ :b12:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 24 ส.ค. 2010, 23:54, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2010, 00:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


quote="91One"]โอ้โห้..ทำไมเข้าใจยากจังครับ มีอะไรต่ออะไรยุบยับไปหมด แหะ ๆ ขอสั้น ๆ กระชับ ๆ สัก สอง-สาม บรรทัด อธิบายโดยความเข้าใจของท่านที่สามารถถ่ายทอดให้คนอื่นเข้าใจ แบบภาษาชาวบ้านนะคร้บท่าน ขอโมทนากับทุกท่านนะคร้าบบบ :b17: :b4: :b8:[/quote]


สังขาร แปลว่าปรุงแต่ง

เช่น ข้าว กับ ไข่ (กับผักปลาบ้าง ตามชอบ)
พอเอามาผัดรวมกัน ได้ผลผลิตใหม่ กลายเป็นข้าวผัด

ข้าวผัด ก้คือสังขารใหม่ ที่เกิดขึ้นจากการปรุงแต่งขององค์ประกอบต่างๆ



หรือเช่น รถยนต์

ถ้าล้ออยู่ทาง เพลาอยู่ทาง พวงมาลัยอยู่ทาง ถังน้ำมันอยู่ทาง ตัวรถอยู่ทาง
มันไม่รวมกัน เราก็เรียกว่ามันเป้นอะไหล่ ไม่ใช่รถ

แต่พอเอามันมารวมกัน แล้ววิ่งได้ นี่กลายเป็นรถแล้ว

ความประกอบกันอยู่ของอะไหล่ต่างๆที่รวมกันเป็นรถนี่แหละ เรียกว่าสังขาร
คือเป็นความปรุงแต่ง ความประกอบกันอยู่ เป้นอัตภาพใหม่ขึ้นมา
อัตภาพนี้เรียกว่ารถ



คนเราก็เหมือนกัน
ถ้าไปคิดทำนองเดียวกัน ก็คงพอเดาออกว่าร่างกายเรานี้ มันก้คือการประชุมกันขององค์กระกอบหลายอย่าง (หลายอย่างจนนับไม่ไหว)
แต่พระพุทธเจ้าท่านจำแนกไว้เป้น 5 ส่วน ท่านใช้คำว่า "กอง"
คำว่ากอง ก้คือคำว่า "ขันธ์" ในภาษาบาลี

ท่านแยกเป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน

5 อย่างนี้ 4 ข้อหลังเป็นนามธรรม
ส่วนข้อแรกเป็นรูปธรรม คือเป็นวัตถุ


โดยสรูปแล้ว คำว่าสังขาร ็คือคำที่ใช้เรียกสภาวะอันหนึ่งในธรรมชาติ
ที่สิ่งต่างๆประกอบกันขึ้นเป็นอัตภาพหนึ่งๆ

อย่างคำว่า "ประเทศไทย" ก็เป้นสังขารชนิดหนึ่ง
ถ้ามองมุมวัฒนาธรรม เราก็บอกว่าเป้นการรวมกันของชนชาติอย่างนี้อย่างนั้น
ถ้ามองมุมภูมิศาสตร์ เราก็ว่าไปทางพื้นที่ อาณาเขต

ในคำว่าประเทศไทย ถ้าจะแยกลงไป ก้ยังเจอสังขารย่อยๆลงไปอีก
เช่นถ้ามองมุมภูมิศาสตร์การปกครอง เราก็บอกว่าประเทศไทย มี 77 จังหวัด
ประเทศไทยประกอบด้วยจังวัด 77 จังหวัด
ซึ่งแต่ละจังหวัด ก็เป็นสังขารย่อยๆ ที่มารวมกันเป้นประเทศไทย
แล้วถ้าเราใช้หลักคิดเดียวกันนี้ เราก็แยกลงไปได้อีกว่าเป็นอำเภอ ตำบล หมู่บ้าน

แม้แต่เวลาคุณประกวดนางงามนี่นะ
คุณว่าคนนี้สวย แต่คนอื่นอาจจะว่าไม่สวย
ส่วนคนที่คุณว่าไม่สวย คนอื่นอาจจะว่าสวยหยาดฟ้ามาดิน
นี่ก้คือสังขารที่เกิดขึ้นในใจของคน

สังขารเหล่านี้มันประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
ก็ต้องแยกย่อยลงไปว่า มันมาจากความทรงจำ ค่านิยม การเลี้ยงดู ปูมหลัง อะไรต่อมิอะไร ที่ทำให้เราชอบคนหน้าตาอย่างนั้ ไม่ชอบคนหน้าตาอย่างนี้


อธิบายอย่างนี้ พอไหวมั๊ย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2010, 00:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




553000012369704.jpg
553000012369704.jpg [ 120.74 KiB | เปิดดู 3728 ครั้ง ]
อ้างคำพูด:
คุณว่าคนนี้สวย แต่คนอื่นอาจจะว่าไม่สวย
ส่วนคนที่คุณว่าไม่สวย คนอื่นอาจจะว่าสวยหยาดฟ้ามาดิน
นี่ก้คือสังขารที่เกิดขึ้นในใจของคน

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2010, 05:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
คุณว่าคนนี้สวย แต่คนอื่นอาจจะว่าไม่สวย
ส่วนคนที่คุณว่าไม่สวย คนอื่นอาจจะว่าสวยหยาดฟ้ามาดิน
นี่ก้คือสังขารที่เกิดขึ้นในใจของคน

อืม เห็นด้วยอย่างยิ่ง ไม่งั้นคนก็คง แย่งเพศตรงข้ามคนใดคนหนึ่ง ฆ่ากันตายซะหมดโลกไปแล้วล่ะ

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2010, 08:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 07:11
โพสต์: 93

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


91One เขียน:
สังขาร การปรุงแต่ง เกิดจากอะไร เปรียบกับปัญญาแล้ว ต่างกันอย่างไรครับ สาธุ :b8:
สังขาร การปรุงแต่ง เกิดจาก ความคิดนึก แบ่งเป็นสอง

- คิดนึกไปตาม กิเลสตัณหาอวิชชา เรียกว่า สังขารการปรุงแต่ง หรือจินตนาการ ปรุงได้เรื่อยๆ ไม่รู้จบ เดี๋ยวเรื่องนั้นเดี๋ยวเรื่องนี้ คิดขึ้นมา ปรุงแต่งขึ้นมา จินตนาการขึ้นมา บางครั้งเรียกฟุ้งซ่าน เพ้อเจ้อ หาที่สุดไม่ได้
- คิดตามธรรม เป็นไปเพื่อละ กิเลสตัณหาอวิชชา ท่านเรียกปัญญา คือความคิดนึกไปตามสภาพ เพื่อให้รู้ให้เห็นความเป็นจริงของสรรพสิ่ง ปัญญานี้มีที่จบ จุดจบของการคิดแบบปัญญา คือ ไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ความคิดส่วนตัว มีถูกมีผิด ไม่สงวนสิทธิจ้า :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2010, 09:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 09:39
โพสต์: 219

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาติครับ :b16:

เพราะความไม่รู้ความจริงของสิ่งต่างๆที่ปรากฏอยู่ พระไตรลักษณ์
ย่อมเป็นผู้ข้องอยู่ ติดอยู่ เพลิดเพลินอยู่ ในมายาของรูป นาม
เป็นความเกิดทั้งหลาย การกระทำ กรรมดี กรรมชั่ว เป็นการหมุนรอบ
เกิดภพ เกิดชาติ ไม่มีที่สิ้นสุด ตามเหตุปัจจัย


ปัญญา กับ สังขาร เพราะมีที่ตั้งอยู่ มีเหตุปัจจัย จึงเหมือนกัน
ปัญญา เครื่องนำออกจากความไม่รู้ เป็นสัมมาทิฏฐิ
สังขาร ความปรุงแต่ง เป็น อวิชชา จึงแตกต่างกัน
ขอบคุณครับ :b16:

.....................................................
.................................................ธ ทรงครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม
........................................................พระปฐมบรมราชโองการว่า
.......................“ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม “

........................ขอพ่อเจ้าอยู่หัว ทรงพระเจริญ มีพระชนย์มายุ ยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2010, 23:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผงธุลีดิน เขียน:
ขออนุญาติครับ :b16:

เพราะความไม่รู้ความจริงของสิ่งต่างๆที่ปรากฏอยู่ พระไตรลักษณ์
ย่อมเป็นผู้ข้องอยู่ ติดอยู่ เพลิดเพลินอยู่ ในมายาของรูป นาม
เป็นความเกิดทั้งหลาย การกระทำ กรรมดี กรรมชั่ว เป็นการหมุนรอบ
เกิดภพ เกิดชาติ ไม่มีที่สิ้นสุด ตามเหตุปัจจัย


ปัญญา กับ สังขาร เพราะมีที่ตั้งอยู่ มีเหตุปัจจัย จึงเหมือนกัน
ปัญญา เครื่องนำออกจากความไม่รู้ เป็นสัมมาทิฏฐิ
สังขาร ความปรุงแต่ง เป็น อวิชชา จึงแตกต่างกัน
ขอบคุณครับ :b16:


ผง ผง :b20: :b20:

ผง ผง
เอกอนรู้สึกว่า จขกท รอคำตอบอยู่ตรงที่
ความเป็นไปในลักษณะ สังขตธรรม อสังขตธรรม

แต่เอกอน อธิบายไม่เป็นน่ะ :b2: :b2:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2010, 00:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12:
ธรรมดา..ไม่ชอบ
ชอบ..แบบสลับซับซ้อน..หรือ..เอก่อน :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2010, 00:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2010, 04:38
โพสต์: 376

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


91One เขียน:
สังขาร การปรุงแต่ง เกิดจากอะไร เปรียบกับปัญญาแล้ว ต่างกันอย่างไรครับ สาธุ :b8:


ตาม "ธัมมจักรกัปปวัตตนสูตร"

ก็คือ จิตไม่เป็นกลาง หลงไปในส่วนที่สุด 2 อย่าง

1. "หลง" ไปในกามคุณ ....."กามสุขขัลลิกานุโยค"

2. "หลง" บังคับตนเองไว้ด้วยความอยากได้ดี "อัตตกิลมถานุโยค"

หากมีปัญญา จิตก็จะไม่หลงไปในทางใดทางหนึ่ง
คือ เดินทางสายกลาง "มรรคมีองค์ 8"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2010, 01:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
:b12: :b12:
ธรรมดา..ไม่ชอบ
ชอบ..แบบสลับซับซ้อน..หรือ..เอก่อน :b32: :b32:


:b12: อิ อิ

ช่วยด้วย...

ก็ ผง ผง ใช้คำนี้นี่ ...
ทำให้เอกอนนึกไป....เรื่อยเปื่อย....
ก็ไม่รู้นึกไปถึงอะไร แต่มันเทือก ๆ นั้น
แต่ อธิบายไม่เป็น...หง่ะ...


ผงธุลีดิน เขียน:
เพราะความไม่รู้ความจริงของสิ่งต่างๆที่ปรากฏอยู่ พระไตรลักษณ์
ย่อมเป็นผู้ข้องอยู่ ติดอยู่ เพลิดเพลินอยู่ ในมายาของรูป นาม
....
ปัญญา กับ สังขาร เพราะมีที่ตั้งอยู่ มีเหตุปัจจัย จึงเหมือนกัน

ปัญญา เครื่องนำออกจากความไม่รู้ เป็นสัมมาทิฏฐิ
สังขาร ความปรุงแต่ง เป็น อวิชชา จึงแตกต่างกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2010, 01:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แหม่..ติดคำ ๆ เดียวกันเลยนะ.. :b32: :b32: :b32:

นิดหน่อย ๆ..หย้วน หย้วน ๆ ๆ :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2010, 08:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2010, 20:04
โพสต์: 25

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมว่า ผมได้คำตอบแล้วครับ ขอบพระคุณทุกท่านนะคร้าบบบ ขอบคุณหลายยๆ :b4: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร