วันเวลาปัจจุบัน 21 มิ.ย. 2025, 07:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1416 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 82, 83, 84, 85, 86, 87, 88 ... 95  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2016, 22:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตมาต่อกันในส่วนของการฝึกสติสัมปชัญญะและสมาธิ ในระดับที่สามารถรู้ลงในรู้ หรือรู้ลงในจิตได้ทั้งในสมาธิภาวนา และในการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อเอารู้ลงในรู้ไว้เป็นเครื่องอยู่ ทำสติให้เป็นเครื่องรักษาจิต และเอาไว้เป็นเครื่องมือในการทำวิปัสสนากันนะครับ :b1: :b46: :b39:

ซึ่งการปฏิบัติวิธีนี้ ปรากฏอยู่ในอานาปานสติจตุกกะที่ ๓ คือการรู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต การทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ การทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ และการเปลื้องจิตออก :b48: :b47: :b46:

หรือในบันทึกที่เกี่ยวเนื่องกับวิธีปฏิบัติขององค์หลวงปู่ดูลย์ จะใช้คำว่า การทำญาณให้เห็นจิต เหมือนดั่งตาเห็นรูป นั่นหล่ะครับ :b1: :b46: :b39:

ซึ่งจากประสบการณ์การปฏิบัติแล้ว วิธีฝึกสติให้เกิดสภาวะนิ่งรู้ และตั้งมั่นรู้ โดยรู้ลงที่จิต วิธีที่ดีที่สุด ก็คือการฝึกด้วยการทำสมาธิภาวนา ด้วยการโยนิโสมนสิการ ลงในอาการ "รู้อยู่ในรู้" :b46: :b47: :b46:

ซึ่งวิธีฝึกสติสัมปชัญญะและสมาธิ "รู้ลงในรู้" ด้วยสมาธิภาวนาที่ดีที่สุด และได้ผลที่สุด ก็คือ การฝึกสมาธิในฌาน (อัปปนาสมาธิ) ที่ปราศจากการคิด (ปราศจากวิตก วิจาร) อันได้แก่ สภาวะตามที่องค์หลวงปู่ดูลย์ท่านได้กล่าวไว้ว่า เมื่อหยุดคิด (วิตก วิจาร) แล้วจึงรู้ :b46: :b47: :b48:


(แต่บางที ต้องอาศัยคิด คือวิตก วิจาร หรือการบริกรรม จึงจะเข้าสู่ภาวะ "รู้" โดยไม่คิด ได้) :b49: :b50: :b44:

และถ้าจะเปิดตำรา ตรงนี้ก็คือสภาวะตั้งแต่รูปฌานที่ ๒ ขึ้นไป (นับแบบพระสูตร) :b42: :b48: :b47:

เพราะสภาวะ "รู้" จะเกิดได้ชัดเจน ก็ต่อเมื่อ สภาวะ "คิด" หรือวิตก วิจาร ดับไป (โดยจะได้ผลดีที่สุดในฌาน ๔) :b47: :b48: :b49:

และเมื่อวิตก วิจาร ดับไป จิต จะมีสภาวะเป็นหนึ่ง ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน :b43: :b44: :b39:

นั่นคือ เอโกธิภาวะ หรือจิตผู้รู้ ในสำนวนสายพระป่า เกิดขึ้น :b47: :b48: :b49:

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การฝึกเพื่อเข้าสู่สภาวะ "รู้ลงในรู้" ได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการพิจารณาตามที่พระบรมครูท่านได้ถ่ายทอดไว้ในสมาธิสูตร นั่นคือ การตามพิจารณาเห็นในการเคลื่อนไหว (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป) ของนามธรรม หรือเจตสิกทั้งหลายที่ปรากฏในสมาธิ อันได้แก่ เวทนา สัญญา และสังขาร :b46: :b47: :b46:

ซึ่งสังขารตัวที่โดเด่นที่สุดคือ อาการ "คิด" หรือวิตก วิจารทั้งหลาย ที่เกิดขึ้นในสมาธิก่อนถึงฌานที่ ๒ :b47: :b46: :b42:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2016, 22:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หมายความว่า ให้แยก เวทนา สัญญา และสังขาร ออกจากจิต โดยจิตทำตัวเป็นเพียงผู้รู้ผู้ดูความเคลื่อนไหว (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป) หรือความไม่เที่ยงของเจตสิกเหล่านี้ เฉยอยู่ :b46: :b47: :b46:

โดยเมื่อเห็นในอาการ "ดับ" ลงไปของเวทนา สัญญา โดยเฉพาะวิตก หรือความคิดได้อย่างชำนาญแล้ว การเข้าสมาธิโดยอาการ "รู้อยู่ในรู้" ก็จะเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว คล่องแคล่ว :b47: :b48: :b42:

ซึ่งในการปฏิบัติ ก็จะเป็นการยึดหลักการเดียวกับการฝึกสติและสัมปชัญญะนอกสมาธิภาวนา คือในการใช้ชีวิตประจำวันนะครับ แต่ต่างกันที่ ในการใช้ชีวิตประจำวัน จะเป็นการพิจารณาเห็น และทำความรู้สึกตัว รู้ลงในการเคลื่อนไหว (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป) ของ "รูปธรรม" หรือ ของกาย :b46: :b47: :b46:

อันได้แก่ อาการของกาย ในการก้าว ในการถอย ในการแล ในการเหลียว ในการ คู้เข้า ในการเหยียดออก ในการทรงสังฆาฏิ บาตรและจีวร ในการฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม ในการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ในการเดิน การยืน การนั่ง การหลับ การตื่น การพูด การนิ่ง ... ตามพุทธพจน์ที่ปรากฏในหลายพระสูตร :b49: :b50: :b51:

แต่การฝึกในสมาธิภาวนา จะเป็นการพิจารณาเห็นในการเคลื่อนไหว (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป) ของนามธรรม คือ เจตสิก (เวทนา สัญญา สังขาร) ในสมาธิภาวนา :b48: :b49: :b50:

และการพิจารณาเห็นในการเคลื่อนไหว (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป) ของเจตสิก ซึ่งได้แก่ เวทนา สัญญา และ สังขาร (วิตก) ในขณะทำสมาธิภาวนา จะเป็นวิธีที่ทำให้ข้ามผ่านจากรูปฌานที่ ๑, ๒, และ ๓ เข้าสู่รูปฌานที่ ๔ (นับแบบพระสูตร) ได้ง่าย ด้วยการเจริญสมถกรรมฐาน ๒๗ ใน ๔๐ กอง ที่สามารถเข้าถึงรูปฌานที่ ๔ โดยเฉพาะอานาปานสติกรรมฐาน :b51: :b44: :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2016, 22:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ซึ่งเมื่อเข้าถึงรูปฌาน ๔ แล้ว จะเกิดอาการ "รู้ลงในรู้" หรือ "รู้ลงในจิต" ได้อย่างแนบแน่น แต่สบายๆ ไม่เพ่งจนเคร่งตึง :b47: :b48: :b49:

และในสภาวะตรงนี้ สติที่ได้ จะเป็นสติที่บริสุทธิ์ และมีคุณภาพที่สุด ในการนำไปใช้เพื่อการเจริญปัญญา :b46: :b47: :b46:

ดังนั้น การฝึกสติ สัมปชัญญะ และสมาธิ ด้วยสมาธิภาวนา จนเข้าสู่รูปฌานที่ ๔ จึงเป็นการฝึกสติ "รู้ลงในรู้" ที่ได้ผลดีที่สุด :b44: :b43: :b42:

โดยเหตุผลที่ให้ความเห็นว่า การฝึกสติในรูปฌานที่ ๔ ให้ผลดีที่สุด ก็เพราะว่า ในรูปฌาน ๔ จะมีองค์ธรรมองค์หนึ่งเกิดขึ้น คือ อุเบกขา (ฌานุเปกขา เอกัคคตา หรือตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิกในฌาน) ที่พระบรมครูทรงกล่าวว่า เป็นเหตุที่ทำให้สติ มีความบริสุทธิ์ :b51: :b50: :b49:

ดังนั้น การ "รู้" ด้วยกำลังของสติ ในรูปฌาน ๔ จึงเป็นการรู้ที่ นิ่ง ตั้งมั่น และบริสุทธิ์ ตามสภาพธรรมที่เป็นจริง :b55: :b54: :b49:

โดยความบริสุทธิ์ของสติในรูปฌาน ๔ นี้ จะเป็นความบริสุทธิ์ที่พิเศษ คือมีความกระจ่าง ใส แจ่มสว่าง และต่อเนื่องกันในทุกขณะจิตที่ยังทรงฌานอยู่ :b51: :b50: :b49:

ไม่ใช่ความบริสุทธิ์ที่ยังมีอาการหมองนิดๆ เพราะถูกรบกวนจากสุข ปีติ วิจาร วิตก ในรูปฌานที่ต่ำกว่า :b46: :b47: :b46:

หรือใสจนเกินไป จนกระทั่งไม่สามารถสังเกตเห็นสภาวธรรม เห็นความเคลื่อนไหว (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป) ในองค์ธรรมได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในสิ่งที่เป็นรูปได้ ของอรูปฌาน :b47: :b48: :b42:

หรือทั้งหมอง ทั้งมัว และติดๆดับๆ เหมือนสติในชีวิตประจำวัน (ยกเว้นผู้ที่สามารถทรงฌานได้แล้วในชีวิตประจำวัน ซึ่งเริ่มตั้งแต่ได้บ้างไม่ได้บ้างในขั้นสกทาคามี จนถึงมีสมาธิสมบูรณ์ในระดับอนาคามี ที่จิตจะทิ้งกายเข้ามามีสติคุ้มครองอยู่ที่ตัวจิตเอง) :b48: :b49: :b42:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2016, 22:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ซึ่งสติที่ทรงความบริสุทธิ์อย่างต่อเนื่องนี้เอง จะทำให้จิต ที่เป็น "ผู้รู้" สามารถ "รู้" สิ่งที่เข้ามาผัสสะได้ "ตามความเป็นจริง" อย่างคมชัดและต่อเนื่อง โดยไม่มีสิ่งรบกวน (noise) เข้ามาแทรกให้การรับรู้ขาดความคมชัดไป :b49: :b50: :b44:

โดยการรู้ "ตามความเป็นจริง" นี้ ก็คือ จะมีความสามารถรู้ได้ ทั้งใน :b44: :b45: :b44:

๑) สภาวะความเป็นจริง (ปรมัตถธรรม คือ จิต เจตสิก รูป และนิพพาน) ที่เกิดขึ้น :b49: :b48: :b47:

๒) ลักษณะพิเศษเฉพาะ ของสภาวะความเป็นจริงเหล่านั้น (วิเสสลักษณะ เช่น สติเจตสิก และอุเบกขาเวทนาเจตสิกในฌาน หรือ ฌานุเบกขา เมื่อประกอบกับจิตในฌาน จะมีลักษณะ รู้ เสวยอารมณ์กลางๆอย่างใส สงบ นิ่ง เฉย ตั้งมั่น ฯลฯ) :b47: :b46: :b47:

๓) และ ลักษณะที่ร่วมกัน ของสภาวะความเป็นจริงเหล่านั้น (สามัญลักษณะ - ไตรลักษณะ คือ จิต เจตสิก รูป ที่เกิดขึ้น ก็ไม่มีอะไรเที่ยง เพราะถูกปรุงแต่งบีบคั้น บังคับให้เป็นไปตามอยากไม่ได้ เพราะเป็นไปตามเหตุปัจจัย) :b48: :b49: :b42:


นั่นคือ ภาครับรู้ และภาคประมวลผล ในขณะที่จิตทรงรูปฌาน ๔ (หรือพึ่งถอยจากรูปฌาน ๔ มาใหม่ๆ) จะคมชัด และรู้สภาวธรรมตามความเป็นจริง ลงลึกถึงรายละเอียดของสภาวธรรมนั้นๆ โดยไม่ถูกครอบงำให้เอนเอียงผิดเพี้ยน หรือวิปลาสไปด้วย รักโลภ, โกรธ, หลง, และกลัว (อคติ ๔) :b48: :b47: :b46:

ซึ่งสำหรับผู้ที่สามารถเข้าถึงสภาวะในรูปฌาน ๔ ได้แล้ว จะรู้ได้ด้วยตนเองว่า ในสภาวะเช่นนี้ กำหนดรู้ผัสสะในทวารใด ก็จะรู้ปรมัตถธรรมที่เกิดขึ้น ได้อย่างคมชัด ทั้งวิเสสลักษณะ และสามัญลักษณะ :b48: :b47: :b42:

เช่น นั่งสมาธิอยู่ในรูปฌาน ๔ กำหนดจิตให้รู้ในเสียงรอบข้าง ก็จะรู้ได้ชัด และมีมิติลึก ละเอียดในทุกการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ของเสียง (สัททรูป) คือในอาการทั้งวิเสสลักษณะ และสามัญลักษณะที่ปรากฏอยู่ :b49: :b50: :b44:

ลองขยับนิ้วขยับมือ ก็จะรู้ผัสสะได้ชัด ในทุกอาการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ของความเคลื่อนไหว (วาโยธาตุ) คือทั้งในทั้งวิเสสลักษณะ และสามัญลักษณะ แม้เพียงนาโนที่ปรากฏอยู่ ฯลฯ :b46: :b47: :b46:

หรือแม้แต่กำหนดปิดการรับรู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย คือปิดทวารทั้ง ๕ ให้สนิท แล้วกำหนดรู้ลงมาที่ใจ :b48: :b47: :b46:

ก็จะรู้ "ในอาการรู้" หรือรู้ลงในจิต ได้ชัด ทั้งวิเสสลักษณะ และสามัญลักษณะ ตามอาการที่ปรากฏอยู่ :b46: :b48: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2016, 22:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


และในการเห็นสามัญลักษณะของจิตในฌานที่ ๔ ด้วยกำลังของสมาธิและสติที่บริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง ผู้ปฏิบัติจะสามารถเห็นจิตผู้รู้นั้น ไม่เที่ยง เกิดดับได้เอง เนื่องด้วยสติ สัมปชัญญะ สมาธิ ที่เข้มแข็งบริสุทธิ์นั้น สามารถหน่วงเวลาของจิตให้ช้าลงได้ :b46: :b47: :b46:

ซึ่งตรงนี้เป็นประสบการณ์ที่ตรงกันเป็นส่วนใหญ่ของผู้ที่ฝึกสติ สัมปชัญญะ และสมาธิมาดีแล้วนะครับ ที่เมื่อนั่งสมาธิระดับลึกเพียงแค่ไม่กี่นาที แต่จะรู้สึกได้ว่าเวลาที่ผ่านไปนั้น ยาวนานมากราวกับเป็นชั่วโมง :b49: :b48: :b47:

หรือเมื่อตกอยู่ในเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ จิตและสติจะตั้งมั่นขึ้นมาเองอย่างเป็นอัตโนมัติ จนทำให้เห็นเหตุการณ์ฉุกเฉินที่ปรากฏนั้นได้แบบสโลว์โมชั่น เช่น เกิดอุบัติเหตุแล้วเห็นภาพเคลื่อนไหวสโลว์โมชั่น ทำให้ตนเองรอดได้จากอาการบาดเจ็บ หรือเห็นของตกแล้วมือสามารถเข้าไปคว้าไว้ได้แบบสโลว์โมชั่น หรือเห็นตนเองกำลังลื่นเมื่อก้าวไปบนตะไคร่แล้วสามารถทรงตัวกลับมาได้โดยไม่หกล้มแบบภาพสโลว์โมชั่น ฯลฯ :b48: :b47: :b46:

ซึ่งการเห็นภาพแบบสโลว์โมชั่น เป็นการหน่วงเวลา (ภาษาคอมพิวเตอร์คือการหน่วง clock) ของจิตให้ช้าลง ทำให้จิตซึ่งทำหน้าที่รู้นั้น สามารถรู้ลงในรายละเอียดที่ผ่านผัสสะเข้ามาได้อย่างช้าๆ และแจ่มชัด :b49: :b48: :b47:

และการหน่วงเวลาของจิตให้ช้าลงนี้ แค่กำลังของสมาธิ ไม่สามารถหน่วงเวลาของจิตให้ช้าลงได้ เพราะถ้าใช้กำลังของสมาธิอย่างเดียว จิตจะจมแช่ลงไปในองค์ของสมาธิ ทำให้การรับรู้นั้นๆไม่ละเอียด ไม่เห็นลงไปได้ถึงการเกิดดับของจิต :b46: :b47: :b46:

แต่ถ้าต้องการให้การรับรู้มีความละเอียด จนเห็นลึกลงไปได้ถึงการเกิดดับของจิต จะต้องใช้กำลังของสมาธิ คู่กับกำลังของสติและสัมปชัญญะที่เข้มแข็งพอๆกันเท่านั้น จึงจะสามารถหน่วงเวลาของจิตให้ช้าลง จนจิตสามารถเห็นถึงรายละเอียดของสิ่งที่เข้ามาผัสสะ ซึ่งก็คือตัวจิตเองนั้นได้อย่างละเอียดแบบสโลว์โมชั่น :b47: :b46: :b47:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2016, 22:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตัวอย่างเช่น ในการปฏิบัติแบบอานาปานสติในจตุกกะที่ ๓ ต่อเนื่องไปสู่จตุกกะที่ ๔ หลังจากผ่านฌานสี่ในจตุกกะที่ ๓ แล้ว กำลังของสติ สัมปชัญญะ และสมาธิจะคมกล้ามาก จนสามารถหน่วงเวลาของจิต จนเข้าไปเห็นการเกิดดับของจิตในจตุกกะที่ ๔ ข้อที่ ๑ ได้ :b46: :b47: :b46:

นั่นคือ การตามเห็นความไม่เที่ยง (อนิจจานุปัสสี) ของตัวจิตเอง โดยอาการเริ่มแรกเมื่อพิจารณาลงไปในจิต รู้อยู่ในรู้ ก็จะเห็นจิตเกิดดับแบบเร็วๆ คือเห็นจิตเกิดดับแบบกระพริบ ยิบๆยับๆ :b49: :b48: :b47:

แต่ถ้ากำลังของสติ สัมปชัญญะ และสมาธิ เข้มแข็งขึ้นไปอีก จนสามารถหน่วงจิตให้ช้าลงไปอีกได้ ก็จะสามารถตามเข้าไปเห็นถึงการเกิดดับ "เป็นช่วงๆ" ของจิตผู้รู้นั้น ได้เลยทีเดียวนะครับ :b1: :b46: :b39:

คือผู้ปฏิบัติ จะเห็นในอาการที่จิต "รู้" แล้ว "ดับ" .. "รู้" แล้ว "ดับ" เหมือนหลอดไฟที่สว่าง แล้วโดนปิดสวิตช์ดับ แล้วสว่างรู้ขึ้นมาใหม่ โดยจะเห็นเด่นชัดในอาการดับ (ภังคานุปัสสนาญาณ) .. ซึ่งอาการเกิดดับของจิตที่ว่า จะเป็นไปในแบบไม่ช้าจนยืดยาด หรือเร็วเกินไปจนสังเกตเห็นอาการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่ทันนะครับ :b1: :b46: :b39:

และตรงนี้ ถ้าจะเปิดตำราอภิธรรมตอบ ก็คือการเห็นในสภาวะเกิดดับของจิตขณะหนึ่งๆ ที่มี ๓ ขณะย่อย ได้แก่ ขณะเกิดขึ้น (อุปาทะ) - ขณะตั้งอยู่ (ฐีติ) - และขณะดับไป (ภังคะ) :b46: :b47: :b48:

โดยมีอาการที่เป็นไป ให้สังเกตเห็นได้ด้วยจิตผู้รู้ ที่มีความบริสุทธิ์ของสติ บวกกับกำลังของสมาธิ และสัมปชัญญะที่เข้มแข็งแล้ว นั่นเอง :b50: :b49: :b48:

ซึ่งจิตจะเห็นจิตได้ชัดเจนแจ่มแจ้งเหมือนใช้ตาดู ดังเช่นข้อความเปรียบเทียบในวิธีเจริญจิตภาวนาขององค์หลวงปู่ดูลย์ ที่ว่า "จงทำญาณให้เห็นจิต เหมือนดั่งตาเห็นรูป" :b49: :b50: :b51:

และนี่ก็คือ การเกิดขึ้นของสภาวะ "จิตเห็นจิต" ในการเห็นการเกิดดับของจิต ซึ่งทำให้หมดความสงสัยไปได้เลยว่า จิตเกิดดับหรือไม่ และทำไมในพระอภิธรรม จึงสามารถเรียบเรียงวิถีจิต และหน้าที่ของจิตที่เกิดดับในแต่ละขณะของแต่ละวิถีจิตได้อย่างละเอียดแจ่มแจ้งเช่นนั้นได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญจทวารวิถี หรือมโนทวารวิถี :b46: :b47: :b42:

และการเห็นจิตทำงานได้เอง คือเกิดดับได้เอง ก็จะรู้ซึ้งถึงใจในคำว่า จิตไม่ใช่เรา เราไม่ใช่จิต ไม่มีจิตในเรา ไม่มีเราในจิตที่ไหน :b46: :b47: :b46:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2016, 22:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ซึ่งถ้าจะเปรียบเทียบกับการเห็นวัตถุแล้ว การเห็นช่องว่างระหว่างจิต ก็เหมือนกับการเห็นช่องว่างระหว่างวัตถุ (รูป) ที่เล็กระดับโมเลกุล หรือระดับอะตอม และโครงสร้างของอะตอม :b46: :b47: :b48:

โดยในวัตถุธาตุทุกชนิด ถ้าจะสาวให้ลึกลงถึงระดับอะตอมแล้วนั้น ระหว่างอะตอมหรือองค์ประกอบของอะตอมที่เป็นนิวเคลียส โปรตอน อิเลคตรอน ฯลฯ จะมีช่องว่างอยู่เสมอ :b48: :b47: :b46:

เหล็กตันที่คนเราเห็นว่าเนื้อแน่น ก็มีช่องว่างระหว่างอะตอม ระหว่างองค์ประกอบของอะตอม แต่อะตอมและส่วนประกอบของมันนั้น สามารถยึดอยู่กันได้ด้วยแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม :b49: :b48: :b47:

ซึ่งถ้าจะขยายให้เห็นช่องว่างที่ว่านี้ จะต้องใช้กล้องจุลทรรศน์กำลังขยายสูงๆ หรือใช้เครื่องมือต่างๆที่ซับซ้อน เข้ามาทำการพิสูจน์ให้เห็นถึงช่องว่างดังกล่าว :b49: :b47: :b46:

เช่นเดียวกันนะครับ ถ้าจะให้เห็นช่องว่างของจิต (นาม) ก็ต้องใช้เครื่องมือที่มีกำลังขยายสูงๆเข้ามาพิสูจน์ให้เห็น โดยเครื่องมือที่ว่านั้นก็คือ สติ สัมปชัญญะ และสมาธิขั้นฌานที่มีกำลังแรงกล้า ถึงจะขยายให้เห็นช่องว่างระหว่างจิต ซึ่งก็คือการเกิดดับของจิตนั้นได้ :b50: :b49: :b44:

โดยการเกิดดับของจิตที่มีความเร็วสูง จะต้องใช้กำลังของสติและสมาธิในการ "หน่วงเวลา" ของจิตให้ช้าลงมากๆ เหมือนกับผู้ที่ฝึกสติอยู่เรื่อยๆ เวลาเกิดอุบัติเหตุ เช่น เห็นของตกจากมือ เห็นตัวเองกำลังลื่นไถลเวลาเหยียบตะไคร่ เห็นตัวเองกำลังก้ม กำลังกลิ้งไปเวลารถคว่ำ ฯลฯ ก็จะเห็นภาพที่เกิดขึ้นแบบสโลว์โมชั่น :b50: :b49: :b48:

หรือเวลานั่งสมาธิหรือนอนสมาธิ แค่ครึ่งชั่วโมงจะรู้สึกว่านานหลายชั่วโมง ทำให้การพักผ่อนในสมาธิแค่สี่ชั่วโมงตอนกลางคืนแต่ร่างกายยังสดชื่นไม่อดนอน สำหรับผู้ปฏิบัติที่มีร่างกายแข็งแรงเป็นปรกติโดยทั่วไปแล้วนั้น อยู่ในฐานะที่เป็นไปได้ :b44: :b43: :b42:


ภิกษุชื่อว่าประกอบความเพียรเป็นเครื่องตื่นอยู่เนือง ๆ เป็นอย่างไร
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากธรรมทั้งหลายที่เป็นเครื่องขัดขวาง
ด้วยการจงกรม ด้วยการนั่ง ตลอดวัน

ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากธรรมทั้งหลาย ที่เป็นเครื่องขัดขวาง
ด้วยการจงกรม ด้วยการนั่ง ตลอดปฐมยามแห่งราตรี

นอนดุจราชสีห์โดยข้างเบื้องขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า มีสติสัมปชัญญะ
หมายใจว่าจะลุกขึ้น ตลอดมัชฌิมยามแห่งราตรี

ลุกขึ้นชำระจิตให้บริสุทธิ์จากธรรมทั้งหลายที่เป็นเครื่องขัดขวาง
ด้วยการจงกรม ด้วยการนั่ง ตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรี

ภิกษุชื่อว่าประกอบความเพียรเครื่องตื่นอยู่เนือง ๆ เป็นอย่างนี้แล


(หมายเหตุ : ปฐมยาม คือเวลา 18:00 - 22:00 น. มัชฌิมยาม คือเวลา 22:00 - 02:00 น. ปัจฉิมยาม คือเวลา 02:00 - 06:00 น.)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2016, 22:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ซึ่งอย่างที่เคยเปรียบเทียบความคมชัดเอาไว้นะครับว่า ระหว่างการรู้ในรูปฌาน ๔ กับการรู้ที่ไม่มีกำลังของฌานเข้าช่วยในชีวิตประจำวันแล้ว :b46: :b47: :b46:

เหมือนกับการนั่งดูภาพที่ปรากฏบนทีวีจอแบนความละเอียดสูง ด้วยระบบ full HD ผ่านสายต่อ HDMI ไม่พอ ยังมีโหมด slow motion ให้ดูด้วย :b49: :b48: :b42:

เทียบกับการดูทีวีระบบธรรมดา รุ่นเก่าจอป่องโค้ง ผ่านเสาอากาศหนวดกุ้งหรือก้างปลา ที่มักจะมีสัญญาณซ่าแทรกรบกวน :b50: :b49: :b48:

อย่างไรอย่างนั้น :b51: :b50: :b44:

และด้วยการรับรู้ที่คมชัด ด้วยกำลังของสมาธิ อันเนื่องมาจากความบริสุทธิ์แห่งสติในรูปฌานที่ ๔ หรือหลังออกจากรูปฌานที่ ๔ ใหม่ๆ ทั้งในสภาวะความเป็นจริง (ปรมัตถ์), ในลักษณะอาการเฉพาะ (วิเสสลักษณะ), และในลักษณะสามัญร่วมต่างๆ (ไตรลักษณ์) ของสภาวะความเป็นจริงเหล่านั้น :b51: :b50: :b44:

การบันทึกข้อมูลลงในจิต จนเกิดเป็นสัญญาจำได้หมายรู้ ก็จะคมชัดตามไปด้วย :b47: :b48: :b49:

ซึ่งทั้งสภาวะ "รู้" ที่คมชัด และความจำได้หมายรู้ (สัญญา) ในสภาวะธรรมที่ปรากฏและถูกบันทึกอย่างคมชัด ในรูปฌานที่ ๔ นี้ :b49: :b48: :b42:

(โดยเฉพาะทุกขสัญญา (บีบคั้น), อนิจจสัญญา (ไม่เที่ยง), วิราคสัญญา (คลายกำหนัด), นิโรธสัญญา (ดับสนิท), อนัตตสัญญา (ปราศจากตัวตน) ที่ปรากฏในอานาปานสติขั้นที่ ๙ - ๑๖) :b50: :b49: :b43:


เมื่อออกจากฌานมาแล้ว สภาวธรรม หรือสภาวะของผู้รู้ที่คมชัดเหล่านั้น จะคงสภาวะติดตามออกมาในการใช้ชีวิตปรกติอยู่ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง :b44: :b43: :b42:

(ซึ่งอาจจะอยู่ได้เป็นวัน หรือหลายวัน แต่จะค่อยๆเสื่อม หรือ fade ลงไปเรื่อยๆ เมื่อถูกนิวรณ์ต่างๆจากการใช้ชีวิตประจำวัน เข้ามารบกวนให้สติค่อยๆหมอง ขาดความบริสุทธิ์ จนกว่าจะกลับเข้าไป clear สติให้บริสุทธิ์อีกครั้งในรูปฌาน ๔ :b46: :b47: :b48:

ซึ่งการ clear สติให้บริสุทธิ์ตรงนี้ เหมือนกับการชาร์จแบตฯมือถือนะครับ คือเมื่อเกิดสภาวะ "ผู้รู้" ได้อย่างเต็มที่แล้ว เมื่อใช้ไปสักพัก แบตฯก็จะเริ่มอ่อนลง จนต้องกลับเข้าไป recharge อีกครั้งก่อนนอนทุกคืน หรือตื่นนอนตอนเช้ามืด ถึงจะมีสภาวะ "ผู้รู้" ให้ใช้ได้อย่างมีพลังต่อเนื่องตลอดทั้งวัน ยกเว้นในระดับอนาคามีขึ้นไปที่มีจิตผู้รู้ มีสติมาคุ้มครองจิตอยู่ได้ตลอดเวลา เนื่องจากองค์สมาธิที่สมบูรณ์แล้ว) :b46: :b47: :b42:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2016, 22:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


และการคงตัวของ "ผู้รู้" หลังออกจากฌานมาแล้วนั้น :b47: :b48: :b42:

จะทำให้มีสภาวะของ "ผู้รู้" ที่มีสติและสมาธิตั้งมั่น พร้อมที่จะรู้ลงในลักษณะสามัญทั้ง ๓ ของโลกอยู่อย่างต่อเนื่องในการใช้ชีวิตประจำวันตามปรกติ :b48: :b49: :b50:

และในการใช้ชีวิตตามปรกตินั้น เมื่อจิตที่มีสติบริสุทธิ์ อยู่ในสภาพพร้อม ควรค่าแก่การงานในการรู้โลกในชีวิตประจำวันตามความเป็นจริง ลงในลักษณะสามัญทั้ง ๓ ซ้ำๆได้อย่างคมชัดไปเรื่อยๆ :b46: :b47: :b48:

ปัญญาทางธรรมก็จะค่อยๆพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ โดยจิตจะเห็น และค่อยๆยอมรับในสภาวะความเป็นจริงดังกล่าว :b48: :b42: :b49:

ส่งผลให้มีการกำจัดเสียซึ่งวิปลาส ๔ คือ เห็นสิ่งไม่เที่ยง ว่าเที่ยง, เห็นสิ่งที่เป็นทุกข์ ว่าสุข, เห็นสิ่งที่ไม่เป็นตัวตน ว่าเป็นตัวตน, เห็นสิ่งที่ไม่งาม ว่างาม :b50: :b51: :b44:

จนจิตเบื่อหน่าย คลายกำหนัด และหลุดพ้นจากกองทุกข์ได้ทีละกอง จนหมดสิ้นทุกกองได้โดยสิ้นเชิงนะครับ :b1: :b46: :b39:


(ไม่ต้องพูดถึงแค่ การตัดกระแสของทุกข์บาปอกุศล ด้วยสติที่บริสุทธิ์ในรูปฌาน ๔ นี้นะครับ เพราะเราพูดเลยมาถึงอานิสงค์ของการฝึกสติแบบนี้ จนถึงเข้าถึงการ "ปิดกระแส" ทั้งมวลลงได้แล้ว) :b49: :b47: :b48:

และเครื่องมือที่ใช้ ในการฝึกเพื่อเข้าสู่รูปฌาน ๔ ที่ได้ผลที่สุดจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ก็คือการฝึกอานาปานสติ นั่นเอง :b46: :b47: :b48:

(แต่อย่าลืมนะครับว่า กรรมฐานอื่นๆอีกกว่ายี่สิบกอง ก็สามารถใช้ฝึกเพื่อเข้าถึงรูปฌาน ๔ ได้ แล้วแต่จริตของผู้ฝึกว่าจะถนัดกรรมฐานกองไหนนะครับ) :b48: :b49: :b42:

ซึ่งจะลงรายละเอียดในการฝึกเพื่อเข้าสู่รูปฌานที่ ๔ โดยใช้อานาปานสติกรรมฐาน (1-4 กายวิเวก 5-12 จิตวิเวก 13-16 อุปธิวิเวก) เมื่อถึงภาคส่วนของการฝึกอธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา นะครับ :b1: :b46: :b39:

เพราะอานิสงค์ของการฝึกอานาปานสติที่ถูกต้อง จะครอบคลุมถึงการฝึกได้อย่างครบถ้วนในสิกขาทั้ง ๓ เลยทีเดียว :b46: :b47: :b46:

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้ว
อย่างนี้แล ชื่อว่าบำเพ็ญสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้ ฯ
[๒๙๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุที่เจริญสติปัฏฐาน ๔ แล้วอย่างไร
ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงบำเพ็ญโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์ได้
[๒๙๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่เจริญโพชฌงค์ ๗ แล้วอย่างไร ทำให้
มากแล้วอย่างไร จึงบำเพ็ญวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้

อานาปานสติสูตร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2016, 22:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตรงนี้ขอทิ้งโน๊ตไว้หน่อยนะครับ :b1: :b46: :b39:

ถึงแม้ว่าท่านพุทธโฆษาจารย์ ผู้รจนาคัมภีร์วิสุทธิมัคค์ ท่านได้แยกจริตในการฝึกวิปัสสนาไว้เป็นวิปัสสนายานิก กับ สมถยานิก :b47: :b48: :b42:

แต่ท่านไม่ได้บอกว่า วิปัสสนายานิก ไม่สามารถพัฒนาตนเองจนเข้าถึงฌาน เป็นสมถยานิกได้ นะครับ :b1: :b46: :b39:

เพราะจากประสบการณ์ส่วนตัว สมาธิในระดับฌาน ทำให้การปฏิบัติ มีความก้าวหน้าได้รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง :b49: :b48: :b47:

ดังนั้น สำหรับท่านที่ยังไม่สามารถเข้าสมาธิได้ถึงฌาน ก็ควรเพียรต่อให้เข้าถึงฌาน แต่ไม่ต้องรอให้ได้ฌานก่อน แล้วค่อยเดินวิปัสสนา เพราะอาจจะช้าเกินกาล :b47: :b48: :b42:

ให้อาศัยว่า ในระหว่างที่เพียรทำสมาธิเพื่อเข้าถึงฌานอยู่นั้น ไม่ว่าจะในขั้นขณิกสมาธิ หรืออุปจารสมาธิ ก็อาศัยจังหวะเดียวกัน เดินวิปัสสนาไปด้วยเลย :b49: :b43: :b44:

คือพิจารณาการเกิดดับขององค์ธรรมจากขั้นขณิกะ จนเข้าสู่อุปจาระ โดยเฉพาะการเกิดดับของ เวทนา สัญญา และวิตก เพื่อเป็นการฝึกสติและสัมปชัญญะ ตามคำของพระบรมครูในสมาธิสูตร นั่นเอง :b49: :b48: :b47:

และถึงแม้จะทำได้แค่ขณิกะ หรืออุปจาระ :b48: :b42: :b43:

ขณิกะ หรืออุปจาระนั้น ผู้ปฏิบัติก็จะมีความชำนาญในการทำให้เกิดขึ้น (วสี) เพื่อใช้ในการเดินวิปัสสนาในชีวิตประจำวันได้ เป็นอย่างดียิ่ง :b50: :b49: :b55:

แล้วมาต่อกันในคราวหน้า ด้วยการฝึกสติสัมปชัญญะและสมาธิ รู้อยู่ในรู้ รู้อยู่ในจิต หรือจิตเห็นจิต โดยที่ไม่ต้องเริ่มจากสมาธิขั้นฌาน :b46: :b47: :b46:

เจริญในธรรมครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ค. 2016, 21:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตมาต่อกันที่ การฝึกสติสัมปชัญญะและสมาธิ รู้อยู่ในรู้ รู้อยู่ในจิต หรือรู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต โดยที่ไม่ต้องเริ่มจากสมาธิขั้นฌานกันนะครับ :b1: :b46: :b39:

(แต่ถึงจะไม่ใช้สมาธิขั้นฌาน ก็ยังต้องใช้สมาธิขั้นขณิกกะ หรืออุปจาระ ในการฝึก ทั้งการฝึกในรูปแบบด้วยสมาธิภาวนา และการฝึกในระหว่างการใช้ชีวิตประจำวันอยู่นะครับ) :b1: :b46: :b39:

มาเริ่มที่การฝึกในรูปแบบด้วยสมาธิภาวนากันก่อน :b47: :b44: :b39:

สำหรับผู้ปฏิบัติที่ไม่สามารถเข้าถึงสมาธิได้ถึงในระดับอัปปนาสมาธิ หรือในระดับฌานนั้น การฝึกให้เกิดผู้รู้ ด้วยการรู้อยู่ในรู้ หรือรู้อยู่ในจิตนี้นั้น ในลำดับแรก จะต้องหาผู้รู้ให้เจอกันเสียก่อน :b44: :b43: :b42:

แล้วจะหาผู้รู้ให้เจอกันได้อย่างไรโดยไม่ต้องอาศัยสมาธิในระดับฌาน ? :b50: :b49: :b48:

ตรงนี้ขอยกเอาอุบายในการหาผู้รู้ขององค์หลวงปู่เทสก์ (ซึ่งท่านหมายเอาผู้รู้ ที่รู้อยู่เฉยๆนี้ว่า "ใจ") ด้วยการกลั้นลมหายใจสักพักหนึ่ง ขึ้นมาให้ทดลองฝึกกันนะครับ :b1: :b46: :b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ค. 2016, 21:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"แต่ทำไมท่านจึงเรียกว่าใจ ทำไมจึงเรียกว่าจิต

อธิบายให้ฟังว่าใจคือตรงกลางไม่มีส่งส่าย ไม่มีคิดไปหาบาปอกุศล ไม่คิดถึงบุญ หรืออะไรทั้งหมด ใจที่ตรงกลางๆนั่นแหละ ไม่มีอะไรหรอก ไม่คิด ไม่นึก ไม่ปรุง ไม่แต่ง แล้วก็ไม่เกิดปัญญา ตรงนั้นไว้เสียก่อน ให้มันอยู่ตรงกลางเสียก่อน ปัญญาเกิดหรือไม่เกิดก็ช่างมัน

ที่จะถึงตรงกลางได้มันใช้ปัญญาไม่ใช่น้อย คิดค้นต่างๆทุกอย่างทุกเรื่อง คิดค้นมาพอแรงแล้ว ตัวปัญญาใช้มามากแล้ว คราวนี้เมื่อใช้มันหมดทางไม่มีที่ไปแล้ว มันจึงเข้ามาเป็นกลาง ตัวกลางๆนั้น แต่คนไม่เข้าใจว่ามีปัญญา แท้ที่จริงปัญญาใช้มามากแล้ว เข้าถึงตรงกลางแล้วก็เฉยอยู่นั้น

เราอยากจะรู้จักตรงกลางคืออะไร หัดอย่างนี้ก็ได้ ทดสอบทดลองดู กลั้นลมหายใจสักพักหนึ่ง ไม่มีอะไรหรอก มีเฉยๆ รู้เฉยๆ ไม่คิดไม่นึก แต่รู้สึกว่ามันไม่คิดไม่นึก ไม่ส่งส่ายไปมาหน้าหลัง ไม่คิดถึงเป็นบาปเป็นบุญอะไรทั้งหมด ผู้รู้สึกว่าเฉยๆนั่นแหละ ตัวนั้นแหละตัวกลางตัวใจ แต่มันได้ชั่วขณะเดียว ในเมื่อเรากลั้นลมหายใจ พอจับตัวมันได้ว่า ตัวใจมันตัวนี้"

"ในโอวาทของท่านที่ท่านพูดว่า จิต คือ พุทธะ ในตอนนี้ผู้เขียนขออธิบายว่า พุทธะ คือความรู้ทั่วไป ไม่ได้หมายถึงสัมมาสัมพุทธะ พุทธะ คือผู้รู้ทั่วไป หรือธาตุรู้ก็ว่า

แล้วก็อีกคำหนึ่งท่านว่า จิตส่งออกนอกเป็นตัวสมุทัย มันก็แน่ทีเดียว ถ้าจิตส่งแล้วมันเป็นตัวสมุทัย โดยความเข้าใจของผู้เขียน จิต คือผู้คิดผู้นึก ผู้ส่ง ผู้ปรุงแต่ง ผู้จดผู้จำ เป็นอาการวุ่นวายของจิตทั้งหมด

ครั้นมาเห็นโทษเห็นภัยเห็นเช่นนั้นแล้วถอนเสียจากความยุ่ง ความวุ่นวายแล้ว เข้ามาหาตัวเดิม คือ ใจ แล้วไม่มีคิดไม่มีนึก ไม่มีส่งไม่ส่าย ไม่มีจดไม่มีจำอะไรทั้งหมด

คือเป็นกลางๆ อยู่เฉยๆ นี่ละ ผู้เขียนเรียกว่า ใจ คืออยู่กลางๆ ของความดีความชั่ว ความปรุงความแต่ง อดีตอนาคตปล่อยวางหมด จึงกลับมาเป็นใจ จิตคือ พุทธะ ท่านคงหมายเอาตอนนี้

ผู้ใคร่อยากรู้ใจแท้ ถึงแม้ยังไม่เป็นสาวกพุทธะปัจเจกพุทธะ สัมมาสัมพุทธะก็ตาม ขอให้ศึกษาพอเป็นสุตพุทธะเสียก่อน คือ จงกลั้นลมหายใจไปสักพักหนึ่งลองดู

ในที่นั่นจะไม่มีอะไรทั้งหมด นอกจากความรู้เฉยๆ

ความรู้ว่าเฉยนั่นแหละ เป็นตัวใจ

พุทธะ ทั้งสี่จะมีขึ้นมาได้ ก็เพราะมีใจ ดังนี้ ถ้าหาไม่แล้ว พุทธะทั้งสี่จะมีไม่ได้เลยเด็ดขาด

แท้จริง จิตกับใจ ก็อันเดียวกันนั่นเอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ตรัสไว้ว่า จิตอันใดใจก็อันนั้น แต่ผู้เขียนมาแยกออกเพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจง่ายตามภาษาบ้านเราเท่านั้น"


พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ค. 2016, 21:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก็ให้ผู้ปฏิบัติ ลองหายใจเข้า แล้วกลั้นลมหายใจสั้นๆสักพัก โดยในจังหวะที่กลั้นลมหายใจ จิตจะทำหน้าที่รู้เฉยๆ รู้อยู่อย่างเดียว โดยไม่คิดไม่นึก ไม่ปรุงไม่แต่ง .. :b46: :b47: :b46:

ความรู้สึกแวบเดียวตรงนั้นนั่นหล่ะครับ คือผู้รู้ ที่รู้ลงในรู้ หรือรู้ลงในจิต จิตทำหน้าที่เป็นผู้รู้แต่เพียงอย่างเดียว เฉยอยู่ :b1: :b46: :b39:

แต่ถ้าจะใช้การกลั้นหายใจสักพักสำหรับการฝึกรู้อยู่ในรู้เรื่อยๆไปนั้น ก็ไม่ขอแนะนำให้ฝึกนะครับ เพราะมันจะเป็นการฝืนธรรมชาติของร่างกายที่ต้องหายใจเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ถ้าใช้การกลั้นหายใจไว้สำหรับฝึกในระยะยาวแล้ว ก็จะเกิดความอึดอัดต่อร่างกาย ไม่สบาย ไม่สัปปายะ ไม่เป็นการฝึกแบบให้เป็นไปตามธรรมชาติ :b46: :b47: :b48:

ดังนั้น การฝึกกลั้นหายใจสักพักเพื่อหาผู้รู้ หรือรู้ลงในรู้นั้น จึงเป็นเพียงอุบายที่เหมาะสำหรับเอาไว้ใช้ให้เกิดประสบการณ์ในการหาผู้รู้ให้เจอเท่านั้นนะครับ ไม่ใช่เป็นอุบายที่เหมาะสำหรับเอาไว้ฝึกในระยะยาว :b48: :b49: :b50:

โดยการฝึกในระยะยาวหลังจากได้ลองให้มีประสบการณ์ในการหาผู้รู้จนเจอแล้ว ก็จะต้องอาศัยปัญญาญาณในขั้นแรกของโสฬสญาณ นั่นคือ ความสามารถในการแยกรูปแยกนาม (นามรูปปริจเฉทญาณ) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการฝึกแยกผู้รู้ ออกจากสิ่งที่ถูกรู้ให้ได้เสียก่อน :b48: :b49: :b50:

ก่อนที่จะให้ผู้รู้นั้น เหลือแต่ "อาการรู้" คือรู้อย่างซื่อๆ รู้ลงในรู้ หรือรู้ลงในจิตที่เป็นผู้รู้นั้นได้ตลอดเวลาในการทำสมาธิภาวนา หรือเหลือแค่อาการรู้ลงในผัสสะต่างๆอย่างตรงๆ อย่างซื่อๆ โดยรู้ลงที่ใจ รู้แล้วจบ จิตไม่ฟุ้งซ่านต่อเนื่องออกไปในการฝึกในชีวิตประจำวัน โดยที่ไม่ต้องอาศัยการกลั้นหายใจเสียก่อน จึงจะหาผู้รู้ได้ นั่นเอง
:b46: :b47: :b42:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ค. 2016, 21:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ซึ่งในสมาธิภาวนานั้น ผู้ปฏิบัติอาจจะใช้วิธีการภาวนาที่ถูกจริตของตนเอง เช่น การใช้การบริกรรม การใช้การดูท้องพองยุบ การใช้การดูลมหายใจ การเดินจงกรม การขยับมือเป็นจังหวะ ฯลฯ เข้ามาเป็นองค์ปฏิบัติในการแยกผู้รู้ ออกจากสิ่งที่ถูกรู้ :b50: :b51: :b53:

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าใช้การบริกรรมพุทโธ ก็อาจจะบริกรรมพุทโธในใจไป แล้วให้สังเกตว่า พุทโธชัดที่ตรงไหน ใครเป็นผู้รู้การบริกรรมพุทโธนั้น :b49: :b48:

หาตำแหน่งของผู้รู้จากการบริกรรมพุทโธ ซึ่งผู้รู้พุทโธกับผู้ท่องพุทโธก็อยู่ที่ตำแหน่งเดียวกันนั่นหล่ะครับ เพียงแต่ในขณะภาวนาพุทโธ ให้รู้ชัดในพุทโธ และรู้ชัดลงในผู้ท่องพุทโธ พุทโธชัดที่ตรงไหน ตรงนั้นก็คือตำแหน่งของผู้รู้นั่นเอง เนื่องเพราะจิต (ผู้รู้) กับเจตสิก (วิตก วิจาร คือการท่องพุทโธนั้น) เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับลงไปในที่เดียวกัน คือที่ใจ (มโนธาตุ) นั้น นั่นเอง :b46: :b47: :b46:

นั่นคือการใช้คำบริกรรมพุทโธ เป็นเสมือนเหยื่อตกปลา เพื่อหาผู้รู้ให้เจอ เหมือนที่พ่อแม่ครูอาจารย์สายวัดป่าท่านว่าไว้ ซึ่งบางท่านถึงกับให้บริกรรมว่า พุทโธใจรู้ พุทโธรู้ใจ นั่นเอง :b46: :b47: :b46:

และเมื่อหาตำแหน่งของใจหรือผู้รู้เจอแล้ว จนใจนั้นนิ่งสงบ แนบแน่นอยู่แต่ในคำบริกรรมโดยไม่ฟุ้งออกไปที่อื่น ก็ให้ลองหยุดบริกรรม หรือภาวนาจนคำบริกรรมหายไปเอง เหลือแต่ผู้รู้ที่รู้ลงในรู้ รู้ลงที่ในตำแหน่งของใจ ที่ว่างๆ ที่สงบๆ รู้อยู่ในรู้อย่างเดียว เฉยๆอยู่นั้น โดยทำการประคองการรู้อยู่ในรู้นั้นไปเรื่อยๆ ก็จะสามารถพัฒนาสมาธิไปสู่ขั้นอัปปนา หรือขั้นฌานได้โดยง่ายนะครับ :b1: :b46: :b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ค. 2016, 21:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แต่ถ้าสมาธิยังไม่แนบแน่นถึงในขั้นฌาน ไปได้แค่ขณิกกะหรืออุปจาระ องค์ของนิวรณ์ โดยเฉพาะความฟุ้งซ่านหรืออุทธัจจะ ก็จะแทรกเข้ามาให้จิตตกจากอาการรู้อยู่ในรู้ออกไป :b47: :b48: :b42:

โดยสิ่งที่แทรกหรือผุดเกิดนำขึ้นมาก่อนก็คือ ความจำได้หมายรู้ หรือตัวสัญญาขันธ์ที่ทำหน้าที่ผุดเกิดขึ้นมาของเขาเองในขณะที่สติสัมปชัญญะ โดยเฉพาะสมาธิมีกำลังอ่อนแรงลงไป :b44: :b45: :b40:

จากนั้นถ้าจิตยังตามไม่ทันสัญญาขันธ์ที่ผุดเกิดขึ้นมา ตัวสังขารขันธ์ก็จะนำสัญญาขันธ์นั้นมาปรุงแต่งต่อจนเป็นความคิดที่ฟุ้งซ่านวุ่นวายออกไปในระหว่างทำสมาธิภาวนานั้น นั่นเอง :b51: :b44: :b39:

ซึ่งถ้าผู้ปฏิบัติมีสติระลึกได้ว่า มีสัญญาขันธ์และสังขารขันธ์ (คือความคิด หรือตัววิตก) ผุดเกิดแทรกขึ้นมาทำงานระหว่างทำสมาธิภาวนาแล้วละก็ ผู้ปฏิบัติสามารถใช้โอกาสนี้ ฝึกสติสัมปชัญญะและสมาธิ ด้วยการดูการดับลงไปของสัญญาขันธ์และสังขารขันธ์ :b51: :b50: :b49:

ไม่ว่าทั้งสองขันธ์นั้นจะดับไปได้เองเมื่อผู้ปฏิบัติมีสติเกิดขึ้นมาแล้วเห็นการดับของทั้งสองขันธ์ลงไป หรือทั้งสองขันธ์ดับลงไปแต่ผุดเกิดขึ้นมาใหม่เป็นความฟุ้งอยู่ในจิตอยู่เป็นระยะๆ จนกระทั่งผู้ปฏิบัติต้องกลับไปหาคำบริกรรมเพื่อกดทับการทำงานของทั้งสองขันธ์ ไม่ให้ผุดเกิดขึ้นมาใหม่ในสมาธิภาวนา
:b51: :b49: :b48:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1416 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 82, 83, 84, 85, 86, 87, 88 ... 95  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร