วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 13:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 268 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12 ... 18  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 เม.ย. 2020, 05:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ศัพท์และความหมาย

วิชชา ความรู้, ความรู้แจ้ง, ความรู้วิเศษ

อวิชชา ความไม่รู้จริง, ความหลงอันเป็นเหตุไม่รู้จริง มี ๔ คือ ความไม่รู้อริยสัจจ์ ๔ แต่ละอย่าง (ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดแห่งทุกข์ ไม่รู้ความดับทุกข์ ไม่รู้ทางให้ถึงความดับทุกข์)

อวิชชาสวะ อาสวะคืออวิชชา, กิเลสที่หมักหมมหรือดองอยู่ในสันดาน ทำให้ไม่รู้ตามความเป็นจริง

เป็นพระพุทธเจ้าเนี่ยเป็นได้ทีละ1คน
และคนที่จะเป็นพระพุทธเจ้านั้นน่ะ
ในชาติสุดท้ายเท่านั้นที่ไม่ต้องฟัง
เพราะไม่มีใครบังอาจมาสอนวิธีทำ

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ชอบด้วยตนเอง
ส่วนใครที่ยังเกิดมาอยู่เดี๋ยวนี้เนี่ย
รู้แล้วว่าเป็นคนแล้วใช่ไหมล่ะคะ
และตัวเองน่ะค่ะทุกคนเลยนะคะ
ไม่ได้เป็นคนที่จะเป็นพระพุทธเจ้า
และไม่ได้เป็นอัครสาวกด้วย
แล้วเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า
ทำไมไม่เตือนตนเองให้ฟังล่ะ
ไม่เชื่อหูที่ฟังและตาที่ดูเอง
มัวแต่ไปกับไปเห่อทำตามๆกัน
เชื่อใช่ไหมล่ะถึงไปแห่ทำตามๆกัน
ทำไมไม่สร้างเหตุตรงสัจจะตามคำตถาคต
คิดให้รอบคอบให้ถูกตรงตามคำสอนได้ตอนที่ยังมีลมหายใจเท่านั้น
https://youtu.be/6vqYyD4BHAc
:b12:
:b4: :b4:


นั่นก็เข้าใจผิดอีก

กัปป์นี้มีพระพุทธเจ้าองค์เดียว นี่ถูก คิกๆๆ

ส่วนวิธีทำนั้น พระพุทธเจ้าองค์นี้แหละบอกไว้แล้ว วิธีทำก็ที่เรียกว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา

สั้นๆ มรรค อยู่ในชุด

ทุกข์
สมุทัย
นิโรธ
มรรค (ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ หมายถึงมรรคมีองค์แปด เรียกสั้นๆว่า มรรค เรียกเต็มว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจจ์)




นี่แหละวิธีของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันท่านสอนไว้ท่านบอกไว้แล้ว

สั้นๆอีกก็ได้ ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี่เองแล.

เช้านี้จบข่าวเพียงแค่นี้

รูปภาพ

ไปเข้าคิวรับแจกข้าวกล่องก่อน คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 เม.ย. 2020, 15:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ศัพท์และความหมาย

วิชชา ความรู้, ความรู้แจ้ง, ความรู้วิเศษ

อวิชชา ความไม่รู้จริง, ความหลงอันเป็นเหตุไม่รู้จริง มี ๔ คือ ความไม่รู้อริยสัจจ์ ๔ แต่ละอย่าง (ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดแห่งทุกข์ ไม่รู้ความดับทุกข์ ไม่รู้ทางให้ถึงความดับทุกข์)

อวิชชาสวะ อาสวะคืออวิชชา, กิเลสที่หมักหมมหรือดองอยู่ในสันดาน ทำให้ไม่รู้ตามความเป็นจริง

เป็นพระพุทธเจ้าเนี่ยเป็นได้ทีละ1คน
และคนที่จะเป็นพระพุทธเจ้านั้นน่ะ
ในชาติสุดท้ายเท่านั้นที่ไม่ต้องฟัง
เพราะไม่มีใครบังอาจมาสอนวิธีทำ

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ชอบด้วยตนเอง
ส่วนใครที่ยังเกิดมาอยู่เดี๋ยวนี้เนี่ย
รู้แล้วว่าเป็นคนแล้วใช่ไหมล่ะคะ
และตัวเองน่ะค่ะทุกคนเลยนะคะ
ไม่ได้เป็นคนที่จะเป็นพระพุทธเจ้า
และไม่ได้เป็นอัครสาวกด้วย
แล้วเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า
ทำไมไม่เตือนตนเองให้ฟังล่ะ
ไม่เชื่อหูที่ฟังและตาที่ดูเอง
มัวแต่ไปกับไปเห่อทำตามๆกัน
เชื่อใช่ไหมล่ะถึงไปแห่ทำตามๆกัน
ทำไมไม่สร้างเหตุตรงสัจจะตามคำตถาคต
คิดให้รอบคอบให้ถูกตรงตามคำสอนได้ตอนที่ยังมีลมหายใจเท่านั้น
https://youtu.be/6vqYyD4BHAc
:b12:
:b4: :b4:


นั่นก็เข้าใจผิดอีก

กัปป์นี้มีพระพุทธเจ้าองค์เดียว นี่ถูก คิกๆๆ

ส่วนวิธีทำนั้น พระพุทธเจ้าองค์นี้แหละบอกไว้แล้ว วิธีทำก็ที่เรียกว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา

สั้นๆ มรรค อยู่ในชุด

ทุกข์
สมุทัย
นิโรธ
มรรค (ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ หมายถึงมรรคมีองค์แปด เรียกสั้นๆว่า มรรค เรียกเต็มว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจจ์)




นี่แหละวิธีของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันท่านสอนไว้ท่านบอกไว้แล้ว

สั้นๆอีกก็ได้ ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี่เองแล.

เช้านี้จบข่าวเพียงแค่นี้

รูปภาพ

ไปเข้าคิวรับแจกข้าวกล่องก่อน คิกๆๆ

:b32:
พระพุทธเจ้า 5 พระองค์คือภัทรกัปป์ แสดงว่าเป็นยุคพิเศษ
คือเป็นยุคที่จะมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติต่อเนื่องกัน5พระองค์
ที่ยังเกิดมาอีกเนี่ยยังมีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์อยู่
แต่ถ้าไม่สะสมเหตุแห่งการฟังแล้วพอเกิดเจอพระพุทธเจ้า
ได้ยินก็ไม่เข้าใจก็จะปลีกวิเวกไปทำตามใจชอบของตัวเองทำตามอาจารย์ตัวเองสอน
ก็คือสะสมอุปนิสัยไม่ฟังคำสอนเกิดชาติไหนก็ฟังไม่รู้เรื่องเบื่อไม่รู้พูดอะไรไปดีกว่าไม่ชอบฟังคือเก่าไงคะ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 เม.ย. 2020, 18:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ศัพท์และความหมาย

วิชชา ความรู้, ความรู้แจ้ง, ความรู้วิเศษ

อวิชชา ความไม่รู้จริง, ความหลงอันเป็นเหตุไม่รู้จริง มี ๔ คือ ความไม่รู้อริยสัจจ์ ๔ แต่ละอย่าง (ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดแห่งทุกข์ ไม่รู้ความดับทุกข์ ไม่รู้ทางให้ถึงความดับทุกข์)

อวิชชาสวะ อาสวะคืออวิชชา, กิเลสที่หมักหมมหรือดองอยู่ในสันดาน ทำให้ไม่รู้ตามความเป็นจริง

เป็นพระพุทธเจ้าเนี่ยเป็นได้ทีละ1คน
และคนที่จะเป็นพระพุทธเจ้านั้นน่ะ
ในชาติสุดท้ายเท่านั้นที่ไม่ต้องฟัง
เพราะไม่มีใครบังอาจมาสอนวิธีทำ

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ชอบด้วยตนเอง
ส่วนใครที่ยังเกิดมาอยู่เดี๋ยวนี้เนี่ย
รู้แล้วว่าเป็นคนแล้วใช่ไหมล่ะคะ
และตัวเองน่ะค่ะทุกคนเลยนะคะ
ไม่ได้เป็นคนที่จะเป็นพระพุทธเจ้า
และไม่ได้เป็นอัครสาวกด้วย
แล้วเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า
ทำไมไม่เตือนตนเองให้ฟังล่ะ
ไม่เชื่อหูที่ฟังและตาที่ดูเอง
มัวแต่ไปกับไปเห่อทำตามๆกัน
เชื่อใช่ไหมล่ะถึงไปแห่ทำตามๆกัน
ทำไมไม่สร้างเหตุตรงสัจจะตามคำตถาคต
คิดให้รอบคอบให้ถูกตรงตามคำสอนได้ตอนที่ยังมีลมหายใจเท่านั้น
https://youtu.be/6vqYyD4BHAc
:b12:
:b4: :b4:


นั่นก็เข้าใจผิดอีก

กัปป์นี้มีพระพุทธเจ้าองค์เดียว นี่ถูก คิกๆๆ

ส่วนวิธีทำนั้น พระพุทธเจ้าองค์นี้แหละบอกไว้แล้ว วิธีทำก็ที่เรียกว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา

สั้นๆ มรรค อยู่ในชุด

ทุกข์
สมุทัย
นิโรธ
มรรค (ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ หมายถึงมรรคมีองค์แปด เรียกสั้นๆว่า มรรค เรียกเต็มว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจจ์)




นี่แหละวิธีของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันท่านสอนไว้ท่านบอกไว้แล้ว

สั้นๆอีกก็ได้ ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี่เองแล.

เช้านี้จบข่าวเพียงแค่นี้

http://g-picture2.wunjun.com/6/full/03a ... ?s=480x386

ไปเข้าคิวรับแจกข้าวกล่องก่อน คิกๆๆ

:b32:
พระพุทธเจ้า 5 พระองค์คือภัทรกัปป์ แสดงว่าเป็นยุคพิเศษ
คือเป็นยุคที่จะมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติต่อเนื่องกัน5พระองค์
ที่ยังเกิดมาอีกเนี่ยยังมีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์อยู่
แต่ถ้าไม่สะสมเหตุแห่งการฟังแล้วพอเกิดเจอพระพุทธเจ้า
ได้ยินก็ไม่เข้าใจก็จะปลีกวิเวกไปทำตามใจชอบของตัวเองทำตามอาจารย์ตัวเองสอน
ก็คือสะสมอุปนิสัยไม่ฟังคำสอนเกิดชาติไหนก็ฟังไม่รู้เรื่องเบื่อไม่รู้พูดอะไรไปดีกว่าไม่ชอบฟังคือเก่าไงคะ
:b32: :b32:



เพ้อเจ้อเลอะเทอะ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2020, 03:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ศัพท์และความหมาย

วิชชา ความรู้, ความรู้แจ้ง, ความรู้วิเศษ

อวิชชา ความไม่รู้จริง, ความหลงอันเป็นเหตุไม่รู้จริง มี ๔ คือ ความไม่รู้อริยสัจจ์ ๔ แต่ละอย่าง (ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดแห่งทุกข์ ไม่รู้ความดับทุกข์ ไม่รู้ทางให้ถึงความดับทุกข์)

อวิชชาสวะ อาสวะคืออวิชชา, กิเลสที่หมักหมมหรือดองอยู่ในสันดาน ทำให้ไม่รู้ตามความเป็นจริง

เป็นพระพุทธเจ้าเนี่ยเป็นได้ทีละ1คน
และคนที่จะเป็นพระพุทธเจ้านั้นน่ะ
ในชาติสุดท้ายเท่านั้นที่ไม่ต้องฟัง
เพราะไม่มีใครบังอาจมาสอนวิธีทำ

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ชอบด้วยตนเอง
ส่วนใครที่ยังเกิดมาอยู่เดี๋ยวนี้เนี่ย
รู้แล้วว่าเป็นคนแล้วใช่ไหมล่ะคะ
และตัวเองน่ะค่ะทุกคนเลยนะคะ
ไม่ได้เป็นคนที่จะเป็นพระพุทธเจ้า
และไม่ได้เป็นอัครสาวกด้วย
แล้วเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า
ทำไมไม่เตือนตนเองให้ฟังล่ะ
ไม่เชื่อหูที่ฟังและตาที่ดูเอง
มัวแต่ไปกับไปเห่อทำตามๆกัน
เชื่อใช่ไหมล่ะถึงไปแห่ทำตามๆกัน
ทำไมไม่สร้างเหตุตรงสัจจะตามคำตถาคต
คิดให้รอบคอบให้ถูกตรงตามคำสอนได้ตอนที่ยังมีลมหายใจเท่านั้น
https://youtu.be/6vqYyD4BHAc
:b12:
:b4: :b4:


นั่นก็เข้าใจผิดอีก

กัปป์นี้มีพระพุทธเจ้าองค์เดียว นี่ถูก คิกๆๆ

ส่วนวิธีทำนั้น พระพุทธเจ้าองค์นี้แหละบอกไว้แล้ว วิธีทำก็ที่เรียกว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา

สั้นๆ มรรค อยู่ในชุด

ทุกข์
สมุทัย
นิโรธ
มรรค (ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ หมายถึงมรรคมีองค์แปด เรียกสั้นๆว่า มรรค เรียกเต็มว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจจ์)




นี่แหละวิธีของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันท่านสอนไว้ท่านบอกไว้แล้ว

สั้นๆอีกก็ได้ ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี่เองแล.

เช้านี้จบข่าวเพียงแค่นี้

http://g-picture2.wunjun.com/6/full/03a ... ?s=480x386

ไปเข้าคิวรับแจกข้าวกล่องก่อน คิกๆๆ

:b32:
พระพุทธเจ้า 5 พระองค์คือภัทรกัปป์ แสดงว่าเป็นยุคพิเศษ
คือเป็นยุคที่จะมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติต่อเนื่องกัน5พระองค์
ที่ยังเกิดมาอีกเนี่ยยังมีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์อยู่
แต่ถ้าไม่สะสมเหตุแห่งการฟังแล้วพอเกิดเจอพระพุทธเจ้า
ได้ยินก็ไม่เข้าใจก็จะปลีกวิเวกไปทำตามใจชอบของตัวเองทำตามอาจารย์ตัวเองสอน
ก็คือสะสมอุปนิสัยไม่ฟังคำสอนเกิดชาติไหนก็ฟังไม่รู้เรื่องเบื่อไม่รู้พูดอะไรไปดีกว่าไม่ชอบฟังคือเก่าไงคะ
:b32: :b32:



เพ้อเจ้อเลอะเทอะ :b1:


:b12:
คำสอนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์คือความจริงที่เกิดจากตรัสรู้ตรงขณะค่ะ
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงของเห็นที่กำลังเห็นตรงสัจจะตรงปัจจุบันขณะ
ตรัสรู้เป็นคำที่ใช้กับพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าที่เหลือคือสาวก
สาวกเนี่ยทำได้คือบรรลุตามได้ไม่ใช่ไปตรัสรู้แบบพระพุทธเจ้า555
ตรัสรู้เรื่องจิตเห็นคือจิตเห็นเกิดที่ตรงตาดำตอนลืมตาดูเห็นสีได้1สี
การคิดตามเรื่องเห็นเนี่ยต้องไตร่ตรองให้ตรงกับที่ตาเนื้อกำลังดู
ขณะนี้มีเห็นแน่นอนและเป็นจิตเห็นเท่านั้น=จักขุวิญญาณ
เกิดจากรูปของแสงสี1สีกระทบกับจักขุปสาทรูปเท่านั้น
ไม่มีเห็นที่เกิดนอกจิตตนเองและเห็นได้แค่สีตอนลืมตา
การรับเงินของบรรพชิตนอกจากความโลภไม่มีอะไรเลย
เพราะเงินคือรูปที่ไม่มีจิตอยู่เลยแต่คนที่เห็นเงินหิวเงินไงเห็นกิเลสไหมมมม
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2020, 14:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีครอบคลุมทุกระดับ รวมย่อๆเป็นสอง คือ โลกียธรรมอย่างหนึ่ง โลกุตรธรรมอีกอย่างหนึ่ง
โลกียธรรม ก็คือการดำเนินชีวิตตามธรรม เช่น การทำหน้าที่ที่ท่านกล่าวไว้ในสิงคาลกสูตร เช่น หน้าที่ของบิดามารดาที่มีต่อบุตรธิดา หน้าที่ของบุตรธิดาที่มีต่อบิดามารดา ความกตัญญูกตเวทีต่อผู้คุณ การประกอบสัมมาชีพ ด้วยความขยันหมั่นเพียร มีวิริยอุตสาหะ ไม่เกียจคร้าน ฯลฯ คำสอนทำนองนี้เยอะแยะ
โลกุตรธรรม เป็นระดับของจิตใจที่พ้นไปคืออยู่เหนือโลกธรรม เป็นใครก็ได้เป็นผู้ครองเรือนไม่ใช่ผู้ครองเรือนที่ฝึกหัดพัฒนาจิตจนจิตใจเป็นเช่นนั้นได้ นี่ขั้นโลกุตระเหนือโลก

:b12:
พูดกะคนคิดไม่ซื่อเนี่ยมันยากนะ
ไม่รู้จักคิดซื่อตรงตามได้เดี๋ยวนี้เหรอ
เนี่ยก็บอกให้คิดตามอยู่เนี่ยแหละคือปัจจุบัน
ทำไมไม่เข้าใจว่าปกติที่ดูแล้วก็คิดตามอยู่เดี๋ยวนี้
มันมีตัวตนเราที่คิดใช่ไหมแล้วก็เห็นด้วยได้ยินเสียงที่ตัวเองคิดในใจแล้ว
จะแยกปัจจุบันที่เป็นความจริงแบบนี้แล้วออกไปจากปกติมันผิดปกติไหมเป็นปัจจุบันของคุณไหม
:b12:
คิดตรงตามคำสอนได้=ระลึกตามคำสอนได้=ต้องกำลังคิดตามเสียงตรงสัจจะ1ทางที่ตนเองเข้าใจถูกตรงตัวโลกียธรรมกับโลกุตตรธรรมมันคือเดี๋ยวนี้ที่ตัวเองรู้ตัวว่าเป็นแล้วเป็นอันไหนนั้นเลือกสักอันนึงตรงที่ตนรู้ชัด
ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังสะสมโลกียธรรมก็คือกำลังสะสมการคิดพูดทำของตัวตนไม่คิดไตร่ตรองตามคำตถาคต
ถ้าเป็นโลกุตตรธรรมคือจิตขณะนี้เองที่เข้าถึงความจริงตรงสัจจะตรงปัจจุบันที่กำลังมีที่ไม่ใช่ตัวคนทั้งตัว
สิ่งที่มีไม่ได้แยกออกไปจากปกติตรงที่กำลังมีแล้วเดี๋ยวนี้เป็นแล้วไม่ได้ทำเมื่อไหร่จะเข้าใจสักทีทำตามใจอยู่
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2020, 17:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:


ไม่ตอบ คคห.ข้างบนนั่นใช่ไหม ถ้างั้นเอาใหม่ คนๆนี้เขามีกาย มีใจไหม

จิตบอกให้หยุดหายใจ
ผู้รู้ช่วยบอกหน่อยค่ะ เป็นอันตรายหรือปฏิบัติผิดทางไหมค่ะ เพราะฝึกทำเองโดยไม่มีครูบาอาจารย์สอนค่ะ หนูฝึกดูจิตมาประมาณ 2 เดือนแล้วค่ะ แรกๆก็เห็นจิตฟุ้งซ่านมาก
ช่วงหลังๆจิตเริ่มสงบ ไม่ไหลออกไปตามอารมณ์ข้างนอก แต่เริ่มเห็นจิต เฉยๆบ้าง สุขบ้าง
บางครั้งรู้สึกหดหู่เป็นทุกข์เบื่อโลกมากๆเลยค่ะ มันเป็นของมันเองควบคุมอารมณ์นี้ไม่ได้
ได้แต่ตามดูเฉยๆรู้สึกว่ามันไม่ใช่ของเราเหมือนเราไม่มีตัวตนเลยค่ะ
บางครั้งก็นอนดูจิตไปเรื่อยๆแล้วเหมือนว่าตัวเองจะเคลิ้มๆไป แต่ยังมีสติรู้สึกตัวค่ะ
อยู่ดีๆจิตก็พูดว่า ลองหยุดหายใจตายดูหน่อยสิ แล้วหนูก็หยุดหายใจตามไปด้วย บังคับร่างกายไม่ได้เลยค่ะ ตอนนั้นขยับร่างกายไม่ได้ด้วยค่ะ
รู้สึกเริ่มกลัวก็เลยพยายามฝืนจนหายใจได้ ตอนนั้นรู้สึกอึดอัดและรีบสูดลมหายใจเข้าปอดค่ะ ถ้าปล่อยไปนานกว่านี้ คิดว่าตัวเองต้องตายจริงแน่ๆเลยค่ะ
เกิดจากอะไรค่ะ หนูทำผิดทางไหมค่ะ ถ้าเกิดเป็นอีกจะทำอย่างไรดีค่ะ

ถ้าเทียบกับสอง ตย.ก่อนหน้า คุณโรสฟัง เขาคิด แต่ ตย. นี้ภาวนา (ภาวนามยปัญญา) โฟกัสข้อความที่ขีดเส้นใต้ ไม่ใช่ตัวตนมันต้องเห็นจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ ไม่ใช่คิดวาดภาพเอา ไม่ใช่ฟังจากคนอื่นพูดให้ฟัง


เห็นมา เอามาให้เทียบอีก :b1:
ข้างบนเขาก็ยังยึดยังติด (อุปาทาน) ในรูปนามยังกลัวตาย (ความจริงรูปนามมันเป็นเช่นนั้นมันไม่ตายหรอก :b32: แต่มันหลอกว่าจะตาย เราเลยกลัว)

ส่วนข้างล่างนี่

รูปภาพ

คนอ่านแล้วคิดตามเหตุตามผลแล้วร้องอ๋อ เออๆๆจริงๆอย่างนั้นตรรกะพื้นๆ
คคห. บนลึกกว่า เพราะเขาสัมผัสสภาวธรรมเอง แต่เขายึดสภาวะนั้น จึงไปต่อไม่ได้
ถ้ามีคำถามว่า ผู้ปฏิบัติแบบนั้นจะไปต่อต้องทำอย่างไร? คำตอบ คือ ต้องกำหนดรู้สภาวะนั้นทุกๆขณะ รู้สึกอย่างไรเป็นอย่างไร ต้องกำหนดอย่างนั้น รู้สึกจะเป็นจะตายจะอ้วกแตกอ้วกแตนก็กำหนดจิตตรงๆสภาวะ ไม่เลี่ยงหนีความจะเป็นจะตายนั่น ตัวอย่างวิธี จะตายหนอๆๆๆ :b12: คุณโรสไม่เข้าใจ :b1: แต่บอกคนที่ทำกรรมฐานซึ่งทำจริงๆให้มีทางออกมีทางไปต่อ



ความหมายตรรกะ

ตรรก- ตรรกะ (ตักกะ) (แบบ) น. ความตรึก, ความคิด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2020, 17:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การตรึก, ความคิด เขาเรียกว่า ตรรกะ (ตักกะ)

เอาข้อความนี้ก่อน เดียวจะไปถึงที่คุณโรสพร่ำพูด ไม่มีการไปไม่มีการมา
:b32:


เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ ก่อนที่จะทรงประกาศธรรม ได้ทรงมีพุทธดำริว่า

“ธรรมที่เราเข้าถึงแล้วนี้ ลึกซึ้ง เห็นยาก หยั่งรู้ตามยาก สงบ ประณีต ตรรกะหยั่งไม่ถึง ละเอียดอ่อน เป็นวิสัยที่บัณฑิตจะพึงทราบ” *(วินย. 4/7/8 ม.มู. 12/321/323)

และมีข้อความเป็นคาถาต่อไปว่า

“ธรรมเราลุถึงโดยยาก เวลานี้ ไม่ควรประกาศ ธรรมนี้ มิใช่สิ่งที่สัตว์ผู้ถูกราคะโทสะครอบงำ จะรู้เข้าใจได้ง่าย สัตว์ทั้งหลายผู้ถูกราคะย้อมไว้ ถูกกองอวิชชาห่อหุ้ม จักไม่เห็นภาวะที่ทวนกระแส ละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง เห็นยาก ละเอียดยิ่งนัก” (วินย.4/7/8 มมู.12/321/323)

คำว่า “ธรรม” ในที่นี้ หมายถึง ปฏิจจสมุปบาท และนิพพาน (จะว่าอริยสัจ ๔ ก็ได้ใจความเท่ากัน)


ตรงนี้ได้ใจความว่า นิพพานตรรกะหยั่งไม่ถึง คือ คิดไม่ถึง คิดเอาไม่ได้ คิดจนเป็นบ้าก็คิดไม่ถึงนิพพาน :b32: ต้องปฏิบัติให้ถูกหลักจนกำจัดกิเลสคือราคะ โทสะ โมหะ หมดสิ้นไปนั่นแหละจึงเห็นนิพพานถึงนิพพาน ถ้ายังมีกิเลสละก็จะตรึกจะคิดจนท้องผูกก็คิดไม่ถึงมัน :b32: คิดไปคิดมาจะพาลเป็นบ้าเอาน่าน๊า

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2020, 17:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


ข้อความแบบบรรยายภาวะนิพพานโดยตรง เช่น

1. เรื่องหนึ่งว่า คราวหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมีกถาเกี่ยวกับนิพพาน แก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายได้ตั้งใจฟังเป็นอย่างดี ตอนหนึ่งพระองค์ได้ทรงเปล่งพระอุทานว่า

“มีอยู่นะ ภิกษุทั้งหลาย อายตนะที่ไม่มีปฐวี ไม่มีอาโป ไม่มีเตโช ไม่มีวาโย ไม่มีอากาสานัญจายตนะ ไม่มีวิญญาณัญจายตนะ ไม่มีอากิญจัญญายตนะ ไม่มีเนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่มีโลกนี้ ไม่มีโลกหน้า ไม่มีดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ทั้งสองอย่าง เราไม่กล่าวอายตนะนั้นว่าเป็นการมา การไป การหยุดอยู่ การจุติ การอุบัติ อายตะนั้น ไม่มีที่ตั้งอยู่ แต่ก็ไม่เคลื่อนไป ทั้งไม่ต้องมีเครื่องยึดหน่วง นั่นแหละคือที่จบสิ้นของทุกข์” (ขุ.อุ.25/158/206)

2. อีกคราวหนึ่ง ทรงแสดงธรรมีกถาเกี่ยวกับนิพพานแก่ภิกษุทั้งหลาย และได้ทรงเปล่งพระอุทานเป็นคาถาว่า

“ธรรมดา ว่า อนตะ (ภาวะที่ไม่โน้มไปหาภพคือไม่มีตัณหา ได้แก่ นิพพาน) เป็นของเห็นได้ยาก สัจจะมิใช่สิ่งที่เห็นได้ง่ายเลย ชำแรกตัณหาได้แล้ว เมื่อรู้อยู่เห็นอยู่ (ซึ่งสัจจะ) ย่อมไม่มีอะไรค้างใจเลย (ไม่มีอะไรที่จะติดใจกังวล)” (ขุ.อุ.25/159/207)

3. อีกคราวหนึ่ง ทรงแสดงธรรมีกถาแก่ภิกษุทั้งหลายเช่นเดียวกันและได้ทรงเปล่งพระอุทานว่า

“มี อยู่นะ ภิกษุทั้งหลาย ไม่เกิด (อชาตะ) ไม่เป็น (อภูตะ) ไม่ถูกสร้าง (อกตะ) ไม่ถูกปรุงแต่ง (อสังขตะ) หากว่า ไม่เกิด ไม่เป็นไม่ถูกสร้าง ไม่ถูกปรุงแต่ง จักมิได้มีแล้วไซร้ การรอดพ้นจากภาวะเกิดแล้ว เป็นแล้ว ถูกสร้าง ถูกปรุงแต่ง ก็จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้ได้เลย แต่เพราะเหตุที่ มีไม่เกิด ไม่เป็น ไม่ถูกสร้าง ไม่ถูกปรุงแต่ง ฉะนั้น การรอดพ้นภาวะเกิดแล้ว เป็นแล้ว ถูกสร้าง ถูกปรุงแต่ง จึงปรากฏได้” (ขุ.อุ.25/160207)

4. อีกคราวหนึ่ง ทรงแสดงธรรมีกถาเกี่ยวกับนิพพานแก่ภิกษุทั้งหลาย เช่นเดียวกัน และได้ทรงเปล่งพระอุทานว่า

“ยังอิงอยู่ จึงมีการสั่นไหว ไม่อิงแล้ว ก็ไม่มีการสั่นไหว เมื่อการสั่นไหวไม่มี ก็นิ่งสนิท เมื่อนิ่งสนิท ก็ไม่มีการโอนเอน เมื่อไม่มีการ โอนเอน ก็ไม่มีการมาการไป เมื่อไม่มีการมาการไป ก็ไม่มีการจุติและอุบัติ เมื่อไม่มีการจุติและอุบัติ ก็ไม่มีที่ภพนี้ ก็ไม่มีที่ภพโน้น ไม่มีในระหว่างภพทั้งสอง นั้นแหละคือที่จบสิ้นของทุกข์” (ขุ.อุ. 25/158-161/206-208)

(เท่านั้นพอเดี๋ยวไปกันใหญ่)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2020, 17:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:

กรัชกาย เขียน:
คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีครอบคลุมทุกระดับ รวมย่อๆเป็นสอง คือ โลกียธรรมอย่างหนึ่ง โลกุตรธรรมอีกอย่างหนึ่ง
โลกียธรรม ก็คือการดำเนินชีวิตตามธรรม เช่น การทำหน้าที่ที่ท่านกล่าวไว้ในสิงคาลกสูตร เช่น หน้าที่ของบิดามารดาที่มีต่อบุตรธิดา หน้าที่ของบุตรธิดาที่มีต่อบิดามารดา ความกตัญญูกตเวทีต่อผู้คุณ การประกอบสัมมาชีพ ด้วยความขยันหมั่นเพียร มีวิริยอุตสาหะ ไม่เกียจคร้าน ฯลฯ คำสอนทำนองนี้เยอะแยะ
โลกุตรธรรม เป็นระดับของจิตใจที่พ้นไปคืออยู่เหนือโลกธรรม เป็นใครก็ได้เป็นผู้ครองเรือนไม่ใช่ผู้ครองเรือนที่ฝึกหัดพัฒนาจิตจนจิตใจเป็นเช่นนั้นได้ นี่ขั้นโลกุตระเหนือโลก

:b12:
พูดกะคนคิดไม่ซื่อเนี่ยมันยากนะ
ไม่รู้จักคิดซื่อตรงตามได้เดี๋ยวนี้เหรอ
เนี่ยก็บอกให้คิดตามอยู่เนี่ยแหละคือปัจจุบัน
ทำไมไม่เข้าใจว่าปกติที่ดูแล้วก็คิดตามอยู่เดี๋ยวนี้
มันมีตัวตนเราที่คิดใช่ไหมแล้วก็เห็นด้วยได้ยินเสียงที่ตัวเองคิดในใจแล้ว
จะแยกปัจจุบันที่เป็นความจริงแบบนี้แล้วออกไปจากปกติมันผิดปกติไหมเป็นปัจจุบันของคุณไหม
:b12:
คิดตรงตามคำสอนได้=ระลึกตามคำสอนได้=ต้องกำลังคิดตามเสียงตรงสัจจะ1ทางที่ตนเองเข้าใจถูกตรงตัวโลกียธรรมกับโลกุตตรธรรมมันคือเดี๋ยวนี้ที่ตัวเองรู้ตัวว่าเป็นแล้วเป็นอันไหนนั้นเลือกสักอันนึงตรงที่ตนรู้ชัด
ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังสะสมโลกียธรรมก็คือกำลังสะสมการคิดพูดทำของตัวตนไม่คิดไตร่ตรองตามคำตถาคต
ถ้าเป็นโลกุตตรธรรมคือจิตขณะนี้เองที่เข้าถึงความจริงตรงสัจจะตรงปัจจุบันที่กำลังมีที่ไม่ใช่ตัวคนทั้งตัว
สิ่งที่มีไม่ได้แยกออกไปจากปกติตรงที่กำลังมีแล้วเดี๋ยวนี้เป็นแล้วไม่ได้ทำเมื่อไหร่จะเข้าใจสักทีทำตามใจอยู่
:b32: :b32:


ให้คิดจนท้องร่วง ก็คิดไม่ตรงคำสอนดังอ้างว่านั้น

ถ้าพอคิดได้ เรื่องนั้นต้องเป็นรูปธรรมมองเห็นได้ อย่างเช่น (ฉายซ้ำอีกแระ :b32: ) ไส่บาตรพระเณรตอนเช้า ปิดทองฝังลูกนิมิต ทอดกฐิน ใส่บาตรพระประจำวัน (คุณโรสเกิดวันอะไรก็ใส่วันนั้น คิกๆๆ) ทอดผ้าป่า ปิดทองรอยพระบาทจำลอง ปล่อยนก ปล่อยปลา แจกอาหารคนไม่มีจะกินช่วงโควิดระบาดนี้ (ถ้ามีเงินเยอะ ถ้าไม่มีกำลังเงินพอ ก็ไม่ต้อง ใช้อนุโมทนาร่วมกับเขาเอาได้) :b13: พอได้ บอกเท่าเท่าไรไม่เชื่อสักที ดื้อจริงๆพับผ่าเถอะน่า :b16:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2020, 17:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาชัดๆอีกสักที ที่ว่า ตรรกะหยั่งไม่ได้ตรรกะหยั่งไม่ถึง เช่น ตย. นี้

นั่งสมาธิแล้วเหมือนร่างกายลอยจากพื้น

ใช้วิธีอานาปานสติ ช่วงแรกนั่งสมาธิดิ่งลงมากๆจะเห็นแสงสว่างจ้ามากๆเป็นดวงแว๊บๆและสว่างตลอดเวลา
เคยอ่านหนังสือหลวงพ่อสดว่าอย่าวอกแวก เรานึกได้ก็ดูลมหายใจต่อ
จากนั้น ตัวมันเบามาก แถมเหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่างคุยกัน ทั้งๆที่ในห้องก็เงียบมาก และ
จู่ๆก็ได้ยินเสียงคนพูด "นั่นแหละกำหนดรู้ใจคน"
ก็เกิดตกใจขึ้น ร่างกายที่เคยมี ก็หายไป แต่พอได้สติ นึกได้ก็ภาวนาต่อ
ทีนี้ร่างกายเหมือนจะลอยจากพื้นดิน อาการคือตัวโครงไม่อยู่นิ่งกับพื้น
ทีนี้ก็เลยกลัว รีบออกจากสมาธิ
แบบนี้เรียกว่าอะไรครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2020, 09:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เอาชัดๆอีกสักที ที่ว่า ตรรกะหยั่งไม่ได้ตรรกะหยั่งไม่ถึง เช่น ตย. นี้

นั่งสมาธิแล้วเหมือนร่างกายลอยจากพื้น

ใช้วิธีอานาปานสติ ช่วงแรกนั่งสมาธิดิ่งลงมากๆจะเห็นแสงสว่างจ้ามากๆเป็นดวงแว๊บๆและสว่างตลอดเวลา
เคยอ่านหนังสือหลวงพ่อสดว่าอย่าวอกแวก เรานึกได้ก็ดูลมหายใจต่อ
จากนั้น ตัวมันเบามาก แถมเหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่างคุยกัน ทั้งๆที่ในห้องก็เงียบมาก และ
จู่ๆก็ได้ยินเสียงคนพูด "นั่นแหละกำหนดรู้ใจคน"
ก็เกิดตกใจขึ้น ร่างกายที่เคยมี ก็หายไป แต่พอได้สติ นึกได้ก็ภาวนาต่อ
ทีนี้ร่างกายเหมือนจะลอยจากพื้นดิน อาการคือตัวโครงไม่อยู่นิ่งกับพื้น
ทีนี้ก็เลยกลัว รีบออกจากสมาธิ
แบบนี้เรียกว่าอะไรครับ

:b12:
คนที่1คือ
คนที่กำลังฟังและกำลังรู้ความจริงตรงตามคำสอนแล้วเข้าใจว่าไม่ใช่ตัวตน...ดีทันทีละชั่วได้ทันทีที่เข้าใจถูก
คนที่2คือคนที่คุณกรัชกายยกตัวอย่างมา
คนที่ไม่คิดตามคำสอนเลยมีแต่ทำตามความคิดที่มีตัวตนไม่ทำความรู้สึกตัวตามคำสอนไม่ละตัวตน=ไม่ละชั่ว
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2020, 09:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:

กรัชกาย เขียน:
คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีครอบคลุมทุกระดับ รวมย่อๆเป็นสอง คือ โลกียธรรมอย่างหนึ่ง โลกุตรธรรมอีกอย่างหนึ่ง
โลกียธรรม ก็คือการดำเนินชีวิตตามธรรม เช่น การทำหน้าที่ที่ท่านกล่าวไว้ในสิงคาลกสูตร เช่น หน้าที่ของบิดามารดาที่มีต่อบุตรธิดา หน้าที่ของบุตรธิดาที่มีต่อบิดามารดา ความกตัญญูกตเวทีต่อผู้คุณ การประกอบสัมมาชีพ ด้วยความขยันหมั่นเพียร มีวิริยอุตสาหะ ไม่เกียจคร้าน ฯลฯ คำสอนทำนองนี้เยอะแยะ
โลกุตรธรรม เป็นระดับของจิตใจที่พ้นไปคืออยู่เหนือโลกธรรม เป็นใครก็ได้เป็นผู้ครองเรือนไม่ใช่ผู้ครองเรือนที่ฝึกหัดพัฒนาจิตจนจิตใจเป็นเช่นนั้นได้ นี่ขั้นโลกุตระเหนือโลก

:b12:
พูดกะคนคิดไม่ซื่อเนี่ยมันยากนะ
ไม่รู้จักคิดซื่อตรงตามได้เดี๋ยวนี้เหรอ
เนี่ยก็บอกให้คิดตามอยู่เนี่ยแหละคือปัจจุบัน
ทำไมไม่เข้าใจว่าปกติที่ดูแล้วก็คิดตามอยู่เดี๋ยวนี้
มันมีตัวตนเราที่คิดใช่ไหมแล้วก็เห็นด้วยได้ยินเสียงที่ตัวเองคิดในใจแล้ว
จะแยกปัจจุบันที่เป็นความจริงแบบนี้แล้วออกไปจากปกติมันผิดปกติไหมเป็นปัจจุบันของคุณไหม
:b12:
คิดตรงตามคำสอนได้=ระลึกตามคำสอนได้=ต้องกำลังคิดตามเสียงตรงสัจจะ1ทางที่ตนเองเข้าใจถูกตรงตัวโลกียธรรมกับโลกุตตรธรรมมันคือเดี๋ยวนี้ที่ตัวเองรู้ตัวว่าเป็นแล้วเป็นอันไหนนั้นเลือกสักอันนึงตรงที่ตนรู้ชัด
ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังสะสมโลกียธรรมก็คือกำลังสะสมการคิดพูดทำของตัวตนไม่คิดไตร่ตรองตามคำตถาคต
ถ้าเป็นโลกุตตรธรรมคือจิตขณะนี้เองที่เข้าถึงความจริงตรงสัจจะตรงปัจจุบันที่กำลังมีที่ไม่ใช่ตัวคนทั้งตัว
สิ่งที่มีไม่ได้แยกออกไปจากปกติตรงที่กำลังมีแล้วเดี๋ยวนี้เป็นแล้วไม่ได้ทำเมื่อไหร่จะเข้าใจสักทีทำตามใจอยู่
:b32: :b32:


ให้คิดจนท้องร่วง ก็คิดไม่ตรงคำสอนดังอ้างว่านั้น

ถ้าพอคิดได้ เรื่องนั้นต้องเป็นรูปธรรมมองเห็นได้ อย่างเช่น (ฉายซ้ำอีกแระ :b32: ) ไส่บาตรพระเณรตอนเช้า ปิดทองฝังลูกนิมิต ทอดกฐิน ใส่บาตรพระประจำวัน (คุณโรสเกิดวันอะไรก็ใส่วันนั้น คิกๆๆ) ทอดผ้าป่า ปิดทองรอยพระบาทจำลอง ปล่อยนก ปล่อยปลา แจกอาหารคนไม่มีจะกินช่วงโควิดระบาดนี้ (ถ้ามีเงินเยอะ ถ้าไม่มีกำลังเงินพอ ก็ไม่ต้อง ใช้อนุโมทนาร่วมกับเขาเอาได้) :b13: พอได้ บอกเท่าเท่าไรไม่เชื่อสักที ดื้อจริงๆพับผ่าเถอะน่า :b16:

ถ้าคิดจริงก็ต้องตรงสิตรงทีละคำด้วยคิด2คำพร้อมกันไม่ได้ด้วยตามปกติเดี๋ยวนี้เลย
วางอดีตคำทุกคำที่ไปจำมาลงก่อนแล้วระลึกตาม2คำนี้เสมือนโลกนี้มีแค่2คำนี้คือ ดี ชั่ว
ดี ชั่ว หรือ ชั่ว ดี จะคิดยังไงก็ทำให้คำ2คำนี้ออกเสียงตรงกันไม่ได้=ปกติคนทุกคนคิดตรงคำได้ทีละ1คำ ตรง
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2020, 16:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
คุณ...ทุกคนเลย
ไม่รู้สึกตัวว่าคุณไม่สนใจฟังว่าพระพุทธเจ้าเอ่ยแต่ละคำเพื่อให้เข้าใจถูกว่าคืออะไร
คุณสนใจแต่ตัวเองโดยการคิดแต่จะไปทำสิ่งต่างๆตามที่คุณอยากทำด้วยตัวเองคือไม่พึ่งการคิดตามคำสอน
แปลว่าคุณไม่เห็นค่าในคำสอนก็คุณไม่เคยพึ่งการคิดตามระลึกตามคำของพระพุทธเจ้าตรงคำแม้แต่คำเดียว
คุณไม่รู้ว่าเห็นไม่มีรูปร่างอะไรทั้งนั้นมีแค่สีล้วน1สีกระทบที่ตาดำแล้วดับมืดทันทีคิดออกไหมว่าโลกมืดจริงๆ
:b12:
:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2020, 22:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
คุณ...ทุกคนเลย
ไม่รู้สึกตัวว่าคุณไม่สนใจฟังว่าพระพุทธเจ้าเอ่ยแต่ละคำเพื่อให้เข้าใจถูกว่าคืออะไร
คุณสนใจแต่ตัวเองโดยการคิดแต่จะไปทำสิ่งต่างๆตามที่คุณอยากทำด้วยตัวเองคือไม่พึ่งการคิดตามคำสอน
แปลว่าคุณไม่เห็นค่าในคำสอนก็คุณไม่เคยพึ่งการคิดตามระลึกตามคำของพระพุทธเจ้าตรงคำแม้แต่คำเดียว
คุณไม่รู้ว่าเห็นไม่มีรูปร่างอะไรทั้งนั้นมีแค่สีล้วน1สีกระทบที่ตาดำแล้วดับมืดทันทีคิดออกไหมว่าโลกมืดจริงๆ
:b12:
:b16: :b16:

จิต1ดวงเป็นแต่ละ1สัจจะไม่ซ้ำเก่าไม่ปนทางกันเกิดดับได้ทีละ1ทางไม่ซ้ำขณะ=ไม่มี-มี-ไม่มี=เกิดมาติดข้อง
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2020, 10:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
คุณ...ทุกคนเลย
ไม่รู้สึกตัวว่าคุณไม่สนใจฟังว่าพระพุทธเจ้าเอ่ยแต่ละคำเพื่อให้เข้าใจถูกว่าคืออะไร
คุณสนใจแต่ตัวเองโดยการคิดแต่จะไปทำสิ่งต่างๆตามที่คุณอยากทำด้วยตัวเองคือไม่พึ่งการคิดตามคำสอน
แปลว่าคุณไม่เห็นค่าในคำสอนก็คุณไม่เคยพึ่งการคิดตามระลึกตามคำของพระพุทธเจ้าตรงคำแม้แต่คำเดียว
คุณไม่รู้ว่าเห็นไม่มีรูปร่างอะไรทั้งนั้นมีแค่สีล้วน1สีกระทบที่ตาดำแล้วดับมืดทันทีคิดออกไหมว่าโลกมืดจริงๆ
:b12:
:b16: :b16:

จิต1ดวงเป็นแต่ละ1สัจจะไม่ซ้ำเก่าไม่ปนทางกันเกิดดับได้ทีละ1ทางไม่ซ้ำขณะ=ไม่มี-มี-ไม่มี=เกิดมาติดข้อง
:b12:
:b4: :b4:


ฟุ้งซ่านไปเรื่อย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 268 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12 ... 18  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร