วันเวลาปัจจุบัน 06 มิ.ย. 2025, 16:52  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 12:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้างั้นถ้าในส่วนลึกของจิตใจบอกว่าไม่เหมาะสม ไม่ถูกกาลเทศะ หรือว่าอาจจะบาป ต่อไปก็อย่านั่งรับพรสิครับ หมายถึงคนที่นั่งรับศีลจากพระตอนที่ท่านบิณฑบาต จะได้ไม่ต้องกังวลหรือคิดให้เหนื่อยจนเกินไป
จะได้ไม่ต้องบาปทั้งคนทั้งพระ ถึงบาป ก็คงไม่น่ากลัวหรอกครับ และกรรมคงไม่หนักนาเท่าไรด้วย
โดยส่วนตัวผมเห็นว่าไม่เหมาะสมและไม่ถูกกาลเทศะนะครับ เหตุผลเดียวก็คือพระท่านยืนบิณฑบาตร ยืนให้ศีลให้พรแต่เรากับนั่งสบายรับพรจากท่าน คิดว่าจะเหมาะไหม???? คนส่วนใหญ่เท่าที่เห็นเขาจะไม่ทำกัน เขาจะย่อตัวให้ต่ำกว่าท่านหรือไม่ก็นั่งยองๆพนมมือไหว้แสดงถึงความเคารพในตัวท่าน

มันก็คล้ายๆกับว่า
เวลาใส่บาตรห้ามใส่รองเท้า แต่เห็นบางคนก็ถอดรองเท้าแต่กลับยืนบนรองเท้ายังงี้ก็ถือว่าไม่เหมาะสมเหมือนกันเพราะพระท่านเดินเท้าปล่าวก็ควรที่จะให้ความเคารพท่านไม่เหยียบหรือใส่รองเท้าให้ดูสูงกว่าท่าน :b41:

.....................................................
"มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง"
ในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตัดปลิโพธกังวลใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลูก สามี ภรรยา ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ จากหนังสือ: เจริญกรรมฐาน7วันได้ผลแน่นอน หัวข้อ12: ระงับเวรด้วยการแผ่เมตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 13:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


บัว 4 เหล่า เขียน:
โยมนั้นผิดตรงที่ทำให้พระกระทำผิด
พระก็ผิดตรงที่ไม่สอนสิ่งที่ถูกต้องให้โยมรู้และยังยอมตนลงไปรับใช้โยม(ทำตามสิ่งที่โยมบอก)

ขณะบิณฑบาตร มิใช่เวลาที่จะมาเทสน์สอน...ต่อเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม...ก็ไม่มีใครมาให้พระสอน

ท่านเองอย่าไปเดือดร้อนมากเลยครับ เราเริ่มที่ตัวเราเถิด ทำแต่สิ่งดี ไม่ต้องกล่าวถึงว่าใครทำถูก ใครทำผิด รู้แค่ว่าเราเองนั้นไม่ประมาทแล้ว การกล่าวเตือนผู้อื่นให้เห็นถูกนั้นเป็นสิ่งที่ชอบ แต่การที่จะถือเอาเรื่องนี้มาเป็นภาระนั้นมันเป็นทุกข์หนักครับ และก็ไม่มีทางที่จะดีขึ้นได้ มีแต่จะบัติมากขึ้นๆ เพราะความเจริญของวัตถุเป็นเหตุ

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2009, 16:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2009, 09:03
โพสต์: 81


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อาบัติป่าวไม่รู้....
แต่ความคิดเห็นส่วนตัวก็ไม่เห็นว่าพระจะผิดอะไรนี่ครับ โยมใส่บาตรก็รับ แล้วก็อนุโมทนาให้พร มันก็ปกตินี่ครับ
อาบัติป่าวไม่รู้....
แต่ความคิดเห็นส่วนตัวก็ไม่เห็นว่าพระจะผิดอะไรนี่ครับ โยมใส่บาตรก็รับ แล้วก็อนุโมทนาให้พร มันก็ปกตินี่ครับ :b6:



เป็นพระวินัยนะนี่ท่าน ...
"พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ - หน้าที่ 940"
สงสัยคนที่คัดค้านสุดตัวจะปฎิบัติมาแล้วเลยไม่ยอม ผิดวินัยเชียวนา และพระพุทธองค์ก็ตรัสเรียกภิกษุที่ทำผิดวินัยว่า"โมฆบุรุษ"นะท่าน ด่าเลยนะ"โมฆบุรุษ"
"ทำผิดให้ทำแก้ "
"พูดผิดให้พูดแก้"
"คิดผิดให้คิดแก้"
ไม่ใช่ดันทุรังแบบนี้ ต่อให้อีกหน่อยนะ การไปบิณฑบาตนั้น เขาสำรวมระวังมาก ๆ ก็จะไปพูดกับโยมทำไมกลัวโยมไม่ใส่บาตด้วยแบ๊งค์เหรอ ....ก็ผิดวินัยอีกนะหนะ รับเงินน่ะ สงสัยในบัญชีเงินฝากมีเยอะละซีท่า แล้วแสดงอาบัติยังไงนี่ แสดงอาบัติว่าสละแล้ว แต่ยังมีบัญชีเงินฝากอยู่ ก็ต้องอาบัติเหมือนเดิม....นะท่านและรู้มั๊ยว่า ต้องอาบัติแล้ว บ่อยซ้ำแล้วซ้ำเล่าจะเป็นอย่างไร ...ไปหาอ่านนะ
โยมเขาเตือนแล้ว เห็นพระทำผิดโยมเตือนได้ก็มีอ้างอยู่ในพระไตรปิฎกเหมือนกัน...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2009, 21:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 เม.ย. 2009, 13:23
โพสต์: 607


 ข้อมูลส่วนตัว




1150332648_icsRockLee.jpg
1150332648_icsRockLee.jpg [ 43.03 KiB | เปิดดู 6633 ครั้ง ]
อยากคิดอะไรก็คิดกันไปเถอะครับ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2009, 21:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


nene เขียน:
เป็นพระวินัยนะนี่ท่าน ...
"พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ - หน้าที่ 940"
สงสัยคนที่คัดค้านสุดตัวจะปฎิบัติมาแล้วเลยไม่ยอม ผิดวินัยเชียวนา และพระพุทธองค์ก็ตรัสเรียกภิกษุที่ทำผิดวินัยว่า"โมฆบุรุษ"นะท่าน ด่าเลยนะ"โมฆบุรุษ"
"ทำผิดให้ทำแก้ "
"พูดผิดให้พูดแก้"
"คิดผิดให้คิดแก้"
ไม่ใช่ดันทุรังแบบนี้ ต่อให้อีกหน่อยนะ การไปบิณฑบาตนั้น เขาสำรวมระวังมาก ๆ ก็จะไปพูดกับโยมทำไมกลัวโยมไม่ใส่บาตด้วยแบ๊งค์เหรอ ....ก็ผิดวินัยอีกนะหนะ รับเงินน่ะ สงสัยในบัญชีเงินฝากมีเยอะละซีท่า แล้วแสดงอาบัติยังไงนี่ แสดงอาบัติว่าสละแล้ว แต่ยังมีบัญชีเงินฝากอยู่ ก็ต้องอาบัติเหมือนเดิม....นะท่านและรู้มั๊ยว่า ต้องอาบัติแล้ว บ่อยซ้ำแล้วซ้ำเล่าจะเป็นอย่างไร ...ไปหาอ่านนะ
โยมเขาเตือนแล้ว เห็นพระทำผิดโยมเตือนได้ก็มีอ้างอยู่ในพระไตรปิฎกเหมือนกัน...


พิจารณาข้อความที่เน้นไว้ซักนิดนะครับท่าน....เห็นอะไรไหมครับ... :b13:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 05:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การแสดงธรรมกับการให้พร นี่เป็นอันเดียวกันรึเปล่าครับ
คือผมมีความรู้สึกว่า เวลากำลังนั่งรับพร ตอนใส่บาตร กับเวลา
ฟังถ้อยคำเป็นบทธรรมเพื่อสอนสั่ง มันคนละอย่างกัน

ถ้าลักษณะที่เป็นพร พระท่านก็ไม่เห็นได้สอนอะไร
เพราะเปล่งแต่คาถา ที่เป็นภาษาบาลี ซึ่งผมก็ฟังแล้วไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร
แค่รู้สึกอิ่มใจยิ่งขึ้น ที่ได้ยินถ้อยคำอันเป็นมงคล ในยามเช้าๆของวันใหม่
และก็ไม่เคยรู้สึกในขณะฟังการให้พรเลย ว่าท่านกำลังสอนธรรมะ
แต่กลับรู้สึกถึงเจตนาของท่านว่า ท่านแค่กำลังอวยพรให้เราด้วยมงคลคาถา

สำหรับอาการของการแสดงธรรม ที่พระพุทธองค์ทรงห้าม
ผมว่าน่าจะหมายถึงการเจตนาเพื่อ อธิบายแจกแจงธรรมะ หรือสอนสั่ง
สำหรับให้อีกคนรับทราบ และเข้าใจเนื้อความตามที่สอนด้วย
คือต้องแสดงในภาษาเดียวกัน และฟังกันรู้เรื่องด้วย


ก่อนที่จะวิเคราะห์ว่า ผิดหรือถูก หากพระท่านให้พร
ผมว่า ลองวิเคราะห์ว่า อย่างไหนเรียกอาการของการแสดงธรรม
ในความหมายที่พระพุทธองค์ทรงห้ามปราม

และอย่างไหน เีรียกว่า การอวยพร หรือให้พร โดยไม่ใช่การสอนสั่ง
เสียก่อนน่าจะชอบกว่า

ผมไม่ได้เข้าข้างพระคุณเจ้าที่ให้พร แต่ผมรู้สึกดีที่พระคุณเจ้า
ได้โปรยถ้อยคำอันเป็นบาลี ถึงแม้ผมจะฟังไม่รู้เรื่องแต่ผมก็อิ่มสุขใจที่ได้รับ
และรู้ชัดอยู่ในใจขณะรับนั้นว่า พระท่านกำลังให้พร ไม่ได้สอนสั่ง


หรือว่าพระพุทธองค์ทรงห้ามการอวยพร หรือห้ามการให้พรด้วย ช่วยตอบที


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 09:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 08:58
โพสต์: 2

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การให้พร

พระบิณฑบาตให้พรควรหรือไม่

สมัยปัจจุบันมีโยมจำนวนมากเข้าใจผิดคิดว่าทำบุญใส่บาตรถวายทานแล้ว หากไม่ได้รับพรก็จะไม่ได้บุญหรือได้บุญน้อย เมื่อรับพรแล้วจะได้บุญเต็มที่ แม้พระท่านก็มีความเข้าใจเช่นนั้น เมื่อฉันอาหารหรือรับอาหารบิณฑบาตของโยมแล้ว หากไม่ให้พร โยมจะไม่ได้บุญ ความคิดของโยมกับพระสมัยนี้ตรงกัน คือโยมต้องการรับพรเพื่อจะได้บุญมาก ๆ พระต้องการให้พรเพื่อจะเอาบุญให้โยม

เมื่อเป็นอย่างนี้ โยมทำบุญ ใส่บาตรถวายทานแล้ว จึงขวนขวายแต่ในการรับพรอย่างเดียว บางท้องถิ่นจะถือเรื่องนี้อย่างจริงจัง พระรับบาตรต้องให้พรก่อน ถ้าไม่ให้พร โยมก็จะแสดงกิริยาอาการไม่พอใจ จนถึงต่อว่าต่อขานว่า “พระอะไรรับบาตรแล้วไม่ให้พร ใช้ไม่ได้” หรือบางครั้งถึงกับผูกโกรธพระรูปนั้นเลยทีเดียว และคิดอกุศลว่า “จะไม่ใส่บาตรพระรูปนี้อีกต่อไป” พอรุ่งขึ้น พระไปบิณฑบาต โยมก็ไม่ใส่บาตรจริง ๆ ตามที่คิดไว้ แค่นั้นยังไม่พอ โยมบางคนพยายามจำชื่อของพระรูปนั้นพร้อมที่อยู่ เอาไปฟ้องหลวงพ่อที่ปกครองในเขตนั้น ๆ เพื่อให้เรียกพระรูปนั้นมาอบรมสั่งสอน หลวงพ่อก็คล้อยตาม ถามโยมว่า “พระรูปนั้นชื่ออะไร อยู่ที่ไหน” โยมก็บอกว่า “พระชื่อนี้ อยู่วัดนั้นค่ะ” หลวงพ่อก็ให้โยมไปนิมนต์พระรูปนั้นมา แล้วอบรมพร่ำสอนเป็นการใหญ่ว่า “ท่าน เราเป็นสมณะ มีชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น ต้องทำตัวให้เป็นคนเลี้ยงง่าย บำรุงง่าย อย่าหัวดื้อ เวลาฉันอาหารหรือรับบาตรโยมแล้ว ควรให้พรทุกครั้ง ถ้าพระไม่ให้พร โยมจะไม่ได้บุญ จำไว้นะ ครั้งหน้าอย่าทำอย่างนี้อีก” จึงน้อมรับโอวาทโดยเคารพว่า “ผมจะไม่ทำผิดอย่างนี้อีกครับหลวงพ่อ” ถ้าพระรูปนั้นขืนทำผิดรอบสอง น่าจะโดนหนักกว่านี้แน่ เมื่อเป็นเช่นนี้พระที่ท่านมาจากต่างถิ่น ก็ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงขนาดนี้

ปัจจุบันประเพณีให้พรขณะบิณฑบาต ได้แพร่หลายไปยังภาคต่าง ๆ ของประเทศ เมื่อโยมชอบหรือต้องการอย่างใด พระท่านก็จะทำอย่างนั้น เพื่อเอาใจโยมไม่อยากขัดใจทั้งไม่อยากขัดศรัทธา เดี๋ยวจะเป็นการทำศรัทธาของโยมให้ตกไป เรื่องนี้อาจจะเป็นเพราะพระกลัวจะเสื่อมลาภ กลัวโยมจะไม่ใส่บาตร เมื่อเป็นอย่างนั้น ท่านขวนขวายในการให้พรอย่างจริงจัง ไม่สนใจว่าโยมจะรีบไปธุระหรือไม่ ถ้าโยมคนไหนเจอพระท่านให้พรชุดใหญ่ต้องนั่งประนมมือนานหน่อย เจอชุดเล็กก็เร็วหน่อย แต่โยมจะสาธุเสียงดัง คงคิดว่าพระท่านให้พรเยอะ ๆ ได้บุญมาก โยมบางคนไม่ชอบ ก็นั่งบิดไปบิดมา กว่าพระท่านจะให้พรจบบางครั้งไปทำงานแทบไม่ทัน

เวลาบิณฑบาตในตลาดตอนเช้า พระจะนิยมให้พรแข่งกันจนเสียงดัง ดูเหมือนเป็นการประจบโยม เพื่อลาภสักการะ เพื่อให้โยมศรัทธา สถานที่กลางตลาดเช่นนั้น ผู้คนเดินสวนกันไปสวนกันมา โยมเบียดพระ พระเบียดโยม มือหิ้วของ บ่าสะพายย่าม อุ้มบาตรเดินไป ดูแล้วไม่เหมาะสม ไม่งามเลย

ความจริงเรื่องบุญนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่ตรงที่พระท่านให้พร หรือไม่ให้พรแต่อย่างใด บุญนั้นเกิดขึ้นอยู่ที่เจตนาในการให้ทาน เมื่อมีเจตนาในการให้เกิดขึ้น บุญก็เกิดขึ้นในขณะนั้น จะเห็นได้ว่าบางครั้งไม่ได้ถวายทาน ทั้งยังไม่ได้ใส่บาตร บุญก็เกิดขึ้นได้ เช่น โยมคิดว่าพรุ่งนี้เช้า จะไปทำบุญเลี้ยงพระที่วัด ขณะนั้นเจตนาในการบริจาคทานเกิดขึ้นแล้วบุญก็เกิดขึ้น (เรียกว่าบุพพเจตนา), พอถึงตอนเช้าโยมก็ไปทำบุญเลี้ยงพระตามที่คิดไว้ ในขณะจัดอาหารหวานคาว หรือถวายอาหารพระบุญก็เกิดอยู่ตลอด (เรียกว่ามุญจเจตนา), หลังจากถวายทานเสร็จแล้ว โยมระลึกถึงทานที่ทำไปแล้วเมื่อใด บุญก็เกิดขึ้นเมื่อนั้น (เรียกว่าอปรเจตนา), ระลึกถึงบ่อย ๆ บุญก็เกิดบ่อย ๆ ถึงโยมจะได้รับพรหรือไม่ก็ตาม นี้เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า บุญสามารถเกิดได้ทั้งก่อนให้ทาน ขณะกำลังให้ทานและหลังจากให้ทานแล้ว ไม่เกี่ยวกับการให้พร หรือรับพรแต่อย่างใด ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า

“ทานจะมีผลมาก มีอานิสงส์มากต้องมีเจตนาประกอบด้วยกาลทั้ง ๓ คือ

๑. ปุพพเจตนา ได้แก่ เจตนา คือ ความตั้งใจที่เกิดขึ้นก่อนการให้ทานมีใจชื่นชมยินดี เมื่อเริ่มคิดว่า “เราจะทำบุญให้ทาน” ในวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ เป็นต้น

๒. มุญจเจตนา ได้แก่ เจตนา คือ ความตั้งใจที่เกิดขึ้นในขณะกำลังให้ทาน เช่น กำลังใส่บาตร กำลังถวายทานเป็นต้น ก็มีใจเลื่อมใส

๓. อปรเจตนา ได้แก่ ความตั้งใจที่เกิดขึ้นภายหลังการให้ทานเสร็จแล้ว มีใจปลาบปลื้ม นึกถึงทานครั้งใด ปลื้มใจทุกครั้ง” (องฺ.ฉกฺก. ๓/๖๒๘)

สรุป โยมเวลาทำบุญใส่บาตรถวายทานแล้ว อย่าวุ่นวายอยู่กับการรับพรให้มากนัก จิตใจจะขุ่นมัว เปิดโอกาสให้กิเลสเข้ามาแทรกได้ง่าย บุญก็จะไม่เกิด พระท่านจะให้พรหรือไม่ โยมอย่าถือเอาเป็นสาระจริงจัง เมื่อเจตนาครบทั้ง ๓ กาลแล้ว อานิสงส์จะงอกงามไพบูลย์ยิ่งขึ้น ดังได้กล่าวมาแล้ว


มูลเหตุของการอนุโมทนา

สมัยก่อน การแสดงธรรมในรูปแบบพรรณนาอานิสงส์ ของการทำบุญให้ทาน เรียกว่า “อนุโมทนา” แต่ปัจจุบันใช้คำเปลี่ยนไปเป็น “ให้พร”

สมัยพุทธกาล พระทั้งหลายฉันเสร็จแล้ว ไม่อนุโมทนาในโรงฉัน พวกโยมก็เพ่งโทษติเตียน บ่นว่า “ทำไม สมณะเชื้อสายศากยบุตร จึงไม่อนุโมทนาในโรงฉัน” พระทั้งหลายได้ยินพวกญาติโยมเหล่านั้น ตำหนิติเตียนเช่นนี้ จึงกราบทูลเรื่องนี้แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ทรงอาศัยมูลเหตุนั้นแล้วตรัสรับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้อนุโมทนาในโรงฉันได้” (วิ.จุล. ๗/๓๔๓)

พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้พระอนุโมทนาในโรงฉันได้ แต่ไม่ได้อนุญาตให้อนุโมทนาตอนบิณฑบาต พระพอฉันภัตตาหารเสร็จจะอนุโมทนาทุกครั้ง การอนุโมทนา ก็คือ การพรรณนาอานิสงส์ของการทำบุญให้ทานนั่นเอง เป็นการแสดงธรรมอย่างหนึ่ง หรือเรียกว่า “สัมโมทนียกถา คือ การแสดงอานิสงส์ของการทำบุญให้ทาน เพื่อให้ญาติโยมร่าเริงสมาทานอาจหาญ ในการทำบุญให้ทานยิ่ง ๆ ขึ้น”


พระบิณฑบาตไม่ควรให้พร

ในเวลาบิณฑบาตพระต้องสำรวมตา ซึ่งเป็นวัตรอย่างหนึ่งต้องประพฤติในคราวเข้าไปในละแวกบ้าน คือ มีตาทอดลงเบื้องต่ำมองดูชั่วแอก เวลาไปบิณฑบาตควรนำกรรมฐานไปด้วย เวลากลับก็นำกรรมฐานกลับด้วย ถ้าหากว่ามัวแต่จะให้พรโยม ความสำรวมก็จะเสียไป พระท่านยืนให้พร โยมนั่งรับพร ยิ่งไม่สมควรถือว่าไม่เคารพธรรม

ดังนั้น พระยืนแสดงธรรม แก่คนที่นั่งไม่ได้ป่วยไข้ ต้องอาบัติทุกกฏ ดังตัวอย่างที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้ว่า “ภิกษุควรใส่ใจว่า เรายืนอยู่ จะไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ผู้นั่งอยู่” (วิ.มหาวิ. ๒/๙๔๐)

“ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ยืนแสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ผู้นั่งอยู่ ต้องอาบัติทุกกฏ” (วิ.มหาวิ. ๒/๙๔๑)

มีวิธีหนึ่งที่สามารถทำได้ คือ เวลาพระไปบิณฑบาต ถ้าโยมต้องการให้ท่านอนุโมทนา ใส่บาตรเสร็จแล้วนิมนต์ท่าน เมื่อพระท่านอนุโมทนา โยมควรยืนขึ้นถอดรองเท้า และหมวกเป็นต้น ประนมมือรับฟัง หรือถ้าหาเก้าอี้ให้ท่านนั่ง โยมจะยืนหรือนั่งฟังท่านอนุโมทนา อย่างนี้ก็ใช้ได้ พระไม่ต้องอาบัติทุกกฏ และชื่อว่าเคารพพระธรรม ทั้งพระและโยม

ดังตัวอย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า “ภิกษุนั่ง จะแสดงธรรมแก่คนผู้ยืนอยู่หรือนั่งอยู่ก็ควร (ไม่เป็นอาบัติ) ภิกษุยืน จะแสดงธรรมแก่ผู้ยืนอยู่เหมือนกันก็ได้ (ไม่ต้องอาบัติ)”

(วิ.มหาวิ.อฏ. ๒/๙๖๓)

บางท้องถิ่น พระจะสอนโยมว่า เวลาใส่บาตรให้เอาเสื่อมาปูนั่งรวมกันหลาย ๆ คน เอาเก้าอี้มาให้พระท่านนั่ง แล้วจึงอนุโมทนา อย่างนี้ก็สมควรเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นโยมผู้หญิงคนเดียว พระภิกษุจะอนุโมทนา (แสดงธรรม) เป็นภาคภาษาบาลี คือ เป็นคาถายาวเกิน ๖ คำไม่ได้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เว้นแต่มีผู้ชายที่รู้เดียงสา มานั่งเป็นเพื่อน ดังตัวอย่างที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้ว่า “ภิกษุใด แสดงธรรมแก่ผู้หญิงเกิน ๕-๖ คำ เว้นไว้แต่มีบุรุษผู้รู้เดียงสาอยู่ เป็นปาจิตตีย์” (วิ.มหาวิ. ๒/๑๙๐)

อธิบาย วาจา ๖ คำ หมายความว่า
๘ คำ (พยางค์) เท่ากับ ๑ บาท (บาทคาถาหนึ่งมี ๘ พยางค์)
๔ บาท เป็น ๑ คาถา (คาถาหนึ่ง มี ๔ บาท)
วาจา ๑ คำ เท่ากับ บาทคาถาหนึ่ง หรือเรียกว่า (บทหนึ่ง)
วาจา ๖ คำ เท่ากับ คาถาครึ่ง (มี ๖ บาท)
คำที่ ๑ คำที่ ๒
ตัวอย่าง มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา
คำที่ ๓ คำที่ ๔
มนสา เจ ปสนฺเนน ภาสติ วา กโรติ วา
คำที่ ๕ คำที่ ๖
ตโต นํ สุขมเนฺวติ ฉายา ว อนุปายินี. (ขุ.ธ.)

พระต้องการจะกล่าวเนื้อความ ในคัมภีร์อรรถกถา หรือธรรมบท หรือชาดก เป็นต้น จะกล่าวเพียง ๕-๖ บท (บาท) ควรอยู่ เมื่อจะกล่าวพร้อมกับบาลี กล่าวธรรมอย่าให้เกิน ๖ บาท คือ จากพระบาลีบทหนึ่ง จากอรรถกถา ๕ บท (วิ.มหาวิ.อฏ. ๒/๑๙๓)

พระจะแสดงธรรมแก่ผู้หญิงคนเดียว เป็นคาถาได้เพียงคาถาครึ่ง (๖ คำ) นอกนั้นต้องบรรยายเป็นภาษาไทย ถ้ามีผู้หญิงหลายคนนั่งอยู่รวมกัน เมื่อแสดงธรรม พระต้องบอกว่า “อาตมาจะแสดงธรรมแก่พวกโยมคนละคาถานะ” แล้วก็แสดงไป อย่างนี้ไม่เป็นอาบัติ หรือถ้าโยมผู้หญิง ถามปัญหาธรรม พระตอบปัญหาได้จนจบเรื่อง แม้ว่าเรื่องนั้นยาวขนาดไหน เช่น โยมถามว่า “ทีฆนิกายมีเนื้อความอย่างไร” พระสามารถแสดงธนจบทีฆนิกายก็ได้ ไม่ต้องอาบัติ

(วิ.มหาวิ.อฏ. ๒/๑๙๔)

ถ้าพระแสดงธรรมเป็นภาษาไทย หรือภาษาอื่น นอกจากภาษาบาลี แม้แสดงยาวก็ไม่ต้องอาบัติ ตัวอย่างที่ท่านแสดงไว้ว่า “ไม่เป็นอาบัติ แม้ในคำที่อาศัยพระนิพพาน ซึ่งท่านรจนาไว้โดยผูกเป็นโคลงกลอน เป็นต้น ด้วยอำนาจภาษาต่าง ๆ”

(วิ.มหาวิ.อฏ. ๒/๑๖๑)

เวลาบิณฑบาตในสถานที่ต่าง ๆ มีตลาดเป็นต้น ที่มีผู้คนพลุกพล่าน พระยืนให้พร โยมนั่งรับพรอย่างนี้ ไม่สมควรอย่างมาก ถือว่าไม่รู้จักกาลเทศะ ทั้งไม่เคารพธรรม แม้พระนั่งอยู่บนอาสนะต่ำ แสดงธรรมแก่คนไม่ได้เป็นไข้นั่งอยู่บนอาสนะสูง ก็ถือว่าไม่เคารพธรรมเหมือนกัน และต้องอาบัติทุกกฏด้วยเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงอิริยาบถยืนเลย

เรื่องความไม่เคารพธรรมนี้ พระพุทธองค์ทรงตำหนิติเตียนพระฉัพพัคคีย์ผู้นั่งอยู่อาสนะต่ำ แสดงธรรมแก่คนทั้งหลาย ผู้นั่งอยู่บนอาสนะสูงโดยอเนกปริยาย จึงตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ภรรยาของคนจัณฑาลคนหนึ่งในเมืองพาราณสีได้ตั้งครรภ์ เกิดอาการแพ้ท้องอยากกินมะม่วง นางได้บอกกับสามีว่า “พี่ หนูกำลังตั้งครรภ์ หนูอยากกินมะม่วงจังเลย” สามีพูดตอบว่า “ฤดูนี้ไม่ใช่ฤดูมะม่วงออกผล จะเอาผลมะม่วงมาจากไหนกัน” นางอ้อนสามีว่า “ถ้าหนูไม่ได้กินมะม่วง หนูขอตายดีกว่า” ช่วงเวลานั้น ต้นมะม่วงต้นหนึ่งของหลวงออกผลตลอดปี คนจัณฑาลกลัวภรรยาตาย ก็ได้เดินไปที่มะม่วงต้นนั้น พอไปถึงก็ได้แอบปีนขึ้นไปนั่งอยู่บนต้นมะม่วงนั้น พอดีพระเจ้าแผ่นดินได้เสด็จไปถึงต้นมะม่วงนั้น แล้วประทับนั่งบนพระราชอาสน์สูง ทรงเรียนมนต์กับพราหมณ์ปุโรหิต คนจัณฑาลคิดว่า “พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ ประทับนั่งบนพระราชอาสน์สูงเรียนมนต์ ชื่อว่าไม่เคารพธรรม และพราหมณ์คนนี้นั่งบนอาสนะต่ำสอนมนต์แก่พระเจ้าแผ่นดิน ผู้ประทับนั่งบนพระราชอาสน์สูง ก็ชื่อว่าไม่เคารพธรรม ส่วนเราผู้ลักมะม่วงของหลวง เพราะสตรีเป็นเหตุ ก็ชื่อว่าไม่เคารพธรรมเหมือนกัน การกระทำนี้ล้วนต่ำทรามทั้งสิ้น โลกนี้ทั้งหมด ถึงความยุ่งเหยิงไม่มีเขตแดนเสียแล้ว” พอคิดเสร็จจึงได้ไต่ลงมาจากต้นมะม่วง ได้ยืนอยู่ข้างหน้าของพรเจ้าแผ่นดินและพราหมณ์ ทั้งสองนั้นแล้วกล่าวคาถาขึ้นว่า

“ทั้งสองไม่รู้อรรถ ทั้งสองไม่เห็นธรรม คือพราหมณ์ผู้สอนมนต์โดยไม่เคารพธรรม และพระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงเรียนมนต์ก็ไม่เคารพธรรม”

พราหมณ์นั้นกล่าวคาถาตอบว่า

“เพราะข้าวสุกแห่งข้าวสาลีอันขาวผสมกับแกงเนื้อ ข้าพเจ้าบริโภคแล้ว ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ได้ประพฤติอยู่ในธรรม ที่เหล่าพระอริยะเจ้าสรรเสริญแล้ว”

คนจัณฑาลนั้น ได้กล่าวสอนพราหมณ์สองคาถาว่า

“ท่านพราหมณ์ เราติเตียนการได้ทรัพย์และการได้ยศ เพราะนั่นเป็นการเลี้ยงชีพโดยความเป็นเหตุให้ตกต่ำ และเป็นการเลี้ยงชีพโดยทางที่ไม่ชอบธรรม จะมีประโยชน์อันใดด้วยการเลี้ยงชีพเท่านั้น ท่านจงรีบออกไปจากประเทศนี้เสียเถิดท่านพราหมณ์ แม้สัตว์ที่มีชีวิตเหล่าอื่น ก็ยังหุงหาอาหารกินได้ อธรรมที่ท่านได้ประพฤติมาแล้ว อย่าได้ทำลายท่าน ดุจก้อนหินทำลายหม้อน้ำ ฉะนั้น”

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในกาลครั้งนั้น พราหมณ์นั่งบนอาสนะต่ำสอนมนต์แก่พระเจ้าแผ่นดินผู้ประทับนั่งบนพระราชอาสน์สูง ยังไม่เป็นที่พอใจของเรา ไฉนในกาลบัดนี้ (เรา) จักพอใจที่ภิกษุนั่งบนอาสนะต่ำ แล้วแสดงธรรมแก่คนนั่งบนอาสนะสูงเล่า” เมื่อทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบทห้ามไว้ว่า “ภิกษุพึงใส่ใจปฏิบัติว่า เรานั่งบนอาสนะต่ำ จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ ผู้นั่งบนอาสนะสูง” (วิ.มหาวิ. ๒/๙๔๐)

“ภิกษุใด อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งบนอาสนะต่ำแสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ผู้นั่งบนอาสนะสูง ต้องอาบัติทุกกฏ”

(วิ.มหาวิ. ๒/๙๔๐)

พระธรรมเป็นเครื่องชี้ทางบรรเทาทุกข์ ชี้สุขเกษมศานต์ ชี้ทางพระนฤพานที่พ้นโศกวิโยคภัยแก่สรรพสัตว์ พระสัทธรรมมีค่ามากกว่าวัตถุสิ่งของใด ๆ ในโลก ไม่สามารถประเมินพระธรรมเป็นราคาได้

พระพุทธองค์สมัยเป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีอยู่ ได้ฟังธรรมจากสำนักพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ ซาบซึ้งในรสพระธรรมมองไม่เห็นไทยธรรมอื่นใดมีค่าคู่ควรแก่การบูชาพระธรรมเลย นอกจากศีรษะอันเป็นอวัยวะสูงสุดของตนเท่านั้น จึงได้ตัดศีรษะบูชาพระธรรม

แม้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ทรงเคารพพระธรรมมาก ถ้าพระองค์ทรงได้เห็นได้ยินใครแสดงอาการไม่เคารพพระธรรม จะทรงตำหนิติเตียนอย่างแรงว่า “ดูก่อนโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั้นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว”

เรื่องการเคารพพระธรรมพระพุทธองค์ทรงประพฤติเป็นแบบอย่างมาแล้ว ถ้าพระภิกษุแสดงธรรมอยู่ในที่ไม่ไกล พระองค์จะเสด็จไปประทับยืนฟังธรรมอยู่ที่ใกล้ และจะไม่เข้าไปในระหว่างที่พระภิกษุแสดงธรรมยังไม่จบ ต่อเมื่อแสดงธรรมจบแล้ว จึงเสด็จเข้าไป เพราะพระองค์เคารพพระธรรม และไม่ต้องการจะรบกวนการแสดงธรรม

ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี สมัยนั้นท่านพระนันทกะ แสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายทำให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน อาจหาญร่าเริง ในอุปัฏฐานศาลา พระพุทธเจ้าทรงสดับเสียงการแสดงธรรมอันไพเราะของพระนันทกะที่กำลังแสดงอยู่จึงตรัสถามพระอานนท์ว่า ใครแสดงธรรมด้วยถ้อยคำอันไพเราะในศาลานั้น พระอานนท์ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญวันนี้เป็นวาระ (แสดงธรรม) ของพวกพระนันทกเถระผู้เป็นธรรมกถึก พระองค์จึงตรัส (ชมเชย) ว่า อานนท์ ภิกษุนั่นแสดงธรรมไพเราะยิ่งนัก แม้เราก็จะไปฟัง ตอนนั้นเป็นเวลาเย็นพอดี พระองค์ทรงเสด็จเข้าไปยังอุปัฏฐานศาลา ทรงปิดบังฉัพพรรณรังสีไว้ในกลีบจีวรแล้วประทับยืนด้วยเพศที่ไม่มีใครรู้จัก ฟังธรรมกถาอยู่ ณ ซุ้มประตูด้านนอก เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้วท่านพระอานนท์ได้ทูลถวายสัญญาว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปฐมยามล่วงไปแล้ว ขอพระองค์ทรงพักผ่อนสักหน่อยเถิด พระพุทธเจ้าก็ทรงประทับยืนอยู่ ณ ที่นั้นนั่นแล เมื่อเลยมัชฌิมยามไปแล้ว ท่านก็ได้ทูลอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญพระองค์เป็นขัตติยสุขุมาลชาติโดยปกติทรงเป็นพระพุทธเจ้าสุขุมาลชาติ ทรงเป็นสุขุมาลชาติอย่างยิ่ง มัชฌิมยามก็ล่วงไปแล้ว ขอจงทรงพักผ่อนสักครู่เถิด พระพุทธเจ้าก็ทรงประทับยืนอยู่ ณ ที่นั้นนั่นเอง ตลอดทั้งคืน จนอรุณขึ้น อรุณขึ้นก็ดี การจบธรรมกถาก็ดี การเปล่งฉัพพรรณรังสีของพระทศพลก็ดี ได้มีพร้อมในคราวเดียวกัน

ครั้นทรงทราบว่ากถาจบแล้ว ทรงกระแอม และทรงเอาปลายพระนขาเคาะที่บานประตู ภิกษุเหล่านั้นเปิดประตูให้พระพุทธเจ้า เสด็จเข้าไปยังอุปัฏฐานศาลา ประทับนั่งบนบวรพุทธอาสน์ที่ปูลาดไว้ดีแล้ว ลำดับนั้น พระองค์ได้ตรัส (ชมเชย) ท่านพระนันทกะว่า “ดูก่อนนันทกะ ธรรมบรรยายของเธอนี้ยาวมาก แจ่มแจ้งแก่ภิกษุ เรายืนรอฟังจนจบกถาอยู่ที่ซุ้มประตูด้านนอกจนเมื่อยหลัง” (องฺ.นวก.อฏ. ๔/๗๑๓-๗๑๙)

เราเหล่าพระภิกษุเป็นพระสมณะเชื้อสายศากยบุตร เมื่อได้ทราบปฏิปทาของพระบรมศาสดาเช่นนี้แล้ว ยิ่งต้องเคารพพระสัทธรรมให้มาก ต้องทำความยำเกรง หวงแหนพระสัทธรรมยิ่งกว่าชีวิต อย่าเห็นแก่ลาภสักการะเล็ก ๆ น้อย ๆ จนลืมธรรม อย่าเอาธรรมอันมีค่าสูงยิ่งไปแลกกับอาหารของชาวบ้าน เหมือนเอาเพชรที่มีค่ามากไปแลกกับถ่านที่ไร้ค่า ฉะนั้น พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า

“นรชน (บุคคล) พึงสละทรัพย์ เพราะเหตุแห่งอวัยวะที่ประเสริฐกว่า เมื่อจะรักษาชีวิต พึงสละอวัยวะ(อันเป็นที่รักยิ่ง)เสีย เมื่อตามระลึกถึงธรรม (รักษาพระธรรม) พึงสละอวัยวะ ทรัพย์ และแม้ชีวิตได้ทั้งหมด” (ขุ.ชา.๔/๖๓๔, วิสุทฺธิ. ๑๖๑)

ผู้ต้องการจะรักษาพระธรรม ควรน้อมเอาพระพุทธพจน์บทนี้มาไว้ในใจ ถ้าเห็นใครแสดงอาการไม่เคารพธรรม ก็ไม่ควรแสดงธรรมให้ฟัง ธรรมแม้มีค่ามาก แต่ไม่เกิดประโยชน์อะไรแก่บุคคลผู้ไม่ต้องการ เหมือนเอาพลอยที่มีค่าให้แม่ไก่ ๆ ไม่ต้องการก็เขี่ยทิ้งไป ฉะนั้น
ประเพณีเป็นเหตุให้เข้าใจผิดได้

แต่บางสถานที่มีประเพณีไม่เหมือนกัน ก็เป็นเหตุให้เข้าใจผิดพลาดได้ เช่น ในกรณีของคนไทย ถ้าพระยืนอยู่โยมนั่ง ถือว่าแสดงความเคารพแล้ว ปัจจุบันมีพระธรรมกถึกหลายรูปไปแสดงธรรมตามที่ต่าง ๆ ยืนบรรยายธรรมบนแสตน (แท่นยืน) โยมก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ฟังธรรม ดูแล้วเหมือนจะถูกต้อง แต่ก็ไม่ถูก ทำให้ต้องอาบัติตามสิกขาบทที่กล่าวมาแล้วนี้ ถ้าพูดถึงทางธรรมวินัยแล้ว การยืนฟังธรรมถือว่าแสดงความเคารพ เช่น พระยืนแสดงธรรม โยมต้องยืนฟังธรรม ถ้าพระนั่งแสดงธรรม โยมจะนั่งฟังหรือยืนฟังธรรมก็ได้ ถือว่าแสดงความเคารพ

เหตุผลที่กล่าวมานี้ จึงพอสรุปได้ว่า พระภิกษุ คือ ผู้นำทางศาสนา เป็นหัวหน้าของพุทธบริษัททั้ง ๔ เมื่อเห็นญาติโยมทำอะไรไม่ถูกไม่ควร ต้องเอาธุระแนะนำหรือพร่ำสอน ชี้ผิดชี้ถูกตามเหตุผลที่พระพุทธเจ้าทรงอธิบายไว้ เช่น บอกโยมว่า “โยมต้องการรับพร (ฟังธรรม) ให้ยืนขึ้น ถ้าโยมนั่ง พระยืนถือว่าไม่เคารพธรรม” เป็นต้น

ในสมัยปัจจุบันนี้ มีพระบางรูปไม่รู้วินัย เมื่อโยมใสบาตรเสร็จแล้วก็ให้พร ฉะนั้น โยมควรยืนประนมมือรับพร ด้วยการทำอย่างนี้ ก็ชื่อว่า ช่วยเปลื้องท่านให้พ้นจากอาบัติ และโยมก็ได้ชื่อว่าแสดงความเคารพพระสัทธรรมด้วย

ที่มา::วินัยพระน่ารู้คู่มือโยม::http://www.raksa-dhamma.com


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 10:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เฮ้อ.............ทำไมเรื่องเท่านี้ จึงมาเป็นเรื่องใหญ่สำคัญไปได้

ผมคิดว่า การที่พระคุณเจ้าบางท่าน พูดคุยอวดฤทธิ์เดช
ชอบพูดทายทัก ชอบพูดดักสองแง่สองง่าม ให้ดูว่ารู้วาระจิต

พูดประจบเอาใจ พูดร้องขายเทวดา พูดแฝงนัยให้รู้ว่า ฉันเป็นอริยะ
พวกนี้น่ารังเกียจกว่า พระที่สวดอวยพร ตอนเช้าๆซะอีก

ข้อวัตร ข้อปฏิบัติบางอย่าง ก็ไม่แน่ว่า ที่ถือเอาไว้อย่างเคร่งครัด
เพราะต้องการรักษา ให้ตรงเป๊ะตามตัวหนังสือ หรือต้องการรักษา
เพื่อให้ดูเหนือกว่าใครๆดีเด่นกว่าใคร หรือสำหรับปิดบังความกลวงข้างใน


พระพุทธเจ้าทรงตรัสเองว่า แม้แต่พระอรหันต์ผู้มีศีลบริสุทธิ์แล้ว
ก็ยังมีโอกาส ล่วงอาบัติ และต้องออกจากอาบัติอยู่
เว้นแต่อาบัติซึ่งเป็นอธิพรหมจรรย์ ที่ท่านไม่มีวันก้าวล่วง

วินัยเปรียบเหมือนกฏระเบียบประจำสำนัก หรือเหมือนตัวกฏหมาย
ศีลอริยมรรค คือตัวศีลธรรม ซึ่งเป็นตัวศีลแท้ๆ

พระอริยเจ้าทุกท่านล้วนมีศีลอริยมรรคที่สมบูรณ์ จิตเต็มเปี่ยมไปด้วยศีลธรรม
แต่ก็พร้อมจะล่วงในส่วนวินัย และต้องออกจากอาบัิติอยู่ เว้นอาบัติอธิพรหมจรรย์


กฏหมาย หรือกฏระเบียบประจำสำนัก ไม่สามารถจะใช้กฏเดิมได้ตลอดไป
ต้องมีการปรับเปลี่ยน เพิ่มเติม ตัดออก อยู่ตลอดมาทุกยุคทุกสมัย
แม้ปัจจุบันนี้ ก็มีรัฐธรรมนูญตั้งหลายฉบับ

วินัยก็เหมือนกัน แม้ยุคที่พระองค์ยังทรงพระชนชีพอยู่
วินัยบางข้อเคยตรัสไปแล้ว พอเจอเหตุการณ์ใหม่ๆท่านก็ต้องเรียกประชุม
เพื่อแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบรรญัติเดิม

และพระองค์ก็ทรงเข้าใจธรรมชาติของวินัยดี จึงทรงสั่งเสียไว้ในวาระสุดท้ายว่า
หากพระองค์จากไปแล้ว กาลข้างหน้าถ้าภิกษุมองว่าวินัยข้อไหนควร
แก้ไขเปลี่ยนแปลงก็แก้ไขได้ เพราะท่านรู้ดีว่า ตัวกฏระเบียบ
ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องมีการเคลื่อนไหว ได้ตลอดเวลา ไม่ใช่ตายตัว
เว้นแต่วินัยข้อห้ามที่เป็นแกนหลัก ห้ามเปลี่ยนแปลงแก้ไข ส่วนข้อ
วินัยปลีกย่อม สามารถปรับได้ตามเห็นสมควร

หากภิกษุคิดจะรักษาวินัยให้ตรงตามบาลีเป๊ะๆ ก็มีไม่รู้อีกกี่ข้อต่อกี่ข้อ
ที่ล่วงกันจนเป็นปกติ แต่ไม่ได้ให้ความสนใจ นำมาตรวจสอบ
นำมาเพ่งวิจารณ์

หากจะสนใจกันจริงๆก็นับอาบัติทุกกฏกันไม่หวาดไม่ไหว

แล้วจะมาเอาดีเอาเด่นอะไร จริงจังอะไรกันนักหนา กับการให้พร

:b41: :b41: :b41: :b41: :b41:


แก้ไขล่าสุดโดย บัวศกล เมื่อ 24 พ.ค. 2009, 16:02, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 10:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 16:59
โพสต์: 79

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างถึง : แล้วจะมาเอาดีเอาเด่นอะไร จริงจังอะไรกันนักหนา กับการให้พร


ก็อย่างว่าแหละครับ
บัวในตม / บัวใต้น้ำ / บัวปลิ่มน้ำ / บัวพ้นน้ำ

จะไปอธิบายอะไรกันหนักหนา เมื่อบัวที่พ้นน้ำไปแล้ว จะพยายามอธิบายให้บัวในตมเข้าใจว่าอยู่เหนือน้ำนั้นมันเป็นอย่างไรและมีอะไรบ้าง เหนื่อยเปล่าครับ

เมื่อเขาอยู่ตรงไหนเขาก็ย่อมพอใจ เข้าใจในตรงที่เขาอยู่และคิดว่าดีแล้ว

อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับคนๆ นั้นแหละครับ ว่าจะคิดพิจารณาอย่างไร ปัญญามีกันทุกคนทุกท่าน จะมากจะน้อย จะเข้าใจง่าย จะเข้าใจยาก ก็ตามแต่สร้างมายังไง สั่งสมมายังไง ยังไงซะทุกความคิดเห็นก็ตั้งอยู่ด้วยความปรารถนาดี เพื่อต้องการให้ผู้อื่นได้นำไปใช้ประกอบการพิจารณาว่า จะเชื่อหรือไม่ประการใด

การสนทนาธรรม เป็นเรื่องที่ต้องใช้ศรัทธาและความเชื่อ ในเมื่อมีศรัทธาเหมือนกันเพียงแต่มีความเชื่อที่ไม่ตรงกัน ซึ่งก็ต้องมีการโต้แย้งกันเป็นธรรมดาเพราะ มีพื้นฐานความรู้ในธรรมต่างกัน ฉะนั้นก็ต้องศึกษาให้รอบด้าน รอบคอบ เพื่อจะช่วยให้ศรัทธาและความเชื่อนั้นมีเหตุมีผลอธิบายได้ จับต้องได้ ปฏิบัติได้และเกิดประโยชน์สูงสุด

โต้แย้งบ้าง เห็นด้วยบ้าง การสนทนาธรรม จึงจะมีรสที่ตรึงใจครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 14:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บัวที่อวดโฉม โผล่ชูช่อ ลอยคอเหนือผิวน้ำ รออรุณมาอาบแสง
บัวพวกนี้อีกไม่นานก็โรยรา หรือไม่ก็โดนเด็ดเอาไปถ้าสวยนัก

บัวที่อยู่ฝังลึกในเปือกตม ก็เพราะห่วงเง่า กลัวเง่าเหงาจึงคิดอยู่เป็นเพื่อน

ใครจะลอยชูคอไปไหน บัวศกลก็พอใจ สงบนิ่งในเปือกตม
ไม่คิดไปชูคอแย่งแสงแข่งกับใคร

ชื่อของข้าพเจ้าก็บอกอยู่แล้ว ว่าคือบัวไม่สมประกอบ

บัว..........คือดอกไม้ที่สมัยโบราณใช้ให้แทนใจรัก

ศกล.......หมายถึง......ส่วน เสี้ยว ซีก

บัวศกลรวมกัน.......ก็คือบัวไม่เต็มบัว หรือบัวไม่เต็มเต็ง

แล้วทำไมผมจะต้องแปลกใจ เมื่อท่านบัวพ้นน้ำจะยกตำแหน่งให้เป็นบัวในตม
อีกหนึ่งรายการ ................ด้วยความเต็มใจครับกระผม

:b15: :b15: :b15: :b15: :b15: :b15: :b15:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2009, 13:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2009, 09:03
โพสต์: 81


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
บัวที่อวดโฉม โผล่ชูช่อ ลอยคอเหนือผิวน้ำ รออรุณมาอาบแสง
บัวพวกนี้อีกไม่นานก็โรยรา หรือไม่ก็โดนเด็ดเอาไปถ้าสวยนัก

บัวที่อยู่ฝังลึกในเปือกตม ก็เพราะห่วงเง่า กลัวเง่าเหงาจึงคิดอยู่เป็นเพื่อน

ใครจะลอยชูคอไปไหน บัวศกลก็พอใจ สงบนิ่งในเปือกตม
ไม่คิดไปชูคอแย่งแสงแข่งกับใคร


:b11: เจ้าบทเจ้ากลอนจริงนะ

อ้างคำพูด:
ใครจะลอยชูคอไปไหน บัวศกลก็พอใจ สงบนิ่งในเปือกตม
ไม่คิดไปชูคอแย่งแสงแข่งกับใคร


:b8: จริงเหรอ แล้วเข้ามาตอบทำไม่เนี๋ย :b34:

อ้างคำพูด:
สงบนิ่งในเปือกตม
ไม่คิดไปชูคอแย่งแสงแข่งกับใคร
:b28:

อ้างคำพูด:
หากจะสนใจกันจริงๆก็นับอาบัติทุกกฏกันไม่หวาดไม่ไหว

แล้วจะมาเอาดีเอาเด่นอะไร จริงจังอะไรกันนักหนา กับการให้พร


:b33: คิดอย่างนี้ก็ไม่รู้ว่าพระพุทธองค์จะทรงบำเพ็ญบารมีมาเพื่อการตรัสรู้เป็นพระพุทธะ ทำไม หรือที่พระองค์คิดแล้วว่าธรรมะของพระองค์ลึกซึ้งนัก ยากที่หมู่สัตว์จะรู้เรียนและรู้กันได้ จนพรหมต้องมาอาราธนาให้แสดงธรรมโปรดแก่หมู่สัตว์ เพื่อจะได้รู้ตาม และทรงอุตส่าห์เหนื่อยยากแสดงธรรมจนพระชนม์อายุ 80 ปี ตลอด 45 พรรษา ทั้งกลางวันและกลางคืน โอ้โฮ ! ช่างคิดได้..... :b25: ลืมจริง ๆ ลืมพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น :b34: :b34: :b34: :b34: :b34:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2009, 18:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อุตส่าห์ช่วยแก้ต่างแทนพระคุณเจ้า เกือบค่อนประเทศที่ให้พรจนสุดแรงเกิดแระ

แต่ก็ยังมีบัณฑิต ผู้ไม่ฝักใฝ่ ในการให้พรของพระคุณเจ้า มาคอยคัดค้าน
และไม่เห็นด้วยอย่างสุดชีวิต

คงแล้วแต่เวรแต่กรรมของพระคุณเจ้าท่านเองน่าจะดีกว่า เพราะผมทำไมต้องไปยุ่ง
กับวินัยของท่านด้วย ใส่บาตรยามเช้า ท่านเมตตาจะให้พรผมก็รับ
ท่านไม่ให้พร ผมก็ไม่รับ ขี้เกียจไปยุ่งกับวินัยพระ และขี้เกียจไปจ้อง
กางตำรามาจับผิดท่าน ตราบใดถ้าผมยังไม่ได้บวช และครองเพศนักบวช
ตราบนั้นผมก็ยังรู้สึกเสมอว่า ผมไม่ควรไปตีตนเสมอท่าน และเอาดีไปข่มท่าน
หรือวิพากวิจารณ์ท่าน ส่วนใครจะวิจารณ์อย่างไรก็เรื่องของคนนั้น
ต่อให้มีพระคุณเจ้าบางท่านทำสิ่งที่ไม่ดี ผมก็ไม่อยากกล่าวถึง

เพราะผมคิดว่า หากคนที่คิดว่าตนแน่ เคร่งครัดดีแท้ในพระวินัย
แน่จริงก็ไปบวช แล้วตัวเองก็ทำให้ได้อย่่างที่คิด อย่างที่เคยจ้องจับผิดพระคุณเจ้า
และแน่จริงบวชแล้วก็ต้องอยู่ให้ได้ตลอดชีวิตด้วย...........คุณจึงคู่ควรที่จะมาวิจารณ์พระ

การครองเพศนักบวช ผู้ไม่ได้บวชก็ไม่รู้ได้ว่ามันยากแค่ไหน
การแค่เป็นผู้ดู เฝ้าดูเหล่านักบวช มองอะไรคิดอะไรมันก็ง่ายไปหมด
เพราะคุณไม่ได้เอาตัวไปอยู่ในเพศนักบวช

แต่เมื่อคุณครองเพศนักบวชเสียเอง อะไรที่คุณเคยคิดว่าง่ายอาจจะยากก็ได้

เพราะเราไม่ได้อยู่จุดนั้น ก็อย่าเพิ่งสำคัญว่าสิ่งที่เรา หมายมั่นนั้นมันจะถูก


ผมคิดว่าหากเป็นเรื่องวินัย ให้พระท่านวิจารณ์พระกันเองเถอะ
ฆราวาสวิสัย มานั่งถก วิพากวิจารณ์ ในส่วนของบทธรรมก็น่าจะพอแล้ว
เพราะวินัยมันไม่เกี่ยวกับฆราวาส และมันไม่ใช่หน้าที่ของฆราวาส

แต่ถ้าหากอยากจะมีหน้าที่ ตำหนิวิพากวิจารณ์วินัยของพระ
ผมว่า...................ควรจะไปบวชซะก่อนน่าจะเหมาะกว่า

พระพุทธเจ้าเอง ท่านไม่ต้องการให้ฆราวาสมารับรู้และมารับทราบ
เรื่องราวความผิดหรืออาบัติของพระอย่างยิ่ง

เวลาพระจะสวดปาฏิโมกข์ ก็ต้องกั้นเขตเป็นส่วนตัว ห้ามคฤหัส
เข้าไปในบริเวณนั้น เพื่อป้องกันเรื่องราวความผิดของพระจะปรากฏสู่
สายตาชาวบ้าน

หรือหากพระท่านใดต้องอาบัติ แล้วพระอีกท่านหนึ่ง นำความผิด
ของภิกษุสงฆ์ด้วยกัน ไปเปิดเผยต่อฆราวาส ภิกษุผู้นำเรื่องราว
อาบัติไปเปิดเผยนั้นก็มีความผิดและต้องอาบัติ



พร่ำมายืดยาวก็เป็นแค่ มุมมองส่วนตัวของผม
ท่านใดจะเคร่งครัด หรือเคร่งเครียดอย่างไรก็ตามสะดวก

ไปดีกว่า.................. :b6: :b6: :b6: :b6: :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2009, 19:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2009, 09:03
โพสต์: 81


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เพราะผมคิดว่า หากคนที่คิดว่าตนแน่ เคร่งครัดดีแท้ในพระวินัย
แน่จริงก็ไปบวช แล้วตัวเองก็ทำให้ได้อย่่างที่คิด อย่างที่เคยจ้องจับผิดพระคุณเจ้า
และแน่จริงบวชแล้วก็ต้องอยู่ให้ได้ตลอดชีวิตด้วย...........คุณจึงคู่ควรที่จะมาวิจารณ์พระ

การครองเพศนักบวช ผู้ไม่ได้บวชก็ไม่รู้ได้ว่ามันยากแค่ไหน
การแค่เป็นผู้ดู เฝ้าดูเหล่านักบวช มองอะไรคิดอะไรมันก็ง่ายไปหมด
เพราะคุณไม่ได้เอาตัวไปอยู่ในเพศนักบวช

แต่เมื่อคุณครองเพศนักบวชเสียเอง อะไรที่คุณเคยคิดว่าง่ายอาจจะยากก็ได้

เพราะเราไม่ได้อยู่จุดนั้น ก็อย่าเพิ่งสำคัญว่าสิ่งที่เรา หมายมั่นนั้นมันจะถูก


ผมคิดว่าหากเป็นเรื่องวินัย ให้พระท่านวิจารณ์พระกันเองเถอะ
ฆราวาสวิสัย มานั่งถก วิพากวิจารณ์ ในส่วนของบทธรรมก็น่าจะพอแล้ว
เพราะวินัยมันไม่เกี่ยวกับฆราวาส และมันไม่ใช่หน้าที่ของฆราวาส



ทำไมเป็นชาวพุทธที่แย่แบบนี้หละ เพราะเราไม่ดีพอจึงไม่เข้าไปให้พระศาสนามัวหมองไงหละอยู่เป็นฆาราวาส ยังดีเสียกว่าไปทำตัวแบบนั้นความคิดแบบนี้ ไม่ดีเลย อย่าลืมว่าเราเป็นฆารวาสต้องการทะนุบำรุงพระศาสนาให้เจริญร่งเรืองตราบนานเท่านาน และพระเองก็ต้องอาศัยการเลี้ยงดูของชาวบ้าน เมื่อมากล่าวคำมอบกายถวายชีวิตแด่พระพุทธเจ้าแล้ว ทำไมมาทำตัวกันเลอะเทอะไม่อยู่ธรรมวินัย ไม่มั่นศึกษาเล่าเรียนพุทธพจน์ให้แตกฉาน รักษาศีลให้บริบูรณ์ ทำความเพียรให้เป็นผู้บริสุทธิ์ขึ้นมาให้สมกับเลี้ยงดูของชาวบ้าน เท่าที่เห็น ๆ แย่มาก ๆ ก็ถ้าทำไม่ได้ก็สึกออกมาเสียดีกว่าจะอยู่ในผ้าเหลือง หลอกตาชาวบ้านหากินไปวันๆ ทำไมกันเล่า ตัวเองประพฤตินอกธรรมวินัยแล้วยังจะหลอกโกหกชาวบ้านให้ตกนรกตามไปด้วยกันอีกอ่านพระสูตรนี้นะว่าเป็นอย่างไร และยังมีหลายพระสูตรที่กล่าวในเรื่องแบบนี้ :b6:
น่ามีความคิดแบบนี้อีกมากมายนะชาวพุทธ ถึงว่าพระจึงได้ใจ ใส่ชุดที่ท่านพระอานนท์ออกแบบมาให้หน่อยกร่าง ...ไปทั่ว...เคารพนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างเต็มที่แต่ไม่ชอบการกระทำของพวกที่ทำตัวไม่อยู่ในธรรมวินัยของพระพุทธองค์เท่านั้นเอง :b33:

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 612

ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมสนทนา
กันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่อชาตศัตรู
ทำการยกย่องอสัตบุรุษ ถึงความพินาศอย่างใหญ่หลวง แม้ใน
กาลก่อน เธอก็ทำลายตนเสียด้วยการยกย่องอสัตบุรุษเหมือนกัน
ทรงนำเรื่องราวในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลพราหมณ์ มีสมบัติ
มาก เจริญวัยแล้วไปสู่เมืองตักกสิลา เรียนสรรพศิลปวิทยา
เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ในพระนครพาราณสี บอกศิลปะแก่
มาณพ ๕๐๐ คน ในมาณพเหล่านั้น มีมาณพคนหนึ่งชื่อ "สัญชีวะ"
พระโพธิสัตว์ได้ให้มนต์ทำคนตายให้ฟื้นแก่เขา เขาเรียนแต่มนต์
ทำคนตายให้ฟื้นอย่างเดียว ไม่ได้เรียนมนต์สำหรับป้องกัน
วันหนึ่งไปป่าหาฟืนกับพวกเพื่อน เห็นเสือตายตัวหนึ่ง ก็พูดกะ
พวกมาณพว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย เราจักทำเสือตายตัวนี้ให้
ฟื้นขึ้น มาณพทั้งหลาย กล่าวแย้งว่า ท่านจักไม่สามารถดอก
เขากล่าวว่า เราจักทำให้มันฟื้นขึ้น ให้พวกท่านเห็นกันทุกคน
ทีเดียว พวกมาณพเหล่านั้น จึงกล่าวว่า ถ้าท่านสามารถ ก็จง
ปลุกให้มันตื่นขึ้นเถิด ครั้นกล่าวแล้ว ต่างรีบปีนขึ้นต้นไม้ สัญชีว-
มาณพ ร่ายมนต์แล้วขว้างเสือตายด้วยก้อนกรวด เสือลุกขึ้น
โดดกัดสัญชีวมาณพที่ก้านคอ ทำให้สิ้นชีวิต ล้มลงตรงนั้นเอง

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 613

ทั้งคู่นอนตายอยู่ในที่เดียวกัน พวกมาณพพากันขนฟืนไปแล้ว
แจ้งความเป็นไปนั้นแก่อาจารย์ อาจารย์จึงเรียกมาณพทั้งหลาย
มากล่าวว่า พ่อคุณทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่า ผู้ที่ยกย่อง อสัตบุรุษ
กระทำสักการะและสัมมานะ ในที่อันไม่สมควร ย่อมกลับได้รับ
ทุกข์เห็นปานนี้ ทั้งนั้น แล้วกล่าวคาถานี้ ความว่า : -
"ผู้ใดยกย่อง และคบหาอสัตบุรุษ อสัต-
บุรุษย่อมทำผู้นั้นแหละให้เป็นเหยื่อ เหมือนพยัคฆ์
ที่สัญชีวมาณพ ชุบขึ้น ย่อมทำเขานั่นแลให้เป็น
เหยื่อ ฉะนั้น" ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสนฺต ได้แก่ผู้ทุศีลมีบาปธรรม
ประกอบด้วยทุจริตทั้ง ๓ ประการ.
บทว่า โย ปคฺคณฺหาติ ความว่า บรรดาขนมีกษัตริย์
เป็นต้น ผู้ใดผู้หนึ่งยกย่อง คือทำสักการะ สัมมานะ อสัตบุรุษ
ผู้ทุศีลเห็นปานนี้ ที่เป็นบรรพชิต ด้วยการถวายปัจจัยมีจีวร
เป็นต้น ที่เป็นคฤหัสถ์ด้วยการให้ครอบครองตำแหน่ง อุปราช
และเสนาบดี เป็นต้น.
บทว่า อสนฺต จูปเสวติ ความว่า อนึ่งเล่าผู้ใดย่อมเข้าไป
สร้องเสพ คบหา สนิทสนม อสัตบุรุษ ผู้ทุศีล เห็นปานนี้.
บทว่า ตเมว ฆาส กุรุเต ความว่า บุคคลชั่วผู้ทุศีลนั้น
ย่อมกัดผู้นั้น คือผู้ที่ยกย่องอสัตบุรุษนั้นแล กินเสีย ได้แก่ทำผู้นั้น
ให้ถึงความพินาศ.

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 614

เช่นไรเล่า ?
เหมือนพยัคฆ์ที่คืนชีพ เพราะมาณพชุบขึ้น อธิบายว่า
พยัคฆ์ที่ตายคืนชีพได้ โดยที่สัญชีวมาณพ ร่ายมนต์ยกย่องด้วย
การมอบชีวิตให้ กลับปลงชีพ สัญชีวมาณพผู้ให้ชีวิตแก่มัน
ให้ล้มลงตรงนั้นเอง ฉันใด แม้ผู้อื่นก็ฉันนั้น ผู้ใดทำการยกย่อง
อสัตบุรุษ อสัตบุรุษทุศีลนั้น ย่อมทำลายล้าง ผู้ที่ยกย่องตนนั้น
เสียทีเดียว พวกชนที่ยกย่องอสัตบุรุษ ย่อมพากันถึงความ
พินาศ ด้วยประการฉะนี้.
พระโพธิสัตว์ แสดงธรรมแก่มาณพทั้งหลาย ด้วยคาถานี้
การทำบุญมีให้ทานเป็นต้น แล้วก็ไปตามยถากรรม.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรง
ประชุมชาดกว่า มาณพผู้ทำเสือตายให้ฟื้นในครั้งนั้น ได้มาเป็น
พระเจ้าอชาตศัตรูในบัดนี้ ส่วนอาจารย์ทิศาปาโมกข์ได้มาเป็น
เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ สัญชีวชาดกที่ ๑๐


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2009, 20:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


บางที บางคำพูด ที่พูดไปโดยไม่ทันคิดถึงผลที่จะตามมา เลยทำให้เกิดความคิดละเมิดพระสงฆ์กันไปโดยไม่ได้เจตนา มีผลนะ ทั้งการปฏิบัติและชีวิตตัวเอง ...


อตฺตนาว กตํ ปาป อตฺตนา สงฺกิลิสฺสติ

อตฺตนา อกตํ ปาป อตฺตนา ว วิสุชฺฌติ

สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ นาญฺโญ อญฺญํ วิโสธเย.


ทำบาปเอง ย่อมเศร้าหมองเอง ไม่ทำบาปเอง ย่อมหมดจดเอง

ความหมดจดและความเศร้าหมองเป็นของเฉพาะตัว คนอื่นทำคนอื่นให้หมดจดหาได้ไม่


บาปเมื่อทำแล้ว ย่อมตกเป็นนมรดกแก่ผู้ทำนั่นเอง จะไปยื่นโยนโอนมอบให้แก่ผู้อื่นหาได้ไม่ หรือจะปัดเป่าชำระล้างโดยวิธีใดๆ ย่อมทำให้หมดไปไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะบาปไม่ใช่มลทินของร่างกายหรือสิ่งโสโครก จะได้ชำระล้างให้หมดจดไปได้


พวกคนเขลาหมกอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องไม่ นั้นมีลักษณะอาการ และคุณโทษต่างกันอย่างไร?


พวกคนเขลาไม่เพียรพยายามพิจรณาให้เห็นจริงโดยถ่องแท้ ย่อมเพลิดเพลินในสิ่งอันให้โทษ ย่อมระเริงจนเกินพอดีในสิ่งอันอาจให้โทษ ย่อมติดอยู่ในสิ่งอันเป็นอุปการะทั้งภายใน ภายนอก เช่นนี้ชื่อว่า หมกอยู่ในโลก มีโทษคือ ย่อมเสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้างตามสิ่งนั้นๆจะพึงอำนวย เหมือนปลาที่หลงกินเหยื่อที่เกียวติดอยู่กับเบ็ด ย่อมหาอิสระมิได้

ฝ่ายผู้รู้พิจรณารู้เห็นตามความเป็นจริงแห่งสิ่งนั้นๆ ว่าฉันใดแล้ว ไม่ข้องไม่พอใจหรือพัวพันในสิ่งอันล่อใจ อันใครๆและอะไรๆ ไม่อาจยั่วให้ติดด้วยประการใดๆ มีคุณ คือ ย่อมมีอิสระแก่ตนเอง ย่อมได้สุขที่ประณีต สุขภายในอันยั่งยืน ไม่ต้องทุกข์เพราะเหตุไรๆ


:b8:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2009, 08:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2009, 09:03
โพสต์: 81


 ข้อมูลส่วนตัว




7dadec7b79827b81d7087a2689e75e81.jpg
7dadec7b79827b81d7087a2689e75e81.jpg [ 67.99 KiB | เปิดดู 6415 ครั้ง ]
12e3bff8b90b550c9b1e5d941e9cf2ee.jpg
12e3bff8b90b550c9b1e5d941e9cf2ee.jpg [ 40.85 KiB | เปิดดู 6415 ครั้ง ]
88a781a96eeb87ad3ddf0ff118e343fd.jpg
88a781a96eeb87ad3ddf0ff118e343fd.jpg [ 53.41 KiB | เปิดดู 6413 ครั้ง ]
b528e075013723e704986d58fb11546b.jpg
b528e075013723e704986d58fb11546b.jpg [ 59.15 KiB | เปิดดู 6416 ครั้ง ]
อ้างคำพูด:
บาง ที บางคำพูด ที่พูดไปโดยไม่ทันคิดถึงผลที่จะตามมา เลยทำให้เกิดความคิดละเมิดพระสงฆ์กันไปโดยไม่ได้เจตนา มีผลนะ ทั้งการปฏิบัติและชีวิตตัวเอง ...


คำว่า"สงฆ์"ไม่ละเมิดอยู่แล้วหละ แต่พวกที่ทุศีล ไม่เป็น"สงฆ์" ทำไมเรียกว่า"ทุศีล" การต้องอาบัติเล็กน้อยแล้วแสดงอาบัติบ่อย ๆ และผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าและ แสดงอาบัติผ่านในหมู่สงฆ์ แต่ไม่อาจผ่านในธรรมชาตินั้นได้ และก็อาจจะพาผู้คนที่เคารพนับถือให้ลงอบายโดยอาการของตัวเอง ขอยกตัวอย่างเช่นถ้าเราทราบว่าพระองค์นี้สำเร็จ ถึงขั้น "อรหันต์" และเรา(คนที่ไม่รู้วินัยพระ)ก็มีความอยากได้บุญมากเราแล้วก็นำของที่ผิดวินัยพระ เช่น เงิน ทอง เป็นต้นไปถวายท่าน รับด้วยมือ อย่างนี้ ท่านเป็นอรหันต์ท่านอยู่เหนือบุญบาปแล้ว แต่ฆารวาส ผู้ยังเป็นปุถุชนอยู่ มันเกิดทั้งบุญและบาป มีทางเดิน 2 ทาง ท่านที่มีญานก็ช่วยตรวจสอบให้หน่อยว่า คนทำบุญกับพระด้วยของผิดวินัย จะเดินทางไปไหนบ้าง แต่มีท่านผู้รู้ หลายท่านบอกว่า เงิน ทอง เป็นงูพิษ แต่เท่าที่เห็นทั่วบ้านทั่วเมืองมักจะนำเงินไปถวายพระ โดยใส่บาตบ้าง ให้พระอนุโมทนา พุ่มผ้าป่า กฐิน บ้างเป็นต้น แล้วอย่างนี้ จะให้อยู่แบบเฉย ๆ ปล่อยไปเรื่อย ๆ ตามยถากรรมแบบนั้นหรือ แล้วก็เกิดเรื่องในพระศาสนาในที่เป็นตามภาพนะหรือ? บาปนั้นชำระได้ด้วยบุญไง กระทู้นี้ก็่น่าจะเป็นบุญ ผู้คนจะได้อ่านให้เกิดความรู้และกลับไปพินิจพิจารณาว่า สิ่งไหนควรทำสิ่งไม่ควรทำ ผิดถูกเป็นอย่างไร :b41:
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร