วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 07:50  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1416 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 76, 77, 78, 79, 80, 81, 82 ... 95  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 10 ต.ค. 2015, 22:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tammathai เขียน:
น่าสนใจ ... คงต้องอ่าน ศึกษา ปฏิบัติ ... อีกนาน

ไม่นานเกินความเพียรหรอกนะครับ :b1:

เจริญในธรรมครับ :b8:


โพสต์ เมื่อ: 10 ต.ค. 2015, 22:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตมาต่อกันครับ :b1:

คราวที่แล้วได้เล่าถึงกิจกรรมการฝึกสติสัมปชัญญะผ่านการทานอาหารในช่วงเช้า :b46: :b39: :b46:

ซึ่งหลังจากทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ก็อาจจะมีกิจกรรมเพิ่มเติมอื่นๆอีกในช่วงเวลาที่เหลือของวัน เช่น ถ้าไปเที่ยวทะเล น้ำตก หรืออ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อน ก็อาจจะเป็นเวลาของการลงเล่นน้ำ :b46: :b47: :b46:

หรือถ้าไปเที่ยวตามป่าเขา ก็อาจจะเป็นเวลาของการเดินป่าปีนเขา เพื่อไปชมทัศนียภาพตามจุดชมวิวต่างๆ :b49: :b48: :b47:

ทั้งนี้ ไม่ว่าจะลงเล่นน้ำ หรือเดินป่าปีนเขาเพื่อชมธรรมชาติ ก็ให้ถือหลักปฏิบัติเหมือนๆกัน ซึ่งก็คือ ให้ท่องเที่ยวไปด้วยความสงบ มีสติอยู่กับปัจจุบันขณะ และ "ทำความรู้สึก" ให้ได้ถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันของกายใจกับธรรมชาติรอบๆตัว จนเกิดความดื่มด่ำ และเบิกบานกับความสงบสมบูรณ์แห่งสติ แห่งสัมปชัญญะ :b49: :b48: :b49:

ซึ่งนั่นก็คือสิ่งเดียวกับความสงบ ความสมบูรณ์แห่งชีวิตนั่นเอง :b46: :b39: :b46:


โดยเฉพาะการได้มีโอกาสลงแช่น้ำในลำห้วย ในธารน้ำตก หรือในอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนด้วยความสงบเย็น ก็ให้ผู้ปฏิบัติลองทำใจให้ว่าง เป็นอิสระจากความคิดความกังวลทั้งปวง หลับตา แล้วทำความรู้สึกลงในสภาวะอันเป็นธรรมชาติของสายน้ำ :b48: :b49: :b48:

ผู้ปฏิบัติก็จะสามารถ "รับรู้" และ "รู้สึกได้" ถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันของกายใจ กับธรรมชาติของสายน้ำได้โดยง่าย เนื่องด้วยร่างกายคนเรามีน้ำเป็นองค์ประกอบเสียส่วนใหญ่ และเมื่อร่างกายได้สัมผัสกับธรรมชาติแห่งความใสไหลเย็น แห่งความเอิบอาบของสายน้ำตลอดทั่วทั้งตัว ก็จะส่งผลให้จิตใจที่เป็นอิสระ สามารถเข้าถึงความสงบเย็น และความสมบูรณ์แห่งชีวิตได้โดยไม่ยาก :b46: :b47: :b46:


โพสต์ เมื่อ: 10 ต.ค. 2015, 22:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นอกจากนี้แล้ว ผู้ปฏิบัติอาจจะเสริมกิจกรรมที่ทำให้ชีวิต ได้ slow life มากขึ้น ด้วยการเพิ่มเติมงานทางด้านศิลปะเข้าไปในการท่องเที่ยวของเวลาที่เหลือระหว่างวัน เช่น การหาวิวสวยๆสักที่ ดอกไม้งามๆสักดอก หรือยอดอ่อนที่กำลังผลิใบสักยอด แล้วนั่งลงสเก็ตช์ภาพอันน่าประทับใจเหล่านั้น :b46: :b47: :b46:

ซึ่งในการสเก็ตช์ภาพนี้ ผู้ปฏิบัติก็จะได้มีเวลาพินิจพิจารณา ใส่ใจลงในรายละเอียดของธรรมชาติที่อยู่เบื้องหน้า เพื่อจะได้มีเวลาใช้ชีวิตแบบ slow life เพื่อดื่มด่ำกับความสวยงามของธรรมชาติอย่างละเมียดละไม และเพื่อให้ได้ "ความรู้สึก" ที่เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติเหล่านั้นได้มากขึ้นไปอีก :b47: :b48: :b47:

ทั้งนี้ ภาพที่สเก็ตช์นั้นไม่จำเป็นที่จะต้องสเก็ตช์จนเสร็จ เพราะการสเก็ตช์ภาพนั้นไม่ใช่เป้าหมาย แต่เป็นเพียงวิธีการที่จะให้เข้าถึงเป้าหมาย ซึ่งก็คือความอิ่มเอิบ อิ่มเอมในใจ ที่ได้สัมผัสลงในความสวยงามของธรรมชาติ ด้วยความใส่ใจลงในรายละเอียด ลงในทุกอณู ในทุกเส้นสายของธรรมชาติ ด้วยความละเมียดละไม :b49: :b50: :b51:

หรือถ้าเป็นนักถ่ายภาพ ก็อาจจะติดกล้องออกไปท่องเที่ยวถ่ายวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ได้มีเวลาสังเกตองค์ประกอบศิลป์ เพื่อหามุมกล้องที่สามารถถ่ายทอดธรรมชาติอันงดงามและบริสุทธิ์ออกมาได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่ายมุมกว้างแบบ scenic view หรือภาพถ่ายแบบเฉพาะเจาะจง เช่น ภาพถ่ายหยดน้ำค้างบนยอดหญ้า ภาพถ่ายนกที่มีสีสรรสวยงาม หรือภาพถ่ายมุมเล็กๆอันแปลกตาที่แฝงอยู่ตามธรรมชาติอันกว้างใหญ่ อย่างภาพถ่ายแบบ macro :b46: :b39: :b46:

ซึ่งนอกจากจะได้สัมผัสกับความงามของธรรมชาติขณะถ่ายภาพแล้ว ยังสามารถเอารูปภาพเหล่านั้น กลับมาย้อนความทรงจำ เพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศต่อในยามแต่งรูปหรือคลิกดู :b47: :b48: :b49:

หรือแม้แต่นำภาพเหล่านั้น มาทำเป็นเครื่องให้หมายรู้ หรือเป็นนิมิตสำหรับเพ่งกสิณก็ยังได้นะครับ :b46: :b39: :b41:


แนบไฟล์:
Doi HuaMaekam 393-4 tn2.jpg
Doi HuaMaekam 393-4 tn2.jpg [ 349.34 KiB | เปิดดู 5853 ครั้ง ]


โพสต์ เมื่อ: 10 ต.ค. 2015, 23:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หรือถ้าเป็นนักกวี ก็อาจจะใช้เวลาที่ชื่นชมธรรมชาติ เขียนบทกวีในแนวเซ็น เช่นโคลงไฮกุ ซึ่งเป็นโคลงที่ "มีพื้นฐานคือ เรียบง่าย และ ดั้งเดิม จึงไม่ยึดติดกับแบบแผน ไม่มีข้อจำกัด ไหลเรื่อยตามธรรมชาติ สั้นกระชับที่สุด ตรงที่สุด และเป็นไปอย่างฉับพลัน ตามสภาวะสัจจะล้วนๆ เรียบง่ายและตรงความรู้สึก ออกมาจากใจของกวี โดยปราศจากอุปสรรคขวางกั้น แสดงความงาม ความเศร้า ความสงบ ความปิติ ความเก่าแก่ เปลือยเปล่าอยู่ภายใต้แสงแดดอันอบอุ่น ในวินาทีแห่งการสร้างสรรค์สิ่งอัศจรรย์ที่ไฮกุได้ถือกำเนิดขึ้น"
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%AE%E0%B8%81%E0%B8%B8

แนบไฟล์:
Aug - Sep 09 (Pou award & Chiangrai) 405-2 tn 2.jpg
Aug - Sep 09 (Pou award & Chiangrai) 405-2 tn 2.jpg [ 122.45 KiB | เปิดดู 5853 ครั้ง ]


หรือถ้าเป็นหนอนหนังสือ ก็อาจจะหาบริเวณที่เงียบสงบสักที่ เอนกายแล้วหาหนังสือดีๆที่จรรโลงจิตวิญญาณไว้อ่านสักเล่ม โดยเฉพาะหนังสือธรรมะ คำสั่งสอน หรือบันทึกการปฏิบัติของพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านต่างๆ :b46: :b47: :b46:

เพื่อที่จะได้อาศัยความสงบงามของธรรมชาตินั้น เป็นเหตุใกล้เพื่อทำให้เกิดสติ สัมปชัญญะ และสมาธิ ในการซึมซับธรรมะดีๆเข้าไว้ในจิตใจผ่านสุตมยปัญญา ซึ่งก็คือปัญญาที่เกิดจากการอ่านหรือการฟังธรรม
:b48: :b49: :b50:

พอตกบ่าย ก็อาจจะหาขนมอร่อยๆสักชิ้นสองชิ้น ทานคู่กับน้ำชาอุ่นๆสักถ้วย ค่อยๆจิบค่อยๆเคี้ยว ค่อยๆทานอย่างละเมียดละไมและอย่างมีสติ ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและ slow life ไม่คิดฟุ้งไปถึงเรื่องในอดีตที่ผ่านไปแล้ว ไม่เพ้อฝันหรือกังวลไปถึงเรื่องในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง มีสติสัมปชัญญะและสมาธิ อิ่มเอมอยู่กับปัจจุบันขณะ อยู่กับการทานขนมและดื่มน้ำชาอุ่นๆที่อยู่ในถ้วยนั่น จนรู้สึกถึงความเป็นหนึ่งซึ่งกันและกันของกายใจกับขนม กับน้ำชา และกับธรรมชาติรอบตัว :b46: :b39: :b46:


โพสต์ เมื่อ: 10 ต.ค. 2015, 23:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พอตกค่ำก็อาจจะหาเวลาออกมานั่งด้านนอกเพื่อสูดอากาศอันบริสุทธิ์ และสัมผัสได้ในบรรยากาศอันสงบเย็น :b46: :b47: :b46:

และเมื่อแหงนหน้าขึ้นมองดูดวงดาวที่พร่างพราวอยู่บนท้องฟ้า ก็ให้มองออกไปจนเห็นและรู้สึกได้ถึงความกว้างใหญ่ของจักรวาล รู้สึกได้ในความเล็กจ้อยของกายใจเมื่อเทียบกับจักรวาลอันกว้างใหญ่นั้น จินตนาการถึงผู้คนอีกหลายพันล้านที่อาศัยอยู่ด้วยกันบนโลกใบนี้ ต่างก็เป็นเพียงแค่เศษฝุ่นเศษธุลี อันเป็นองค์ประกอบเพียงเศษเสี้ยวของจักรวาลอันกว้างใหญ่ :b49: :b48: :b41:

นี้เป็นอุบายในการลดอัตตาตัวตน และเป็นการฝึกเพื่อให้รู้สึกได้ในความเป็นหนึ่งเดียวของกายใจ กับทุกผู้คน กับทุกสรรพสิ่ง และกับจักรวาลอันกว้างใหญ่ ที่หาขอบเขตไม่ได้นั้น :b49: :b50: :b54:

และเมื่อถึงเวลาก่อนที่จะเข้านอน ก็ให้ผู้ปฏิบัติ ใช้เวลาสักครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง ในการสวดมนต์และนั่งสมาธิ โดยเอาธรรมชาติที่ผ่านมาระหว่างวันมาเป็นเครื่องหมายรู้ หรือเป็นนิมิตในการทำสมาธิ หรือที่เรียกว่า การเพ่งกสิณนั่นเองนะครับ :b1: :b46: :b39:


ยกตัวอย่างเช่น ผู้ปฏิบัติอาจจะจินตนาการถึงสีเขียวของยอดอ่อน ของภูเขาหรือป่าไม้ที่ชื่นชมมาระหว่างวัน (นีลกสิณ) หรือสีเหลือง สีแดง สีขาวของดอกไม้ที่สเก็ตช์ภาพไว้นั้น (ปีตกสิณ โลหิตกสิณ โอทาตกสิณ) หรือความสว่างของพระอาทิตย์ในตอนกลางวัน หรือพระจันทร์ในยามค่ำคืน (อาโลกสิณ) :b46: :b47: :b46:

หรือความแข็งแกร่งของก้อนหิน ของภูผาที่ได้ปีนป่ายผ่านมา (ปฐวีกสิณ) หรือแดดที่ร้อนจ้าในตอนกลางวัน (เตโชกสิณ) หรือสายลมที่พัดผ่านกายในยามที่เดินชื่นชมกับธรรมชาติ (วาโยกสิณ) หรือสายน้ำอันเอิบอาบฉ่ำเย็นยามลงแช่ (อาโปกสิณ) หรือวิวทิวทัศน์ที่ว่าง และกว้างไกลสุดสายตายามเมื่อปีนถึงยอดเขา (อากาสกสิณ) ฯลฯ :b47: :b48: :b49:

และด้วยการจินตนาการถึงนิมิตต่างๆที่เจือด้วยความสุขความสงบความเบิกบานจากการท่องเที่ยวระหว่างวัน ก็จะทำให้นักปฏิบัตินั้น สามารถเข้าสมาธิ และ "รู้สึก" ถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติที่ใช้เป็นนิมิตได้โดยง่ายนะครับ :b1: :b46: :b39:

และนี่คือกุศโลบาย (กุศล + อุบาย) ที่สามารถดัดแปลงมาใช้ในการฝึกสมาธิ ด้วยสภาวะแวดล้อมที่สงบสุขและเบิกบานจากการได้ออกไปท่องเที่ยว
:b46: :b47: :b41:


โพสต์ เมื่อ: 10 ต.ค. 2015, 23:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ซึ่งหลังจากสวดมนต์นั่งสมาธิเสร็จ ก็จะถึงเวลาเข้านอน :b46: :b47: :b48:

และการเข้านอน ก็มีวิธีฝึกสติสัมปชัญญะตามคำของพระบรมครู ที่ท่านเทศน์สอนองค์พระโมคคัลลานะ ตามนี้ครับ :b1: :b46: :b39:

"แต่นั้นเธอพึงสำเร็จสีหไสยา คือ นอนตะแคงเบื้องขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า มีสติสัมปชัญญะ ทำความหมายในอันจะลุกขึ้น

พอตื่นแล้วพึงรีบลุกขึ้นด้วยตั้งใจว่า เราจักไม่ประกอบความสุขในการนอน ความสุขในการเอนข้าง ความสุขในการเคลิ้มหลับ

ดูกรโมคคัลลานะ เธอพึงศึกษาอย่างนี้แล ฯ"


โมคคัลลานสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕ อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต

http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=23&A=1873&Z=1938

ซึ่งถ้าผู้ปฏิบัติสามารถปฏิบัติตามศีลแปดข้อสุดท้าย คือละเว้นการนอนบนฟูกที่นุ่มหนา การฝึกสติสัมปชัญญะในเวลานอนตามคำสอนของพระบรมครู ก็จะไม่เป็นเรื่องที่ยากลำบากมากมายนะครับ :b1: :b47: :b42:

แล้วมาต่อกันในคราวหน้า :b46: :b47: :b46:

เจริญในธรรมครับ :b8:


โพสต์ เมื่อ: 23 ต.ค. 2015, 19:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


ลักษณะของสัมมาสมาธิ ต้องรู้ถึงสภาพไตรลักษณ์ของรูปนาม

การจำแนกระดับสัมมาสมาธินี้ เป็นความเห็นส่วนตัวว่า อาจจำแนกได้ 3 ระดับ
1 ระดับหยาบ เป็นการรู้เห็นความเกิดดับของสภาพนิวรณ์ธรรม
2 ระดับกลาง นิวรณ์ธรรมระงับลง เป็นการรู้ถึงการเกิดดับของสุขเวทนา
3 ระดับละเอียด การรู้ถึงความเกิดดับของ อทุกอสุขเวทนา หรือสภาพธรรมหนึ่ง ๆ

สัมาสมาธิระดับกลางและระดับละเอียด เป็นการรู้ถึงสภาพธรรมของฌานจิตที่เกิดดับตลอดเวลา ตามความเห็นของข้าพเจ้าตั้งแต่ ปฐมฌานจนถึงฌานที่6 ยังจัดเป็นสัมมาสมาธิ
แต่ในฌานที่7 และ8 มีสภาพที่ดิ่งลึกเกือบหมดความรู้สึก จึงไม่เหมาะแก่เจริญวิปัสสนา


โพสต์ เมื่อ: 02 พ.ย. 2015, 09:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


การเข้าใจว่าการดำรงฌานจิตนั้นไม่สามารถปฏิบัติวิปัสสนาได้ จนกว่าจะถอยจิตมาอยู่อุปจารสมาธิหรือขณิกสมาธิ เป็นความเข้าใจฌานจิตที่เกิดจากสมถกรรมฐาน ซึ่งเกิดจากการเพ่งควบแน่นรวมความรู้สึกที่จุดสนใจ จิตยึดโยงด้วยอุปาทานซึ่งเกิดจากตัณหาจะดำรงจิต ณ จุดสนใจ จิตบนพื้นฐานดังกล่าว ไม่สามารถเจริญวิปัสสนาในขณะนั้นได้ จนกว่าจะคลายสมาธิจนถึงระดับที่รู้ถึงการเคลื่อนไหว(อุปจารสมาธิอย่างอ่อนหรือขณิกสมาธิ) แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นการยากที่จะละอุปาทานที่สร้างจนชิน จึงทำให้เกิดแนวสอนที่พระพุทธองค์ตรัสกับปัญจวัคคีย์ในวันปฐมเทศนา นัยยะก็คือการแยกจิตกับอารมณ์ของจิต ซึ่งถูกตัณหาร้อยรัดไว้ เป็นอุปาทานที่สร้างภพแห่งพรหม การแยกจิตกับอารมณ์จิต คือการยกผู้รู้(จิต) ออกมารู้อาการของจิต ซึ่งก่อนที่ถึงจุดนี้ จำเป็นต้องอธิบายให้เห็นโทษของการเพ่ง (การละวาง)สิ่งถูกรู้ เพื่อเตรียมพื้นฐานการวางใจที่เป็นกลาง


โพสต์ เมื่อ: 06 พ.ย. 2015, 22:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตมาต่อกันครับ :b1: :b46: :b39:

คราวก่อนหน้าได้เขียนรายละเอียดของกิจกรรมในการปฏิบัติ เพื่อสลายตัวตนให้รวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับธรรมชาติอันบริสุทธิ์ :b47: :b46: :b41:

ซึ่งได้แก่การฝึกสติ สัมปชัญญะ และสมาธิของเซ็นบวกเถรวาทในแบบง่ายน้อยหน่อย คือในเวลาที่สามารถอยู่กับธรรมชาติด้วยตัวคนเดียว ด้วยการท่องเที่ยวไปในสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นธรรมชาติ โดยอาศัยสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติเป็นเหตุเป็นปัจจัย ที่ช่วยให้เกิดความเป็นสัปปายะ เกิดความสงบ เกิดความสุข และเกิดความเบิกบานในการฝึก :b48: :b48: :b49: :b49: :b54:

ซึ่งสิ่งที่เก็บเกี่ยวมาได้จากการฝึก และบันทึกลงเป็นสัญญาคือความจำได้หมายรู้ในความสงบ ความเบิกบานของสภาวะแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ และยิ่งกว่านั้นถ้าสามารถทำได้ก็คือ สามารถสัมผัสได้ในความเป็นหนึ่งเดียวกันของกายใจกับธรรมชาตินั้น ก็จะเป็นคุณเป็นประโยชน์ ที่ผู้ปฏิบัติสามารถนำเอาสัญญาเหล่านั้น มาใช้งานในการฝึกแบบง่าย ซึ่งก็คือการฝึกในรูปแบบ และสถานที่ๆกำหนดนั่นเองนะครับ :b1: :b46: :b39:

โดยคราวที่แล้วก็ได้ยกตัวอย่างไว้เล็กน้อยในการสวดมนต์ทำสมาธิก่อนนอน ด้วยการดึงเอาความจำได้หมายรู้จากธรรมชาติที่สะสมไว้เมื่อตอนกลางวัน มาเป็นองค์ภาวนา หรือเป็นนิมิตของการปฏิบัติตามรูปแบบในตอนกลางคืน :b49: :b50: :b51: :b51:

ซึ่งเราสามารถใช้กุศโลบายเดียวกัน เอามาเพื่อการปฏิบัติตามรูปแบบที่บ้าน เมื่อกลับจากการท่องเที่ยวมาทำงาน มาใช้ชีวิตอยู่ตามปรกติ
:b48: :b47: :b46:


โพสต์ เมื่อ: 06 พ.ย. 2015, 22:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เริ่มจากการนำมาปรับใช้ในวันที่สงบเบิกบานไม่วุ่นวายที่สุดของสัปดาห์ ซึ่งก็คือในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่มีเวลาปฏิบัติตามรูปแบบได้เต็มวัน :b49: :b50: :b48:

จากนั้นจึงนำไปใช้ปฏิบัติตามรูปแบบในวันทำงาน แต่เป็นวันทำงานในเวลาที่ไม่มีการงานอันวุ่นวายเข้ามารบกวน ซึ่งก็คือเวลาเช้ามืดก่อนไปทำงาน หรือเวลาเย็นหลังเลิกงาน หรือเวลาค่ำก่อนเข้านอน โดยอาจจะหาเวลาว่างสำหรับปฏิบัติตามรูปแบบได้สักหนึ่งถึงสองชั่วโมงในแต่ละวันที่ต้องทำงาน :b46: :b47: :b51:

ก่อนที่จะปรับแนวปฏิบัติเข้าไปใช้ในเวลาที่มีผัสสะมากระทบเยอะกว่า นั่นก็คือในเวลาที่ต้องยุ่ง ต้องวุ่นวายกับการงาน หรือต้องวุ่นวายกับผู้คนรอบข้าง
:b46: :b47: :b46:

นั่นคือกรณีของผู้ที่มีงานประจำจันทร์ถึงศุกร์ หรือจันทร์ถึงเสาร์นะครับ :b1: :b46: :b39:

ส่วนผู้ที่มีอาชีพส่วนตัวหรือเกษตรกรชาวไร่ชาวนา ก็ยิ่งมีอิสระในการหาเวลาว่างของแต่ละวันเพื่อที่จะปฏิบัติตามรูปแบบนะครับ แต่ในที่นี้จะยกตัวอย่างของผู้ปฏิบัติที่มีงานประจำจันทร์ถึงศุกร์ หรือจันทร์ถึงเสาร์ เพราะเป็นกรณีที่หาเวลาว่างในการปฏิบัติตามรูปแบบได้ยากกว่า :b49: :b55: :b51:

(แต่ทั้งสองกรณี ไม่ว่าจะมีงานประจำหรือทำงานอิสระ ถ้าพูดถึงการปฏิบัตินอกรูปแบบคือในเวลาที่ต้องทำงานแล้ว ก็จะไม่ต่างกันมากในแง่ผัสสะที่มากระทบ และในแง่ของเวลาที่จะใช้ปฏิบัติ เพราะถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ทุกเวลาก็คือเวลาที่ใช้ปฏิบัติได้ทั้งสิ้นนะครับ แต่ตอนนี้เราพูดถึงกรณีของการปฏิบัติที่ง่ายที่สุด คือการปฏิบัติตามรูปแบบและสถานที่ๆกำหนด ที่เป็นสัปปายะ ด้วยตัวคนเดียวกันก่อน) :b49: :b50: :b44:


โพสต์ เมื่อ: 06 พ.ย. 2015, 22:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มายกตัวอย่างการปฏิบัติ ทั้งตามรูปแบบและทั้งในการใช้ชีวิตประจำวันในวันหยุดของผู้ที่มีงานประจำกันก่อนนะครับ :b1: :b46: :b39:

เหมือนเช่นที่หลวงปู่นัท ฮันห์ท่านแนะนำไว้นะครับ เราสามารถกำหนดวันหยุดที่มีโอกาสอยู่กับบ้านและไม่ได้ออกไปไหนไกลๆ ให้เป็นวันแห่งการเจริญสติอย่างเข้มข้นประจำสัปดาห์ :b50: :b51: :b54:

ที่จำเป็นต้องกำหนดวันกันไว้ก่อนก็เพื่อที่จะเอาไว้ให้ระลึกได้ว่า เราจะใช้เวลาส่วนใหญ่ที่อยู่คนเดียวในวันหยุดทั้งวันนั้น สำหรับการเจริญสติ สัมปชัญญะ และสมาธิ ทั้งตามรูปแบบในเวลาที่กำหนด และในการใช้ชีวิตปรกติประจำวัน :b43: :b47: :b49:

ซึ่งเราสามารถจำลองการปฏิบัติขณะออกไปท่องเที่ยว ให้เข้ามาอยู่ในวันหยุดที่อยู่กับบ้านได้ง่ายๆ ก็ด้วยการหาสถานที่ที่ใกล้เคียงธรรมชาติที่อยู่ใกล้ๆบ้าน เอาไว้เป็นที่สัปปายะสำหรับการฝึกได้นะครับ :b1: :b42: :b46:

เช่นในสวนสาธารณะใกล้ๆบ้าน ในพื้นที่ส่วนกลางของหมู่บ้านหรือคอนโด แม้แต่ในสวนหลังบ้าน หรือสวนไม้น้ำในตู้ปลา ก็สามารถเอาไว้เป็นองค์ภาวนาที่ทำให้ได้ใกล้ชิดธรรมชาติได้ง่ายๆ
:b46: :b47: :b46:

หรือถ้าเป็นผู้ที่มีบ้านอยู่ชนบท หรือเป็นชาวนาชาวไร่ก็ยิ่งสะดวกในการหาสถานที่ที่ใกล้เคียงธรรมชาติในการฝึกนะครับ แค่ตื่นเช้าขึ้นมาก็ได้ยินเสียงของธรรมชาติ เช่น เสียงของนกกาที่ออกหากิน เสียงไก่ขัน ฯลฯ รวมกับอากาศอันบริสุทธิ์ของชนบทในยามเช้า แค่นี้ก็ได้บรรยากาศของการใกล้ชิดธรรมชาติรอบๆตัวแล้ว :b48: :b47: :b41:

แต่สำหรับผู้ที่ทำงานประจำ เริ่มกันตั้งแต่ตื่นนอนในตอนเช้าของวันหยุด ที่กำหนดไว้ให้เป็นวันแห่งการเจริญสติ :b49: :b48: :b49:

ด้วยรูปแบบเดียวกันกับวันที่ออกไปท่องเที่ยวนะครับ ผู้ปฏิบัติก็อาจจะตื่นแต่เช้ามืดสักหน่อย เปิดมือถือในโหมดสั่น ตั้งใจว่าวันนี้ทั้งวันจะละเว้นการใช้ social network ทุกชนิด ก่อนจะเข้าห้องน้ำแปรงฟันล้างหน้าอาบน้ำเพื่อให้ร่างกายสดชื่น :b46: :b47: :b46:

โดยทำอย่างมีสติรู้เนื้อรู้ตัว แปรงฟันเพื่อแปรงฟัน ล้างหน้าเพื่อล้างหน้า อาบน้ำเพื่ออาบน้ำ มีสติอยู่กับกายที่เคลื่อนไหว และใจที่รู้ทันความคิดฟุ้งปรุงแต่ง :b46: :b47: :b46:


โพสต์ เมื่อ: 06 พ.ย. 2015, 22:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ซึ่งเวลาอาบน้ำ ก็ให้สัมผัสได้ในความเอิบอาบฉ่ำเย็นของน้ำที่อาบ สัมผัสได้ในความสงบของธรรมชาติ ในอากาศที่บริสุทธิ์ และจิตใจที่เบิกบานใสสะอาดในยามเช้าที่ปราศจากความวุ่นวาย สบายๆ สดชื่นสดใสอยู่ได้ตลอดช่วงของการฝึกสติรู้กายในการทำกิจวัตรประจำวันช่วงเช้า :b46: :b47: :b39:

และหลังจากอาบน้ำอย่างมีสติ โดยทำความรู้สึกให้เป็นหนึ่งเดียวกับสายน้ำไปจนร่างกายสดชื่นแล้ว ก็ให้ยิ้มน้อยๆด้วยความเบิกบาน ก่อนจะสวดมนต์และทำสมาธิภาวนาซักครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง :b47: :b48: :b40: :b40:

ซึ่งในการทำสมาธิภาวนา ผู้ปฏิบัติก็อาจจะดึงสุขสัญญาที่จดจำไว้จากการท่องเที่ยวธรรมชาติมาเป็นองค์นิมิต เพื่อจูงจิตให้เกิดความสุข ความสงบ และความเบิกบานจากสมาธิภาวนาได้ง่ายๆ :b49: :b47: :b46:

ซึ่งนอกจากได้เรื่องการเจริญสมาธิแล้ว ในระหว่างปฏิบัติ ยังสามารถเฝ้าพิจารณาการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของเจตสิกธรรมต่างๆที่เกิดขึ้นขณะทำสมาธิ เป็นการฝึกสติสัมปชัญญะ และฝึกวิปัสสนาคู่ไปกับสมาธิภาวนาได้อีกทางหนึ่ง :b49: :b48: :b46:

เช่น การนั่งดูการผุดเกิดขึ้นของสัญญา เวทนา และวิตก หรือความคิดฟุ้งที่ผุดขึ้นมาได้เองของสังขารขันธ์ในจิต เพื่อให้เห็นถึงไตรลักษณ์แห่งสังขารขันธ์ และไตรลักษณ์แห่งจิต
:b46: :b47: :b48:

(เหมือนที่องค์หลวงพ่อเทียนท่านว่า คิดเป็นหนู รู้เป็นแมว ซึ่งจะลงรายละเอียดกันอีกทีในช่วงของการฝึกสติสัมปชัญญะผ่านการรู้ใจ และการเจริญสติด้วยการเคลื่อนไหวแบบขององค์หลวงพ่อเทียนนะครับ) :b1: :b47: :b48:

หรือถ้าสามารถดึง "ความรู้สึก" ในอาการของการรวมเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างกายใจกับธรรมชาติ โดยไม่มีการแบ่งแยกระหว่างผู้รู้กับสิ่งที่ถูกรู้ ซึ่งก็คืออนัตตสัญญาที่บันทึกมาขณะฝึกตอนออกไปท่องเที่ยว เอามาเป็นองค์ภาวนาได้ :b46: :b47: :b46:

ก็จะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ผู้ที่เป็นอริยบุคคลในชั้นต่างๆ สามารถนำมาภาวนาเพื่อเข้าสู่ผลสมาบัติที่มีนิพพานเป็นอารมณ์
:b46: :b47: :b46:

(ซึ่งจะลงรายละเอียดอีกครั้งในอานาปานสติภาวนาขั้นที่ ๑๕ และ ๑๖ คือนิโรธานุปัสสี และปฏินิสสัคคานุปัสสี ในช่วงอธิปัญญาสิกขานะครับ) :b1: :b46: :b47:


โพสต์ เมื่อ: 06 พ.ย. 2015, 22:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


และหลังจากสวดมนต์นั่งสมาธิในช่วงเช้าเสร็จ ก็อาจจะหาเวลาเดินจงกรมกันสักช่วงใหญ่ๆ :b46: :b47: :b46:

และตามที่ได้กล่าวไว้แล้วนะครับ เราอาจจะหาสวนสาธารณะใกล้ๆบ้าน หรือพื้นที่สวนส่วนกลางในหมู่บ้านหรือในคอนโดฯ หรือถนนซอยใกล้ๆบ้านที่ไม่มีผู้คนและรถยนต์พลุกพล่านในยามเช้า :b47: :b48: :b49: :b49:

หรือแม้แต่สวนในบ้านที่พอจะจัดพื้นที่เดินได้ เอาไว้ฝึกเพื่อให้เข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันของธรรมทั้งหลายที่ว่างเปล่าจากตัวตน หรือศูนยตาธรรม ด้วยการอาศัยธรรมชาติที่สงบงามในยามเช้านั้น เป็นส่วนช่วยจูงจิต ใหรู้สึกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันของธรรมทั้งหลาย
:b48: :b46: :b49:

ซึ่งพื้นที่ที่ว่าไว้นี้นั้น ถึงแม้จะไม่เป็นที่สัปปายะสักเท่าไหร่เมื่อเทียบกับสถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติ แต่ก็เป็นสถานที่ที่เราสามารถหาได้ง่ายที่สุดใกล้ๆตัว เอาไว้พอกล้อมแกล้มแก้ขัดในการภาวนาของวันหยุดและวันทำงานตามปรกตินะครับ :b1: :b47: :b46:

ซึ่งหลังจากเดินจงกรมสักพักตามที่เคยบรรยายไว้ในการเดินจงกรมขณะไปเที่ยวแล้วนั้น :b47: :b49: :b46:
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=35471&start=1142

ผู้ปฏิบัติก็อาจจะทำอาหารที่เตรียมได้ง่ายๆ เอาไว้ทานในยามเช้า :b46: :b47: :b41:

ซึ่งการเตรียมอาหารและทานอาหารในยามเช้า ก็ถือโอกาสฝึกสติสัมปชัญญะและสมาธิไปด้วยในตัว ด้วยหลักการและวิธีการที่เคยได้อธิบายไว้ก่อนหน้าแล้วนะครับ :b1: :b46: :b39:
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=35471&start=1164

หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จ พอตกสายๆหน่อย ผู้ปฏิบัติก็อาจจะจัดเวลาไว้สำหรับทำงานบ้าน เช่น ล้างจาน ซักเสื้อผ้า เก็บกวาดทำความสะอาดบ้าน ฯลฯ :b47: :b48: :b47:

ก็ให้ผู้ปฏิบัติ ทำงานบ้านเพื่อทำงานบ้าน อยู่กับปัจจุบันขณะ อย่างมีสติ สัมปชัญญะ และสมาธิ :b46: :b47: :b46:


โพสต์ เมื่อ: 06 พ.ย. 2015, 22:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พอตกบ่าย หลังจากทานข้าวกลางวันแล้ว ก็อาจจะทำชีวิตให้ slow life ด้วยการหางานอดิเรกทำ เช่น ทำของแต่งบ้าน อ่านหนังสือ ทำขนมไว้ทานกับน้ำชาอุ่นๆสักถ้วย จัดสวน ฯลฯ เพื่อเอาไว้เป็นเครื่องฝึกสติ ฝึกสัมปชัญญะ ฝึกสมาธิ และเอาไว้เป็นเครื่องอยู่ เป็นวิหารธรรมที่สงบปราณีตในช่วงบ่ายถึงเย็นของวันหยุดสุดสัปดาห์ :b46: :b47: :b41:

พอย่ำค่ำหลังเวลาอาหารเย็น ก็อาจจะหาเวลาไปเดินย่อยอาหารและเดินจงกรมฝึกสติในสวนสาธารณะใกล้ๆบ้าน :b46: :b47: :b46:

โดยการเดินจงกรมในสวนสาธารณะนี้ ก็ได้เคยบรรยายวิธีการอย่างละเอียดกันไว้แล้วในตอนต้นๆนะครับ :b1: :b46: :b39:
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=35471&start=538

และหลังจากเดินจงกรมในสวนสาธารณะหรือในบริเวณใกล้ๆบ้านเสร็จ กลับบ้านมาอาบน้ำแปรงฟัน พอตกค่ำก็อาจจะเปิดทีวีดูข่าวสารประจำวัน อ่านหนังสือ หรือหางานเบาๆทำเพื่อเอาไว้ฝึกสติ และเป็นเครื่องอยู่ในยามค่ำ ก่อนที่จะไปสวดมนต์นั่งสมาธิกันอีกซักรอบก่อนเข้านอนนะครับ :b1: :b46: :b39:

เพียงแค่นี้ ผู้ปฏิบัติก็สามารถที่จะทำวันหยุด ให้เป็นวันแห่งการฝึกสติ ฝึกสัมปชัญญะและสมาธิ ได้อย่างมีคุณค่าต่อชีวิตแล้วละครับ :b1: :b46: :b47:

ไว้คราวหน้ามาต่อกันที่การฝึกสติ ฝึกสัมปชัญญะและสมาธิ ในช่วงที่ฝึกได้ยากที่สุด ก็คือในช่วงวันที่ต้องทำงานตามปรกติ ที่มีผัสสะเวทนาจากการงานและผู้คนรอบข้างเข้ามากระทบ จนกระทั่งกระแทกเข้ามาในจิตใจ ให้แกว่งไหวไปในชอบชังได้เกือบตลอดเวลานั่นหล่ะครับ :b1: :b46: :b47:

เจริญในธรรมครับ :b8:


โพสต์ เมื่อ: 21 พ.ย. 2015, 21:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1012

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตมาต่อกันครับ :b1: :b46: :b39:

จากคราวที่แล้วที่เล่าถึงการใช้วันหยุดสุดสัปดาห์ในการฝึกสติ สัมปชัญญะ และสมาธิ ซึ่งผู้ปฏิบัติสามารถปรับการฝึกดังกล่าว เอาไปใช้ได้ในวันทำงาน แต่เป็นวันทำงานในช่วงที่สามารถหาเวลาฝึกตามรูปแบบด้วยตัวคนเดียวได้ เช่น ในตอนเช้าก่อนออกจากบ้านไปทำงาน ในตอนเย็นหลังเลิกงาน หรือในตอนค่ำก่อนเข้านอน :b48: :b49: :b48:

ซึ่งการฝึกในวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือการฝึกตามรูปแบบในวันทำงาน ก็เหมือนกับเป็นการสะสมพลังงานแห่งสติ สัมปชัญญะ และสมาธิ เพื่อเอามาใช้ให้เกิดสุจริต ๓ คือกายสุจริต วจีสุจริต และมโนสุจริต ในช่วงของการฝึกที่ยากที่สุด ซึ่งได้แก่การฝึกในขณะทำงาน ที่มีการกระทบกระทั่งแห่งจิต (หรือที่เรียกเป็นบาลีว่า ปฏิฆะ) มากมายกว่าในวันหยุด หรือในตอนเช้าหรือเย็นหลังเลิกงานนะครับ :b1: :b46: :b39:

โดยในช่วงขณะของวันทำงาน เราก็ยังสามารถแบ่งความยากง่ายของการฝึกได้เป็นอีกใน ๔ กรณี ตามความแตกต่างของปัจจัยภายใน (คือจิต) และปัจจัยภายนอก (คืองาน และผู้เกี่ยวข้องในงาน) อันได้แก่ :b48: :b47: :b49:

๑) การฝึกในขณะที่ต้องทำงาน หรือต้องคิดงานด้วยตัวคนเดียว โดยเป็นงานที่สนุก ไม่มีอุปสรรคมาก ทำให้เกิดแรงจูงใจในการทำงาน และไม่มีความบีบคั้นเรื่องเวลาที่จะต้องให้งานเสร็จเมื่อไหร่ หรือมีเวลาเหลือมากมายที่จะใช้เวลาคิดหรือทำงานด้วยตัวคนเดียวได้ :b46: :b47: :b46:

๒) การฝึกในขณะที่ต้องทำงาน หรือต้องคิดงานด้วยตัวคนเดียว แต่มีแรงบีบคั้นจากตารางเวลาที่ต้องเสร็จให้ทันเมื่อนั่นเมื่อนี่ หรือเป็นงานที่น่าเบื่อหน่าย ทำให้ไม่เกิดแรงจูงใจในการทำงาน หรือเป็นงานที่มีอุปสรรคที่ไม่ได้เกิดจากคน แต่เกิดจากธรรมชาติอื่นๆ จนทำให้เกิดความท้อแท้ในงานได้ง่าย :b48: :b50: :b51:

๓) การฝึกในขณะที่ต้องทำงาน และต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง หรือลูกค้า ฯลฯ ภายใต้บรรยากาศแห่งความร่วมมือ :b55: :b54: :b49:

๔) การฝึกในขณะที่ต้องทำงาน และต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง หรือลูกค้า ฯลฯ ภายใต้บรรยากาศแห่งความกดดันขัดแย้ง :b48: :b49: :b48:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1416 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 76, 77, 78, 79, 80, 81, 82 ... 95  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร