วันเวลาปัจจุบัน 09 มิ.ย. 2025, 17:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 247 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12 ... 17  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2012, 23:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2012, 13:44
โพสต์: 23


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่าน ฝึกจิต ครับ

ขอบคุณครับ ที่ช่วยให้ข้อมูลเพิ่มเติม
ใช่ครับ สามารถแผ่โดยไม่ต้องใช้น้ำครับ
ที่ใช้น้ำ เพียงเป็น สื่อ สำหรับผู้ที่กำลังยังน้อย
ในการส่งถึงผู้รับในทุกชั้นภูมิครับ

ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2012, 23:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2012, 13:44
โพสต์: 23


 ข้อมูลส่วนตัว


คนเราเมื่อหลงยึดมานาน อยู่ดีๆ บอกให้ช่างมัน มันย่อมช่างไม่ได้
ปล่อยไม่ได้ เป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่อมีไตรลักษณ์เป็นฐานรองรับในใจ
เมื่อทุกครั้งที่หลงไป ฐานข้อมูลนี้ จะถูกหยิบยกขึ้นมาใช้ เตือนจิต

การแจ้งในไตรลักษณ์ ไม่ใช่การรังเกียจในธรรมชาตินี้ หรือรังเกียจธาตุขันธ์นี้
ที่มันทุกข์ ไม่เที่ยง และยึดไม่อยู่ แต่หมายถึง การยอมรับในความเป็นจริง
ของธรรมชาติ ที่มันเป็นของมันอย่างนั้นอยู่แล้ว อย่างไม่มีข้อแม้
ไม่มีข้อต่อรอง ไม่มีการลังเลในธรรมนี้อีก
แล้วทิฐิก็จะตรงตามธรรมไปเอง ที่เรียกว่า สัมมาทิฐิ
เมื่อแจ้งในไตรลักษณ์ข้อใดข้อหนึ่ง ก็จะแจ้งตามได้หมดทุกข้อ

การช่างมันนั้น เบื้องต้นก็เป็นเพียง ให้จิตรู้นั้น ได้รู้จักคืนสู่สภาพเดิมแท้ของมันเอง
คือเดิมไม่หลง ไม่ติด ไม่ยึด แต่ตอนนี้มันหลง เพราะโมหะพาหลง
มันก็หลงยึด หลงติด หลงค้าง หลงแช่ ในจิตรู้เอง
และหลงยึดกับสิ่งต่าง เมื่อช่างมัน ก็คือการตัดความหลง ออกไปจากจิต
จิตรู้จะไม่หลงค้าง หลงแช่ หลงจมเหมือนดังเคยหลงมาทุกภพทุกชาติ
ทุกครั้งที่หลงเข้าไปรู้ ก็ช่างมัน และในขณะนั้นทำกิจอะไรอยู่
ก็ทำกิจนั้นต่อไป เมื่อหลงเข้าไปจับความรู้สึกใด ๆ อีก ก็ช่างมัน และทำงานต่อไป
จิตรู้นั้นก็จะขาดจาก ความหลงคาในสิ่งที่รู้นั้น

การช่างมันนั้น ไม่ได้เอาเจตนาไปช่าง เพราะถ้าเอาเจตนาไปช่าง
มันก็ไปตรงกับโมหะกรรมอีก แต่หมายเอาเมื่อรู้ตัว คือรู้ตัวเองเมื่อไหร่ ก็ช่างมัน
ในทุกอิริยาบถ ไมใช่เป็นการไปสร้างสถานการณ์เฉพาะขึ้นมาใหม่
หรือไปสร้างอิริยาบถขึ้นมาใหม่ แต่หมายถึง ในทุกเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามา
ในการดำเนินชีวิตประจำวันที่มีเท่าไหร่ ก็เท่านั้น

การช่างมัน คือการตัดความหลงที่ซ้อนลงในจิตรู้ แต่เมื่อช่างมันแล้ว
ยังหลงเข้าไปรู้อีก รู้ตัวเมื่อไหร่ก็ช่างมันอีก
ไม่ว่าวันหนึ่งจะหลงซ้อนเข้าไปรู้ กี่ครั้ง รู้ตัวเมื่อไหร่ก็ช่างมันทุกครั้ง

การช่างมันนั้น ไม่ใช่การภาวนาว่า ช่างมัน อยู่ตลอดเวลา
ไม่ใช่การเข้าไปกด เข้าไปทับเอาไว้ จนเหมือนหัวตอ
ไม่ใช่การรวมเป็นหนึ่งเดียว และแช่นิ่งรู้ว่าง
ไม่ใช่การปฏิเสธ ต่อต้าน ครอบไว้ คลุมไว้
ไม่ใช่อยากให้สิ่งที่กระทบดับเร็ว ๆ หมดเร็ว ๆ ก็ไม่ใช่
ไม่ใช่การไหลตามไป

แต่หมายถึง ไม่สน แล้ว ๆ ไป ไม่ตาม ไม่ต่อ ไม่เติมอีก จะเป็นอะไรก็ช่าง
จะดีก็ช่าง ชั่วก็ช่าง รู้ก็ช่าง คิดก็ช่าง จำก็ช่าง รู้สึกก็ช่าง สัมผัสกายก็ช่าง
จะในก็ช่าง จะนอกก็ช่าง ช่างทุกการรู้ที่จิตหลงเข้าไปรู้

ไม่ว่า มันรู้เอง ก็ช่าง เพราะถ้าตามรู้ต่อ มันก็กลายเป็นเรารู้อีก
ไม่ว่าจะหลงไปแล้ว ค่อยมารู้ตัวว่าหลงไปแล้ว ก็ช่าง
ถ้าตามไปทวนอีก ก็หลงวนเข้าไปอีกรอบ เมื่อช่างแล้วสิ่งที่ถูกช่างจะยังอยู่
หรือไม่อยู่ ก็คือ ช่างมัน เหมือนเดิม

ทำไมถึงให้ช่างทุกความรู้สึกที่เรารู้ เพราะธรรมชาติของจิตรู้นั้น
คือรู้แล้ว แล้ว ๆ ไป ไม่ติด ไม่คา ผ่านตลอด ไม่มีแวะ แต่เมื่อเรารู้แล้วมันค้าง
มันคาอยู่กับรู้นั้น สัมผัสนั้น มันจึงกลายเป็นหลงรู้

เมื่อช่างมันทุกความรู้ที่หลงเข้าไปรู้ โมหะ ตัณหา อุปาทานที่มีอยู่
ก็ถูกคลายออก ทุกขันธ์ที่เคยถูกความกิเลสครอบคลุมอยู่ ก็ถูกคลายออก
ทำให้ทุกขันธ์เบาขึ้น ไม่หนัก ไม่มีภาระในการแบกแรงกดทับของกิเลส
มีความอิสระ เป็นขันธ์ที่ปราศจากกิเลสครอบงำ ของแต่ละครั้งที่ช่างมัน

มันจึงพร้อมต่อการทำกิจต่าง ๆ ได้ ที่เราเรียกกันว่า มหาสติ
มีความพร้อม พร้อมใช้ พร้อมวาง พร้อมด้วยตัวของมันเอง
ไม่ใช่มีเราไปทำให้มันพร้อม ไม่ใช่มีเราไปฝึกให้มันพร้อม
เมื่อคลายออก มันไม่เหนียวแน่กับสิ่งใด มันก็พร้อมของมันเอง
มันไม่ค้าง ไม่คา ไม่แช่กับสิ่งใด มันจึงพร้อมของมันเอง
เมื่อจะใช้ขันธ์ใดก็หยิบขึ้นมาใช้ สามารถหยิบขันธ์ใดมาใช้ก็ได้
อยู่ที่ว่าจะใช้หรือไม่ เมื่อจิตไม่หลงแล้ว จะหยิบขันธ์ไหนก็ไม่หลงในขันธ์นั้น
มันไม่หลงใช้ มันจะใช้เท่าทีมีเหตุให้ใช้
และก็ไม่เยิ่นเย่อในการใช้ขันธ์ ใช้เสร็จก็แล้ว ๆ ไป ไม่ติดไม่ยึด

ขณะใดที่ไม่ได้ใช้ขันธ์ ขณะนั้นมันจะไม่ยึด ไม่เกาะกับสิงใด
ปล่อยทุกขันธ์ ปล่อยให้ขันธ์ทำหน้าที่ของมันเอง
อย่างอัตโนมัติของมันเอง ตามีหน้าที่เห็นก็ปล่อยให้เห็นไปของมันเอง
หูมีหน้าได้ยิน ก็ฟังไป จมูกได้กลิ่นก็ได้กลิ่นไป ลิ้นลิ้มรสก็รู้รสไป กายสัมผัส
ก็สัมผัสไป ใจรู้อารมณ์ ก็รู้ไป เมื่อจะใช้คิด มันก็จะหยิบคิดขึ้นมาคิด
คิดเสร็จก็แล้วไป ไม่หลงคิดเลอะเทอะ เมื่อจะใช้ความจำ มันก็หยิบเอาฐานข้อมูล
ขึ้นมาใช้ให้พอต่องานที่ทำนั้น

เมื่อมีอารมณ์เกิด ถ้าเป็นสิ่งที่มีผลต่อธาตุขันธ์ มันจะรู้จักสงเคราะห์
ธาตุขันธ์ไปเอง ทุกขันธ์จะทำหน้าของมันเอง อย่างไม่ยึด ไม่ติด
ไม่คา ไม่แช่ เสร็จแล้วก็แล้วไป ไม่ข้องกับงานนั้น การดำเนินชีวิตในประจำวัน
ก็จะเป็นแบบนี้ไปทั้งวัน คือผ่าน ๆ ไปตลอด ทำงานไปก็ผ่านไป อยู่ไปก็ผ่านไป

ถ้าหลงก็หลงไป รู้ตัวก็เลิกหลง และก็ผ่าน ๆ ไป ไม่คากับสิ่งใด
ไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งใด ไม่ว่าธาตุหรือขันธ์ ทุกสิ่งคือผ่าน ๆ ไป
นี่คือความอัตโนมัติของธาตุขันธ์ ไม่ใช่มีเราไปฝึกให้ขันธ์อัตโนมัติ
แต่หมายถึง มันคลายออกเองแล้ว มันไม่ข้องกับสิ่งใด ไม่จมกับสิ่งใด
มันจึงอัตโนมัติของมันเอง แต่ถ้าเป็นความอัตโนมัติต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งของทางโลก
ต้องฝึกครับ ต้องมีเราเข้าไปฝึก มันจึงชำนาญและอัตโนมัติได้

จากเดิมที่โมหะซ้อนลงไปในจิตรู้ ทำให้จิตรู้นั้นถูกกดทับด้วยความหลง
กลายเป็นหลงรู้ แล้วเกิดการค้างรู้ ค้างเห็น และเมื่อความหลงรู้ตัวนี้
ไปหยิบขันธ์ใดมาใช้ต่อ ก็ไปกดทบขันธ์นั้นให้ค้างต่ออีก ไม่ยอมแล้ว ๆ ไป
มันจึงเป็นความหลงในการใช้ธาตุใช้ขันธ์ หลงยึด หลงใช้ หลงเข้าใจผิด
เมื่อหลงใช้มากก็กดทับขันธ์มาก เมื่อหลงไปเรื่อย ๆ ขันธ์มันก็ทนไม่ไหว
โรคภัยไข้เจ็บก็ถามหา จากเดิมที่ขันธ์นี้มันก็มี วัฏจักรในการเจ็บป่วยเป็นปกติอยู่แล้ว
เมื่อหลงใช้ขันธ์จนเกิดการกดทับธาตุขันธ์ไปอีก
จึงกลายเป็นยิ่งป่วยเร็ว เสื่อมเร็ว ป่วยนานเข้าไปอีก
หรือไม่ก็สะสมจนทะลักออกมาอย่างหนัก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2012, 23:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2012, 13:44
โพสต์: 23


 ข้อมูลส่วนตัว


การช่างมันนี้ คือมันช่างทีเดียว ปล่อยทั้งห้าขันธ์พร้อมกันหมด
ไม่ใช่ปล่อยขันธ์หนึ่ง แล้วไปจม แช่อยู่กับอีกขันธ์ ไม่ใช่เช่นนั้น

เดิมแท้ของตัวรู้ ไร้กิเลสครอบงำ แต่เมื่อโมหะ
ตัณหา อุปาทานซ้อนไปรู้มันจะค้าง
จะคากับสิ่งที่รู้นั้น ก็ช่างมัน มันก็จะตัดโมหะ ส่วนกิเลสที่เหลือนั้น
ก็ขาดตามกันหมด หัวไม่อยู่ หางก็ไม่เหลือ ในครั้งนั้นๆ

เหมือนเราจะดับไฟที่มีเป็นร้อย ๆ พัน ๆ ดวง ที่มันกระจัดกระจายอยู่
จะไปไล่ปิดทีดวง เรื่องมันก็ยาว ก็ปิดที่สวิทช์ตัดไฟตัวแม่
ทีเดียวมันก็ดับหมดทุกดวง กิเลสทั้งหลายก็เช่นกัน ให้ตัดที่ตัวหลงตัวเดียว
มันก็ดับหมดทุกตัว ไม่ใช่ไปตัดกิ่ง แต่งใบ ตามเหตุและปัจจัยไปเรื่อย
เพราะตัดตรงไหนไป แต่งตรงไหนไป มันก็ไปงอกที่ใหม่อีก
หรือไม่มันก็งอกใหม่ตรงที่เดิมอีกนั่นแหละ เพราะรากยังอยู่ หัวหน้ายังอยู่

ดังนั้น เมื่อช่างมันครั้งหนึ่ง มันจึงเป็นการตัดโมหะครั้งหนึ่ง
ทำให้โมหะไม่มีโอกาส ได้เกิดเป็นตัวเป็นตน
แล้วไปก่อร่างสร้างตัวเป็นครอบครัวใหญ่อีกต่อไป
เหตุและปัจจัยที่จะต่อจากโมหะ จนกลายเป็น
วังวนเหมือนวงล้อแห่งกิเลสกรรมทั้งหลาย ทีหมุนไปเรื่อย
จะขาดช่วงลง ช่างมันทุกครั้ง มันก็ขาดลงทุกครั้ง
ไม่เป็นการต่อวังวนให้กับกิเลสกรรม หรือสังสารวัฏอีกต่อไป
จบกิจในการค้น ในการหา และการชดใช้ ไปอีกครั้งหนึ่ง อย่างฉับพลัน
ไม่ยืดเยื้อให้เป็นกรรมเป็นกิจอีกต่อไป ช่างมันทุกครั้ง มันก็จบกิจ ทุกครั้ง

ทุกครั้งที่จิตรู้แล้วหลงตามรู้ และตามทำกิจต่อจนเสร็จนั้น
นั่นไม่ได้หมายถึงว่ากิจนั้นจบแล้ว
แต่หมายถึง ขณะหลงเอาเจตนาไปทำกิจนั้น
ได้สร้างกรรมใหม่ขึ้นอีก คือสร้างกิจใหม่ขึ้นมารอไว้แล้ว
หรือเรียกว่าสร้าง สังสารวัฏรอไว้แล้ว ซึ่งจะต้องไปรอรับและใช้กันต่อไป
เป็นการต่อสังสารวัฏให้หมุนต่อไป คือสร้างความเกิดรอไว้แล้ว

เมื่อจิตรู้ถูกคลายออกจากโมหะ ในแต่ละครั้ง
จึงมีความอิสระมากขึ้นในตัวมันเอง อาการที่ถูกโมหะครอบงำ
จนมองอะไรไม่เห็น เริ่มถูกคลายออก มันจึงเริ่มเห็นสิ่งต่าง ๆ ชัดเชนขึ้น
ดังนั้นทุกครั้งที่ช่างมัน ก็คือการกลั่นกรองธรรมในตัวทุกครั้ง

การดำเนินไปของธรรม การเกิดขึ้นและดับไปของกิเลส
ที่ดำเนินเป็นปกติอยู่แล้ว มันจะหลงเข้าไปเห็นเอง
ไม่ต้องเจตนาเข้าไปดู ให้เป็นกรรมซ้อนกรรมอีกรอบ
เพราะความหลงยังมีอยู่ อยากรู้อยากเห็นก็ยังมีอยู่
อย่างไร้เสียมันก็มีการแอบหลงเข้าไปดูเข้าไปเห็น
ทำให้เห็นความจริงของธรรม แล้วหายลังเลในธรรมเอง

การช่างมันครั้งหนึ่งโมหะก็หมดไปครั้งหนึ่ง เมื่อโมหะถูกคลายออก ๆ ๆ
จิตก็เริ่มกลับสู่สภาพเดิมแท้ของจิตเอง คือไม่ยึด ไม่ติด ไม่คา ไม่ค้าง
ในตัวมันเอง และไม่จมไม่แช่กับสิ่งที่มากระทบ
และไม่เข้าไปบังคับหรือกดทับขันธ์อื่นอีก ทุกขันธ์ก็ถูกคลายออกเช่นกัน
คือไม่ยึดในตัวมันเอง จากที่เคยช่างมัน ก็ไม่ต้องแล้ว มันจะช่างของมันเอง
คือมันจะไม่ยึดของมันเอง มันจะแล้ว ๆ ไปเอง
มันจะเป็นธรรมโดยธรรม ของมันเอง ตรงต่อไตรลักษณ์
ไม่ลังเลในธรรมอีกต่อไป

แม้จะยังมีหลงเข้าไปรู้ เป็นบางครั้ง บางเวลา
แต่จะไม่เหมือนเมื่อก่อนที่หลงตลอด
และไม่มีวันที่จะกลับไปหลงเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป
ด้วยเหตุแห่งกรรมอนุสัยความเคยชิน ในส่วนที่ยังเกี่ยวเนื่องกับโมหะ
ยังให้ผลอยู่ และโมหะที่ยังคลายออกไม่หมด จึงยังมีการหลงเข้าไปรู้
แต่เมื่อรู้ตัว มันจะคลายออกเองทันที ด้วยตัวมันเอง
โดยไม่มีเราเข้าไปเกี่ยวข้อง และการหลงเข้าไปรู้ในแต่ละครั้งนั้น
จะสั้นลง สั้นลง ของมันเอง จบของมันเอง ของมันเอง ในแต่ละครั้ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2012, 23:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


เพิ่มเติมนิดนะครับ

ช่างมัน ก็ต้องช่างมันด้วยปัญญา ที่ไปรู้ ว่า นั้นทุกข์ อะไรทำให้เกิดทุกข์ เห็นลงไปในสติปัฏฐาน4 ในไตรลักษณ์ แล้ว ค่อยช่างมัน

หากช่างมัน อย่างเดียว ลดอนุสัยไปได้ แต่ไม่ลด อวิชชา เมื่อไม่มีสติ แล้ว อวิชชาจะกลับมาเพิ่ม อนุสัย ให้กลับมาอีก

s006 เป็นอย่างนี้มั้ยน่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2012, 23:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 14:46
โพสต์: 67


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่มีอะไร เขียน:
ท่าน จขกท

เนื้อหาของการขอขมากรรม คือการสำนึกในการกระทำของตน
ที่ได้ล่วงเกินต่อองค์คุณเบื้องสูงทุก ๆ พระองค์
และล่วงเกินต่อทุกผู้ทุกนาม ทุกดวงจิตในทุกชั้นภูมิ
และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
ที่ทำไว้ในทุกภพทุกชาติ นอกนั้นแล้วแต่จะเสริม

เนื้อหาของการอโหสิกรรม ก็เช่นกัน
คืออโหสิกรรม ให้แก่ทุกผู้ทุกนาม ทุกดวงจิตในทุกชั้นภูมิ
ที่ทำไว้กับเราในทุกภพทุกชาติ ไม่ได้หมายเอาชาตินี้ชาติเดียว

เนื้อหาของการกรวดน้ำ
คือ การให้ การสงเคราะห์ ไม่แบ่งชั้นวรรณะ
ให้หมด แต่ไม่ได้ให้ของชั่วคราว ไม่ได้ให้ในสิ่งที่จะไป
ส่งเสริมให้ผู้รับนั้นไปหลงต่อ
ที่ผ่านมาเรามันจะทำบุญและแผ่บุญหรือกรวดนำ
โดยมีเจตนาในการนำบุญกุศลที่ทำไว้ ไปให้ผู้รับ

อย่างที่ได้กล่าวไว้ก่อนแล้วว่า นิพพานไม่เนื่องด้วยกุศลและอกุศล
ดังนั้น จึงไม่ใช่กรวดน้ำเพื่อแผ่บุญอย่างเดียวอีกแล้ว
แต่หมายให้ธาตุขันธ์ของผู้กรวดน้ำนี้
เป็นส่วนหนึ่งในการโปรดสัตว์ร่วมกับองค์คุณเบื้องสูง
ในการปลดปล่อย คลี่คลาย สรรพดวงจิต ดวงวิญญาณทั้งหลาย
ให้ตื่นจากวิบาก ตื่นจากความหลง จบกิจตาม


ทำไม้ท่าน จขกท ถึงคิดว่า การปล่อยวางขันธ์ห้านี้แล้ว
จะไปอยู่อรูปพรหม ไม่ทราบเพราะเหตุใดถึงคิดเช่นนี้
จะพออธิบายให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ


:b8: สาธุคะ :b8:

แต่ท่อนนี้ดิฉันไม่เข้าใจเลยคะ กรุณาอธิบายอีกครั้งได้ไหมคะ :b8:

อ้างคำพูด:
อย่างที่ได้กล่าวไว้ก่อนแล้วว่า นิพพานไม่เนื่องด้วยกุศลและอกุศล
ดังนั้น จึงไม่ใช่กรวดน้ำเพื่อแผ่บุญอย่างเดียวอีกแล้ว
แต่หมายให้ธาตุขันธ์ของผู้กรวดน้ำนี้
เป็นส่วนหนึ่งในการโปรดสัตว์ร่วมกับองค์คุณเบื้องสูง
ในการปลดปล่อย คลี่คลาย สรรพดวงจิต ดวงวิญญาณทั้งหลาย
ให้ตื่นจากวิบาก ตื่นจากความหลง จบกิจตาม


ส่วนข้อความนี้

อ้างคำพูด:
ทำไม้ท่าน จขกท ถึงคิดว่า การปล่อยวางขันธ์ห้านี้แล้ว
จะไปอยู่อรูปพรหม ไม่ทราบเพราะเหตุใดถึงคิดเช่นนี้
จะพออธิบายให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ


ดิฉันนะคะ เป็นพวกจับฉ่าย ชอบศึกษาหลายด้าน เลยทำให้ไม่ได้ดีสักด้าน คือเป็นแบบเป็ดๆนะคะ พอถูๆไถๆไปทุกเรื่อง แต่ไม่รู้ดีและเก่งจริงสักเรื่องไป :b5:

เอาแบบที่เข้าใจงูๆปลาๆของดิฉันนะคะ (ถ้าดิฉันเข้าใจเรื่องนี้ผิดกรุณาแก้ไขให้ด้วยนะคะ :b8: )

..คืออรูปมันจะ ว่างๆนะคะ ลอยๆไม่ติดกับอะไร ลอยไปเรื่อยๆ เมื่อลอยไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุดและไม่ติดกับอะไร สมองก็เริ่มเบลอๆ งงๆ ตื้อๆ ไม่โปร่งแจ่มใสเหมือนก่อน ดิฉันเคยติดถึงแค่นี้คะ ช่วงเวลาที่ติด ไม่ค่อยรู้สึกอะไร ไม่ทุกข์ ไม่สุข เฉยๆลอยๆ เย็นๆ เรื่อยๆ สุขแบบลอยๆ อธิบายได้ยากคะ มีครั้งนึง ไม่รุ้ตัวว่าติดอรูป ก็ทำไปเรื่อยๆ ไม่รู้สึกรู้สาอะไร สุขแบบลอยๆ ลอยจนเหมือนตัวจะลอยไปด้วยและเริ่มงงเบลอเริ่มไม่รุ้ตัวรู้ตน...เคยเป็นแบบนี้ ตอนนั้นใช้วิธี หยุดทำกรรมฐานทุกอย่างแล้วหันมาฟังเพลง ดูอะไรบันเทิงๆให้เพลินๆไป คือหากิเลสใส่ตัวให้เรากลับมาเป็นคนเหมือนที่เราเคยเป็น และค่อยเริ่มตั้งต้นเดินกรรมฐานใหม่คะ

ครั้งล่าสุดตอนที่ประมาณ 4-5 วันก่อน ตอนปล่อยกายและจิตใหม่ๆนะคะ ที่ทำผิดก่อนเกิดอาการปวดหัวนั้น มันมีความรู้สึกเคว้งคว้างคะ มันว่างแบบลอยๆ ตอนน้้นกำลังจะไปปล่อยปลา ได้อธิษฐานจิตไว้แล้ว และเริ่มพิจารณาการปฎิบัติของตัวเองเห็นว่า ทำไมปล่อยทั้งกายและจิตแล้ว มันเคว้งหน่อยๆ (คล้ายๆเหมือนที่ตัวเองเคยเจอตอนติดอรูปนะคะ) เมื่อพิจารณาเห็นว่าตัวเองเคว้งหน่อยๆ ลอยๆไม่มีที่ยึด เลยบอกตัวเองว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆไม่ดีแน่ ตอนนั้นรู้สึกเคว้งๆและลอยๆ เลยใช้ อุปสมานุสสติกำกับไปด้วย ทั้งๆที่มันลอยๆแบบนั้นนะคะ...เริ่มเอะใจนิดนึงว่า ถ้ามันถูกทาง มันต้องเป็นมหาสติล้วนๆโดยไม่ต้องมีกรรมฐาน 40 มาร่วมด้วย เพราะ ถ้าปกติถ้าดิฉันจะใช้กรรมฐาน 40 ก็จะไม่มีมหาสติมาปน หรือไม่ถ้าดิฉันจะใช้มหาสติดิฉันก็จะไม่เอากรรมฐาน 40 มาปนกันนะค่ะ ทำทีละครั้งแยกกันคนละเวลา จะใช้กรรมฐาน 40เป็นครั้งคราว หลังๆจะใช้มหาสติเป็นส่วนใหญ่ในการเดินกรรมฐาน.......

นี่คือเหตุที่มาของคำถามคะ :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย สายลมที่พัดผ่านไป เมื่อ 13 ส.ค. 2012, 20:31, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2012, 23:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 14:46
โพสต์: 67


 ข้อมูลส่วนตัว


อีก3-4 โพสหลัง ขออ่านพรุ่งนี้คะ ตอนนี้เริ่มง่วงหน่อยๆ สมาธิและสติไม่สมบูรณ์มากนักในการพิจารณาข้อธรรม พรุ่งนี้สมองโล่งแล้วดิฉันจะเข้ามาศึกษาต่อคะ

กราบขอบพระคุณทุกๆท่านที่ได้เมตตาแนะนำดิฉันนะคะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2012, 00:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ทุกครั้งที่จิตรู้แล้วหลงตามรู้ และตามทำกิจต่อจนเสร็จนั้น
นั่นไม่ได้หมายถึงว่ากิจนั้นจบแล้ว
แต่หมายถึง ขณะหลงเอาเจตนาไปทำกิจนั้น
ได้สร้างกรรมใหม่ขึ้นอีก คือสร้างกิจใหม่ขึ้นมารอไว้แล้ว
หรือเรียกว่าสร้าง สังสารวัฏรอไว้แล้ว ซึ่งจะต้องไปรอรับและใช้กันต่อไป
เป็นการต่อสังสารวัฏให้หมุนต่อไป คือสร้างความเกิดรอไว้แล้ว



คุณก็แลเป็นคนมีความรู้คนหนึ่ง แต่คุณก็วกกลับมาที่จิตรู้เหมือนเดิม ผมอ่านแล้วก็ยังไม่เข้าใจว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไร ขอขยายความตามเหตุตามผลหน่อยครับ เอาธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนมาขยายความหน่อยครับว่าคุณพูดเรื่องอะไรอยู่

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2012, 07:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เราจะปล่อยวาง ชีวิต หรือ กายใจ หรือ นามรูป หรือ ขันธ์ ๕ หรือในชื่ออื่นอีกได้นั้น เรา (ปัญญา) จะต้องรู้เห็นชีวิตหรือกายใจหรือนามรูปหรือขันธ์ ๕ คือธรรมชาตินี้ตามเป็นจริงก่อน คือ รู้ตามที่มันของมัน จิตใจจึงจะปล่อยวางได้อย่างจริงแท้
มิใช่เราไปคิดปล่อยวาง ไปคิดทำให้เป็นอย่างที่เรายึดเราอยาก อย่างนี้ไม่ใช่แล้ว วางแบบนี้ไม่ใช่ของจริง ไม่ใช่เกิดจากปัญญาญาณ มีแต่เกิดผลเสียเกิดโทษ

หากยังนึกภาพไม่ออก อุปมาให้เห็นง่ายๆ เหมือนเราซื้อล๊อดเตอรี่มาใบหนึ่ง ตราบใดที่เขายังไม่ออกยังไม่ประกาศหมายเลขรางวัล เราก็ยังยึดถือว่าหมายเลขล๊อตเตอรี่ใบที่เราซื้อนั้น เก็บไว้อย่างดีกลัวหาย หวังลึกๆว่ามันต้องถูกรางวัลใดรางวัลหนึ่งน่า :b1:

ครั้นถึงวันที่เขาประกาศหมายเลขรางวัล เลขที่ออก (...) ตาเถนไม่ตรงกับใบที่เราซื้อเลย จิตใจเลิกหวังปล่อยวางเองโดยอัตโนมัติแบบไม่ต้องไปทำอะไรมัน

พอมองเห็นภาพมั้ยครับ :b1: :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2012, 09:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นภาพ...เลยครับ

ผมคิดอย่างนี้ว่า....คำว่าช่างมัน....มันเป็นผล.....ไม่ใช่มรรค์

ดังนั้น...เราจะไปใช้ผล...ของใครเลยทันที่...ไม่ได้

ต้องเข้าใจที่มา....ของคำนี้ในหัวใจเขาว่า...มาอย่างไร....

เขาพิจารณา..อย่างนั้น....อย่างนี้...108 ...จนใจ...เข้าใจตามความเป็นจริง...ใจยอมรับ....

แม้อะไร..อะไร..จะเกิดขึ้น....ใจก็สรุปธรรมทั้งหลาย...ลงในคำว่า...ช่างมัน....(หรือคำอื่น ๆ แล้วแต่คน)...คำเดียว....เพราะ....ไม่เห็นว่าเป็นสาระอะไรเลย

คำสรุป...ของแต่ละคนอาจต่างกันไป....แต่มีใจความเหมือนกัน...คือ...ไม่รู้จะไปยึดมั่นทำไม

แต่...ผู้อื่นจะมาใช่คำนี้เลย..โดยไม่พิจารณาจนเกิดบทสรุป....ไม่ได้

เพราะมันไม่ใช่ผลของตัวเอง...ผลเกิดแต่มรรค์....ดังนั้น...หน้าที่เราคือ...เดินตามมรรค์

พระพุทธองค์...ท่านยังว่า...ท่านเป็นแต่ผู้แนะนำ....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2012, 10:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 14:46
โพสต์: 67


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่มีอะไร เขียน:
คนเราเมื่อหลงยึดมานาน อยู่ดีๆ บอกให้ช่างมัน มันย่อมช่างไม่ได้
ปล่อยไม่ได้ เป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่อมีไตรลักษณ์เป็นฐานรองรับในใจ
เมื่อทุกครั้งที่หลงไป ฐานข้อมูลนี้ จะถูกหยิบยกขึ้นมาใช้ เตือนจิต

การแจ้งในไตรลักษณ์ ไม่ใช่การรังเกียจในธรรมชาตินี้ หรือรังเกียจธาตุขันธ์นี้
ที่มันทุกข์ ไม่เที่ยง และยึดไม่อยู่ แต่หมายถึง การยอมรับในความเป็นจริง
ของธรรมชาติ ที่มันเป็นของมันอย่างนั้นอยู่แล้ว อย่างไม่มีข้อแม้
ไม่มีข้อต่อรอง ไม่มีการลังเลในธรรมนี้อีก
แล้วทิฐิก็จะตรงตามธรรมไปเอง ที่เรียกว่า สัมมาทิฐิ
เมื่อแจ้งในไตรลักษณ์ข้อใดข้อหนึ่ง ก็จะแจ้งตามได้หมดทุกข้อ

การช่างมันนั้น เบื้องต้นก็เป็นเพียง ให้จิตรู้นั้น ได้รู้จักคืนสู่สภาพเดิมแท้ของมันเอง
คือเดิมไม่หลง ไม่ติด ไม่ยึด แต่ตอนนี้มันหลง เพราะโมหะพาหลง
มันก็หลงยึด หลงติด หลงค้าง หลงแช่ ในจิตรู้เอง
และหลงยึดกับสิ่งต่าง เมื่อช่างมัน ก็คือการตัดความหลง ออกไปจากจิต
จิตรู้จะไม่หลงค้าง หลงแช่ หลงจมเหมือนดังเคยหลงมาทุกภพทุกชาติ
ทุกครั้งที่หลงเข้าไปรู้ ก็ช่างมัน และในขณะนั้นทำกิจอะไรอยู่
ก็ทำกิจนั้นต่อไป เมื่อหลงเข้าไปจับความรู้สึกใด ๆ อีก ก็ช่างมัน และทำงานต่อไป
จิตรู้นั้นก็จะขาดจาก ความหลงคาในสิ่งที่รู้นั้น

การช่างมันนั้น ไม่ได้เอาเจตนาไปช่าง เพราะถ้าเอาเจตนาไปช่าง
มันก็ไปตรงกับโมหะกรรมอีก แต่หมายเอาเมื่อรู้ตัว คือรู้ตัวเองเมื่อไหร่ ก็ช่างมัน
ในทุกอิริยาบถ ไมใช่เป็นการไปสร้างสถานการณ์เฉพาะขึ้นมาใหม่
หรือไปสร้างอิริยาบถขึ้นมาใหม่ แต่หมายถึง ในทุกเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามา
ในการดำเนินชีวิตประจำวันที่มีเท่าไหร่ ก็เท่านั้น

การช่างมัน คือการตัดความหลงที่ซ้อนลงในจิตรู้ แต่เมื่อช่างมันแล้ว
ยังหลงเข้าไปรู้อีก รู้ตัวเมื่อไหร่ก็ช่างมันอีก
ไม่ว่าวันหนึ่งจะหลงซ้อนเข้าไปรู้ กี่ครั้ง รู้ตัวเมื่อไหร่ก็ช่างมันทุกครั้ง

การช่างมันนั้น ไม่ใช่การภาวนาว่า ช่างมัน อยู่ตลอดเวลา
ไม่ใช่การเข้าไปกด เข้าไปทับเอาไว้ จนเหมือนหัวตอ
ไม่ใช่การรวมเป็นหนึ่งเดียว และแช่นิ่งรู้ว่าง
ไม่ใช่การปฏิเสธ ต่อต้าน ครอบไว้ คลุมไว้
ไม่ใช่อยากให้สิ่งที่กระทบดับเร็ว ๆ หมดเร็ว ๆ ก็ไม่ใช่
ไม่ใช่การไหลตามไป

แต่หมายถึง ไม่สน แล้ว ๆ ไป ไม่ตาม ไม่ต่อ ไม่เติมอีก จะเป็นอะไรก็ช่าง
จะดีก็ช่าง ชั่วก็ช่าง รู้ก็ช่าง คิดก็ช่าง จำก็ช่าง รู้สึกก็ช่าง สัมผัสกายก็ช่าง
จะในก็ช่าง จะนอกก็ช่าง ช่างทุกการรู้ที่จิตหลงเข้าไปรู้

ไม่ว่า มันรู้เอง ก็ช่าง เพราะถ้าตามรู้ต่อ มันก็กลายเป็นเรารู้อีก
ไม่ว่าจะหลงไปแล้ว ค่อยมารู้ตัวว่าหลงไปแล้ว ก็ช่าง
ถ้าตามไปทวนอีก ก็หลงวนเข้าไปอีกรอบ เมื่อช่างแล้วสิ่งที่ถูกช่างจะยังอยู่
หรือไม่อยู่ ก็คือ ช่างมัน เหมือนเดิม

ทำไมถึงให้ช่างทุกความรู้สึกที่เรารู้ เพราะธรรมชาติของจิตรู้นั้น
คือรู้แล้ว แล้ว ๆ ไป ไม่ติด ไม่คา ผ่านตลอด ไม่มีแวะ แต่เมื่อเรารู้แล้วมันค้าง
มันคาอยู่กับรู้นั้น สัมผัสนั้น มันจึงกลายเป็นหลงรู้

เมื่อช่างมันทุกความรู้ที่หลงเข้าไปรู้ โมหะ ตัณหา อุปาทานที่มีอยู่
ก็ถูกคลายออก ทุกขันธ์ที่เคยถูกความกิเลสครอบคลุมอยู่ ก็ถูกคลายออก
ทำให้ทุกขันธ์เบาขึ้น ไม่หนัก ไม่มีภาระในการแบกแรงกดทับของกิเลส
มีความอิสระ เป็นขันธ์ที่ปราศจากกิเลสครอบงำ ของแต่ละครั้งที่ช่างมัน

มันจึงพร้อมต่อการทำกิจต่าง ๆ ได้ ที่เราเรียกกันว่า มหาสติ
มีความพร้อม พร้อมใช้ พร้อมวาง พร้อมด้วยตัวของมันเอง
ไม่ใช่มีเราไปทำให้มันพร้อม ไม่ใช่มีเราไปฝึกให้มันพร้อม
เมื่อคลายออก มันไม่เหนียวแน่กับสิ่งใด มันก็พร้อมของมันเอง
มันไม่ค้าง ไม่คา ไม่แช่กับสิ่งใด มันจึงพร้อมของมันเอง
เมื่อจะใช้ขันธ์ใดก็หยิบขึ้นมาใช้ สามารถหยิบขันธ์ใดมาใช้ก็ได้
อยู่ที่ว่าจะใช้หรือไม่ เมื่อจิตไม่หลงแล้ว จะหยิบขันธ์ไหนก็ไม่หลงในขันธ์นั้น
มันไม่หลงใช้ มันจะใช้เท่าทีมีเหตุให้ใช้
และก็ไม่เยิ่นเย่อในการใช้ขันธ์ ใช้เสร็จก็แล้ว ๆ ไป ไม่ติดไม่ยึด

ขณะใดที่ไม่ได้ใช้ขันธ์ ขณะนั้นมันจะไม่ยึด ไม่เกาะกับสิงใด
ปล่อยทุกขันธ์ ปล่อยให้ขันธ์ทำหน้าที่ของมันเอง
อย่างอัตโนมัติของมันเอง ตามีหน้าที่เห็นก็ปล่อยให้เห็นไปของมันเอง
หูมีหน้าได้ยิน ก็ฟังไป จมูกได้กลิ่นก็ได้กลิ่นไป ลิ้นลิ้มรสก็รู้รสไป กายสัมผัส
ก็สัมผัสไป ใจรู้อารมณ์ ก็รู้ไป เมื่อจะใช้คิด มันก็จะหยิบคิดขึ้นมาคิด
คิดเสร็จก็แล้วไป ไม่หลงคิดเลอะเทอะ เมื่อจะใช้ความจำ มันก็หยิบเอาฐานข้อมูล
ขึ้นมาใช้ให้พอต่องานที่ทำนั้น

เมื่อมีอารมณ์เกิด ถ้าเป็นสิ่งที่มีผลต่อธาตุขันธ์ มันจะรู้จักสงเคราะห์
ธาตุขันธ์ไปเอง ทุกขันธ์จะทำหน้าของมันเอง อย่างไม่ยึด ไม่ติด
ไม่คา ไม่แช่ เสร็จแล้วก็แล้วไป ไม่ข้องกับงานนั้น การดำเนินชีวิตในประจำวัน
ก็จะเป็นแบบนี้ไปทั้งวัน คือผ่าน ๆ ไปตลอด ทำงานไปก็ผ่านไป อยู่ไปก็ผ่านไป

ถ้าหลงก็หลงไป รู้ตัวก็เลิกหลง และก็ผ่าน ๆ ไป ไม่คากับสิ่งใด
ไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งใด ไม่ว่าธาตุหรือขันธ์ ทุกสิ่งคือผ่าน ๆ ไป
นี่คือความอัตโนมัติของธาตุขันธ์ ไม่ใช่มีเราไปฝึกให้ขันธ์อัตโนมัติ
แต่หมายถึง มันคลายออกเองแล้ว มันไม่ข้องกับสิ่งใด ไม่จมกับสิ่งใด
มันจึงอัตโนมัติของมันเอง แต่ถ้าเป็นความอัตโนมัติต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งของทางโลก
ต้องฝึกครับ ต้องมีเราเข้าไปฝึก มันจึงชำนาญและอัตโนมัติได้

จากเดิมที่โมหะซ้อนลงไปในจิตรู้ ทำให้จิตรู้นั้นถูกกดทับด้วยความหลง
กลายเป็นหลงรู้ แล้วเกิดการค้างรู้ ค้างเห็น และเมื่อความหลงรู้ตัวนี้
ไปหยิบขันธ์ใดมาใช้ต่อ ก็ไปกดทบขันธ์นั้นให้ค้างต่ออีก ไม่ยอมแล้ว ๆ ไป
มันจึงเป็นความหลงในการใช้ธาตุใช้ขันธ์ หลงยึด หลงใช้ หลงเข้าใจผิด
เมื่อหลงใช้มากก็กดทับขันธ์มาก เมื่อหลงไปเรื่อย ๆ ขันธ์มันก็ทนไม่ไหว
โรคภัยไข้เจ็บก็ถามหา จากเดิมที่ขันธ์นี้มันก็มี วัฏจักรในการเจ็บป่วยเป็นปกติอยู่แล้ว
เมื่อหลงใช้ขันธ์จนเกิดการกดทับธาตุขันธ์ไปอีก
จึงกลายเป็นยิ่งป่วยเร็ว เสื่อมเร็ว ป่วยนานเข้าไปอีก
หรือไม่ก็สะสมจนทะลักออกมาอย่างหนัก


:b8: สาธุ สาธุ สาธุ :b8:

กราบขอบพระคุณคะ :b8: ....เข้าใจและแจ้งแก่ใจมากคะ..ไม่รู้จะพูดอย่างไร...ขอน้อมกราบแทบเท้าท่านนะคะ ที่เมตตาไขความกระจ่างให้ในทุกเรื่อง :b8:

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตคะ ที่ถามแล้ว ไม่ถูกด่าว่า บ้า ว่าเพี้ยน ว่าหลง ว่าเธอปรุงขึ้นมาเอง เธอประสาท เธอมาลองของฉันหรือป่าว :b8: ..เฮ้อ..ดิฉันเข้าใจในทุกตัวอักษร ทุกบรรทัด มันเข้าใจด้วยใจ จึงไม่สามารถบรรยายได้ว่า ดิฉันเข้าใจได้อย่างไร..อ่านแล้วคลายออกจริงๆคะ กราบขอบพระคุณอีกครั้งนะคะ :b8:

น้ำตาจะไหลคะ 555 ดีใจที่ตัวเองไม่เคยที่คิดจะล้มเลิกแล้วหันหน้าหนีกลางคันเพราะตัวเองล้มแรงๆมากกว่า 8 ทีแล้ว ดีใจที่ตัวเองอดทนจนมาถึงวันนี้ วันที่ได้กระจ่างแก่จิตขึ้นไปเรื่อยๆ ดีใจที่ความพยายาม ความเพียร ความอดทน ความขันติ ด้านที่จะทนด้วยจิตที่มุ่งมั่นและเดินต่อไปในเส้นทางนี้ไปเรื่อยๆ จนมีวันนี้..พูดแล้วก็วกไปวนมา :b9: ...แต่ดีใจคะที่มีวันนี้.. :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2012, 10:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ค. 2012, 14:46
โพสต์: 67


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: กราบขอบพระคุณครูทุกๆท่านที่ผ่านเข้ามาในชีวิต :b8: ...ที่สอนดิฉันในรูปแบบต่างๆ กราบขอบพระคุณในข้อสอบต่างๆที่ผ่านมา...ว่าดิฉันจะผ่านการเอาชนะใจตัวเองได้หรือไม่ และมั่นคงในพระรัตนตรัยเพียงพอหรือป่าว...ในข้อสอบหลายๆครั้งที่ผ่านมาในชีวิตมันหนักเกินไปสำหรับดิฉัน..แต่สิ่งเดียวที่ทำให้ดิฉันเดินต่อไปได้คือ ความมั่นคงในพระรัตนตรัย ....เมื่อมองย้อนไป ดิฉันยอมรับในสิ่งต่างๆที่ผ่านมา เพราะถ้าไม่มีอดีตแบบที่ผ่านมาก็ไม่มีดิฉันในวันนี้..ฉะนั้น ทุกๆอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตคือครูสอนให้ดิฉันแกร่งขึ้นได้เสมอ..กราบขอบพระคณครูทุกๆท่านคะ :b8:

:b8: :b8: โดยเฉพาะท่านๆหนึ่งเป็นพิเศษ น้อมกราบแทบเท้าและระลึกถึงพระคุณท่านอยู่เสมอ.. :b8: :b8: ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปสักเท่าใด ดิฉันก็ยังระลึกถึงพระคุณของท่าน..เพราะท่านเปรียบเหมือนพ่อที่เรียบเรียงทุกอย่างในตัวดิฉันใหม่ให้เป็นระบบ และเป็นตัวเป็นตนดิฉันในวันนี้ ถ้าไม่มีท่าน ทุกอย่างที่ได้เรียนรู้มา จะสับสนวุ่นวาย นำมาใช้ได้ไม่ถูกส่วน ไม่ถูกระบบ และใช้ได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพเท่าทุกวันนี้..ท่านได้เรียบเรียง เหมือนต่อตัวต่อให้ดิฉันใหม่ จนทำให้ดิฉันพอมีคุณสมบัติของนักกกรรมฐานในตัวเองบ้าง..ท่านประคองดิฉันจนดิฉันเติบโตในทางธรรม ท่านทำให้ดิฉันแกร่ง ท่านทำให้ดิฉันทนต่อสภาวะต่างๆที่มากระทบได้ ท่านสอนอะไรอีกมากมาย..ท่านทำให้ดิฉันมั่นคงในตัวเอง ท่านทำให้ดิฉันเด็ดเดี่ยวขึ้น ยืนด้วยขาตัวเองมากขึ้น จนสามารถยืนได้ด้วยตัวเอง..ทุกๆอย่างเกิดมาจากท่าน..ดิฉันน้อมกราบแทบเท้าท่านคะ น้อมกราบด้วยใจที่เคารพรัก และด้วยใจที่เคารพบูชา....ทุกอย่างที่ผ่านมาดิฉันขอขมาและขออโหสิกรรม..อนาคตไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่ผ่านมานั้นเหลือไว้ที่ความมีพระคุณ ความนบน้อมบูชาอยู่ในใจเสมอ กราบขอบพระคุณท่านมากนะคะ..คิดว่าท่านอ่านคงจะเข้าใจ...คนที่คุณรู้ว่าเป็นใคร :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2012, 12:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
อ้างคำพูด:
ทุกครั้งที่จิตรู้แล้วหลงตามรู้ และตามทำกิจต่อจนเสร็จนั้น
นั่นไม่ได้หมายถึงว่ากิจนั้นจบแล้ว
แต่หมายถึง ขณะหลงเอาเจตนาไปทำกิจนั้น
ได้สร้างกรรมใหม่ขึ้นอีก คือสร้างกิจใหม่ขึ้นมารอไว้แล้ว
หรือเรียกว่าสร้าง สังสารวัฏรอไว้แล้ว ซึ่งจะต้องไปรอรับและใช้กันต่อไป
เป็นการต่อสังสารวัฏให้หมุนต่อไป คือสร้างความเกิดรอไว้แล้ว



คุณก็แลเป็นคนมีความรู้คนหนึ่ง แต่คุณก็วกกลับมาที่จิตรู้เหมือนเดิม ผมอ่านแล้วก็ยังไม่เข้าใจว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไร ขอขยายความตามเหตุตามผลหน่อยครับ เอาธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนมาขยายความหน่อยครับว่าคุณพูดเรื่องอะไรอยู่




ปฏิจจสมุปบาทไง คุณ student


จาก มหานิทานสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐

ดูกรอานนท์ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงเกิดสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงเกิดวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ
เพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงเกิด ชรามรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส ฯ
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ย่อมมีด้วยประการฉะนี้ ฯ




จาก ปัจจัยสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖

ภิกษุทั้งหลาย ความจริงแท้ ความไม่คลาดเคลื่อน ความไม่เป็นอย่างอื่น มูลเหตุอันแน่นอนในธาตุอันนั้น ดังพรรณนามาฉะนี้แล เราเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท

(ภิกฺขเว ยา ตตฺร ตถตา อวิตถตา อนฺถตา อิทปฺปจฺจยตา อย วุจฺจติ ภิกฺขเว ปฏิจฺจสมุปฺปาโท)

(ถ้าเขียนทับศัพท์จะได้ว่า -ภิกษุทั้งหลาย ตถตา อวิตถตา อนัญญถตา หลักอิทัปปัจจยตา ดังพรรณนามาฉะนี้แล เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท)




ในการอธิบายปฏิจจสมุปบาท สามารถนำมาอธิบายได้หลายแบบ สุดแต่ว่า จะนำส่วนไหนมาอธิบาย

อธิบาย เป็นวงกลม หมายถึง วัฏฏสงสาร

อธิบาย เป็นส่วน หมายถึง ตามเหตุปัจจัย

สำหรับสำนวนในการอธิบาย ขึ้นอยู่กับ เหตุปัจจัย ของผู้อธิบาย

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2012, 14:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เราจะปล่อยวาง ชีวิต หรือ กายใจ หรือ นามรูป หรือ ขันธ์ ๕ หรือในชื่ออื่นอีกได้นั้น เรา (ปัญญา) จะต้องรู้เห็นชีวิตหรือกายใจหรือนามรูปหรือขันธ์ ๕ คือธรรมชาตินี้ตามเป็นจริงก่อน คือ รู้ตามที่มันของมัน จิตใจจึงจะปล่อยวางได้อย่างจริงแท้
มิใช่เราไปคิดปล่อยวาง ไปคิดทำให้เป็นอย่างที่เรายึดเราอยาก อย่างนี้ไม่ใช่แล้ว วางแบบนี้ไม่ใช่ของจริง ไม่ใช่เกิดจากปัญญาญาณ มีแต่เกิดผลเสียเกิดโทษ

หากยังนึกภาพไม่ออก อุปมาให้เห็นง่ายๆ เหมือนเราซื้อล๊อดเตอรี่มาใบหนึ่ง ตราบใดที่เขายังไม่ออกยังไม่ประกาศหมายเลขรางวัล เราก็ยังยึดถือว่าหมายเลขล๊อตเตอรี่ใบที่เราซื้อนั้น เก็บไว้อย่างดีกลัวหาย หวังลึกๆว่ามันต้องถูกรางวัลใดรางวัลหนึ่งน่า :b1:

ครั้นถึงวันที่เขาประกาศหมายเลขรางวัล เลขที่ออก (...) ตาเถนไม่ตรงกับใบที่เราซื้อเลย จิตใจเลิกหวังปล่อยวางเองโดยอัตโนมัติแบบไม่ต้องไปทำอะไรมัน

พอมองเห็นภาพมั้ยครับ :b1: :b12:

ตาเฒ่านี่มั่วไปเรื่อย คำว่าปล่อยวาง มันต้องปล่อยวางจากกิเลสที่บ่งการอยู่
ที่ลุงยกตัวอย่างมาน่ะ มันเป็นเรื่องของอกุศลจิตทั้งนั้น มันปล่อยวางซะที่ไหน
ซื้อล็อทเตอรี่มา เพราะจิตถูกกิเลสครอบง้ำ แล้วเกิดอาการ โลภะ อยากได้หลงคิดไปว่า
จะต้องถูกรางวัล พอไม่ถูกรางวัลจิตก็เกิดโทสะต่อล็อทเตอรีใบนั้น

กิเลสความอยากมันไม่ได้ไปไหนเลย ไม่ถูกงวดนี้งวดหน้าก็ซื้อใหม่
ถามลุงหน่อย มันปล่อยวางตรงไหน และอีกอย่างที่ลุงบอกว่า "จิตเลิกหวัง"
อาการของจิตที่บอกว่า"หวัง" มันไม่มีน่ะ ...
เขามีแต่"โลภะ" ในทางอกุศลมันตรงข้ามกับ"โทสะ" เลิกหวังก็คือโทสะ
การปล่อยวาง ก่อนจะซื้อล็อทเตอรีจิตมันต้องเป็นอาการที่เรียกว่า " อโลภะ"
คือไม่อยากในเงินรางวัล แล้วเราทำได้มั้ยซื้อล็อทเตอรี่โดยไม่อยากได้เงินรางวัลน่ะ



ลุงว่าแบบนี้ผมสอดแทรกธรรมหรือเปล่า :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2012, 15:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เราจะปล่อยวาง ชีวิต หรือ กายใจ หรือ นามรูป หรือ ขันธ์ ๕ หรือในชื่ออื่นอีกได้นั้น เรา (ปัญญา) จะต้องรู้เห็นชีวิตหรือกายใจหรือนามรูปหรือขันธ์ ๕ คือธรรมชาตินี้ตามเป็นจริงก่อน คือ รู้ตามที่มันของมัน จิตใจจึงจะปล่อยวางได้อย่างจริงแท้
มิใช่เราไปคิดปล่อยวาง ไปคิดทำให้เป็นอย่างที่เรายึดเราอยาก อย่างนี้ไม่ใช่แล้ว วางแบบนี้ไม่ใช่ของจริง ไม่ใช่เกิดจากปัญญาญาณ มีแต่เกิดผลเสียเกิดโทษ

หากยังนึกภาพไม่ออก อุปมาให้เห็นง่ายๆ เหมือนเราซื้อล๊อดเตอรี่มาใบหนึ่ง ตราบใดที่เขายังไม่ออกยังไม่ประกาศหมายเลขรางวัล เราก็ยังยึดถือว่าหมายเลขล๊อตเตอรี่ใบที่เราซื้อนั้น เก็บไว้อย่างดีกลัวหาย หวังลึกๆว่ามันต้องถูกรางวัลใดรางวัลหนึ่งน่า :b1:

ครั้นถึงวันที่เขาประกาศหมายเลขรางวัล เลขที่ออก (...) ตาเถนไม่ตรงกับใบที่เราซื้อเลย จิตใจเลิกหวังปล่อยวางเองโดยอัตโนมัติแบบไม่ต้องไปทำอะไรมัน

พอมองเห็นภาพมั้ยครับ :b1: :b12:

ตาเฒ่านี่มั่วไปเรื่อย คำว่าปล่อยวาง มันต้องปล่อยวางจากกิเลสที่บ่งการอยู่
ที่ลุงยกตัวอย่างมาน่ะ มันเป็นเรื่องของอกุศลจิตทั้งนั้น มันปล่อยวางซะที่ไหน
ซื้อล็อทเตอรี่มา เพราะจิตถูกกิเลสครอบง้ำ แล้วเกิดอาการ โลภะ อยากได้หลงคิดไปว่า
จะต้องถูกรางวัล พอไม่ถูกรางวัลจิตก็เกิดโทสะต่อล็อทเตอรีใบนั้น

กิเลสความอยากมันไม่ได้ไปไหนเลย ไม่ถูกงวดนี้งวดหน้าก็ซื้อใหม่
ถามลุงหน่อย มันปล่อยวางตรงไหน และอีกอย่างที่ลุงบอกว่า "จิตเลิกหวัง"
อาการของจิตที่บอกว่า"หวัง" มันไม่มีน่ะ ...
เขามีแต่"โลภะ" ในทางอกุศลมันตรงข้ามกับ"โทสะ" เลิกหวังก็คือโทสะ
การปล่อยวาง ก่อนจะซื้อล็อทเตอรีจิตมันต้องเป็นอาการที่เรียกว่า " อโลภะ"
คือไม่อยากในเงินรางวัล แล้วเราทำได้มั้ยซื้อล็อทเตอรี่โดยไม่อยากได้เงินรางวัลน่ะ



ลุงว่าแบบนี้ผมสอดแทรกธรรมหรือเปล่า


เอางี้ก่อนนายโฮฮิชิ มั่วยังงัย :b1: เอาประเด็นมั่ว่นะ


ดูลิงค์นี้

http://fws.cc/whatisnippana/index.php?t ... n#msg15646

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2012, 15:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เราจะปล่อยวาง ชีวิต หรือ กายใจ หรือ นามรูป หรือ ขันธ์ ๕ หรือในชื่ออื่นอีกได้นั้น เรา (ปัญญา) จะต้องรู้เห็นชีวิตหรือกายใจหรือนามรูปหรือขันธ์ ๕ คือธรรมชาตินี้ตามเป็นจริงก่อน คือ รู้ตามที่มันของมัน จิตใจจึงจะปล่อยวางได้อย่างจริงแท้
มิใช่เราไปคิดปล่อยวาง ไปคิดทำให้เป็นอย่างที่เรายึดเราอยาก อย่างนี้ไม่ใช่แล้ว วางแบบนี้ไม่ใช่ของจริง ไม่ใช่เกิดจากปัญญาญาณ มีแต่เกิดผลเสียเกิดโทษ

หากยังนึกภาพไม่ออก อุปมาให้เห็นง่ายๆ เหมือนเราซื้อล๊อดเตอรี่มาใบหนึ่ง ตราบใดที่เขายังไม่ออกยังไม่ประกาศหมายเลขรางวัล เราก็ยังยึดถือว่าหมายเลขล๊อตเตอรี่ใบที่เราซื้อนั้น เก็บไว้อย่างดีกลัวหาย หวังลึกๆว่ามันต้องถูกรางวัลใดรางวัลหนึ่งน่า :b1:

ครั้นถึงวันที่เขาประกาศหมายเลขรางวัล เลขที่ออก (...) ตาเถนไม่ตรงกับใบที่เราซื้อเลย จิตใจเลิกหวังปล่อยวางเองโดยอัตโนมัติแบบไม่ต้องไปทำอะไรมัน

พอมองเห็นภาพมั้ยครับ :b1: :b12:

ตาเฒ่านี่มั่วไปเรื่อย คำว่าปล่อยวาง มันต้องปล่อยวางจากกิเลสที่บ่งการอยู่
ที่ลุงยกตัวอย่างมาน่ะ มันเป็นเรื่องของอกุศลจิตทั้งนั้น มันปล่อยวางซะที่ไหน
ซื้อล็อทเตอรี่มา เพราะจิตถูกกิเลสครอบง้ำ แล้วเกิดอาการ โลภะ อยากได้หลงคิดไปว่า
จะต้องถูกรางวัล พอไม่ถูกรางวัลจิตก็เกิดโทสะต่อล็อทเตอรีใบนั้น

กิเลสความอยากมันไม่ได้ไปไหนเลย ไม่ถูกงวดนี้งวดหน้าก็ซื้อใหม่
ถามลุงหน่อย มันปล่อยวางตรงไหน และอีกอย่างที่ลุงบอกว่า "จิตเลิกหวัง"
อาการของจิตที่บอกว่า"หวัง" มันไม่มีน่ะ ...
เขามีแต่"โลภะ" ในทางอกุศลมันตรงข้ามกับ"โทสะ" เลิกหวังก็คือโทสะ
การปล่อยวาง ก่อนจะซื้อล็อทเตอรีจิตมันต้องเป็นอาการที่เรียกว่า " อโลภะ"
คือไม่อยากในเงินรางวัล แล้วเราทำได้มั้ยซื้อล็อทเตอรี่โดยไม่อยากได้เงินรางวัลน่ะ


ลุงว่าแบบนี้ผมสอดแทรกธรรมหรือเปล่า

เอางี้ก่อนนายโฮฮิชิ มั่วยังงัย :b1: เอาประเด็นมั่ว่นะ
ดูลิงค์นี้

บอกแล้วไงที่อโคจรไม่เข้า อยากให้วิจารณ์ ก็ไปก็อบเนื้อหามาวางที่นี้ :b13:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 247 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12 ... 17  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร