วันเวลาปัจจุบัน 17 พ.ค. 2025, 05:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 157 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2011, 23:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


การมีธรรมเอกผุดขึ้นตั้งมั่นในภายในในแต่ละฌาณภายในหรือภายนอกล่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2011, 23:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


สมถะกรรมฐาน40กองกองใดกองหนึ่งก็ไม่ได้ฌาณไม่เอาจะไปรู้ภายในอะไรๆมันไม่ได้อยู่แล้วครับ
แถมภายนอกยังไม่รู้อะไรกันเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2011, 00:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง คิดอกุศลกับใครก็ไม่ดีทั้งนั้นครับ
ยิ่งพระสงฆ์องค์เจ้าด้วยแล้วยิ่งแย่ไปกันใหญ่
เมื่อจิตเศร้าหมองก็ไปอบายได้ทั้งนั้นแหละครับ
ก็ให้ระวังกันมากๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2011, 00:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ส.ค. 2011, 17:44
โพสต์: 35

แนวปฏิบัติ: งานหลักคือการโมทนาแก่ทุกดวงจิต
งานอดิเรก: งานรองคือทำงานหลัก
อายุ: 0
ที่อยู่: chiangmai Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว www


นิพพาน
คือ เส้นทางเดินแห่งความดีสูงสุด
การบรรลุนิพพาน คือ การบรรลุถึงความ ว่าง หรือการเป็นอิสระ จิตไม่เกาะเกี่ยวกับสิ่งใดๆ
การเข้าถึงนิพพาน ต้องสามารถปล่อยวาง เรื่องการยึดถือเรื่องตัวตนได้ เอาชนะใจตนเองได้
เมื่อปล่อยอารมณ์ใดได้แล้ว ความรู้สึกนึกคิดในเรื่องนั้น ก็จะไม่มีอยู่ในใจทันที
ไม่มีอารมณ์ค้างหรือความกดดันเหลืออยู่
และทำได้เสมอ
ในทุกครั้งหรือทุกเหตุการณ์

การบรรลุนิพพาน
ยังหมายถึงการเข้าถึงสัจธรรม
เมื่อจิตเป็นอิสระจากอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดต่างๆได้จริงๆแล้ว
ความรู้แจ้งจากภายในจะหลั่งไหลออกมา
ซึ่งความรู้แจ้งนี้อยู่นอกเหนือประสาทสัมผัส
ไม่ตกอยู่ใต้อิทธิพลของกิเลสตัณหาและความคิดที่ไม่ถูกต้อง
เป็นการรู้แจ้งถูกต้องตามความเป็นจริง จะได้เห็น ได้ยิน ได้รู้ อะไรก็ตาม
ความหลงผิดในเรื่องนั้นๆจะไม่มีอยู่เลย
ซึ่งแตกต่างจากคนที่จิตใจยังไม่เป็นอิสระ ยังเข้าไม่ถึงความรู้แจ้งนั้น
ไม่ว่าจะได้เห็น ได้ยิน ได้รู้ อะไรก็ตาม
แม้ความรู้นั้นผ่านการทดสอบ ผ่านการพิสูจน์มาแล้วก็ตาม
แม้กระนั้น ความรู้ที่ว่านั้นสามารถทำให้เกิดความหลงผิดได้ทุกเรื่อง
เช่น นักวิทยาศาสตร์บางคน ทั้งๆที่ได้เห็นข้อเท็จจริงแล้วว่า
ส่วนต่างๆของสิ่งมีชีวิตและพฤติกรรมทุกอย่างมีความหมาย
แต่ก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่าข้อเท็จจริงต่างๆเหล่านี้
คือข้อพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นว่าชีวิตทั้งหลายเกิดมาจากวิญญาณของตน
แทนที่จะเข้าใจอย่างนี้กลับไปเข้าใจว่า
วิญญาณเป็นผลของชีวิตเหมือนกับกำลังงานหรือกำลังขับเคลื่อนของเครื่องจักร
เมื่อเครื่องจักรเสีย พลังขับเคลื่อนเหล่านี้ก็หมดสิ้นไป
มีความเข้าใจว่าความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายเป็นผลของสมอง
ฉะนั้นเมื่อคนเราตาย เซลล์ประสาทสมองก็จะตาย
รวมทั้งความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายก็สูญสิ้นไปด้วย
เขามองไม่เห็นเลยว่า ถ้าหากคนเราเมื่อตายแล้ววิญญาณก็ยังอยู่
วิญญาณคือจิตหรือตัวการที่สร้างชีวิตให้เกิดขึ้นมาใหม่


ความรู้ต่างๆเหล่านี้
สำหรับคนที่มีความยึดมั่นถือมั่น
ในความรู้ที่เรียนมาหรือประสบการณ์ที่ผ่านมา
ไม่สามารถปล่อยวางได้ ไม่ข้าใจ มองไม่เห็น
คิดอย่างไรก็ไม่อาจจะเข้าใจ
ซึ่งตรงกันข้ามกับผู้ที่รู้จักการปล่อยวาง
โดยสามารถหยั่งรู้ได้ว่า ชีวิตของคนเรานี้ลึกล้ำมาก
ซึ่งด้วยตาธรรมดาของคนเรามองไม่เห็นนั้น
ย่อมมีอยู่อย่างแน่นอน

.....................................................
http://www.jitphontook.com
--------------------------


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2011, 14:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ส.ค. 2011, 17:44
โพสต์: 35

แนวปฏิบัติ: งานหลักคือการโมทนาแก่ทุกดวงจิต
งานอดิเรก: งานรองคือทำงานหลัก
อายุ: 0
ที่อยู่: chiangmai Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว www


การบรรลุนิพพาน
หมายถึง การดับสนิท หรือออกไปจากรูปธรรม นามธรรม

คือ ร่างกาย (อันประกอบไปด้วยธาตุทั้งสี่)
ความรู้สึกทางจิตใจต่างๆ ความจำได้หมายรู้
ความคิดต่างๆ ความรู้สึกต่างๆของประสาทสัมผัสในร่างกาย
มีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นสิ่งไม่ใช่ตัวตน หรือ ไร้ตัวตนที่จะยึดถือ
ขณะเดียวกัน ก็รู้สึกด้วยว่าการมีตัวตนเป็นทุกข์ กิเลสตัณหาคือต้นเหตุแห่งความทุกข์
การดับตัณหาได้คือความพ้นทุกข์ ผู้ที่จะบรรลุนิพพานได้อย่างแท้จริง ต่อเมื่อ
มองเห็นโทษของตัณหาอย่างลึกซึ้ง เห็นคุณค่าของการละตัณหาอย่างแจ่มแจ้ง
มองเห็นว่าการที่จะพ้นทุกข์ได้อย่างเด็ดขาด และการที่
จะบรรลุถึงความรู้แจ้งในสิ่งทั้งปวงตามความเป็นจริง
ก็ต่อเมื่อดวงจิตที่ต้องการเกิดดับสนิท ตัวตนก็ดับสนิท ผู้ที่รู้แจ้งเช่นนี้
จิตย่อมน้อมไปสู่การดับสนิทของตัวตน ต้องการที่จะออกไปจากตัวตน
เพราะมีความเบื่อหน่ายในตัวตนอย่างลึกซึ้ง
เมื่อจิตน้อมไปในลักษณะอย่างนี้ ตัณหาจะบางมากขึ้นตามลำดับ
จนในที่สุดก็จะพบกับความสงบอันละเอียดและประณีต
ในเวลาเดียวกัน ตัณหาก็จะขาดจากสันดานคือไม่สืบต่อไปอีก
ดวงจิตที่ต้องการเกิดก็ดับสนิท
ก็เป็นอันว่าบรรลุถึงความว่างและความอิสระอย่างสมบูรณ์แบบ
บนเส้นทางเดินแห่งความดีสูงสุดที่แท้จริง

------------------------------

.....................................................
http://www.jitphontook.com
--------------------------


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2011, 15:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ส.ค. 2011, 17:44
โพสต์: 35

แนวปฏิบัติ: งานหลักคือการโมทนาแก่ทุกดวงจิต
งานอดิเรก: งานรองคือทำงานหลัก
อายุ: 0
ที่อยู่: chiangmai Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว www


หัวใจหลักของการ
เข้าสู่เส้นทางแห่งความดีสูงสุดคือ
การปล่อยวาง
เส้นทางความดีสูงสุดคือ
เป็นความดีในจิตสาธารณะ (ความสนใจในการช่วยเหลือผู้อื่น)
ข้อสำคัญของการปล่อยวาง เริ่มต้นโดยการแก้ไขปัญหาตามขั้นตอนของอุปสรรคในชีวิตให้จบสิ้น
เป็นอย่างๆ เป็นเรื่องๆ เมื่อเรื่องใดจบสิ้นแล้ว แก้ไขต่อให้หมดสิ้นไป
สุดท้ายของการแก้ไขปัญหา ด้วยการทำจิตให้ว่างเปล่า แล้วพิจารณาชีวิตทั้งหมด
เพื่อเข้าสู่การปล่อยวางของที่รักและหวงที่สุด คือการเสียสละ
แล้ววิเคราะห์เป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน แม้กระทั่งร่างกาย
คือ ความเป็นจริงในชีวิตมนุษย์ทุกคน
ของการเกิด และ การตาย
จะนำไปสู่การปล่อยวางได้ในที่สุด



การแก้ไขปัญหา
เพื่อการปล่อยวาง
ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์
บางครั้งมีปัญหาหลายอย่างเข้ามาพร้อมกัน
การแก้ไขปัญหาสามารถทำได้โดยการ

๑.ให้ลำดับความสำคัญของปัญหาที่จะพิจารณาแก้ไข
ว่าปัญหาเรื่องใดควรจะแก้ไข ก่อนหรือหลัง
เช่นพิจารณาตามความเร่งด่วนของปัญหา
๒.กรณีปัญหาแต่ละปัญหามีความเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวพันกัน
- ให้ลำดับเหตุผลความสัมพันธ์ของปัญหาแต่ละปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกัน
ปัญหาข้อไหนควรพิจารณาแก้ไขก่อนตามศักยภาพในความพร้อม
ซึ่งปัญหาที่จะต้องแก้ไขก่อนนั้น อาจจะเป็นต้นเหตุของปัญหาอื่นได้
ดังนั้นเมื่อสามารถแก้ไขปัญหาที่เป็นต้นเหตุของปัญหาอื่นได้แล้ว
ปัญหาอีกเรื่องหนึ่งหรือปัญหาที่เกี่ยวพันกันนั้น
อาจได้รับการแก้ไขไปในตัวด้วย
โดยไม่ต้องมีการแก้ไขเลยก็ได้

.....................................................
http://www.jitphontook.com
--------------------------


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2011, 08:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ส.ค. 2011, 17:44
โพสต์: 35

แนวปฏิบัติ: งานหลักคือการโมทนาแก่ทุกดวงจิต
งานอดิเรก: งานรองคือทำงานหลัก
อายุ: 0
ที่อยู่: chiangmai Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว www


เนื้อหาเรื่อง เกี่ยวกับการทำความดีสูงสุดด้วยการปล่อยวาง
ที่ข้าพเจ้าได้นำมาเผยแพร่ในกระทู้นี้ ซึ่งเป็นไปตามหัวข้อของผู้ตั้งกระทู้ มิได้มีเจตนาที่จะแสวงหาหรือมีความต้องการใดๆ หรือเพื่อจะประกาศตัวว่าเป็นผู้สำเร็จแล้ว ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ดีกว่าใคร หรือเหนือกว่าใคร ฯลฯ ประสงค์เพียงแต่จะแชร์ประสบการณ์หรือสิ่งที่ได้รับ เมื่อปฏิบัติไปแล้วมีความรู้สึกดีๆ จิตใจสบาย ความทุกข์ในจิตลดน้อยลง สามารถนำมาปรับใช้ให้เกิดปัญญาเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ
ต่อการดำเนินชีวิตในสังคมปัจจุบันได้ และปรารถนาให้ท่านผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายที่สนใจ ได้รับในสิ่งดีๆเหล่านี้บ้าง

หากท่านผู้ใดที่คิดว่าการปฏิบัติไปในแนวทางของท่านเองนั้น
ดีแล้ว ชอบแล้ว ถูกต้องแล้ว ข้าพเจ้าก็ขออนุโมทนาด้วย มิบังอาจที่จะถือว่าสิ่งที่เผยแพร่นี้เป็นการสั่งสอนท่าน
หรือเป็นการถือดี อวดรู้ อวดฉลาด กว่าท่านแต่อย่างใด และท่านไม่จำเป็นต้องสนใจต่อในสิ่งที่ข้าพเจ้าได้นำเสนอ
มันอาจไม่เป็นประโยชน์ต่อท่าน แต่มันอาจเป็นประโยชน์ต่อบุคคลอีกบุคคลหนึ่งในหลายๆคนก็ได้

ข้าพเจ้าก็ขออนุโมทนาในสิ่งดีๆเหล่านี้แด่ทุกท่านครับ
--------------

.....................................................
http://www.jitphontook.com
--------------------------


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2011, 11:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 มิ.ย. 2011, 10:28
โพสต์: 439


 ข้อมูลส่วนตัว




567.jpg
567.jpg [ 33.53 KiB | เปิดดู 4910 ครั้ง ]
อนุโมทนาบุญกับทุกๆคำตอบคะ

.....................................................
สรรพสิ่งทุกอย่าง ล้วนมี เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

.................................................................................................
ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีเหตุและผลอยู่ในตัว
การกระทำของตนย่อมเป็นกรรมที่ตนกำหนดเอง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2011, 12:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
jedrapus เขียน
เนื้อหาเรื่อง เกี่ยวกับการทำความดีสูงสุดด้วยการปล่อยวาง
ที่ข้าพเจ้าได้นำมาเผยแพร่ในกระทู้นี้ ซึ่งเป็นไปตามหัวข้อของผู้ตั้งกระทู้ มิได้มีเจตนาที่จะแสวงหาหรือมีความต้องการใดๆ หรือเพื่อจะประกาศตัวว่าเป็นผู้สำเร็จแล้ว ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ดีกว่าใคร หรือเหนือกว่าใคร ฯลฯ ประสงค์เพียงแต่จะแชร์ประสบการณ์หรือสิ่งที่ได้รับ เมื่อปฏิบัติไปแล้วมีความรู้สึกดีๆ จิตใจสบาย ความทุกข์ในจิตลดน้อยลง สามารถนำมาปรับใช้ให้เกิดปัญญาเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ
ต่อการดำเนินชีวิตในสังคมปัจจุบันได้ และปรารถนาให้ท่านผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายที่สนใจ ได้รับในสิ่งดีๆเหล่านี้บ้าง

หากท่านผู้ใดที่คิดว่าการปฏิบัติไปในแนวทางของท่านเองนั้น
ดีแล้ว ชอบแล้ว ถูกต้องแล้ว ข้าพเจ้าก็ขออนุโมทนาด้วย มิบังอาจที่จะถือว่าสิ่งที่เผยแพร่นี้เป็นการสั่งสอนท่าน
หรือเป็นการถือดี อวดรู้ อวดฉลาด กว่าท่านแต่อย่างใด และท่านไม่จำเป็นต้องสนใจต่อในสิ่งที่ข้าพเจ้าได้นำเสนอ
มันอาจไม่เป็นประโยชน์ต่อท่าน แต่มันอาจเป็นประโยชน์ต่อบุคคลอีกบุคคลหนึ่งในหลายๆคนก็ได้

ข้าพเจ้าก็ขออนุโมทนาในสิ่งดีๆเหล่านี้แด่ทุกท่านครับ

อนุโมทนาครับ การที่เราเข้ามาแชร์ความคิดเห็น ทั้งของตนเอง และความรู้ที่ยกมาจากที่อื่น หากทำให้เราสบายใจว่าสิ่งที่เราเอามาเขียนเป็นประโยชน์ก็เป็นสิ่งที่ดี ส่วนตัวผมก็ชอบเข้ามาอ่าน อ่านได้เท่าที่มีเวลาละครับ หากเพื่อนร่วมเวปมีความสุขใจเราก็สุขใจด้วย ส่วนมากก็มีแต่คนสุขใจนะ บางครั้งทุกข์ใจก็ไม่เอามาพูด เดี๋ยวเราก็ลืมเรื่องทุกข์ใจเราเอง หากเราหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องใกล้ตัวคือชีวิตทางโลกเราก็ซึมซับเอาแต่เรื่องทางโลก หากเราหันหน้าเข้าหาธรรมบ้างเราก็ซึมซับเอาเรื่องที่บางทีอาจสะกิดใจเราให้หยุดดูตัวเองก่อน ห้ามใจในสิ่งที่ควรห้าม พูดคิดเห็นในสิ่งที่ควรพูดคิดเห็น เราไม่หลุดพ้นเราก็มีความสุขกายสบายใจ เราเข้ามาในเวปนี้เพื่อแข่งกับตัวเราเอง ชนะใจตัวเอง ตัวเราเองคือคู่แข่งขันของเรา

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2011, 22:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
รู้ชัดภายนอก มีแต่เรื่องของเหตุ

รู้ชัดภายใน มีแต่มุ่งดับที่เหตุ จึงไม่มีทั้งว่างและไม่ว่าง

ต่อให้รู้สารพัดวิธีการ สารพัดรูปแบบ แต่ไม่สามารถรู้ชัดภายในได้ จึงมีแต่เหตุไม่รู้จบเพราะเหตุนี้




รู้ชัดภายนอก หมายถึงรู้ชัดจริงๆ เมื่อรู้ชีดในสภาวะภายนอกจริงๆ จะเห็นว่า มีแต่เรื่องของเหตุและผล

รู้ชัดภายใน ได้แก่ รู้ชัดในกาย เวทนา จิต ธรรม แม้ขณะที่จิตตั้งมั่น


สภาวะที่เกิดขึ้น

รู้อารมณ์ของสมาธิ ได้แก่ รู้ตัวก่อนที่จิตจะเป็นสมาธิ ๑ รู้สึกตัวทั่วพร้อมขณะที่กำลังเป็นสมาธิ ๑ รู้ขณะที่สมาธิกำลังคลายตัว ๑

รู้ตัวก่อนที่จิตจะเป็นสมาธิ ได้แก่ รู้ตัวขณะที่จิตกำลังจะเป็นสมาธิว่า มีอารมณ์แบบไหน มีลักษณะสภาวะที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร จะรู้ตั้งแต่แบบหยาบๆจนกระทั่งละเอียด


รู้แบบหยาบ (มีบัญญัติเป็นอารมณ์)

ได้แก่ การอาศัยบัญญัติเป็นอารมณ์ในการทำให้จิตเป็นสมาธิ เช่น การใช้การกำหนดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคำบริกรรม หรือการกำหนดต้นจิต


รู้ละเอียดขึ้นมาอีก (มีรูปเป็นอารมณ์)

ได้แก่ รู้แบบมีรูปเป็นอารมณ์ คือ รู้ตามความเป็นจริง เช่น รู้ลมหายใจเข้าออก รู้ท้องพองยุบ รู้การเคลื่อนไหวในส่วนต่างๆของกาย รู้ที่ชีพจรเต้น เรียกว่า ยังมีรูปที่จับต้องได้เป็นอารมณ์


รู้ที่ละเอียดขึ้นอีก (มีอรูปเป็นอารมณ์)

ได้แก่ รู้แบบมีอรูปเป็นอารมณ์ คือ รู้ชัดในความว่างที่ปรากฏขึ้นแทนรูป ได้แก่กายหยาบ หรือรูปแบบหยาบที่สามารถสัมผัสได้

รู้แบบอรูป เป็นรู้ซ้อนรู้ของการรู้ในความว่างที่ปรากฏขึ้นแทนรูปที่มีอยู่ ไม่สามารถสัมผัสได้ แต่รู้ได้ด้วยจิต นี่เป็นอีกหนึ่งของสภาวะจิตเห็นจิต ไม่ใช่รู้ชัดในอารมณ์ แต่รู้ชัดในอรูปที่ปรากฏขึ้น กายสักแต่ว่ากาย


รู้แบบละเอียดขึ้นไปอีก

ได้แก่ รู้แบบไม่มีประมาณ รู้ชนิดนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะไหนๆ จิตจะทรงความเป็นสมาธิอยู่เนืองๆ




รู้สึกตัวทั่วพร้อมขณะที่จิตกำลังเป็นสมาธิ


ได้แก่ รู้ชัดในสภาวะต่างๆที่เกิดขึ้นในขณะที่จิตเป็นสมาธิ เช่น


รู้ชัดในกาย ตั้งแต่สภาวะรูป จนถึงอรูป คือ รู้ชัดใน กายในกาย


รู้ชัดเวทนา ได้แก่ รู้ชัดในสภาวะต่างๆที่เกิดขึ้นกับกาย เช่น ร้อน เย็น อ่อน แข็ง ปวด เมื่อยฯลฯ


รู้ชัดในจิต ได้แก่ รู้ชัดในอารมณ์ความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นในจิต เช่น ความชอบ,ชัง ตลอดจนอารมณ์ต่างที่เกิดขึ้น


รู้ชัดในธรรม ได้แก่ รู้ชัดในความคิดต่างๆที่เกิดขึ้น ขณะที่จิตเป็นสมาธิ



รู้ขณะที่สมาธิกำลังคลายตัว

ได้แก่ จะรู้ตั้งแต่สมาธิเริ่มคลายตัว ขณะกำลังคลายตัว จนกระทั่งสมาธิดับหายไป แล้วเริ่มเกิดขึ้นมาใหม่ จะสามารถรู้สึกตัวและรู้ชัดได้ตลอด




รู้กำลังของสมาธิ

รู้ชัดในความแนบแน่นของสมาธิแต่ละขณะว่า มีกำลังแนบแน่น มากน้อยแค่ไหน


สภาวะทั้งหมดนี้สามารถรู้พร้อมกันได้หมด เพียงแต่รู้คนละขณะเท่านั้นเอง เพียงแต่จะมีสติรู้ทันของการเกิดแต่ละสภาวะหรือเปล่า

หากสติยังไม่มีมากพอ จะรู้เพียงแต่ว่า มีความคิดเกิด มีการเคลื่นไหวในส่วนต่างๆของกาย มีความรู้สึก ความชอบ ความชัง ตลอดจนอารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น กำลังของสมาธิแนบแน่นหรือมากน้อย ฯลฯ สิ่งต่างๆเหล่านี้จะรู้หมดขณะที่จิตเป็นสมาธิ



รู้ขณะที่ไม่มีสมาธิเหลืออยู่

แม้กระทั่งสภาวะที่ไม่มีกำลังของสมาธิ ก็สามารถแยกแยะได้ว่าขณะนี้จิตมีสมาธิ ขณะนี้จิตไม่มีสมาธิ




walaiporn เขียน:
รู้ชัดภายใน มีแต่มุ่งดับที่เหตุ จึงไม่มีทั้งว่างและไม่ว่าง



สภาวะนิกันติ เป็นสภาวะความใคร่ที่ใครๆไม่สามารถกำหนดรู้ได้ว่าเป็นกิเลส

เมื่อยึดถือว่า ความว่าง เกิดขึ้นแก่เราแล้ว เป็น ทิฏฐิคาหะ (ยึดถือด้วยทิฏฐิ)

เมื่อยึดถืออยู่ว่า ความว่างน่าพึงพอใจจริง เกิดขึ้นแล้ว เป็น มานคาหะ (ยึดถือด้วยมานะ)

เมื่อชื่นชมความว่างอยู่ เป็น ตัณหาคาหะ (ยึดถือด้วยตัณหา)



เมื่อสภาวะความว่างปรากฏ ไปสนใจในความว่าง ไม่สามารถรู้ชัดอยู่ในกายและจิตได้

วิถีของวิปัสสนาชื่อว่า ก้าวออกไปนอกทาง ก็ละทิ้งมูลกัมมัฏฐาน คือ กัมมัฏฐานเดิมของตน (อารมณ์กัมมัฏฐานที่กำหนดรู้อยู่แต่เดิม ได้แก่ กายและจิต)


สภาวะใดๆก็ตามที่ปรากฏขึ้นขณะที่จิตเป็นสมาธิ เช่น ปีติ สุข ความสงบ นิมิตต่างๆ โอภาส ความว่าง กายเหมือนถูกมัดแน่น กายแข็ง ตัวแข็งฯลฯ

เมื่อสภาวะต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้น แต่ไม่สามารถรู้ชัดในกาย เวทนา จิต ธรรมได้ พึงทำสติให้มากขึ้น โดยการปรับอินทรีย์ ได้แก่ เดินให้มากกว่านั่ง ปรับไปเรื่อยๆจนกว่าจะสามารถรู้ชัดอยู่ในกาย เวทนา จิต ธรรม ขณะที่จิตเป็นสมาธิอยู่



นิพพาน คือ ความดับ ได้แก่ ดับเหตุภายใน และดับเหตุภายนอก

ดับเหตุภายใน คือ ดับที่ต้นเหตุของการเกิด ได้แก่ กิเลส

ดับเหตุภายนอก คือ ไม่สร้างเหตุใหม่ที่เป็นเหตุของการเกิดให้เกิดขึ้น ได้แก่ ขณะผัสสะเกิด (สิ่งที่มากระทบ) แล้วก่อให้เกิดความชอบหรือชัง ให้รู้ไปตามความรู้สึกที่เกิดขึ้น แต่อย่าก่อให้เกิดการกระทำออกไป

แต่เนื่องจากยังมีความไม่รู้ชัดในเรื่องของเหตุที่กระทำและผลที่ได้รับ ย่อมมีการสร้างเหตุให้เกิดขึ้นใหม่ด้วยความไม่รู้






หลับอยุ่ เขียน:
การมีธรรมเอกผุดขึ้นตั้งมั่นในภายในในแต่ละฌาณภายในหรือภายนอกล่ะ



ธรรมเอกผุดของคุณหลับอยู่คืออะไรคะ? ช่วยอธิบายที จะได้รู้ว่าเข้าใจตรงกันไหม

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2011, 21:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 21:59
โพสต์: 234

สิ่งที่ชื่นชอบ: ในตัวเอง
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อไม่มีตัวตน แล้วใครเข้าสู่นิพพาน

ตอบ.........walaiporn

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2011, 09:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรรมเอกไม่ใช่เป็นของหลับอยุ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2011, 09:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้ารู้ชัดใน...ๆลๆเป็นแบบที่วลัยพรบอก........มหาปัฏฐานอันลึกล้ำของพระองค์ก็ไม่มีความหมาย Onion_L


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2011, 22:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
ถ้ารู้ชัดใน...ๆลๆเป็นแบบที่วลัยพรบอก........มหาปัฏฐานอันลึกล้ำของพระองค์ก็ไม่มีความหมาย Onion_L




แค่ถามความคิดเห็นเท่านั้นเอง ที่คุณโพสมาก็เรื่องของคุณนะ ส่วนใบเหลือง ใบดำ ใบแดง หรือจะสีอะไร อยากจะชูก็ชูไป ถ้าไม่ต้องการสนทนาก็แล้วไป

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2011, 02:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12:
:b9:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 157 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร