วันเวลาปัจจุบัน 20 มิ.ย. 2025, 11:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2009, 08:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


O.wan เขียน:
:b12: ไม่ต้องระบุตัวบุคคลขนาดนั้นก็ได้มั้งครับ :b11:
:b48: ที่ระบุชื่อเพียงแค่อยากถามต่อมาจาก ข้อที่ถามค้างในกระทู้การบริจาคร่างกายน่ะค่ะ :b13:
เห็นคุณตอบแล้วเลยมีคำถามต่อน่ะค่ะ :b10:ขอบคุณนะคะสำหรับคำตอบ
:b48: จริงๆแล้วที่อยากถาม เพราะเราเห็นคนรอบๆข้าง คนใกล้ตัวส่วนมากยังห่างไกลจากเรื่องธรรมะ
ยิ่งเวลาเราคุยเรื่องพื้นๆ เช่นการถือศีล 5 ยังไม่ค่อยจะสนใจเลย
:b48: เราเลยอยากเอาเรื่องแบบประเภท ตายแล้วไปไหนออกแนววิญญาณไปคุย
ดูทุกคนอยากฟังนะคะ เลยอยากจะรู้ให้ถูกต้องน่ะค่ะ เดี๋ยวเค้าถามแล้วตอบไม่ได้
เผื่อเค้าอาจจะสนใจ กลัว หรือ อยากทำตัวให้ดี อย่างน้อยเราก็อยากเห็นคนพวกนี้หันมาปฏิบัติศีล5
กันจริงๆน่ะค่ะ :b31: :b31: :b31:

:b8: :b8: :b8:
สาธุกับจิตใจที่เป็นเมตตาของท่านครับ....แต่เรื่องพวกนี้ปุถุชนจะเรียกว่ามันเป็นนามธรรม...มันยากครับที่จะปักใจเชื่อ ถามไปได้คำตอบมันก็ไม่มีหลักฐานยืนยันได้อีกนั่นแหละครับ...

ความจริงแล้วไม่เห็นต้องคุยเรื่องพวกนี้เลยครับถ้าอยากจะชักชวนคนเหล่านั้นให้หันมารักษาศีล...ท่านก็รักษาให้เขาดู...ดำเนินชีวิตอยู่กับธรรมให้เขาดู...ให้เขาเห็นความแตกต่างระหว่างคนที่อยู่กับธรรมกับคนที่อยู่กับโลกมันมีความสุขต่างกันขนาดไหน

กระผมเองเมื่อก่อนนี้ก็เคยเป็นแบบนี้ครับ...คือเราได้มาศึกษาแล้วเกิดศรัทธา และก็ปราถนาที่จะให้คนรอบข้างเราศรัทธาเหมือนเรา...แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ "มันบ้าไปแล้ว"... :b32: :b32: พอเจอบ่อยๆเข้า บวกกับเราได้ศึกษามากขึ้นเพราะเราเริ่มมีความเพียร เราจึงรู้มากขึ้นและก็เริ่มเข้าใจคนเหล่านั้นมากขึ้น(เข้าใจธรรมชาติมากขึ้น) จิตใจของเราก็จะสงบลง เริ่มเห็นอะไรๆเป็นธรรม ตอนนี้สติก็เจริญขึ้นเองตามธรรมชาติของมันเพราะมันเป็นผลของความเพียรที่ส่งมา เราก็ทำให้มันเจริญขึ้นเรื่อยๆไป...ให้ได้สมาธิให้ได้ปัญญา...พอเราศึกษามาถึงตรงนี้ก็เบื่อที่จะไปชักชวนใครแล้วครับ เพราะรู้แล้วว่ากรรมใครกรรมมัน :b32:

แต่แปลกดีครับ พอเราเลิกชวนเขากลับมาสนใจ หลายๆคนก็สงสัยครับว่าทำไมเราถึงดูมีความสุขเหลือเกิน ทั้งๆที่คุณภาพชีวิตของเราก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาเลย :b13:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2009, 13:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


natdanai เขียน:
O.wan เขียน:
:b12: ไม่ต้องระบุตัวบุคคลขนาดนั้นก็ได้มั้งครับ :b11:
:b48: ที่ระบุชื่อเพียงแค่อยากถามต่อมาจาก ข้อที่ถามค้างในกระทู้การบริจาคร่างกายน่ะค่ะ :b13:
เห็นคุณตอบแล้วเลยมีคำถามต่อน่ะค่ะ :b10:ขอบคุณนะคะสำหรับคำตอบ
:b48: จริงๆแล้วที่อยากถาม เพราะเราเห็นคนรอบๆข้าง คนใกล้ตัวส่วนมากยังห่างไกลจากเรื่องธรรมะ
ยิ่งเวลาเราคุยเรื่องพื้นๆ เช่นการถือศีล 5 ยังไม่ค่อยจะสนใจเลย
:b48: เราเลยอยากเอาเรื่องแบบประเภท ตายแล้วไปไหนออกแนววิญญาณไปคุย
ดูทุกคนอยากฟังนะคะ เลยอยากจะรู้ให้ถูกต้องน่ะค่ะ เดี๋ยวเค้าถามแล้วตอบไม่ได้
เผื่อเค้าอาจจะสนใจ กลัว หรือ อยากทำตัวให้ดี อย่างน้อยเราก็อยากเห็นคนพวกนี้หันมาปฏิบัติศีล5
กันจริงๆน่ะค่ะ :b31: :b31: :b31:

:b8: :b8: :b8:
สาธุกับจิตใจที่เป็นเมตตาของท่านครับ....แต่เรื่องพวกนี้ปุถุชนจะเรียกว่ามันเป็นนามธรรม...มันยากครับที่จะปักใจเชื่อ ถามไปได้คำตอบมันก็ไม่มีหลักฐานยืนยันได้อีกนั่นแหละครับ...

ความจริงแล้วไม่เห็นต้องคุยเรื่องพวกนี้เลยครับถ้าอยากจะชักชวนคนเหล่านั้นให้หันมารักษาศีล...ท่านก็รักษาให้เขาดู...ดำเนินชีวิตอยู่กับธรรมให้เขาดู...ให้เขาเห็นความแตกต่างระหว่างคนที่อยู่กับธรรมกับคนที่อยู่กับโลกมันมีความสุขต่างกันขนาดไหน

กระผมเองเมื่อก่อนนี้ก็เคยเป็นแบบนี้ครับ...คือเราได้มาศึกษาแล้วเกิดศรัทธา และก็ปราถนาที่จะให้คนรอบข้างเราศรัทธาเหมือนเรา...แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ "มันบ้าไปแล้ว"... :b32: :b32: พอเจอบ่อยๆเข้า บวกกับเราได้ศึกษามากขึ้นเพราะเราเริ่มมีความเพียร เราจึงรู้มากขึ้นและก็เริ่มเข้าใจคนเหล่านั้นมากขึ้น(เข้าใจธรรมชาติมากขึ้น) จิตใจของเราก็จะสงบลง เริ่มเห็นอะไรๆเป็นธรรม ตอนนี้สติก็เจริญขึ้นเองตามธรรมชาติของมันเพราะมันเป็นผลของความเพียรที่ส่งมา เราก็ทำให้มันเจริญขึ้นเรื่อยๆไป...ให้ได้สมาธิให้ได้ปัญญา...พอเราศึกษามาถึงตรงนี้ก็เบื่อที่จะไปชักชวนใครแล้วครับ เพราะรู้แล้วว่ากรรมใครกรรมมัน :b32:

แต่แปลกดีครับ พอเราเลิกชวนเขากลับมาสนใจ หลายๆคนก็สงสัยครับว่าทำไมเราถึงดูมีความสุขเหลือเกิน ทั้งๆที่คุณภาพชีวิตของเราก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาเลย :b13:

สาธุ สาธุ สาธุครับ ท่าน natdanai :b8: :b8: :b8:

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2009, 20:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 เม.ย. 2009, 02:22
โพสต์: 83

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


natdanai เขียน:
cmessage เขียน:
:b48: แล้วเกิดถ้าเรามีอุบัติเหตุตายโดยไม่รู้ตัว จิตเราจะเป็นอย่างไร ต่างกับคนที่รู้ตัวว่า
กำลังจะตายอย่างไร


ขอตอบในข้อนี้ว่า โดยแยกประเด็นแรกก่อนนะครับ
คนที่ตายโดยอุบัติเหตุไม่รู้ตัว คือจิตไม่อยากตายไม่เตรียมตัวมาก่อน เพราะ มีวาสนาในโลกนี้แล้วมีอายุขัยแล้วแต่มีแรงกรรมมาตัดทอนอายุขัย เหมือนกับตะเกียงที่มีไส้อีกยาวและน้ำมันก็เหลืออีกเยอะแต่บังเอิญมีลมแรงพัดมา ตะเกียงจึงดับ จิตคนธรรมดาเมื่อมีร่างกายก็ยึดเหนี่ยวไว้เมื่อไม่มีร่างกายจะยึดเหนี่ยวอะไร ก็ต้องยึดเหนี่ยวอารมเป็นธรรมดา อารมสุดท้ายคิดหรือหน่วงเหนี่ยวสิ่งได้ไว้ก็ไปตามจิตก่อน จนกว่าจิตจะปล่อยว่างจากสิ่งหน่วงเหนี่ยวอารมนั้นได้ จึงว่ากันไปตามเหตุปัจจัย ตามบุญกรรมที่ตนสร้าง หรือจนกว่าจะหมดอายุขัยตัวเองจึงไปสู่สิ่งใหม่ เพราะโลกวิญญาณเป็นโลกแห่งความจริง โลกมนุษนี้ล้วนเป็ฯสิ่งสมมุต วันนี้อยากไส่เสื้อสีแดงก็เปลี่ยนได้ อยากทานอะไรทำได้ อยากเป็นอาชีพอะไรก็ทำตามสิ่งนั้น แต่วิญญานเมื่อผุดเกิดเป็นอย่างไรแล้ว เรียกว่า สภาวะ เมื่อผุดเกิดในสภาวะใหนแล้วย่อมเปลี่ยนไม่ได้จนกว่าจะมีปัจจัยอื่นมาใหม่ หรือไปสู่ภพใหม่
อีกกรณีหนึ่งคนที่ฝึกกรรมฐานมามากพอย่อม เข้าสู่องณานตอนไหนก็ได้ตามกำลังณานของตนหรือจะเร็วเพียงเสี้ยววินาทีย่อมทำได้ รวมถึง ให้จิต ถอยกลับไปกลับมาได้จะอยู่ณานไหนก็ได้ นี่คือคนมีกำลังณาณมาก ตัวอย่างเช่น หลวงพ่อ พุทธ เมื่อตอนที่ท่านเกิดอุบัติเหตุ รถคว่ำซึ่งเกิดขึ้นเร็วมากแต่ท่านมีสติเข้า ณาน ได้ในเวลาไม่ถึงเสี้ยนนาที และไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างไร ลองไปหาอ่านดูนะครับ จิตที่มีสติกำกับย่อมเลือกทางของจิตได้ ไม่เหมือนจิดคนธรรมดาที่ไม่มีทางเลือกเลย นอกจากไปตามบุญตามกรรม

โลกวิญญาณเป็นโลกแห่งความจริง ....เป็นความจริงที่มันไม่จริงครับ...เพราะสภาวะ เมื่อผุดเกิดในสภาวะใหนแล้วย่อมเปลี่ยนไม่ได้จนกว่าจะมีปัจจัยอื่นมาใหม่ หรือไปสู่ภพใหม่....(มันยังเป็นอนิจจังอยู่ครับ) :b13:



ใอ้ความจริงที่ผมบอกนี่หมายความว่า การมองเห็นและรับตามความจริง สภาพที่ผุดเกิดขึ้น แต่ย่อม ไม่ไช่สิ่งแน่นอนหรือเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ย่อมเปลี่ยนได้ต่อไปเมื่อมีปัจจัยอื่นเข้ามา ตราบได้ที่เรายังเวียนว่ายในทะเลทุกยังมี กิเลสและอวิชชาเป็นเครื่องอาศัยทุกอย่างไม่อาจดำรงอยู่ได้ล้วน อนิจจัง เป็นธรรมดา ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ความไม่แน่นอนคื่อความแน่นอน อันนี้แน่นอนที่สุด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 07:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 เม.ย. 2009, 02:22
โพสต์: 83

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร