วันเวลาปัจจุบัน 11 มิ.ย. 2025, 13:13  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2010, 21:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ กบ อ๊บๆ




ปัญญาสติกับนามรูปดับ เพราะวิญญาณดับ


"ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์! ข้าพระองค์กราบทูลถามแล้ว ขอพระ
องค์จงตรัสบอกธรรมนั้น คือปัญญาและสติกับนามรูป แก่ข้าพระองค์
เถิด
;ปัญญาและสติกับนามรูปนั้นจะดับไปในที่ไหน?

ดูก่อนอชิตะ! ท่านถามปัญหานั้นข้อใด เราจะแก้ปัญหา
ข้อนั้นแก่ท่าน
: นามและรูป ย่อมดับไม่เหลือ ในที่ใด,ปัญญาและสติกับนามรูปนั้น ก็ย่อมดับไปในที่นั้น, เพราะความ
ดับไปแห่งวิญญาณ แล.



- สุตฺต. ขุ. ๒๕/๕๓๐/๔๒๕. - จูฬนิ. ขุ. ๓๐/๒๐-๒๑/๘๐,๗๕.

http://pobbuddha.com/tripitaka/upload/f ... index.html



หรือ อ่านจาก budsir mahidol

http://budsir.mahidol.ac.th/cgi-bin/Bud ... 80&Roman=0



อีกพระสูตรหนึ่ง ที่คล้ายๆกัน


http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 317&Z=7898


ดูกรภิกษุ เธอก็ฉันนั้นแล เที่ยวแสวงหาจนถึงพรหมโลก ก็ไม่ได้รับพยากรณ์ปัญหานี้ ในที่สุดก็ต้องกลับ
มาหายังสำนักเรานั่นเอง ปัญหาข้อนี้เธอมิควรถามอย่างนั้น แต่ควรถามอย่างนี้.

แถลงปัญหามหาภูต

[๓๔๙] ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน
อุปาทายรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน
นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในที่ไหน ดังนี้.
ในปัญหานั้น มีพยากรณ์ดังต่อไปนี้
[๓๕๐] ธรรมชาติที่รู้แจ้ง ไม่มีใครชี้ได้ ไม่มีที่สุด แจ่มใส โดยประการทั้งปวง
ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้.
อุปาทายรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ใน
ธรรมชาตินี้.
นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้.
เพราะวิญญาณดับ นามและรูปนั้นย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้ ดังนี้.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว. เกวัฏฏ์ คฤหบดีบุตรมีใจชื่นชม เพลิดเพลิน
ภาษิตของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล.

จบเกวัฏฏสูตร ที่ ๑๑.



.................



คห.ส่วนตัว


พระนิพพานนั้น ย่อมเป็นที่ดับไม่มีเหลือแห่งนามรูป...รวมทั้ง ปัญญาและสติกับนามรูปนั้น ด้วย

ปัญญาและสติกับนามรูป ก็สงเคระห์ลงใน อริยมรรค นั้นเองครับ


มันจะวกกลับไปยังประเด็น ขึ้นฝั่ง(ถึงนิพพานแล้ว)ไม่แบกแพ(อริยมรรค)ขึ้นไปด้วย...


แต่ สำหรับเราท่าน ยังไม่ถึงฝั่ง ก็อย่าเพิ่งรีบร้อนละวางแพ (เดี๋ยวจมน้ำตาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2010, 21:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ตรงประเด็น เขียน:
..
แต่ สำหรับเราท่าน ยังไม่ถึงฝั่ง ก็อย่าเพิ่งรีบร้อนละวางแพ (เดี๋ยวจมน้ำตาย)


ข้อนี้..จริงที่สุดเลยนิ.. :b12:

ตรงประเด็น เขียน:
คุณ กบ อ๊บๆ

ปัญญาสติกับนามรูปดับ เพราะวิญญาณดับ

"ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์! ข้าพระองค์กราบทูลถามแล้ว ขอพระ
องค์จงตรัสบอกธรรมนั้น คือปัญญาและสติกับนามรูป แก่ข้าพระองค์
เถิด
;ปัญญาและสติกับนามรูปนั้นจะดับไปในที่ไหน?

ดูก่อนอชิตะ! ท่านถามปัญหานั้นข้อใด เราจะแก้ปัญหา
ข้อนั้นแก่ท่าน
: นามและรูป ย่อมดับไม่เหลือ ในที่ใด,ปัญญาและสติกับนามรูปนั้น ก็ย่อมดับไปในที่นั้น, เพราะความ
ดับไปแห่งวิญญาณ แล.


...ปัญญาและสติ..กับ..นามรูปนั้น ก็ย่อมดับไปในที่นั้น...

ไม่แน่..อาจจะอยู่ที่การแปล...
เคยเห็น..บาลีเหมือนกันแต่แปลเป็นไทย..ต่างกัน.. :b12: :b12:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 15 ส.ค. 2010, 21:26, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2010, 20:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศรีสมร เขียน:
ภาวนามยปัญญา ย่อมเป็นปัญญา ที่เราคิดเองไม่ได้ ค่ะ อยากทราบว่า พอมีวิธีดูไหมค่ะ
ว่า เป็นภาวนามยปัญญา


สวัสดี คุณศรีสมร...
ในพุทธบัญญัติ ว่า สุตมยปัญญา จินตามยปัญญา และ ภาวนามยปัญญา
พระมหากัจจายนะเถระ พระอรหันต์องค์หนึ่ง ได้ให้ความเห็นไว้เพื่อทำความเข้าใจต่อพุทธบัญญัติเหล่านี้ว่า

สุตมยปัญญา เป็นปัญญาอันเกิดจากจากได้ฟังธรรมที่ไม่เคยได้ฟังได้รู้มาก่อน คือในขณะเกิดญาณทัสนะเห็นอริยสัจจธรรมครั้งแรก รู้อารมณ์พระนิพพาน คืออนัญญาตัญญัสามีตินทรีย์เกิดขึ้น สำเร็จโสดาปัติมัคจิต

จินตามยปัญญา เป็นปัญญาที่เกิดจากการเจริญอริยมรรค ซ้ำแล้วซ้าอีก ในขณะแห่งโสดาปัติผล สกทาามิมรรค สกทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล และอรหัตมรรค ก็คืออัญญิณทรีย์

ภาวนามยปัญญา เป็นปัญญาที่เกิดขณะเจริญอริยมรรค จนเห็นแจ้งแทงตลอดไม่มีเหลือ สำเร็จอรหัตผล กระทำอัญญาตาวินททรีย์ หรือนิพพานให้แจ้ง

ดังนั้น ภาวนามยปัญญา ดูเองคงไม่มีทางหรอกนะ เพราะเป็นอรหัตผล

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2010, 13:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สิ่งที่ควรรู้ควรสนใจคืออริสัจจ์๔ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงสอนพระสาวกจนมาเป็นสะระณะให้เราได้กราบไหว้บูชาอยู่ในขณะนี้คือสังฆังสะระณังคัจฉามิ อริยะสัจจ์ ๔ ของจิต
จิต รู้เกิด-รู้ดับ เป็น สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ ผลที่เกิดจากจิตที่รู้เกิด รู้ดับ เป็น ทุกข์ จิต รู้ไม่เกิด ไม่ดับเป็น มรรค ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้ไม่เกิด ไม่ดับ เป็น นิโรธความดับทุกข์หรือนิพพานนั่นเอง
อริยะสัจจ์ ๔ ล้วนแล้วแต่เป็นอาการของจิตทั้งนั้น จิตที่พ้นจากอริสัจจ์ ๔ จึงไม่มีอาการของสมมติใดๆทั้งสิ้น การไปการมา การตั้งอยู่หรือการดับไปของจิตจึงไม่มี สิ่ง ต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของสมมติทั้งสิ้น ที่กล่าวกันว่าจิตที่พ้นจากสมมติแล้วเป็นจิตดับความรู้ก็ดับไปด้วยนั้น เป็นความรู้ความเห็นของนักปฏิบัติธรรมประเภทสุ่มเดาต่อให้ด้นเดาเกาหมัดต่อไปอีกนับกัปป์ นับกัลป์ไม่ถ้วนก็ไม่มีโอกาสพบ พระนิพพานของจริง ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ เพราะเกาไม่ถูกที่คันมันก็เลยไม่หายคัน จิตที่ถอดถอนกิเลสมีอวิชชา ตัณหา อุปปาทาน ออกไปจากจิตใจจนหมดสิ้นไม่มีเหลือนั่นแหละท่านเรียกว่านิโรธหรือนิพพานนั่นเอง หรือเรียกว่าจิตที่ผ่านการกลั่นกรองจากอริยะสัจจ์ ๔ นั่นเองท่านให้ชื่อให้นามว่า พระนิพพาน ความจริงแล้วจะเรียกว่าอย่างไรก็ไม่มีปัญหาสำหรับจิตที่พ้นแล้วจากสมมติโดยประการทั้งปวง จิตเป็นอกาลิโกตลอดอนันตกาลท่านเรียกว่าวิสุทธิจิต ดังที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสไว้ในปฐมพุทธะวะจะนะ ความว่า วิสังขาระคะตัง จิตตัง จิตของเราได้ถึงสภาพที่ สังขารไม่สามารถปรุ่งแต่งจิตได้อีกต่อไป ตัณหานัง ขะยะมัชฌะคาติ มันได้ถึงความสิ้นไปแห่งตัณหาคือถึงพระนิพพานนั่นเอง สิ่งใดก็ ตามขึ้นชื่อว่าสมมติย่อมตกอยู่ภายใต้กฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา จิตที่อยู่ภายใต้ความเกิดและความดับจึงเป็นจิตที่อยู่กับสมมติของกิเลสดีๆนี่เอง จิตประเภทนี้ย่อมอยู่กับความเกิด-ความดับตลอดอนันตกาลเหมือนกัน เป็นจิตที่อยู่กับความเกิด-ความตายนั่นเอง แล้วจะเสกให้เป็นพระนิพพานได้ยังไง ? ผู้ที่ปัญญาเท่านั้นไม่ไว้วางใจกับจิตประเภทนี้ ยกเว้นพวกที่มีปัญญาอ่อนหรือปัญญาหน่อมแน้มไปหน่อยเท่านั้นเอง จิตที่พ้นจากสมมติจึงเป็นจิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆเป็นวิสุทธิจิต พ้นจากกฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา ตลอดอนันตกาล เมื่อถึงที่สุดของจิตแล้วมันไม่มีชื่อเรียกด้วยซ้ำไป ที่กล่าวกันว่า สิ่งสิ่งหนึ่งที่ไม่มีชื่อ ไม่มีฉายา ไม่มีการมา ไม่มีการไป ไม่มีการตั้งอยู่ และไม่มีการดับไป ไม่มีร่องรอยให้กล่าวถึง แต่มีอยู่จริง เห็นอยู่ รู้อยู่ มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับและมีอยู่อย่างสมบูรณ์ภายในจิตใจของทุกๆคนอยู่แล้ว นั่นแหละท่านเรียกว่าที่สุดแห่งทุกข์หรือพระนิพพานนั่นเอง พระนิพพานมีอยู่ตลอดกาล(อะกาลิโก)ไม่เลือกกาลเวลาปฏิบัติเวลาใหนเห็นได้เวลานั้น ไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่ ภิกษุทั้งหลาย อายตนะอันไม่เกิดแล้ว อันปัจจัยไม่ทำแล้วไม่แต่งแล้วมีอยู่(หมายถึงจิตหรือรู้ที่บริสุทธิ์ล้วนๆที่ไม่เกิด-ไม่ดับนั่นเองคืออายตนะนิพาน)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 22:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สุธีร์..เป็นใบ้หรืองั้ย..พูดไม่เป็น..ก๊อปเป็นอย่างเดียว

กี่ก๊อปปี้แล้วละเนี้ย..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2010, 20:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ถ้านามรูปของพระอรหันต์ดับ สติปัญญา ก็ดับไปด้วย

....ไม่น่าสงสัย....

เพราะสติปัญญาเป็นนาม

นามดับ...................................ก็นาม(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)นั่นแหละดับ

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2010, 00:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


พระอรหันต์..ที่ยังทรงขันธ์อยู่..เวลาจะเทศน์หรือตอบปัณหาธรรมแก่ญาติโยมนี้นะ..มีสติ..มีคิด..มีการใช้ปัญญามั้ย??..นะ

..ที่ว่า..ปัญญาและสติกับนามรูป..ย่อมดับลงที่นั้น..

ต้องมีความหมาย..

แต่อะไรละ..ที่เป็นความหมายที่..เรา ๆ อาจยังนึกไม่ถึงอยู่อีก..

เพราะ..ความจริงที่เป็น ๆ ที่ประสบพบอยู่..มันจะตำลูกตาอยู่แล้วเนี้ย
:b7: :b7: :b7:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2010, 04:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
;ปัญญาและสติกับนามรูปนั้นจะดับไปในที่ไหน?

ดูก่อนอชิตะ! ท่านถามปัญหานั้นข้อใด เราจะแก้ปัญหา
ข้อนั้นแก่ท่าน
: นามและรูป ย่อมดับไม่เหลือ ในที่ใด,ปัญญาและสติกับนามรูปนั้น ก็ย่อมดับไปในที่นั้น, เพราะความ
ดับไปแห่งวิญญาณ แล.
- สุตฺต. ขุ. ๒๕/๕๓๐/๔๒๕. - จูฬนิ. ขุ. ๓๐/๒๐-๒๑/๘๐,๗๕.
[๓๔๙] ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน
อุปาทายรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน
นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในที่ไหน ดังนี้.
ในปัญหานั้น มีพยากรณ์ดังต่อไปนี้
[๓๕๐] ธรรมชาติที่รู้แจ้ง ไม่มีใครชี้ได้ ไม่มีที่สุด แจ่มใส โดยประการทั้งปวง
ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้.
อุปาทายรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ใน
ธรรมชาตินี้.
นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้.
เพราะวิญญาณดับ นามและรูปนั้นย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้ ดังนี้.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว. เกวัฏฏ์ คฤหบดีบุตรมีใจชื่นชม เพลิดเพลิน
ภาษิตของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล.

จบเกวัฏฏสูตร ที่ ๑๑.
http://84000.org/tipitaka/read/?9/343-350/277-283

คงต้องแยกออกจากกันระหว่าง นิพพาน กับผู้บรรลุนิพพาน ครับ (ซึ่งถ้าจะใช้คำให้ตรงสภาวะมากกว่า คือใช้คำว่า ผู้ทำนิพพานให้แจ้ง) :b46: :b48: :b45:

จำไม่ได้ว่าเคยอ่านเจอที่ไหน ที่ท่านเจ้าคุณประยุทธ์ ท่านเทียบไว้ว่า เชียงใหม่ กับผู้ไปถึงเชียงใหม่ เป็นคนละอย่างกัน สิ่งหนึ่ง เป็นเมือง อีกสิ่งหนึ่ง เป็นคน

ซึ่งเมือง ก็มีสภาวะอย่างหนึ่ง คน ก็มีสภาวะอีกอย่างหนึ่ง

เหมือนกับนิพพาน ก็มีสภาวะอย่างหนึ่ง ผู้บรรลุนิพพาน (ผู้ทำนิพพานให้แจ้ง) ก็มีสภาวะอีกอย่างหนึ่ง :b41: :b46:

(กราบขออภัยท่านเจ้าคุณฯครับ ถ้าจำมาผิด ... (สัญญาก็ไม่เที่ยงหนอ :b12: ))

ซึ่งถ้าไม่ได้แยก “นิพพาน” กับ “ผู้แจ้งแล้วซึ่งนิพพาน” ออกจากกันเสียก่อน อาจจะทำใหเกิดความสับสนและเข้าใจสภาวะบางอย่างไขว้เขวออกจากพระไตรปิฎกไปมาก เพราะเหมารวมลักษณะอาการของจิตที่แจ้งนิพพาน เป็นลักษณะอาการเดียวกับตัวนิพพานเอง

เช่น มีความเห็นว่าจิตที่บรรลุนิพพานแล้ว (จิตเดิมแท้ ?) เที่ยง ไม่เกิดดับ ฯลฯ (ซึ่งจริงๆแล้วจิตซึ่งเป็นสังขตธรรมนั้นไม่เที่ยง เกิดดับอยู่ตลอดเวลา แต่นิพพานซึ่งเป็นอสังขตธรรมนั้นเที่ยง ไม่เกิดดับ ตามที่ปรากฏเป็นข้อความในพระไตรปิฎกหลายแห่ง) :b48: :b50: :b51:

ดังนั้น ในพุทธวัจนะที่กล่าวว่า “นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้” รวมถึง “ปฐวี-อาโป-เตโช-วาโยธาตุ … อุปาทายรูป ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้” ชี้บ่งถึง ตัวพระนิพพาน (คือคำว่า “ธรรมชาตินี้” ในพุทธวัจนะนี้) ซึ่งมีสภาวะคือ นามและรูป ดับไม่เหลือ มหาภูตรูปและอุปาทายรูป ไม่สามารถตั้งอยู่ได้ :b46: :b47:

แต่ไม่ได้ชี้บ่งถึง ผู้แจ้งแล้วซึ่งนิพพาน (อรหันต์) ที่ยังคงมีนามและรูป ให้ใช้สติและปัญญาในการเทศน์หรือตอบปัณหาธรรมแก่ญาติโยมได้ครับ (ถ้าท่านยังไม่ละขันธ์ไป) :b50: :b43:

เจริญในธรรมครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2010, 04:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพิ่มเติมอีกเล็กน้อยครับ :b1: :b46:

แต่ถ้าผู้แจ้งแล้วซึ่งนิพพาน (อรหันต์) ละขันธ์ไปแล้ว นามและรูป, มหาภูตรูปและอุปาทายรูป ก็ดับไม่เหลือเช่นกันตามข้อความสีแดงด้านล่างครับ :b8: :b46: :b45: :b43: :b41:

[๑๗๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ครั้งนั้นแล ท่านพระทัพพมัลลบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระสุคต บัดนี้ เป็นกาลปรินิพพานแห่งข้าพระองค์ พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรทัพพะ เธอจงสำคัญเวลา
อันควร ณ บัดนี้เถิด ลำดับนั้น ท่านพระทัพพมัลลบุตรลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้ว เหาะขึ้นไปสู่เวหาส นั่งขัดสมาธิเข้าสมาบัติมีเตโชธาตุเป็นอารมณ์อยู่ในอากาศกลางหาว ออกแล้วปรินิพพาน เมื่อท่านพระทัพพมัลลบุตรเหาะขึ้นสู่เวหาส นังขัดสมาธิเข้าสมาบัติมีเตโชธาตุเป็นอารมณ์อยู่ในอากาศกลางหาว ออกแล้วปรินิพพาน สรีระถูกไฟเผาไหม้อยู่ เถ้าไม่ปรากฏเลย เขม่าก็ไม่ปรากฏ เหมือนเถ้าแห่งเนยใสหรือน้ำมันที่ถูกไฟเผาไหม้อยู่ ไม่ปรากฏเลย เขม่าก็ไม่ปรากฏ ฉะนั้น ฯ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
รูปกายได้สลายแล้ว สัญญาดับแล้ว เวทนาทั้งปวงเป็นธรรมชาติเย็นแล้ว สังขารทั้งหลายสงบแล้ว วิญญาณถึงความตั้งอยู่ไม่ได้

http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B= ... agebreak=0
ทัพพสูตรที่ ๙ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต

บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า พระองค์ทรงทราบโดยอาการทั้งปวง ถึงการที่ท่านพระทัพพมัลลบุตรปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานนี้ จึงทรงเปล่งอุทานนี้ อันแสดงความนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อเภทิ กาโย ความว่า รูปกายอันมีสันตติ ๔ โดยความต่างแห่งภูตรูป และอุปาทายรูปทั้งหมดแตกไป พินาศ อันตรธานไป โดยไม่มีส่วนเหลือ คือถึงความไม่เกิดขึ้นเป็นธรรม.
บทว่า นิโรธิ สญฺญา ได้แก่ สัญญาทั้งหมดต่างด้วยรูปสัญญาเป็นต้น เพราะมีรูปายตนะเป็นต้นเป็นอารมณ์ ดับไปแล้วโดยการดับสนิท หาปฏิสนธิมิได้.
บทว่า เวทนา สีติภวึสุ สพฺพา ได้แก่ เวทนาแม้ทั้งหมด คือวิปากเวทนาและกิริยาเวทนา ได้เป็นธรรมชาติเย็น เพราะไม่มีความกระวนกระวายแห่งเวทนา แม้มีประมาณเท่าอณูหนึ่ง เพราะดับสนิทด้วยการดับหาปฏิสนธิมิได้. แต่กุศลเวทนาและอกุศลเวทนา ถึงความดับสนิทในขณะแห่งอรหัตผลทีเดียว. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า สีติรหึสุ เว้นจากความเย็น ดังนี้ก็มี. อธิบายว่า ได้เป็นธรรมชาติสงบดับไป.
บทว่า วูปสมึสุ สงฺขารา ความว่า ธรรมคือสังขารขันธ์ มีผัสสะเป็นต้นแม้ทั้งหมดต่างโดยวิบากและกิริยา สงบแล้วโดยพิเศษทีเดียว เพราะดับสนิท ด้วยการดับสนิทโดยหาปฏิสนธิมิได้นั่นเอง.
บทว่า วิญฺญาณํ อตฺถมาคมา ความว่า แม้วิญญาณทั้งหมดต่างโดยวิบากและกิริยา ได้ถึงการตั้งอยู่ไม่ได้ คือความพินาศ ได้แก่ความขาดสูญ เพราะดับสนิทโดยหาปฏิสนธิมิได้นั่นแล.
ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งอุทาน อันเปล่งออกด้วยกำลังแห่งปิติ เพราะอาศัยความที่ขันธ์ทั้ง ๕ ของท่านพระทัพพมัลลบุตรดับสนิท ด้วยการดับหาปฏิสนธิมิได้ เหมือนไฟที่หมดเชื้อฉะนั้น เพราะดับอุปาทานคือกิเลสและอภิสังขารในกาลก่อน ได้โดยสิ้นเชิงแล.

http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=177
อรรถกถา ขุททกนิกาย อุทาน ปาฏลิคามิยวรรคที่ ๘ ทัพพสูตรที่ ๙


เจริญในธรรมครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2010, 20:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การที่เราจะรู้ว่าเป็นภาวนามยปัญญาจริงหรือไม่ต้องสังเกตดูสติปัญญาที่จิตที่เรากำหนดรู้ เบื้องต้นนักปฏิบัติธรรมตัองฝึกฝืนในการกำหนดสติรู้สภาวะธรรมว่าอะไรคือรูปอะไรคือนามอะไรคือจิตจนกระทั่งสติปัญญาที่เราเพียรพยายามกำหนดสติรู้อยู่ในปัจจุบันจิตที่รู้ในปัจจุบันธรรมที่รู้ไม่เลือกไม่นิยมว่าจะเป็นอิริยาบทใดไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบทใหนยืนก็มีสติรู้เดินก็มีสติรู้นั่งก็มีสติรู้นอนก็มีสติรู้ตื่นขึ้นมาจากที่นอนก็มีสติรู้เข้าห้องน้ำแปรงฟันทำภาระกิจต่างๆก็มีสติรู้เหลียวซ้ายแลขวาก็มีสติรู้เหยีดแขนคู้แขนก็มีสติรู้พูดง่ายๆก็คือมีสติรู้ทุกๆอิริยาบทนั่นเองจนกระทั่งสติที่กำหนดรู้จะเป็นสติปัญญาอัตโนมัติหรือเรียกว่ามหาสติมหาปัญญาเราจะมีสติรู้ในปัจจุบันจิตปัจจุบันธรรมทุกขณะตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับนี่เรียกว่าภาวนามยปัญญาลองพิจารณาดูว่าตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับเรามีสติรู้ตัวตลอดสายหรือเปล่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2010, 01:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ดับสิคุณกบ ปัญญา สติ อะไรก็ดับหมดทั้งนั้น

ถ้าปัญญาไม่ดับ แปลว่า พระพุทธเจ้าตายแต่ปัญญาพระพุทธเจ้าไม่ตาย
สติพระพุทธเจ้าไม่ตายด้วย

อย่างนี้นับว่าผิดแหวกธรรมชาติมาก
พระพุทธเจ้าของเราจะกลายเป็นเทพทันที เพราะมีอัตภาพเหลืออยู่
ศาสนาพุทธก็เป็นเทวนิยมขึ้นมาทันที เพราะตัวพระพุทธเจ้าตาย แต่อัตภาพพระพุทธเจ้าไม่ตาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2010, 06:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




Resize of aa018.jpg
Resize of aa018.jpg [ 80.3 KiB | เปิดดู 3818 ครั้ง ]
tongue
ภาวนามยปัญญา ย่อมเป็นปัญญา ที่เราคิดเองไม่ได้ ค่ะ อยากทราบว่า พอมีวิธีดูไหมค่ะ
ว่า เป็นภาวนามยปัญญา


มากหมอ ก็มากความ โปรดอย่าพากันทำของง่าย ให้เป็นของยาก เรื่องเล็กน้อยให้เป็นเรื่องมาก จะทำความสับสนยุ่งยากให้กับผู้คน สัจจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นของง่าย รู้ง่าย พิสูจน์ได้ทันที ทุกเมื่อ


ภาวนามยปัญญา = ปัญญา ความรู้ ที่ได้จากการทำจริง ประสบกับของจริงด้วยตนเอง Experience Realised ประสบการณ์จริง

วิธีดู

ความรู้ที่รู้ขึ้นที่ใจ ไม่มีภาษามนุษย์บรรยายได้ เรียกว่า "ภาวนามยปัญญา" อย่างการรู้ รสเค็ม รู้เจ็บ รู้ปวด
รู้ทุกข์ รู้สุข รู้เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ต่างๆ


ความรู้ตามธรรมชาติเหล่านี้ รู้ครั้งแรกในชีวิต เรียกว่า "ภาวนามยปัญญา" รู้ครั้งถัดไป เป็น สัญญา ทั้งสิ้น
:b12: :b12: :b12: :b12: :b12: :b1: :b1: :b1: :b16: :b16: :b16: :b27: :b27: :b8:
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร