วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 22:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 170 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2012, 12:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ถามหน่อยรู้จัก "ธรรมนิยามมั้ย" คุณมันประเภทท่องบัญญัติพกพจนานุกรม
จะบอกให้ว่าในสมัยพุทธองค์ บัญญัติคำว่า "ไตรลักษณ์" มันไม่มี

มันมีแต่ธรรมนิยาม ที่บรรยายถึงลักษณะของธรรมชาติสามอย่าง
มันมีมาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ พระพุทธองค์ทรงค้นพบแล้วจึงเอามาสอนสาวก
ก็ไอ้พระสูตรที่ผมยกมานั้นแหล่ะ เมื่อก่อนเขาเรียกธรรมนิยาม
มันยังไม่มีบัญญัติ แต่ต่อมาจึงบัญญัติคำว่า"ไตรลักษณ์"ให้ภายหลัง

ไอ้ประเภทท่องบัญญัติแบบคุณ พอไม่เห็นบัญญัติที่ตัวท่อง ก็โวยวายว่าไม่ใช่ไม่ถูก ตลกจริงๆ


ที่ผมพูดมาข้างบนยังไม่สำนึก จะเอาพระสูตรในส่วนของผมมาอธิบายให้ฟัง
ส่วนพระสูตรของคุณมันเป็นหน้าที่ของคุณจะต้องมาอธิบาย มันเป็นมรรยาท
แต่ถ้าคุณอธิบายไม่ได้ ก็แค่บอกมาคำเดียวผมจะได้อธิบายแทนให้ เข้าใจมั้ยครับ

เดี่ยวจะอธิบายพระสูตรที่ผมอ้างอิงให้ฟังในความเห็นต่อไป
เดี๋ยวจะยาวไป
:b13:


ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งทีโฮฮับ ยอมรับ ว่า ไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธองค์บัญญัติ เป็นสิ่งที่บัญญัติกันมาแต่ภายหลัง

ฮั่นแน่! ไปน้ำขุ่นๆอีกแล้ว คุณเช่นนั้นนี่เหมือนปลาช่อนนะครับ
ทำไมชอบมุดขี้โคลนจังเลย :b13:

จะแถอย่างไรธรรมนิยามก็คือธรรมนิยาม ของแท้เป็นอย่างไรก็รู้ๆอยู่
ไตรลักษณ์เขาตั้งมาจากธรรมนิยาม ถึงจะตั้งว่าซาลักษณ์ถ้าเอาธรรมนิยามเป็นหลัก
มันก็คือตัวเดียวกัน ที่เมืองฝรั่งอาจ three ลักษณ์ก็ได้ ที่แน่ๆมันเป็นธรรมนิยาม :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2012, 12:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
โฮฮับ เขียน:
๓. อนิจจสูตรที่ ๑
ว่าด้วยความเป็นไตรลักษณ์แห่งขันธ์ ๕
[๙๑] พระนครสาวัตถี ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้น
เป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น
ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา. นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตน
ของเรา. เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น
จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น. เวทนาไม่เที่ยง ... สัญญาไม่เที่ยง ... สังขารไม่เที่ยง ... วิญญาณ
ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา
เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา.
นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความจริงอย่างนี้ จิตย่อม
คลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.

http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v ... agebreak=0

ท่านมหาเปรียญเก้า"เช่นนั้น"ครับ คุณไม่รู้หรอกหรือว่า พุทธพจน์ที่ผมยกมา
สมัยพุทธองค์เรียกว่า "ธรรมนิยาม" มันยังไม่บัญญัติตายตัว แล้วไอ้ที่คุณเถียงหัวชนฝา
ว่าไม่เห็นมีไม่เห็นพูดถึงไตรลักษณ์ ผมก็ไม่รู้ว่าคุณศึกษาพระธรรมปะสาอะไรครับ
ลักษณะที่เป็นไตรลักษณ์ก็ไม่รู้จัก แบบนี้เขาว่า ดีแต่สวดมนต์ครับ สวดไปอย่างงั้น
ไม่รู้ความหมายของบทสวด หรือประเภทสวดให้ง่วงสวดให้หลับเท่านั้น

คุณเช่นนั้น คุณเห็นประโยคที่ว่า สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตามั้ย คุณไม่รู้จริงๆหรือว่า ลักษณะสามประการนี้เขาเรียกว่า
"ไตรลักษณ์"

แล้วอีกประโยคที่ว่า"เธอทั้งหลาย พึ่งเห็นสิ่งนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามความจริง
ว่านั้นไม่ใช่ของเรา นั้นไม่เป็นเรา นั้นไม่ใช่ตัวตนของเรา

ถามจริงคุณไม่รู้หรอกหรือว่า ..ปัญญาอันชอบตามความจริงนั้นน่ะ เขาเรียกว่า
ปัญญาสัมมาทิฐิ
คุณเช่นนั้นครับ แนะนำครับ อย่ามัวท่องแต่บัญญัติอยู่เลยครับ
คุณกำลังเดินเป็นวงกลมอยู่นะครับ มันไม่ได้ไปไหนเลยครับ


ไม่รู้ครับ เพราะ "เขา" ไม่ใช่พระพุทธเจ้าครับ
ธรรมฐิติ ธัมมนิยาม อิทัปปัจยตา ล้วนเป็นธรรมตายตัว...เพื่ออธิบายธรรมธาตุอย่างหนึ่ง พระพุทธองค์แสดงไว้ แต่ไม่มีธัมมนิยาม เพื่ออธิบายไตรลักษณ์ ^ ^
โฮฮับ เขียนตามความเข้าใจลอยๆ ขึ้นมาตามเขา


หยุดตลกเถอะครับ ผมขำจนผมอุจาระเล็ดแล้วนะครับ :b13:

ไตรลักษณ์เขาอธิบายธรรมนิยาม ไม่ใช่ธรรมนิยามอธิบายไตรลักษณ์
ของเกิดก่อนจะอธิบายของเกิดที่หลังได้อย่างไร
ที่แน่ๆคุณจะเรียกธรรมนิยามว่าอะไรก็ตามใจคุณ
มันก็คือธรรมนิยามครับ ผมรู้ว่าเขาเอาไตรลักษณ์ไปอธิบายธรรมนิยาม
และผมก็สามารถเอามาให้ดูได้ ถึงคุณจะแถอย่างไรขี้โคลนก็ติดหัวคุณอยู่ดี :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2012, 12:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
[เพราะพระพุทธองค์ทรงตรัสสอน เช่นนี้
Quote Tipitaka:
กา. ท่านพระโคดม ก็ธรรมที่มีอุปการะมากแก่ปัญญา เครื่องใคร่ครวญเนื้อความเป็นไฉน
ข้าพเจ้าขอทูลถามท่านพระโคดม ถึงธรรมที่มีอุปการะมากแก่ปัญญาเครื่องใคร่ครวญเนื้อความ?
พ. ดูกรภารทวาชะ การทรงจำธรรมไว้ มีอุปการะมากแก่ปัญญาเครื่องใคร่ครวญเนื้อความ
ถ้าไม่พึงทรงจำธรรมนั้น ก็พึงใคร่ครวญเนื้อความนี้ไม่ได้ แต่เพราะทรงจำธรรมไว้ จึงใคร่ครวญ
เนื้อความได้ ฉะนั้น การทรงจำธรรมไว้ จึงมีอุปการะมากแก่ปัญญาเครื่องใคร่ครวญเนื้อความ.
กา. ท่านพระโคดม ก็ธรรมมีอุปการะมากแก่การทรงจำธรรมเป็นไฉน ข้าพเจ้าขอทูลถาม
ท่านพระโคดม ถึงธรรมมีอุปการะมากแก่การทรงจำธรรม?
พ. ดูกรภารทวาชะ การฟังธรรมมีอุปการะมากแก่การทรงจำธรรม ถ้าไม่พึงฟังธรรม
ก็พึงทรงจำธรรมนี้ไม่ได้ แต่เพราะฟังธรรมจึงทรงจำธรรมไว้ได้ ฉะนั้น การฟังธรรมจึงมีอุปการะ
มากแก่การทรงจำธรรม.


และพระพุทธองค์ ก็ตรัสสอนเช่นนี้
Quote Tipitaka:
เธอเป็นพหูสูต ทรงจำสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้ได้ยินได้ฟังมาก
ทรงจำไว้ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ ซึ่งธรรมทั้งหลายอันงาม
ในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ
ทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัย
ข้อที่ ๕ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ

.

มามุขเดิมอีกแล้ว เล่นตัดข้อความมาเป็นท่อนๆ กลับไปเอาลิ้งมาก่อน :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2012, 12:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
อริยมรรค แต่ละองค์ธรรม มีองค์ประกอบ มีการปรุงแต่งขึ้นในจิต ค่อยมีค่อยเป็น
แต่ผู้ชี้ทางผู้ให้ความรู้ว่าปรุงแต่งอย่างไรจึงถูกต้อง คือพระศาสดา
และเราผู้เดินตาม ก็มีหน้าที่ต้องทำให้สำเร็จตามนั้น ไม่อาจเที่ยวบัญญัติตามอำเภอใจเช่น
ต้องเห็นไตรลักษณ์จึงเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น
เพราะ จิตวิมุติหลุดพ้น จากอาสวะ ไม่จำเป็นต้องเห็นไตรลักษณ์ก็ได้ หรือเห็นก็ได้
พระพุทธองค์ จึงเน้น
ว่า
นั่นไม่ใช่เรา
นั่นไม่ใช่ของเรา
นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา
เป็นอรหัตมรรค เพื่อให้สาวกพิจารณาตาม

ใครไปเที่ยวบัญญัติตามอำเภอใจครับ แบบนี้คนที่แปลภาษาบาลีมาเป็นไทยนี่ก็
เที่ยวบัญญัติตามอำเภอใจนะซิครับ คุณเช่นนั้นครับ คุณไม่รู้ตัวหรอกว่า
กำลังแสดงอาการเบี่ยงตัวหลบจนกระทบกำแพงผิวถลอกไปหมดแล้วครับ

จริงๆแล้วคุณมันพวกนกแก้วนกขุนทองครับ
พระพุทธองค์ทรงเน้นบอกอาการไตรลักษณ์ให้รู้
บอกที่มาของสัมมาทิฐิให้ทราบ คุณก็ยังไม่รู้ตัว เพราะว่า
ไม่บัญญัติคำว่า ไตรลักษณ์หรือสัมมาทิฐิอยู่ในนั้น แบบนี้ตลกทั้งน้ำตาครับ
พูดได้คำเดียวผมเสียดายเวลาของคุณจริงๆ


:

เช่นนั้น อ่านพระสูตร พิจารณาพระสูตรที่ โฮฮับยกมา
ก็เห็นแต่ปฏิจสมุปบาท
ไม่เห็นเน้นบอกอาการไตรลักษณ์ ดั่งที่โฮฮับยึดอยู่ถืออยู่
เห็นปฏิจสมุปบาท จึงเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ไม่ใช่ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จึงเห็นปฏิจสมุปบาท
เพราะอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ล้วนแล้วแต่เพราะเป็นไปตามปฏิจจสมปุบาท
โฮฮับ สัมมาทิฏฐิ อย่างไรก็ไม่พ้นจากบัญญัติที่พระองค์วางไว้ หรอกครับ อย่าสุ่มสี่สุ่มห้า มั่ว ต่อไปเลย

ผมชักเซ็งคุณแล้วครับ คุณจะเถียงเรื่องนี้กับผมอีกนานมั้ย
ชวนคุญเรื่องปฏิจสมุบาทก็ไม่เอา ดีแต่ตอดนิดตอดหน่อย

รู้ๆอยู่ว่ามันไม่ใช่ยังหน้าไม่อายตอดอยู่นั้นแหล่ะ
กลับไปกระทู้เจตสิกนู้นไปคุยเรื่องปฏิจฯ จะได้รู้ว่าใครต้องยืนแก้ผ้า
อวดชาวบ้านเขา :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2012, 13:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ผมชักเซ็งคุณแล้วครับ คุณจะเถียงเรื่องนี้กับผมอีกนานมั้ย
ชวนคุญเรื่องปฏิจสมุบาทก็ไม่เอา ดีแต่ตอดนิดตอดหน่อย

รู้ๆอยู่ว่ามันไม่ใช่ยังหน้าไม่อายตอดอยู่นั้นแหล่ะ
กลับไปกระทู้เจตสิกนู้นไปคุยเรื่องปฏิจฯ จะได้รู้ว่าใครต้องยืนแก้ผ้า
อวดชาวบ้านเขา

หรือครับ
แต่ เช่นนั้น ไม่เซ็งเลย
สงสาร โฮฮับ มาก....ที่แสดงธรรมมั่วๆ ตลอดเวลา
โดย ไม่สามารถ ทำความเข้าใจพระสูตรที่ ยกมาให้พิจารณาได้
และ บัญญัติสิ่งที่ พระพุทธองค์ไม่ได้บัญญัติ

แสดงธรรมผิด ก็รับ ว่าแสดงธรรมผิด นะโฮฮับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2012, 18:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ม.ค. 2012, 16:39
โพสต์: 209


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
อยู่กับความมืด เขียน:
กำลังจะบอกว่าพระควรมกตัวอยู่แต่ในรูใช่ปะ ไม่ต้องไปสนใจพวกชาวบ้านใช่ปะ เพราะเดียวถ้ามันอยากรู้อะไรก็ไปอ่านพระไตรปิฏกก็ได้ใช่ปะ :b13:

ถุๆๆถูกต้องแล้วคร้าบบบบ อยากเตือนหลวงพี่เลือกหารูตามเขาที่สูงๆนะครับ
เมืองไทยน้ำท่วมบ่อย เมื่อปีที่ผ่านมา แถวบ้านผมแย้มันวิ่งกันกระเจิงเลยครับ

แมงสาปวิ่งออกจากรูท่อระบาย มาเกาะตามแขนตามขายะแหยงมากครับ

หลวงพี่มืดครับถามครับ รู้จักกาละเทศะมั้ยครับ
หลวงพี่จะเข้ามาป่วนบอร์ดเขาทำไมกันครับ เขากำลังถกธรรมกันอยู่
ประเดี๋ยวกระทู้โดนล็อกผมโทษหลวงพี่นะครับ
พระอาไรมากระแนะกระแหนชาวบ้าน เดี๋ยวไม่มีคน
ใส่บาตรหรอก


ถึงได้บอกไงว่า คนไทยเป็นชาติที่มีความคิดทันสมัยมากโดยเฉพราะเรื่องของเทคโนโลยี่ แต่บางอย่างความคิดยังอยู่ในยุคของดึกบำบรรพ์

.....................................................
_______________(-_-) (๑_๑)____________(^_^) (^ ^)_____________


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2012, 19:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยู่กับความมืด เขียน:

ถึงได้บอกไงว่า คนไทยเป็นชาติที่มีความคิดทันสมัยมากโดยเฉพราะเรื่องของเทคโนโลยี่

แต่บางอย่างความคิดยังอยู่ในยุคของดึกบำบรรพ์


แต่บางอย่างความคิดยังอยู่ในยุคของดึกดำบรรพ์

เห็นด้วยๆขอรับ :b20:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2012, 20:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 14:17
โพสต์: 260

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยู่กับความมืด เขียน:

ถึงได้บอกไงว่า คนไทยเป็นชาติที่มีความคิดทันสมัยมากโดยเฉพราะเรื่องของเทคโนโลยี่

แต่บางอย่างความคิดยังอยู่ในยุคของดึกบำบรรพ์


นี่ก็เป็นอีกข้ออ้างที่นำมาใช้ต่อต้านคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็น 1 ใน ข้ออ้างหลายๆข้อที่นำมาใช้หักล้างพระวินัย หรือแหกพระวินัย เพื่อให้ผู้อยู่ในสมณะเพศได้มีชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งขึ้น ปฏิบัติแบบสบ๊ายสาย กินนอนอย่างสุขสบาย มีชีวิตไม่ต่างจากฆราวาสมากนัก หรืออาจสบายกว่าฆราวาสด้วยซ้ำ ไม่ต้องศึกษา ปฏิบัติหรือขัดเกลาตนเองมากนัก

คำพูดแนวนี้ เป็นคำพูดที่เปรียบได้กับคำว่า "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" เอาไว้พูดให้คนเกรงกลัวอำนาจลึกลับ เพื่อปิดหูปิดตาชาวบ้านให้ไม่กล้าศึกษาถึงหลักความเป็นจริง กดหัวชาวบ้านให้เชื่อและกลัวต่ออำนาจลึกลับอย่างงมงายต่อไป

บ๊ะๆๆ คำๆนี้มันร้ายจริงเชียว

ฮาฮาฮา เจ้ามะฮะ :b22:

.....................................................
สิ่งใดในโลกล้วน อนิจจัง คงแต่บาปบุญยัง เที่ยงแท้
คือเงาติดตัวตรัง ตรึงแน่ อยู่นา ตามแต่บุญบาปแล้ ก่อเกื้อ รักษา

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 00:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: แวะมาดูเสมอ ไม่มีความเห็นขอเป็นผู้ดู อยู่ข้างนอก :b39:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 00:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ม.ค. 2012, 16:39
โพสต์: 209


 ข้อมูลส่วนตัว


ปลงซะ เขียน:
อยู่กับความมืด เขียน:

ถึงได้บอกไงว่า คนไทยเป็นชาติที่มีความคิดทันสมัยมากโดยเฉพราะเรื่องของเทคโนโลยี่

แต่บางอย่างความคิดยังอยู่ในยุคของดึกบำบรรพ์


นี่ก็เป็นอีกข้ออ้างที่นำมาใช้ต่อต้านคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็น 1 ใน ข้ออ้างหลายๆข้อที่นำมาใช้หักล้างพระวินัย หรือแหกพระวินัย เพื่อให้ผู้อยู่ในสมณะเพศได้มีชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งขึ้น ปฏิบัติแบบสบ๊ายสาย กินนอนอย่างสุขสบาย มีชีวิตไม่ต่างจากฆราวาสมากนัก หรืออาจสบายกว่าฆราวาสด้วยซ้ำ ไม่ต้องศึกษา ปฏิบัติหรือขัดเกลาตนเองมากนัก

คำพูดแนวนี้ เป็นคำพูดที่เปรียบได้กับคำว่า "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" เอาไว้พูดให้คนเกรงกลัวอำนาจลึกลับ เพื่อปิดหูปิดตาชาวบ้านให้ไม่กล้าศึกษาถึงหลักความเป็นจริง กดหัวชาวบ้านให้เชื่อและกลัวต่ออำนาจลึกลับอย่างงมงายต่อไป

บ๊ะๆๆ คำๆนี้มันร้ายจริงเชียว

ฮาฮาฮา เจ้ามะฮะ :b22:


คำว่าความคิดยุคดึกดำบรรพ์ ผมคิดว่าทุกคนคงทราบความหมายดีนะ แต่ไม่นึกเลยว่าจะมีคนมาปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อเลย :b15: จะบอกให้รู้นะคือคนไทยเราเนี้ยเป็นชาติที่มีความคิดทันสมัยในเรื่องของเทคโนโลยี่ ความเคลื่อนไหวต่างๆของโลก เราตามทันหมด แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งเนี่ย เรากลับมีความคิดที่ยึดติดกับอดีต อย่างเช่น เวลาคุณขับรถแล้วประสบอุบัติเหตุบังเอิญว่าคุณห้อยพระเครื่องอยู่ จึงทำให้คุณรอดชีวิตมาแล้วคุณก็ยกเครดิตว่าที่รอดชีวิตมาได้เพราะมีพระเครื่องช่วย นี้แหละคือความคิดของคนคุณยุคดำบำบรรพ์แทนที่คุณจะคิดว่าที่คุณรอดชีวิตมาได้เพราะรถเขามีระบบป้องกันที่ดี แต่คุณกลับยกความดีความชอบให้พระเครื่องชะงั้น :b15: :b15: วันหลังก็หัดศึกษามาดีๆหน่อยละ จะได้ไม่ปล่อยไก่อีก :b9: :b9:

.....................................................
_______________(-_-) (๑_๑)____________(^_^) (^ ^)_____________


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 00:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


งมงายในวิทยาศาสตร์...กะ..งมงายในไสยศาสตร์

มันก็คือกันนั้นแหละ...ไม่ได้วิเศษตรงไหน

เอิ๊ก...เอิ๊ก... :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 02:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
เป็นสิ่งโฮฮับ เขียนเองเออเอง เช่นกัน
เพราะพระพุทธองค์ทรงตรัสสอน เช่นนี้
Quote Tipitaka:
กา. ท่านพระโคดม ก็ธรรมที่มีอุปการะมากแก่ปัญญา เครื่องใคร่ครวญเนื้อความเป็นไฉน
ข้าพเจ้าขอทูลถามท่านพระโคดม ถึงธรรมที่มีอุปการะมากแก่ปัญญาเครื่องใคร่ครวญเนื้อความ?
พ. ดูกรภารทวาชะ การทรงจำธรรมไว้ มีอุปการะมากแก่ปัญญาเครื่องใคร่ครวญเนื้อความ
ถ้าไม่พึงทรงจำธรรมนั้น ก็พึงใคร่ครวญเนื้อความนี้ไม่ได้ แต่เพราะทรงจำธรรมไว้ จึงใคร่ครวญ
เนื้อความได้ ฉะนั้น การทรงจำธรรมไว้ จึงมีอุปการะมากแก่ปัญญาเครื่องใคร่ครวญเนื้อความ.
กา. ท่านพระโคดม ก็ธรรมมีอุปการะมากแก่การทรงจำธรรมเป็นไฉน ข้าพเจ้าขอทูลถาม
ท่านพระโคดม ถึงธรรมมีอุปการะมากแก่การทรงจำธรรม?
พ. ดูกรภารทวาชะ การฟังธรรมมีอุปการะมากแก่การทรงจำธรรม ถ้าไม่พึงฟังธรรม
ก็พึงทรงจำธรรมนี้ไม่ได้ แต่เพราะฟังธรรมจึงทรงจำธรรมไว้ได้ ฉะนั้น การฟังธรรมจึงมีอุปการะ
มากแก่การทรงจำธรรม.

คุณเช่นนั้นครับ ผมถามหาลิ้งที่มาของความเห็นคุณ คุณทำเป็นโยกโย้
เหมือนกับคนที่ไม่บริสุทธิ์ใจ แต่เป็นไรครับ ผมหาเองได้ เพียงแค่อยากรู้ว่า
การที่คุณเข้ามาคุยธรรมกับผม ใจคุณเป็นกุศลหรืออกุศล


ไม่เป็นไรครับ เมื่อคุณให้มาแค่นี้ผมก็จะสอนคุณ ในเรื่องการพิจารณาธรรม
คุณเช่นนั้นที่ชอบอ้างบัญญัติสงสัยใช้วิธีจำ แต่ไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง

คุณเช่นนั้นครับ คุณเข้าใจคำว่าอุปการะหรือเปล่าครับ

การได้มาแห่งปัญญาสัมมาทิฐิแล้ว ใช่ว่ามันจะจบแก่นี้ มันยังต้องอาศัย
ธรรมอื่นมาอุปการะปัญญาสัมมาทิฐิอีก จึงจะไปถึงปัญญาวิมุติได้ เข้าใจมั้ยล่ะ

ก็เห็นๆอยู่ มีคำพูดว่า ธรรมที่มีอุปการะมากแก่ปัญญา ความหมายของอุปการะคือ
มีสิ่งสองสิ่ง สิ่งหนึ่งไปอุปการะอีกสิ่งที่มีอยู่แล้ว สมมุติมีลูกเราก็ต้องอุปการะให้เด็กได้เรียนหนังสือ
จะได้มีความรู้กว้างขึ้น เด็กก็เหมือนปัญญาสัมมาทิฐิ

สัมมาทิฐิมีอยู่ก่อนแล้ว การเอาธรรมทรงจำธรรมมาเกื้อหนุนมันมาทีหลัง
สงสัยคุณคงไม่รู้จักมั้งว่าอุปการะแตกต่างกับเหตุปัจจัยอย่างไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 02:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
และพระพุทธองค์ ก็ตรัสสอนเช่นนี้
Quote Tipitaka:
เธอเป็นพหูสูต ทรงจำสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้ได้ยินได้ฟังมาก
ทรงจำไว้ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ ซึ่งธรรมทั้งหลายอันงาม
ในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ
ทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัย
ข้อที่ ๕ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ


อีกประการ เช่นนั้นปฏิบัติจิตตภาวนา เจริญมรรคภาวนา ไม่ใช่เพียงแต่ สติและสมาธิ ...

ถามหน่อยเคยได้ยินได้ฟังบัญญัติที่ว่า
สัมมาญาณและสัมมาวิมุติมั้ยล่ะ
คำว่าสุตตะมยปัญญา จินตมยปัญญาและภาวนามยปัญญา
ผมทายได้โดยรู้จากความเห็นของคุณ คุณคงคิดว่าปัญญาที่เกิดจากสามสิ่งที่กล่าวมา
คงเป็นปัญญาสัมมาทิฐิแหง่ๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เชิญเถอะครับ
:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 04:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
ดิฉันเอาผลการปฏิบัติมาให้ท่านเช่นนั้น พิจารณาและชี้แนะด้วยนะเจ้าค่ะ (ท่านโฮช่วยชี้แนะด้วยก็ได้เจ้าค่ะเผื่อดิฉันเข้าใจผิดไปตรงจุดใด)ตอนนี้ดิฉันกำลังฝึกอบรมสติให้เป็นสมาธิโดย การรู้ ลมหายใจ เข้า-ออก ของตัวเอง ด้วยการ กิน การเดิน การทำงานบ้านเช่น กวาดบ้าน ล้างจาน ดิฉนปฏิบัติมาได้ระยะหนึ่งก็รู้ อารมณ์ตัวเองเร็วขึ้น เช่น จิตดิฉันไปกระทบกับผัสสะคือความยินร้าย มีคนนินทาดิฉัน แต่ดิฉันเฉยไม่โกรธ(แต่จิตยังปรุงแต่งเป็นเวทนาและดับไป คือดิฉันไม่สนใจใครจะคิดไง ดิฉันรู้ตัวว่าทำอะไร)หรือบางครั้งดิฉันโกรธก็รู้ตัวเองว่าโกรธ แต่ดิฉันจะนิ่งก่อนคือใจเย็น บางครั้งผัสสะที่มากระทบให้ดิฉันรู้สึกโกรธ ถ้าไม่มีสมาธิพอในตอนนั้น ก็กลายเป็นสติที่ปรุงแต่งออกไปเป็นความคิดโต้แย้ง คือดิฉันจะชี้แจงแบบมีเหตุผล แต่พวกนั้นเป็นพวกมิจฉาทิฏฐิไม่ว่าจะพูดอย่างไร ก็เหมือนไปเติมเชื้อไฟ ดิฉันก็รู้ว่าต้องนิ่งหลังจากรู้อารมณืตัวเองแล้ว ดิฉันคิดว่าได้ปัญญาามาระดับต้นๆแล้ว จากการอบรมสติจนเป็นสมาธิ เลยอยากนั่งกรรมฐาน เพื่อเป็นการอบรมจิตให้เจริญสติปัญญาให้มากขึ้นกว่านี้ อ่อมีอีกอย่างนึงที่ดิฉันเหมือนรู้ได้เอง คือ อภิญญา เจโตยปริญาณ แต่เป็นแบบเจโตยปริญาณขั้นต้นๆ (กำหนดรู้จิตใจผู้อื่น)แต่ดิฉันก็ไม่แน่ใจว่าดิฉันคิดไปเองหรือเปล่า คือถ้าดิฉันได้เข้าไปคุยกับ บุคคลที่มีจิตใจไม่บริสุทธิ์ดิฉันจะรู้ได้ด้วยจิตเองเลยว่าบุคคลนั้นมีนิสัยใจคอเป็นอย่างไร แม้ว่าเค้าจะอยู่ในมาดสำรวมก็ตาม ขอแค่ได้ไปคุยดิฉันก็เดาออก แต่ดิฉันเดาได้เฉพาะคนที่จิตหยาบกว่าดิฉัน ถ้าเป็นคนที่จิตละเอียด ดิฉันยังเดาไม่ออกเลยเจ้าค่ะ แต่ดิฉันก็รู้ได้จากการสนทนาว่าบุคคลนั้นมีปัญญาที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าหรื่อต่ำกว่าดิฉันจากการสนทนา เพราะอภิญญาคือ ความรู้ยิ่ง หมายถึงปัญญาความรู้ที่สูงเหนือกว่าปกติ เป็นความรู้พิเศษที่เกิดขึ้นจากการอบรมจิตเจริญปัญญาหรือบำเพ็ญกรรมฐาน

และท่านเช่นนั้นก็บำเพ็บกรรมฐานมานานแล้ว จิตละเอียดกว่าดิฉันเลยอยากถามว่าดิฉันได้ได้อภิญญา เจโตยปริญาณขั้นต้นจริงหรือเปล่าเจ้าค่ะ

คุณเช่นนั้นครับ น้องคิงคองแกรอคำสอนของคุณอยู่ มีอะไรจะบอกก็บอกแกไปซะ
คุณคิงคองแกสู้ออกชื่อเสียงเรียงนามเจาะจงตัวเลยที่เดียว ตั้งสติให้ดีนะครับ
อย่าลืมว่า ผมกำลังมองดูคุณอยู่ :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 09:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ม.ค. 2012, 16:39
โพสต์: 209


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
ดิฉันเอาผลการปฏิบัติมาให้ท่านเช่นนั้น พิจารณาและชี้แนะด้วยนะเจ้าค่ะ (ท่านโฮช่วยชี้แนะด้วยก็ได้เจ้าค่ะเผื่อดิฉันเข้าใจผิดไปตรงจุดใด)ตอนนี้ดิฉันกำลังฝึกอบรมสติให้เป็นสมาธิโดย การรู้ ลมหายใจ เข้า-ออก ของตัวเอง ด้วยการ กิน การเดิน การทำงานบ้านเช่น กวาดบ้าน ล้างจาน ดิฉนปฏิบัติมาได้ระยะหนึ่งก็รู้ อารมณ์ตัวเองเร็วขึ้น เช่น จิตดิฉันไปกระทบกับผัสสะคือความยินร้าย มีคนนินทาดิฉัน แต่ดิฉันเฉยไม่โกรธ(แต่จิตยังปรุงแต่งเป็นเวทนาและดับไป คือดิฉันไม่สนใจใครจะคิดไง ดิฉันรู้ตัวว่าทำอะไร)หรือบางครั้งดิฉันโกรธก็รู้ตัวเองว่าโกรธ แต่ดิฉันจะนิ่งก่อนคือใจเย็น บางครั้งผัสสะที่มากระทบให้ดิฉันรู้สึกโกรธ ถ้าไม่มีสมาธิพอในตอนนั้น ก็กลายเป็นสติที่ปรุงแต่งออกไปเป็นความคิดโต้แย้ง คือดิฉันจะชี้แจงแบบมีเหตุผล แต่พวกนั้นเป็นพวกมิจฉาทิฏฐิไม่ว่าจะพูดอย่างไร ก็เหมือนไปเติมเชื้อไฟ ดิฉันก็รู้ว่าต้องนิ่งหลังจากรู้อารมณืตัวเองแล้ว ดิฉันคิดว่าได้ปัญญาามาระดับต้นๆแล้ว จากการอบรมสติจนเป็นสมาธิ เลยอยากนั่งกรรมฐาน เพื่อเป็นการอบรมจิตให้เจริญสติปัญญาให้มากขึ้นกว่านี้ อ่อมีอีกอย่างนึงที่ดิฉันเหมือนรู้ได้เอง คือ อภิญญา เจโตยปริญาณ แต่เป็นแบบเจโตยปริญาณขั้นต้นๆ (กำหนดรู้จิตใจผู้อื่น)แต่ดิฉันก็ไม่แน่ใจว่าดิฉันคิดไปเองหรือเปล่า คือถ้าดิฉันได้เข้าไปคุยกับ บุคคลที่มีจิตใจไม่บริสุทธิ์ดิฉันจะรู้ได้ด้วยจิตเองเลยว่าบุคคลนั้นมีนิสัยใจคอเป็นอย่างไร แม้ว่าเค้าจะอยู่ในมาดสำรวมก็ตาม ขอแค่ได้ไปคุยดิฉันก็เดาออก แต่ดิฉันเดาได้เฉพาะคนที่จิตหยาบกว่าดิฉัน ถ้าเป็นคนที่จิตละเอียด ดิฉันยังเดาไม่ออกเลยเจ้าค่ะ แต่ดิฉันก็รู้ได้จากการสนทนาว่าบุคคลนั้นมีปัญญาที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าหรื่อต่ำกว่าดิฉันจากการสนทนา เพราะอภิญญาคือ ความรู้ยิ่ง หมายถึงปัญญาความรู้ที่สูงเหนือกว่าปกติ เป็นความรู้พิเศษที่เกิดขึ้นจากการอบรมจิตเจริญปัญญาหรือบำเพ็ญกรรมฐาน

และท่านเช่นนั้นก็บำเพ็บกรรมฐานมานานแล้ว จิตละเอียดกว่าดิฉันเลยอยากถามว่าดิฉันได้ได้อภิญญา เจโตยปริญาณขั้นต้นจริงหรือเปล่าเจ้าค่ะ


ตอนแรกว่าจะด่าสักหน่อยเพื่อทดสอบว่าจะโกรธไหม แต่ดูแล้วมันรุนแรงไปหน่อยเดียวจะโดนแบน เอาเป็นว่าตอนนี้คุณกำลังหลงอยู่นะ ทางที่ดีคือปฏิบัติไปเรื่อยๆก่อนอย่างพึงด่วนสรุปอะไรเคยเป็นเหมือนกันตอนปฏิบัติแรกเกิดความสงบใจมีความสุขถึงกับอยากทิ้งเรื่องเรียนไปเลยอยากปฏิบัติอย่างเดียวอยากเข้าป่าด้วยซ้ำแต่พอมาช่างหลังเรียนไกล้จบต้องเรียนหนักเลยไม่ค่อยมีเวลาปฏิบัติอารมณต่างๆรู้สึกเริ่มหายไป แต่สิ่งสำคัญของการปฏิบัติคือการมีสติรู้ทุกอิริยาบทของการเคลื่อนไหว เพราะสติเป็นใหญ่ถ้ามีสติแล้วเดียวธรรมอย่างอื่นก็จะตามมา :b9:

.....................................................
_______________(-_-) (๑_๑)____________(^_^) (^ ^)_____________


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 170 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร