วันเวลาปัจจุบัน 20 มิ.ย. 2025, 17:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2009, 23:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


บัวศกล เขียน:
จะว่าไปแล้วทุกการโอ้อวด พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงห้ามหมดแหละ

จะอวดในเรื่องธรรมดาทั่วไป หรืออวดในเรื่องที่มันเหนือวิสัยสามัญมนุษย์
ปราชญ์ทั้งหลายก็ไม่สรรเสริญทั้งนั้น

.....................................

ดังนั้นที่ถามว่าทำไมพระพุทธองค์จึงห้ามการอวดอุตริ ก็น่าจะพอทราบคำตอบได้

และที่สำคัญที่สุด ที่พระพุทธองค์ทรงห้ามการอวดอุตริแม้ที่มีจริง
เพราะมองเห็นโทษภัย อันจะทำให้หลักธรรมแท้ไม่ได้รับความสนใจหรือให้สาระ
เท่ากับเรื่องที่ชวนแปลกประหลาดมหัศจรรย์ เมื่อนั้นผู้คนก็จะพากันละเลยหลักธรรม
และผู้เข้าถึงธรรมแท้อันบริสุทธิ์ก็จะลดน้อยถอยลง


และโทษภัยอีกมากมายที่เป็นผลกระทบต่อความมั่นคงของสัทธรรมในพุทธศาสนา
เชิญท่านเจ้าของกระทู้ไปลองมองหาดู ก็อาจจะเจออีกหลายข้อ

tongue :b43: :b43: :b43:


สาธุ...

ผู้ที่ยังไม่บริสุทธิ์..ใจยังถูกกิเลสตัณหาอวิชชาครอบงำ..อะไรที่แสดงออกมา..ก็มาจากใจที่ยังไม่บริสุทธิ์ทั้งนั้น..ผลของมันก็เลยไม่บริสุทธิ์..เพื่อลาภ..ยศ..สรรเสริญ..เพื่อการเอาเข้า..ไม่ใช่เพื่อการเอาออก..ไม่ใช่ประโยชน์เพื่อการออกจากทุกข์

ผู้บริสุทธิ์แล้ว..ใจพ้นจากอำนาจกิเลสตัณหาอวิชชาแล้ว..อะไรที่แสดงออกมา..ก็มาจากใจที่บริสุทธิ์..ใจที่รู้จริง..รู้ทัน..มีเหตุมีผล..ไม่เป็นไปเพื่อ..ลาภ..ยศ..สรรเสริญ..เพื่อการเอาออก..ไม่ใช่เพื่อการเอาเข้า..เป็นประโยชน์เพื่อการออกจากทุกข์..

การกระทำแบบเดียวกัน..แต่จะได้ชื่อว่า..อวดอุตริฯ หรือไม่นั้น..กลับขึ้นอยู่กับตัวคน ๆ นั้น..ว่าแสดงออกมาด้วยใจบริสุทธิ์หรือไม่?..

อรหันต์ย่อมรู้จักอรหันต์..เรายังไม่ใช่..ก็เลยไม่รู้..ว่า..ใครบริสุทธิ์ใจหรือไม่..

โดยมากเรื่องนี้..เราจะแปลความจากหลังมาหน้า..คือ..ใครแสดงฤทธิ์..แสดงว่า..คนนั้นใจยังไม่บริสุทธิ์..ซึ่งผมว่ายังถูกไม่หมด..เพราะเราไปยึด..มีอุปาทานในตัวสัญญา..ไม่ใช่ตัวปัญญา..

ก็ถ้าอย่างนั้น..เมื่อเขาแสดงฤทธิ์..หรือ..แสดงว่ามีฤทธิ์..เราควรวางใจอย่างไร?

โดยส่วนตัว..ก็ท่องคำว่า..ช่างเขาเถอะ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2009, 13:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อวบอั๋นขั้นสุดท้าย เขียน:
ชาติสยาม เขียน:
บอกแล้วว่า..ยาวววววววววววว.ว..ว.....
ใครซื้อหวยไม่ถูกถามผมได้นะคับ

:b32: :b32: :b32:

smiley งั้นถามคุณชาติสยามเลยครับ
:b6: งวดหน้าออกอะไร ขอรับ :b19:



ตอบได้เลย ถ้าไม่ถูกให้เอา.... เหยียบหน้าได้เลย
อยู่ใน 0-9 นี่แหละคับ ยังไงก็ออกเลขพวกนี้แน่นอน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2009, 13:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


(พระวินัยปิฎก เล่ม ๑ มหาวิภังค์ ปฐมภาค จตุตถปาราชิกสิกขาบท)

(เหตุเกิดก่อนหน้า ภิกษุได้กล่าวชมอุตตริมนุสสธรรมของกันและกันแก่พวกคฤหัสถ์ เพื่อบิณฑบาต)

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทาว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกัน ไม่วิวาทกัน อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก และไม่ลำบากด้วยบิณฑบาต ด้วยวิธีการอย่างไร ภิกษุเหล่านั้นได้กราบทูลเนื้อความนั้น ให้ทรงทราบแล้ว

พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย คุณวิเศษของพวกเธอนั่น มีจริงหรือ
ภิ. ไม่มีจริง พระพุทธเจ้าข้า.

พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆะบุรุษทั้งหลาย การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉนพวกเธอจึงได้กล่าวชมอุตตริมนุสสธรรมของกันและกันแก่พวกคฤหัสถ์ เพราะเหตุแห่งท้องเล่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ท้องอันพวกเธอคว้านแล้วด้วยมีดเชือดโคอันคม ยังดีกว่าอันพวกเธอกล่าวชมอุตตริมนุสสธรรมของกันและกันแก่พวกคฤหัสถ์เพราะเหตุแห่งท้อง ไม่ดีเลยข้อที่เราว่าดีนั้น เพราะเหตุไร เพราะบุคคลผู้คว้านท้องด้วยมีดเชือดโคอันคมนั้นพึงถึงความตายหรือความทุกข์เพียงแค่ตาย ซึ่งมีการกระทำนั้นเป็นเหตุ และเพราะการกระทำนั้นเป็นปัจจัย เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป ไม่พึงเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก ส่วนบุคคลผู้กล่าวชมอุตตริมนุสสธรรมของกันและกันแก่พวกคฤหัสถ์นั้น เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป พึงเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก ซึ่งมีการกระทำนี้แลเป็นเหตุ ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของพวกเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของคนบางพวกผู้เลื่อมใสแล้ว ครั้นแล้วทรงกระทำธรรมมีกถารับสั่งกะภิกขุทั้งหลาย ว่าดังนี้:-

ดูกรภิกษุทั้งหลาย มหาโจร ๕ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก มหาโจร ๕ จำพวกเป็นไฉน?

๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย มหาโจรบางคนในโลกนี้ ย่อมปรารถนาอย่างนี้ว่า เมื่อไรหนอเราจักเป็นผู้อันบุรุษร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว ท่องเที่ยวไปในคามนิคมและราชธานีเบียดเบียนเอง ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ตัดเอง ให้ผู้อื่นตัด เผาผลาญเอง ให้ผู้อื่นเผาผลาญสมัยต่อมา เขาเป็นผู้อันบุรุษร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่ง แวดล้อมแล้วเที่ยวไปในคามนิคมและราชธานี เบียดเบียนเอง ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ตัดเอง ให้ผู้อื่นตัด เผาผลาญเอง ให้ผู้อื่นเผาผลาญฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกันแลย่อมปรารถนาอย่างนี้ว่า เมื่อไรหนอ เราจึงจักเป็นผู้อันภิกษุร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้วเที่ยวจาริกไปในคามนิคมและราชธานี อันคฤหัสถ์และบรรชิต สักการะ เคารพ นับถือ บูชายำเกรง ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัย เภสัชบริขาร สมัยต่อมา เธอเป็นผู้อันภิกษุร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว เที่ยวจาริกไปในคามนิคมและราชธานี อันคฤหัสถ์และบรรพชิตสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรงแล้ว ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขารทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๑ มีปรากฏอยู่ในโลก

๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ เล่าเรียนธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว ย่อมยกตนขึ้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๒ มีปรากฏอยู่ในโลก

๓. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ ย่อมตามกำจัดเพื่อนพรหมจารี ผู้หมดจด ผู้ประพฤติพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์อยู่ด้วยธรรมอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์อันหามูลมิได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๓ มีปรากฏอยู่ในโลก

๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ ย่อมสงเคราะห์เกลี้ยกล่อมคฤหัสถ์ทั้งหลาย ด้วยครุภัณฑ์ ครุบริขาร ของสงฆ์ คือ อาราม พื้นที่อารามวิหาร พื้นที่วิหาร เตียง ตั่ง ฟูก หมอน หม้อโลหะ อ่างโลหะ กะถางโลหะ กะทะโลหะมีด ขวาน ผึ่ง จอบ สว่าน เถาวัลย์ ไม้ไผ่ หญ้ามุงกะต่าย หญ้าปล้อง หญ้าสามัญ ดินเหนียวเครื่องไม้ เครื่องดิน ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๔ มีปรากฏอยู่ในโลก


๕. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม อันไม่มีอยู่ อันไม่เป็นจริงนี้จัดเป็นยอดมหาโจร ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ข้อนั้น เพราะเหตุไร เพราะภิกษุนั้น ฉันก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น ด้วยอาการแห่งคนขโมย.

นิคมคาถา

ภิกษุใด ประกาศตนอันมีอยู่โดยการอื่น ด้วยอาการอย่างอื่น โภชนะนั้น
อันภิกษุนั้น ฉันแล้ว ด้วยอาการแห่งคนขโมย ดุจพรานนกลวงจับนก ฉะนั้น
ภิกษุผู้เลวทรามเป็นอันมาก มีผ้ากาสาวะพันคอ มีธรรมทราม ไม่สำรวมแล้ว
ภิกษุผู้เลวทรามเหล่านั้น ย่อมเข้าถึงซึ่งนรก เพราะกรรมทั้งหลายที่เลวทราม ภิกษุ
ผู้ทุศีล ผู้ไม่สำรวมแล้วบริโภคก้อนเหล็กแดงดังเปลวไฟ ประเสริฐกว่า การฉันก้อนข้าว
ของชาวรัฐ จะประเสริฐอะไร.

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2009, 21:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก็มันไม่ใช่ทางแห่งทางพ้นทุกข์ คนส่วนมากชอบศรัทธาคนมีอิทธิฤทธิ์ ขนาดพระเทวทัตก็มีฤทธิ์ คนที่เชื่อก็เลยไปอบายด้วยนั่นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2009, 22:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ย. 2009, 21:17
โพสต์: 83

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สิ่งสำคัญ คือ มันเป็นเรื่องกิเลสของคน

ส่วนผู้มีอิทธิฤทธิ์ นั้น หากไม่ได้อวดอ้างฤทธิ์หรือมุ่งทำร้ายใคร ทำไปเพื่อกิเลสของตน
หากรู้จักนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ในพระศาสนาหรือช่วยเหลือผู้อื่น ย่อมดีกว่าผู้ที่ไม่มีฤทธิ์
เช่น พระที่มีอภิญญาในอดีต เช่น สมเด็จทวด สมเด็จโต หลวงปู่ศุข ฯลฯ

ประเด็นมีฤทธิ์หรือไม่ ไม่น่าจะสำคัญเท่ากิเลสที่อยู่ในหัวใจคน
ทั้งที่..กิเลสมันมีฤทธิ์เดชทำร้ายเราอยู่ตลอดเวลา
เดี๋ยวสุข..เดี๋ยวทุกข์ ยินดียินร้าย..ครอบครองอยู่เต็มหัวใจ
โดยที่เรา..ได้แต่ทำตามคำสั่งของกิเลส..
นี่คือ ฤทธิ์ที่แท้จริง..ของกิเลส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2009, 00:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 23:02
โพสต์: 157

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปาฏิหาริย์ ๓ (พระไตรปิฎกเล่ม ๙ ข้อ ๓๓๙-๓๔๑)
๑. อิทธิปาฏิหาริย์ (แสดงฤทธิ์)
๒. อาเทสนาปาฏิหาริย์ (ทายใจรู้ความคิดผู้อื่น)
๓. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ (สอนให้พ้นทุกข์ได้จริง)
พระพุทธองค์ทรงอึดอัด(อัฏฏิยามิ) ระอา(หรายามิ) เกลียดชัง(ชิคุจฉามิ)
ในอิทธิปาฏิหาริย์ และอาเทสนา-ปาฏิหาริย์ แต่ทรงยกย่องอนุสาสนีปาฏิหาริย์

ส่วน อุตริมนุษยธรรม หมายถึงธรรมอันยิ่งของมนุษย์ ก็สามารถบอกกับผู้อื่นได้
ถ้าตนเองมี เป็น ได้ ธรรมนั้นๆแล้ว แต่ต้องบอกอย่างไม่เป็นไปเพื่ออวดและ
ถ้าเหมาะสมกับกาล,เทศ,บุคล แล้วสามารถบอกได้อย่าง บันลือสีหนาทเลย

.....................................................
มาตามหา เพื่อนร่วมทาง

ประโยชน์สูง-ประหยัดสุด > > ต้องทำให้ได้ คือแก้ไขตนเอง > > ฝึกหยุด-ไม่หยุดฝึก >
ไม่มีเวลาสำหรับความชั่วบาปอีกแล้ว. ." ทุกวินาทีเป็นวินาทีแห่งบุญ "
เราจะฝึกฝนตนเพื่อไปถึงจุดนั้นให้ได้


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร