วันเวลาปัจจุบัน 24 มิ.ย. 2025, 01:13  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2009, 20:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านขงเบ้งไปเอาความรู้ ว่าพระอนาคามี พระอรหันต์บางท่านเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธไม่ได้
มาจากไหนครับ

ช่วยบอกที่มาของความรู้อันนี้หน่อยครับ

ขอบคุณครับ

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2009, 20:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


kim1 เขียน:
คุณตรงประเด็นที่เคารพครับ
................................
....เมื่อบุคคลใดก็ตาม ในศาสนาใดก็ตาม เมื่อเขาได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแล้ว ปฏิบัติไปเรื่อยๆเขาย่อมเข้าสู่ความเป็นโสดาบัน-อรหันต์ ในที่สุด แต่จะใช้เวลาเท่าไรนั้นอีกเรื่องหนึ่ง
......................................
.....ผู้ปฏิบัติวิปัสสนา เช่น ดูความรู้สึก หรือเวทนา หรือดูอารมณ์ของตน มันเป็นเรื่องง่ายๆ เด็กๆก็ทำได้ ถ้าเขาเพียรพยายาม เขาก็ย่อมสำเร็จ



คุณตรงประเด็นที่เคารพครับ..ยังไม่มา..กบ โอ้บ ๆ ถามก่อนแล้วกัน

ที่..เขาได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแล้ว..เนี้ยนะ..แล้วเขาเห็นอย่างที่พระพุทธเจ้าเห็นหรือไม่..1..แล้วเขาเชื่อในพระพุทธเจ้าแล้วหรือยัง..2..?

และ..ก็..กำลังรอ..ดูคุณ..ขงเบ้งฯ..ด้วย...อธิบายอย่างที่คุณบัวศกล..เขาถามมาซะดี ๆ นะคุณ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2009, 21:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ที่ยังมีกิเลส..ทั้งนั้น..ที่คุณว่ามา ..นะ

ยาง..ยัง..ต้องเพียรต่อไปอีก..อีกนาน

หรือว่า..คุณ Kim1 ก็ยังไม่รู้ว่าท่านเหล่านี้..ยังมีกิเลส..เหลืออยู่..

อิ..อิ..อิ

ต้อง พิจารณาใหม่..ซะแล้วมั้ง..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2009, 21:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


พลศักดิ์มาอีกแล้วนะ Kim1

ทุกคนประจำสถานีรบ Onion_R


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2009, 21:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


รู้แล้วจ้า..

รบแล้วจ้า..

ท่านไปอยู่ไหนมา..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2009, 21:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ เขียน:

ที่ใช้คำว่า ก่อนสมัย พุทธกาลมีผู้รู้จักคำว่า นิพพาน






จะบอกว่า สมัยก่อนพุทธกาลก็มีผู้"รู้จักคำว่า นิพพาน" ก็อาจจะไม่ผิดทีเดียวนัก

สมัยก่อนพุทธกาล อาจมีการกล่าวคำว่า นิพพาน กันก็จริง... ในพระสูตรมีการกล่าวถึง การบัญญัตินิพพานของลัทธิต่างๆ เช่น เข้าใจผิดว่า ฌานสมาบัติต่างๆที่อัตตาเป็นผู้บรรลุเป็นนิพพาน. ซึ่ง มันก็เป็นนิพพานในแบบของเขา ไม่ใช่นิพพานธาตุสองประการที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้.


เสนออ่าน ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ ๕ ในทิฏฐิ62ประการ

http://www.84000.org/tipitaka/read/byit ... agebreak=1

ตรงจุดนี้ ในพระสูตรนี้ ต้องศึกษาให้ดีๆ
ไม่เช่นนั้น จะเข้าใจว่า รูปฌาน ไม่ดีทั้งหมด

ความจริงแล้ว พระสูตรนี้ แสดงถึง การเจริญสมาธิภาวนาแบบปราศจากอนาสวะสัมมาทิฏฐิเป็นต้นทาง เพราะ เป็นการเจริญสมาธิภาวนาเพื่ออัตตานั้นๆ ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง

๕๙. (๒) สมณะหรือพราหมณ์พวกอื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น อย่างนี้ว่า
ท่านผู้เจริญ มีอยู่จริง อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ามิได้กล่าวว่าไม่มี ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้
ใช่จะบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หามิได้. ข้อนั้นเพราะเหตุ
อะไร เพราะเหตุว่า กามทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา เพราะ
กามทั้งหลายแปรปรวนเป็นอย่างอื่น จึงเกิดความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ โทมนัส และ
ความคับใจ ท่านผู้เจริญ เพราะอัตตานี้สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน
มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ฉะนั้น จึงเป็นอันบรรลุนิพพานปัจจุบัน อันเป็น
ธรรมอย่างยิ่ง พวกหนึ่งย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่
อย่างนี้.



ซึ่ง ถ้าไปเจริญสมาธิภาวนาเพื่ออัตตาใดๆ เสียตั้งแต่ต้นแล้ว ย่อมไม่มีทางบรรุถึงพระนิพพานได้เลย

เพราะ ต้นผิด ปลายถูก ย่อมเป็นไปไม่ได้



ดังนั้น สมัยก่อนพุทธกาลไม่มีใคร"รู้แจ้ง พระนิพพาน" ที่ ไม่มีอัตตาใดๆเป็นผู้บรรลุถึงหรอก(เว้นพระปัจเจก)



"รู้จัก คำว่า นิพพาน"
กับ
"รู้แจ้งในพระนิพพาน"

จึง แตกต่างกันด้วยเหตุนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2009, 16:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2008, 23:37
โพสต์: 449

ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


จะพูดถึงนิพพาน น่าจะพูดถึงวิเสสลักษณะ เฉพาะด้วย เหมือนคำว่าสุข คำเดียว แต่ก็เข้าใจไปคนละแบบ ศาสนาอื่นก็มีนิพพาน อาจจะเรียกว่าชื่อ เดียวกัน แต่ลักษณะไม่เหมือนกัน เหมือนถือพจจนานุกรมคนละเล่ม มากกว่า อย่างในสายตาของผู้ฝึกธรรมกาย ก็บอกว่า นิพพานตอนนี้ ก็ไม่ใช่ นิพพานัง ปรมังสุขัง เสียแล้ว เพราะถูกมารปกครอง เฮ้อ

.....................................................
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2009, 20:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


ตรงประเด็น เขียน:
ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ เขียน:

ที่ใช้คำว่า ก่อนสมัย พุทธกาลมีผู้รู้จักคำว่า นิพพาน






จะบอกว่า สมัยก่อนพุทธกาลก็มีผู้"รู้จักคำว่า นิพพาน" ก็อาจจะไม่ผิดทีเดียวนัก

สมัยก่อนพุทธกาล อาจมีการกล่าวคำว่า นิพพาน กันก็จริง... ในพระสูตรมีการกล่าวถึง การบัญญัตินิพพานของลัทธิต่างๆ เช่น เข้าใจผิดว่า ฌานสมาบัติต่างๆที่อัตตาเป็นผู้บรรลุเป็นนิพพาน. ซึ่ง มันก็เป็นนิพพานในแบบของเขา ไม่ใช่นิพพานธาตุสองประการที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้.


เสนออ่าน ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ ๕ ในทิฏฐิ62ประการ

http://www.84000.org/tipitaka/read/byit ... agebreak=1

ตรงจุดนี้ ในพระสูตรนี้ ต้องศึกษาให้ดีๆ
ไม่เช่นนั้น จะเข้าใจว่า รูปฌาน ไม่ดีทั้งหมด

ความจริงแล้ว พระสูตรนี้ แสดงถึง การเจริญสมาธิภาวนาแบบปราศจากอนาสวะสัมมาทิฏฐิเป็นต้นทาง เพราะ เป็นการเจริญสมาธิภาวนาเพื่ออัตตานั้นๆ ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง

๕๙. (๒) สมณะหรือพราหมณ์พวกอื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น อย่างนี้ว่า
ท่านผู้เจริญ มีอยู่จริง อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ามิได้กล่าวว่าไม่มี ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้
ใช่จะบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หามิได้. ข้อนั้นเพราะเหตุ
อะไร เพราะเหตุว่า กามทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา เพราะ
กามทั้งหลายแปรปรวนเป็นอย่างอื่น จึงเกิดความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ โทมนัส และ
ความคับใจ ท่านผู้เจริญ เพราะอัตตานี้สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน
มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ฉะนั้น จึงเป็นอันบรรลุนิพพานปัจจุบัน อันเป็น
ธรรมอย่างยิ่ง พวกหนึ่งย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่
อย่างนี้.



ซึ่ง ถ้าไปเจริญสมาธิภาวนาเพื่ออัตตาใดๆ เสียตั้งแต่ต้นแล้ว ย่อมไม่มีทางบรรุถึงพระนิพพานได้เลย

เพราะ ต้นผิด ปลายถูก ย่อมเป็นไปไม่ได้



ดังนั้น สมัยก่อนพุทธกาลไม่มีใคร"รู้แจ้ง พระนิพพาน" ที่ ไม่มีอัตตาใดๆเป็นผู้บรรลุถึงหรอก(เว้นพระปัจเจก)



"รู้จัก คำว่า นิพพาน"
กับ
"รู้แจ้งในพระนิพพาน"

จึง แตกต่างกันด้วยเหตุนี้



สาธุ

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร