วันเวลาปัจจุบัน 10 มิ.ย. 2025, 22:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 164 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 6, 7, 8, 9, 10, 11  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2010, 14:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ตรงประเด็น เขียน:
พระสูตรนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดง ถึง วิธีที่จะยังให้เสร็จกิจ(คือ การฉลาดในฐานะ7ประการ เพ่งพินิจโดยวิธี3ประการ)....


แต่ผมอ่านบทนี้แล้ว ผมตีความว่า ยังไม่เสร้จกิจนะครับ

ตรงประเด็น เขียน:

จาก พระสูตร
พระสุตตันปิฎกเล่มที่9 สังยุตนิกาย ขันธวราวรรค

“[๑๒๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ภิกษุเป็นผู้เพ่งพินิจโดยวิธี ๓ ประการ เป็นอย่างไร?

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเพ่งพินิจ
โดยความเป็นธาตุประการหนึ่ง
โดยความเป็นอายตนะประการหนึ่ง
โดยความเป็นปฏิจจสมุปบาทประการหนึ่ง.
ดูกรภิกษุทั้งหลายอย่างนี้แล ภิกษุย่อมเป็นผู้เพ่งพินิจโดยวิธี ๓ ประการ.

ภิกษุฉลาดในฐานะ ๗ ประการ
ผู้เพ่งพินิจโดยวิธี ๓ ประการ
[color=#FF0000]เรา เรียกว่า ยอดบุรุษ ผู้เสร็จกิจ
อยู่จบพรหมจรรย์ในธรรมวินัยนี้…”[/color]



ก็ พระพุทธเจ้า ท่านว่า เพ่ง 3 อย่างนี้ เรียกว่าเสร็จกิจ
ท่านไม่ได้พูดว่า วิธีที่จะยังให้เสร็จกิจ ให้เพ่งสามอย่างนี้แล้วจะเสร้จกิจ
ท่านเรียกเลยว่าอย่างนี้คือเสร้จกิจ ไม่ได้ตรัสว่าให้ทำอย่างจึงจะเสร้จกิจ
(เข้าใจผมใช่ไหมครับ)

เพ่งพินิจธาตุ = ผมคิดว่าหมายถึง เห้นชัดว่านี่ธาตุ และเพ่งพินิจอยู่

อย่างถ้าผมจะเพ่งนิพพาน ผมไม่แจ้งในนิพพาน ผมจะเพ่งนิพพานได้อย่างไร
ะาตุก็คงจะทำนองเดียวกัน ผมไม่เห้นเลยว่ามันเป้นธาตุ เป็นวาโย อาโป
เป้นแต่เป้นน้ำ เป้นดิน เป้นลม แต่ไม่เห้นว่าเป้นธาตุ
ผมจะเพ่งธาตุได้อย่างไร
ผู้จะเพ่งธาตุได้ ก้ต้องมีสมรรถนะเห้นธาตุเสียก่อน

และสำหรับ อายตนะ ก้ทำนองเดียวกัน
ผมคิดว่าคนธรรมดา ไม่มีใครเห้นว่าร่างกายตนเป้นอายตนะ
เป้นแดน เป้นประตู เป้นโลก เป้นรอยต่อของรูปและนาม

ปฏิจสมุปบาทจ ก้ทำนองเดียวกัน
คนธรรมดา มีใครเห้นปฏิจสมุปบาทได้บ้างหรือเปล่า
มีใครเห้นว่ารูปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน แตกออกเป้นส่วนๆแยกกันหรือเปล่า
มีใครเห้นไหมว่าอวิชชามาแทรกอยู่ในขันธ์ืตอนไหน จิตอยู่ไหนก็ไม่รู้เลย
เมื่อไหม่แจ้งแทงชัดตลอดในปฏิจสมุปบาท เราจะเพ่งปฏิจสมุปบาทได้อย่างไร

ดังนั้น ผู้เพ่งปฏิจสมุปบาทก้ดี อายตนะก็ดี รูปปรมัตถ์ก็ดี
ผมคิดว่า ไม่ใช่คนธรรมดาหรอก

และการแจ้งปฏิจสมุปบาท มันก้บอกในตัวอยู่แล้วว่าพระอรหันต์
แจ้งปฏิจสมุปบาท มันก้บอกในตัวอยู่แล้วว่าแจ้งอายตนะ
แจ้งปฏิจสมุปบาท มันก้บอกในตัวอยู่แล้วว่าแจ้งรูปปรมัถ์

ผมว่าอย่างนี้นะครับ


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 01 เม.ย. 2010, 14:30, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2010, 15:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ตรงประเด็น เขียน:
ผมจึงเสนอให้ ย้อนกลับไปยังประเด็นสำคัญ ในเรื่องการฝึกเจริญสติ ที่ว่า

"ในขั้นการฝึกเจริญสติ การตั้งใจ(จงใจ เจตนา)เจริญสติ ถือว่าเป็น ภาวะผิดพลาด ไหม???"


"ตั้งใจ" แต่"ผิดเวลา" ไงคุณหมอ ถึงพลาด

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรากำลังพูดถึง"ดูจิต"

ดุจิต เราตามดูครับ
เช่นใช้ชีวิตไปตามปกติ แล้วเกิดโกรธขึ้นมา ให้รู้สึกลงไปที่ความโกรธ

แต่คำว่าเพ่ง ที่หลวงพ่อพูดบ่อยๆ มันเป้นการดูลงไปก่อนที่จะเกิดอะไร
เป้นการดักดู รอดู ว่าจะมีความโกรธไหม จะมีอะไรในใจไหม
ซึ่งเป้นการทำโดยโลภะเจตนา สุดท้ายก้จะเป้นการ simulate ส่งที่เคยได้ยินได้ฟังข้นมาเอง
เนี่ยะ "เพ่ง" ของดูจิต


อีกอันหนึ่ง เช่น
อันนี้สมมุตินะ เพราะเจอเยอะ เป้นคนในสังคมนี่แหละ แต่มารยาทดี
เป้นคนที่"เก็บอารมณ์" ได้เก่ง ไม่แสดงออกมาให้ใครเห้น
ใครด่าก้ปากว่าไม่โกรธ การกระทำก็ไม่โกรธ แต่ในใจมันกดเอาไว้
สั่งสมมานานตั้งแต่หนุ่มจนแก่
กลายเป้นคน "กด" "เก็บกด" อารมณ์ทั้งหลายไว้หมด
เวลามาดุจิต เลยไม่มีอะไรดู เพราะคิดว่าไม่มีอะไรให้ดู
ดดยไม่รู้ว่าที่ไม่มีนั้น เกิดจากการกด เก้บกด จนตัวเองคิดว่ามันไม่มี
จิตมันเลยติดนั่ง อย่างนี้ท่านจะเรียกว่าติดสมถะ เพราะบังกับกายบังคับใจตนเองจนเคยชิน
มีทิฐิเหนียวแน่นว่ากายนี้ใจนี้บังคับได้
อย่างนี้ท่านจะบอกว่า "ติดเพ่ง"

พอติดเพ่ง เกิดอะไรขึ้น
พอบอกให้ดุจิต ก้จ้อง ส่อง ควาน แส่ส่าย ใจเอาไว้เลย
กะจะดุมั่นๆว่าอะไรมันจะโผล่ออกมา
นี่คือเพ่ง ของดุจิต

ตรงข้ามกับคำว่า "ตามรู้ ตามดู"
ท่านย้ำนักย้ำหนาว่า "มีคำว่าตาม"

ทำไม"ตาม"
เพราะเราต้องการดุความจริง ความจริงแบบจริงๆ ที่เกิดขึ้นจริงๆ
โกรธก้ต้องเป้นของจริงที่เกิดขึ้นในชีวิต ไม่ใช่สร้างความโกรธขึ้นมาดู อย่างนี้ดุของปลอม

ส่วนคำว่าเพ่ง ที่พูดๆกันอยู่
มันคนละเรื่องกับดูจิตแล้วครับ


ปล. ในข้างต้น ผมได้พูดคำว่า "ติดสมถะ"
คำนี้เป็นปัญหามาก

พอได้ยินคำว่าสมถะ คนจะนึกถึงกรรมฐาน 40 ทันที
นึกถึงการนั่งสมาธิ เิดินจงกรม ยุบหนอ พองหนอ สัมมาอรหัง
แต่ผมอยากจะเรียกร้องให้คุณๆลองนึกดูเกิดครับ ว่าสิ่งเหล่านั้น มีอะไรที่เป็นสากลบางอย่างอยู่
สิง่ที่มัน Intersection กันอยู่ / สิ่งที่มันมี something in common กันอยู่

สิ่งนั้นคือการที่เราพยามหาวิธีการบังคับจิตใจของเรา
ให้อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง นั่นคือความสงบ ใช่หรือไม่

ในความพยามของเรา เราก้ใช้ trick ต่างๆกันไป
แต่สุดท้ายทำเหมือนกันหมดคือการพยามบังคับจิตใจให้อยู่กับความสงบ ใช่หรือไม่

สมมุติอย่างผมกำลังโมโหนะ ผมก็เลยเดินหนีไปชมนกชมไม้ ดูหนังฟังเพลงอะไรที่ชอบๆ
ถ้าผมพูดว่าการทำอย่างนี้เป้นสมถะนะ คนด่าตายเลย
แต่ผมขอเรียกร้องให้ดูเหตุการณ์นี้ให้ดีๆครับ ว่ามันใช่การทำให้จิตใจสงบลงใช่หรือไม่
เป้นการหาอุบายเพื่อทำให้จิตใจสงบลงใช่หรือไม่

ผมทำอย่างนี้ มันต่างจากพระหนุ่มที่ฟุ้งซ่านเพราะโยมสาว แล้วจึงไปดุศพตรง...ตรงไหน

แต่เอาล่ะ ใช้คำว่าหย่อนใจน่ะถูกแล้ว เพราะสมถะกรรมฐานต้องการการจดจ่ออรมณ์เดียว
การดุหนังฟังเพลงมันแค่สงบลง แต่ก็ไหลปไปทางอื่นต่อ ไม่ได้แน่วแน่อยู่อารมณ์เดียว
การจะไปพูดว่าสมถะกรรมฐาน ก็ดูจะเป้นการไม่ควรนัก

แต่การกระทำดังนี้ ถามว่า นี่คือหลักการของสมถะใช่หรือไม่
นี่คือการทำใจให้เข้าสู่พิณสายกลางใช่หรือไม่
เวลาพระพุทธเจ้าท่านจะเดินหน้า ท่านกลับมาที่สายกลางก่อน แล้วจึงเดินหน้าใช่หรือไม่

ใจเราที่จะทำกรรมฐาน มันำม่มีทางหรอกที่จะใช้จิตใจที่สุดดต่งไปข้างใดข้างหนึ่ง เืพื่อเจริญกรรมฐาน
มีนมีแต่จิตที่เข้าใกล้ความเป้นกลาง ถึงจะเจริญกรรมฐานได้

พระหนุ่มเจอดยมสาวสวย ทำไมให้ไปดูศพ มันคืออุบายถอดถอนกิเลส
หรือว่าเป้นอุบายเพื่อความสงบระงับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2010, 15:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2010, 04:38
โพสต์: 376

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


-dd- เขียน:

ในพระอภิธัมมัตถสังคหะกล่าวถึงเหตุใกล้ของการเกิดสติสติไว้ มี 17 ประการ

.....ฯลฯ.....

โดยสรุป คือ "ถิรสัญญา" คือความจำที่มั่นคงเป็นเหตุ..
จึงเป็นผลให้มีการระลึกได้คือสติตามมา.
.


เห็นด้วยอย่างยิ่ง กับคุณ -ดีดี-

"ถิรสัญญา" คือ การที่จิตจดจำสภาวะได้

และขอเสริมธรรม
เรื่อง เหตุปัจจัยที่ทำให้เกิด สติและปัญญา

(พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕- หน้าที่ ๒๐๓)

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังนี้

การคบสัปบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมยังการฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์

การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ ย่อมยังการทำไว้ในใจโดยแยบคายให้บริบูรณ์

การทำไว้ในใจโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ....
ย่อมยังสติสัมปชัญญะให้บริบูรณ์


http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=610.0

ซึ่งตอนท้ายพระสูตรฯ จะเป็นข้อเสริมความเห็นของคุณ -ดีดี- ด้วย

ขออนุโมทนาครับ


แก้ไขล่าสุดโดย Eikewsang เมื่อ 01 เม.ย. 2010, 15:47, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2010, 20:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณ ข้อมูล และ คห.เพิ่มเติม ของท่านท จขกท.น่ะครับ


ขอน้อมรับ ไว้ ศึกษา พิจารณา ลงในรายละเอียด ก่อนแล้วกัน
ในโอกาสหน้า คงได้มีการเสวนากันต่อในเรื่องเหล่านี้อีก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2010, 21:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ดุจิต เราตามดูครับ

ถ้ายังดูไม่ทัน เพราะยังมีสติ สัมปชัญญะยังไม่มากพอก็ตามดู
วันใด สติ สัมปชัญญะมากพอ พอกระทบ รู้ทันที ไม่ต้องตามดู
สามารถดูตามความเป็นจริงได้ทันที



เช่นใช้ชีวิตไปตามปกติ แล้วเกิดโกรธขึ้นมา ให้รู้สึกลงไปที่ความโกรธ


นี่คือ การทำงานของสติ สัมปชัญญะ สติ เป็นตัวระลึก สัมปชัญญะเป็นตัวรู้ หรือ ความรู้สึกตัว



มันเป้นการดูลงไปก่อนที่จะเกิดอะไร เป้นการดักดู รอดู ว่าจะมีความโกรธไหม จะมีอะไรในใจไหม
ซึ่งเป้นการทำโดยโลภะเจตนา สุดท้ายก้จะเป้นการ simulate ส่งที่เคยได้ยินได้ฟังข้นมาเอง
เนี่ยะ "เพ่ง" ของดูจิต



เราสามารถรู้ล่วงหน้าได้หรือคะ ว่า อะไรหรืออารมณ์ไหนจะเกิดขึ้น ถึงไปดักดูก่อนได้



สิ่งนั้นคือการที่เราพยามหาวิธีการบังคับจิตใจของเรา
ให้อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง นั่นคือความสงบ ใช่หรือไม่

ในความพยามของเรา เราก้ใช้ trick ต่างๆกันไป
แต่สุดท้ายทำเหมือนกันหมดคือการพยามบังคับจิตใจให้อยู่กับความสงบ ใช่หรือไม่



ตอบนะคะ ไม่ใช่ค่ะ
เช่น การกำหนดรู้ลงไปตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เป็นการฝึก สติ ให้มีสัมปชัญญะเกิดร่วม
ไม่ใช่มีแค่ สติ แต่ขาดสัมปชัญญะ อันนี้ฝึกรู้ในกายและจิต

แตกต่างจากกสิณนะคะ กสิณคือ การเพ่งนอกตัว อันนี้ สมถะล้วนๆ

เพ่งกับ กำหนดรู้ คนละอย่างกันนะคะ แต่ก็สามารถทำให้เกิดสมาธิร่วมได้
จะมากหรือน้อยก็ตามเหตุที่กระทำมา อันนี้สมถะผสมวิปัสสนา



สมมุติอย่างผมกำลังโมโหนะ ผมก็เลยเดินหนีไปชมนกชมไม้ ดูหนังฟังเพลงอะไรที่ชอบๆ
ถ้าผมพูดว่าการทำอย่างนี้เป้นสมถะนะ คนด่าตายเลย


ไม่ใช่สมถะค่ะ



ผมก็เลยเดินหนีไปชมนกชมไม้ ดูหนังฟังเพลงอะไรที่ชอบๆ


เป็นเพียงทำให้จิตผ่อนคลาย จากสภาวะที่กระทบมา



แต่ผมขอเรียกร้องให้ดูเหตุการณ์นี้ให้ดีๆครับ ว่ามันใช่การทำให้จิตใจสงบลงใช่หรือไม่
เป้นการหาอุบายเพื่อทำให้จิตใจสงบลงใช่หรือไม่


ไม่ใช่ค่ะ แต่เป็นการหลีกเลี่ยงการก่อให้เกิดการประทะ " สมมุติอย่างผมกำลังโมโหนะ "
การทำให้จิตสงบ กับการหลีกเลี่ยง คนละแบบกันนะคะ



ผมทำอย่างนี้ มันต่างจากพระหนุ่มที่ฟุ้งซ่านเพราะโยมสาว แล้วจึงไปดุศพตรง...ตรงไหน



ต่างกันค่ะ กรณีของคุณ เรียกว่า หลีกเลี่ยง เพื่อไม่ให้เกิดความโกรธไปมากกว่าที่เป็นอยู่
เพราะคุณรู้ว่าคุณโกรธ คุณเลยเดินหนีไปซะ

ส่วนพระหนุ่ม เป็นการปลงอสุภะ เพื่อไม่ให้เกิดความกำหนัดคนละสภาวะกัน



สมถะกรรมฐานต้องการการจดจ่ออรมณ์เดียว แต่การกระทำดังนี้
ถามว่า นี่คือหลักการของสมถะใช่หรือไม่


ตกลง ถ้าถามเฉพาะตัวนี้ " สมถกรรมฐานต้องการการจดจ่ออรมณ์เดียว " ก็ใช่ค่ะ
ถ้าถามทั้งหมดนี่ " เพราะสมถะกรรมฐานต้องการการจดจ่ออรมณ์เดียว
การดูหนังฟังเพลงมันแค่สงบลง แต่ก็ไหลปไปทางอื่นต่อ ไม่ได้แน่วแน่อยู่อารมณ์เดียว " ก็ใช่ค่ะ

เพราะกิจอันใด ที่เอาจิตจดจ่ออยู่กับสิ่งใด สิ่งหนึ่งนานๆ
หรือไม่นานก็ตาม
แต่ทำให้เกิด สมาธิขึ้นมาได้ เรียกว่า สมถะ

อย่าลืมว่า แต่ละคนล้วนสร้างเหตุมาแตกต่างกันไป บางคนแค่ฟังเพลง หรือ ดูหนัง
ก็สามารถทำให้จิตเป็นสมาธิได้ ชั่วขณะหนึ่ง หรือนานก็ได้
บางคนนั่งกินข้าว คุยกับเพื่อนๆ จิตก็สามารถเป็นสมาธิได้
อันนี้ล้วนเกิดจากเหตุที่เคยกระทำมาทั้งนั้น



แต่การกระทำดังนี้ ถามว่า นี่คือหลักการของสมถะใช่หรือไม่


ถ้าเป็นตัวอย่างที่คุณยกมาทั้งหมด จะตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ค่ะ



นี่คือการทำใจให้เข้าสู่พิณสายกลางใช่หรือไม่


แล้วแต่เราจะไปให้ค่าให้ความหมายค่ะ ถ้าไม่ใช่การทรมาณตนจนสุดโต่ง



เวลาพระพุทธเจ้าท่านจะเดินหน้า ท่านกลับมาที่สายกลางก่อน แล้วจึงเดินหน้าใช่หรือไม่


ตอบไม่ได้จริงๆ เพราะมีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ทรงรู้ด้วยพระองค์เอง
คนอื่นๆจะมาตอบแทนพระองค์ท่านไม่ได้หรอกค่ะ



ใจเราที่จะทำกรรมฐาน มันไม่มีทางหรอกที่จะใช้จิตใจที่สุดโต่งไปข้างใดข้างหนึ่ง


แล้ว แต่เหตุที่ทำมาค่ะ



เืพื่อเจริญกรรมฐาน มันมีแต่จิตที่เข้าใกล้ความเป้นกลาง ถึงจะเจริญกรรมฐานได้


แล้วแต่เหตุที่ทำมาค่ะ


พระหนุ่มเจอโยมสาวสวย ทำไมให้ไปดูศพ มันคืออุบายถอดถอนกิเลส
หรือว่าเป็นอุบายเพื่อความสงบระงับ


ตอบไปแล้วนะคะ ส่วนความสงบ เป็นผลพลอยได้



วิปัสสนา การดูตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ถ้ายังดูไม่ทัน ก็ต้องฝึกตามดูไปก่อน
จะฝึกแบบวิธีไหนๆก็ได้ ที่สามารถทำให้เกิด สติ สัมปชัญญะ

สมถะ คือ ผลของการทำสมาธิ ไม่ว่าจะขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ล้วนเป็นสมถะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 01 เม.ย. 2010, 21:47, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2010, 21:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คราวนี้ให้คุณลองพิสุจน์ง่ายๆ
ด้วยการไปหาคำสอนของใครก้ได้ ที่คุณคิดว่าดี ว่าชอบ
ลองไปหาดุสิว่า มีใครบ้าง"สอนให้เพ่งในขั้นวิปัสสนา"

ถ้าหาเจอ แปลว่าคุณถูก
ผม ท้าอย่างนี้นะ ลองดู


ไปหามาให้แล้ว ผิดถูกอย่างไรไม่เห็นบอก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2010, 22:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมอ่านคุณวไลพรแล้วผมขอไม่ตอบนะครับ

ถ้าจะมาแก้กันเป็นคำๆแบบนี้ก็ขอบาย ไปคุยกับใครก้ไปเถอะ

ไม่มีความพยามจะเข้าใจผมเลย
มีแต่จะเอาผิดเอาถูกกับคำพูดเหมือนทนาย

แถมแยกซอยออกมาเป้นชิ้นๆ เพื่อจะมาตั้งหน้าค้านที่ละส่วนๆอย่างเดียว
ไม่ไหว ผมไม่คุยด้วย

เช่น ผมบอกว่าผมไม่เรียกการเดินชมนกชมไม่ของผมว่าสมถะ
อันนี้คูณก็ไปแยกออกมาเป้นชิ้นๆ แล้วก้มาค้านๆ

คุณจับประเด้นไม่เป้นเลย มีแต่จับประโยค กับจับคำ

คนจะคุยกัน พยามเข้าใจหน่อยสิว่าผมจะพูดอะไร

เมื่อก่อนผมพูดฝรั่งไม่เป้น เวลาคุยกับฝรั่ง
ผมพูดว่า you... subway.. shukhumvit station....hotel ..
ฝรั่งเขาพยามจะเข้าใจผม เขาก็เข้าใจ

แต่คุณวไลพรทำไงรู้ไหม
ไม่ได้ พูดตกพูดหล่นไม่ได้ พูดภาษาปากแบบนี้ไม่ได้ พูดไม่เป้นประโยคไม่ได้
บางทีถึงกับขนาดว่า ใช้คำว่า subway ไม่ได้นะ ต้องใช้คำว่า metro ถึงจะถูก
อะไรทำนองนี้


คุยกับคุณ บอกตรงๆว่าผมเหนื่อย
อยากเข้าใจยังไงก็ตามใจนะครับ

คใรเข้าใจอย่างไรไม่สำคัญ ผมทำได้ผลของผม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2010, 22:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:

ไปหามาให้แล้ว ผิดถูกอย่างไรไม่เห็นบอก

ได้ข่าวว่าคุณตรงประเด้นหามานะ
คุณหาที่ไหน

แต่เอาล่ะ ไม่ว่ากัน

พระสุตรที่ยกมา ผมแก้ไปแล้วว่ามันเป็นเรื่องของคนเสร็จกิจ
ในเมื่อให้เอาคนที่สอนเพ่งในขั้นวิปัสสนา
แต่ไปยกคำว่าเพ่งของเสร็จกิจจะมา
คนเสร็จกิจ จะวิปัสสนาได้อย่างไร

อีกสองท่านที่ยกมา ท่านเหล่านั้นอธิบายคำว่าเพ่ง ตามนิรุติศาสตร์
ทั้งท่านพุทธทาส และท่าน ปอ. ปยุตโต

ถ้าจะคุยเรื่องเพ่ง ตามที่ปรากฏอยู่ทั่วไป ก็คุยกันไป
แต่ผมก็ได้แต่บอกว่า ดุจิตที่บอกว่าอย่าเพ่งๆ เมื่อเทียบเคียงใส่ของจริง มันคืออะไร
แต่คนก็พยามจะไปเอาเพ่งตามศัพท์บัญญัติมาทาบลงให้ได้
ก็ไม่ทราบว่าจะพยามเข้าใจการดูจิตไปทำไม


ผมเคยมีโอกาสต้องขึ้นโรงขึ้นศาล
ทนายมันแสบจริงๆ อาศัยว่าเราไม่รู้ภาษา
หลอกล่อพาให้เราพูด keyword
พอพูดเท่านั้นแหละ เสร็จเลย ปิดคดีได้เลย
ทั้งๆที่เราตั้งใจจะสื่ออีกอย่างหนึ่ง แต่ระบบศาลเขาเป้นอย่างนี้
พูดแล้วคือเอาคืนไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะตั้งใจจะพูดอีกอย่างหนึ่งก้ตาม

นี่คือสภาพที่ผมรู้สึกว่าเพื่อนนักปฏิบัติธรรม กำลังทำอย่างนี้อยู่

ทำไมเลวร้ายกันนัก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2010, 22:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


คุยกับคุณ บอกตรงๆว่าผมเหนื่อย อยากเข้าใจยังไงก็ตามใจนะครับ



ค่ะ ... เราคงสนทนากันคนละภาษา :b1:
ถ้าทำให้คุณอ่านแล้วเหนื่อย ต้องขออภัยด้วย :b8:
เพราะในการคุย เราอาจจะถนัดกันคนละอย่าง แต่เมื่อคิดว่า " จูนกันไม่ได้ " จบแบบนี้ก็ดีค่ะ :b38:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2010, 22:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านชาติต้องย้อนกลับไปดูที่ post ไว้ ก่อนกระทู้ที่ท่านตรงจะ post นะครับ
เอามาให้ดูอีกทีก็ได้ครับ


อ้างคำพูด:
คราวนี้ มาประเด็นสำคัญนะครับ คือในขั้นวิปัสสนา อันนี้ผมยกตัวอย่างสายยุบหนอ พองหนอ ของหลวงพ่อจรัญ นะครับ
สติที่เกิดขึ้นขณะปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานนั้น นอกจากจะคอยสกัดกั้นกิเลสไม่ให้เข้ามาทางอายตนะแล้ว ยังเพ่งเล็งอยู่ที่รูปกับนาม เมื่อเพ่งอยู่ก็จะเห็นความเกิดดับของรูปนามนั้น จักนำไปสู่การเห็นพระไตรลักษณ์ คือ ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีตัวตนของสังขาร หรืออัตภาพอย่างแจ่มแจ้ง
http://www.jarun.org/v6/th/dhamma-meditation.html




อ้างคำพูด:
อันนี้เอามาจากหลวงตา แต่ต้องบอกก่อนว่าวิธีนี้ของท่านผมยังไม่เคยทำ

ปัญญาอบรมสมาธิ หน้า ๑๑ จาก http://www.fungdham.com/book/bua.html

ปญญา
ทางที่ ถูกและราบรื่นของผูปฏิบัติก็คือ เมื่อจิตไดรับความสงบพอเห็นทางแลว
ตองฝ กหัดจิตใหคิดคนในอาการของกาย จะเปนอาการเดียวหรือมากอาการก็ตาม ดวย
ปญญา คลี่คลายดูกายของตน เริ่มตั้งแต่ ผม ขน เล็บ ฟน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก
เยื่อในกระดูก มาม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไสนอย ไสใหญ อาหารใหม
.....................................
กิเลสทวมหัวจนเอาตัวไมรอดก็เพราะกายอันนี้ สรุปความเรื่องในโลก คือเรื่องเพื่อกายอันเดียวนี้ทั้งนั้น
เมื่อพิจารณากายพรอมทั้งเรื่อง ของกายใหแจงประจักษกับใจ ดวยปญญาอยูอยางน ไมมีวันหยุดยั้ง กิเลสจะยกกองพลมาจากไหนใจจึงจะสงบลงไมได ปญญาอานประกาศความจริงใหใจฟงอยูอยางนี้ตลอดเวลา ใจจะฝนความจริงจากปญญาไปไหนเพราะกิเลสก็เกิดจากใจ ปญญาก็เกิดจากใจ เราก็คือใจ จะแกกิเลสดวยปญญาของเราจะไมไดอยางไร เมื่อปญญาเปนไปในกายอยูอยางนี้ จะไมเห็นแจงในกาย
อย่างไรเลา ?
เมื่อเห็นกายแจงประจักษใจดวยปญญาอย างนี้ ใจตองเบื่อหนายในกายตนและกายคนอื่นสัตวอื่น ตองคลายความกําหนัดยินดีในกาย แลวถอนอุปาทานความถือมั่นในกาย โดยสมุจเฉทปหาน พรอมทั้งความรูเทากายทุกสวน ไมหลงรักหลงชังในกายใดๆอีกตอไป


แก้ไขล่าสุดโดย อายะ เมื่อ 01 เม.ย. 2010, 22:59, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2010, 00:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกกับคุณอายะ

ทุกคนล้วนต้องพึ่งตนเอง
ตัวใครตัวมันครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2010, 01:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b32:

แล้วจะตั้งกระทู้..เพื่ออะไรกัน??

:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2010, 08:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คราวนี้ให้คุณลองพิสุจน์ง่ายๆ
ด้วยการไปหาคำสอนของใครก้ได้ ที่คุณคิดว่าดี ว่าชอบ
ลองไปหาดุสิว่า มีใครบ้าง"สอนให้เพ่งในขั้นวิปัสสนา"

ถ้าหาเจอ แปลว่าคุณถูก
ผมท้าอย่างนี้นะ ลองดู


อ้าวไง๋ ตอบอย่างนั้น :b23: :b23: :b23: :b23: :b23: :b23: :b23: :b23: :b23: :b23: :b23: :b23:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2010, 09:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:
อ้าวไง๋ ตอบอย่างนั้น :b23: :b23: :b23: :b23: :b23: :b23: :b23: :b23: :b23: :b23: :b23: :b23:


คุณเป้นคนที่คุยด้วยยาก
ไม่ว่าจะพยามอธิบายอย่างไร ก้ทำไม่เห็น
ไม่รู้ว่าเป็นอะไรมากไม๊นะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2010, 12:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านอย่าลืมว่าท่านให้ไปหาแหล่งอ้างอิงในขั้นวิปัสนามา ว่าห้ามเพ่ง
ผมก็ยกหลวงพ่อจรัญ กับหลวงตา มา ท่านก็บอกมาซิครับว่ามันถูกผิดอย่างไร
ขัดกับที่ท่านเข้าใจตรงไหน หรือนักดูจิตเป็นอย่างนี้หมด พอถามหลักธรรม
ก็บอกต้องไปคุยกับหลวงพ่อเองบ้าง ไปฟังซีดีบ้าง หรือไม่ก็โมเมว่าคนอื่นโง่เกินกว่าที่จะเข้าใจ
เวรกรรมแท้


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 164 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 6, 7, 8, 9, 10, 11  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron