วันเวลาปัจจุบัน 19 มิ.ย. 2025, 02:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2010, 16:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 09:39
โพสต์: 219

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาติครับ

ลองพิจารณา สภาวะของจิตใจในแต่ละขณะ ที่เกิดการปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ต่างๆ
กับจิตใจที่มี ความระลึกรู้อยู่ อันเป็นวิธีปฏิบัติของท่านนั้น ว่าแตกต่างกันอย่างไร
ค่อยๆไล่ลงไปเรื่อยๆ ถึงเหตุปัจจัย ดูลงไปว่า ยังมีไรหลงเหลืออยู่ในฐาน ที่ตั้ง อันนั้นเท่านั้น

ขอบคุณครับ

.....................................................
.................................................ธ ทรงครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม
........................................................พระปฐมบรมราชโองการว่า
.......................“ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม “

........................ขอพ่อเจ้าอยู่หัว ทรงพระเจริญ มีพระชนย์มายุ ยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2010, 18:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ฝึกใช้ปัญญา มีวิธีฝึกอย่างไร

แล้วแต่ปัญญาตัวไหนครับ ซึ่งตัวปัญญาเองในทางพุทธ แบ่งได้หลายมิติ

ลองดูมิตินี้แล้วกันครับ คือมิติที่แบ่งปัญญาตามเหตุที่ทำให้เกิด

๑) สุตามยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการฟัง การอ่าน การเรียน ทำให้จำได้มาก (remembering)
ตัวอย่างเช่น เด็กชายแดง ท่องสูตรคูณจนจำได้ เกิดปัญญาเอาไว้ใช้ในการคูณเลขเพื่อซื้อขนม

ถ้าจะฝึก ก็ต้องหมั่นฟัง หมั่นอ่าน หมั่นเรียน หมั่นจำครับ เหมือนสมัยเราเด็กๆที่ครูให้ท่องสูตรคูณอาขยานจนจำได้แม่นยำตอบได้อัตโนมัติเลยว่า ๗ ๓ ๒๑ ฯลฯ โดยไม่ผ่านการคิดด้วยเหตุผลก่อนตอบ

๒) จินตามยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการคิดด้วยตรรกะ เหตุผล (logical thinking)
ตัวอย่างเช่น เด็กชายแดง ทำโจทย์เลขที่ให้หาคำตอบว่า เด็กชายขาวจะมีส้มเท่าไหร่ถ้าเดิมมีอยู่ ๒๐ ลูกและเน่าไปเสีย ๖ ลูก ฯลฯ ซึ่งจะต้องใช้ตรรกกะว่า ถ้าเน่าต้องนำมาหักลบ ฯลฯ

ถ้าจะฝึก ก็ต้องหมั่นคิด หมั่นจินตนาการ ซึ่งเหมาะกับบุคคลประเภททิฏฐิจริต คือพวกนักคิดทั้งหลายครับ

๓) ภาวนามยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการรู้เห็นตามความเป็นจริงจากการปฏิบัติ (practice & realize)
ตัวอย่างเช่น เด็กชายแดง ไม่เคยกินแอปเปิล แต่อยากมีปัญญารู้รสชาดของแอปเปิล ซึ่งจะใช้ความคิดจินตนาการอย่างไรก็ไม่ตรง ต้องกัดและกินแอปเปิลซักคำ จึงจะเกิดปัญญาจากการรู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเอง

ถ้าจะฝึก ก็ต้องหมั่น "รู้" จากความเป็นจริง และถ้าจะ "รู้" ได้อย่างถูกต้องตรงตามสภาพ ต้องใช้สติและสมาธิที่ตั้งมั่น (มรรคให้เจริญ) เข้าไปเพื่อ "รู้" ในสภาพเป็นจริงนั้นตรงๆ ถึงจะ "รู้" ได้ชัด และถ้ารู้ได้ชัดซ้ำๆกันมากเข้า ก็จะเกิดปัญญาตัวนี้มากขึ้นเรื่อยๆนะครับ

เช่นเด็กชายแดง ถ้าไม่มีสติและสมาธิที่ตั้งมั่นขณะกินแอปเปิลครั้งแรกในชีวิต มัวแต่คุยกับเพื่อนหรือมัวแต่ตื่นเต้นกับการที่จะได้กิน ก็จะไม่มีทางรู้รสชาดของแอปเปิลได้อย่างชัดเจนเลย ต้องมีการกินซ้ำบ่อยขึ้น จนมีปัญญาจดจำรสชาดได้แม่นยำขึ้นเรื่อยๆ

ดังนั้น ภาวนามยปัญญา จึงเป็นปัญญาที่ "ไม่ต้องคิด" หรือ "หยุดคิด" ตามที่หลวงปู่ดูลย์ท่านกล่าวไว้ (แต่ต้องอาศัยการฟังและการคิดเป็นฐาน เพื่อให้เข้าใจก่อนลงมือปฏิบัติ) แต่เป็นปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติจริงซ้ำๆ เพื่อ "รู้" ซ้ำๆจน "รู้แจ้ง" ได้ด้วยตนเองเฉพาะตน (ปัจจัตตัง) อย่างแนบแน่น

เจริญในธรรมครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 07:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ส.ค. 2010, 11:35
โพสต์: 48

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันเริ่มเห็นว่า การคิดในแง่บวก ก็เป็นการฝึกใช้ปัญญาได้วิธีหนึ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 07:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นำเสนอการพัฒนาปัญญาอีกมุมหนึ่ง

โยนิโสมนสิการ


วิธีการแห่งปัญญา


หลักการพัฒนาปัญญา หรือ คุณสมบัติที่ทำให้เป็นโสดาบัน ๔ ประการ

“ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการเหล่านี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญแห่งปัญญา กล่าวคือ

การเสวนาสัตบุรุษ การฟังสัทธรรม โยนิโสมนสิการ ธรรมานุธรรมปฏิบัติ ”

(องฺ.จตุกฺก.21/249/332 ฯลฯ)

โยนิโสมนสิการ เป็นการใช้ความคิดอย่างถูกวิธี เมื่อเทียบในกระบวนการพัฒนาปัญญา

โยนิโสมนสิการ อยู่ในระดับเหนือศรัทธา เพราะเป็นขั้นเริ่มใช้ความคิดของตนเองเป็นอิสระ

ส่วนในระบบการศึกษาอบรม โยนิโสมนสิการเป็นการฝึกการใช้ความคิด

ให้รู้จักคิดอย่างถูกวิธี คิดอย่างมีระเบียบ รู้จักคิดวิเคราะห์ ไม่มองเห็นสิ่งต่างๆ

อย่างตื้นๆ ผิวเผิน เป็นขั้นสำคัญ ในการสร้างปัญญาที่บริสุทธิ์เป็นอิสระ

ทำให้ทุกคนช่วยตนเองได้ และนำไปสู่จุดหมายของพุทธธรรมอย่างแท้จริง


ความสำคัญของโยนิโสมนสิการ

“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อดวงอาทิตย์อุทัยอยู่ ย่อมมีแสงอรุณขึ้นมาก่อน เป็นบุพนิมิตฉันใด

ความถึงพร้อมด้วยโยนิโสมนสิการ ก็เป็นตัวนำ เป็นบุพนิมิตแห่งการเกิดขึ้นของอริยอัษฎางคิกมรรค

แก่ภิกษุ ฉันนั้น

ภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยโยนิโสมนสิการ พึงหวังสิ่งนี้ได้ คือ จักเจริญ จักทำให้มาก

ซึ่งอริยอัษฎางคิกมรรค”

(สํ.ม.19/136/37 ฯลฯ)


“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อดวงอาทิตย์อุทัยอยู่ ย่อมมีแสงเงินแสงทอง เป็นบุพนิมิตมาก่อน ฉันใด

โยนิโสมนสิการ ก็เป็นตัวนำ เป็นบุพนิมิตแห่งการเกิดขึ้นของโพชฌงค์ ๗ แก่ภิกษุ ฉันนั้น

ภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยโยนิโสมนสิการ พึงหวังสิ่งนี้ได้ คือ จักเจริญ จักทำให้มาก ซึ่งโพชฌงค์ ๗”

(สํ.ม.19/414/113)


รวมลิงค์โยนิโสมนสิการ 10 วิธี

viewtopic.php?f=2&t=31566

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 19 ส.ค. 2010, 08:41, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 08:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิธีคิด หรือ วิธีโยนิโสมนสิการเท่าที่แสดงมา ได้นำเสนอโดยพยายามรักษารูปร่างตามที่ปรากฏอยู่ใน

คัมภีร์พุทธศาสนา

ผู้ศึกษาไม่พึงติดอยู่เพียงรูปแบบหรือถ้อยคำ แต่พึงมุ่งจับเอาสาระเป็นสำคัญ และควรย้ำไว้ด้วยว่า

โยนิโสมนสิการนี้ เป็นหลักธรรมภาคปฏิบัติที่ใช้ประโยชน์ได้ทุกเวลา มิใช่จะต้องรอไว้ใช้ต่อเมื่อมีเรื่อง

ที่จะเก็บเอาไปนั่งขบคิด หรือปฏิบัติได้ต่อเมื่อปลีกตัวออกไปนั่งพิจารณา

แต่พึงใช้แทรกอยู่ในการดำเนินชีวิตประจำวันที่เป็นไปอยู่ทุกที่ทุกเวลานี้เอง
เริ่มแต่การวางใจ วางท่าที

ต่อบุคคลและสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง

การตั้งแนวความคิด หรือการเดินกระแสความคิด การทำใจ การคิด การพิจารณา เมื่อรับรู้ประสบการณ์

อย่างใดอย่างหนึ่ง ในทางที่จะไม่เกิดทุกข์ ไม่ก่อปัญหา ไม่ให้มีโทษ

แต่ให้เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขทั้งแก่ตนและบุคคลอื่น เพื่อความเจริญงอกงามแห่งปัญญาและกุศลธรรม

เพื่อเสริมสร้างนิสัยและคุณลักษณะที่ดี เพื่อความรู้ตามเป็นจริง เพื่อฝึกอบรมตนในแนวทางที่นำไปสู่

ความหลุดพ้นเป็นอิสระ

วิธีโยนิโสมนสิการทั้งหมดสามารถสรุปลงได้เป็น ๒ ประเภทใหญ่ คือ

๑.วิธีโยนิโสมนสิการแบบปลุกปัญญา มุ่งให้เกิดความรู้แจ้งตามสภาวะ เน้นที่การกำจัดอวิชชา เป็นฝ่าย

วิปัสสนา มีลักษณะเป็นการส่องสว่างทำลายความมืด หรือชำระล้างสิ่งสกปรก ให้ผลไม่จำกัดกาล

หรือเด็ดขาด นำไปสู่โลกุตรสัมมาทิฏฐิ

๒.วิธีโยนิโสมนสิการแบบสร้างเสริมคุณภาพจิต มุ่งปลุกเร้ากุศลธรรมอื่นๆ เน้นที่การสกัดหรือข่มตัณหา

เป็นฝ่ายสมถะ มีลักษณะเป็นการเสริมสร้างพลังหรือปริมาณฝ่ายดีขึ้นมากดข่มทับหรือบังฝ่ายชั่วไว้

ให้ผลขึ้นกับกาล ชั่วคราว หรือเป็นเครื่องตระเตรียมหนุนเสริมความพร้อมและสร้างนิสัย นำไปสู่

โลกียสัมมาทิฏฐิ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร