วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ย. 2025, 09:37  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 274 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11 ... 19  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2019, 23:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2218

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)

และจากข้อความนี้ ที่เลียนแบบคำที่หลวงปู่ดูลย์ อุตตโล ท่านที่กล่าวว่า

"จิตส่งออก เป็นสมุทัย"

อันนี้ ก็ขอให้บรรดาศิษยานุศิษย์ สายหลวงปู่ดูลย์ และ ผู้ที่ปฎิบัติตามแนวทางหลวงปู่ดูลย์
ได้ เห็นกันชัดๆ

ขอให้มองดูกันให้ชัดๆเรยค่ะ ว่า กว่าที่จะออกสโลแกน เลียนแบบนั้นออกมา

ว่า แสดงความเคลื่อน แสดงการส่งออก จนเข้าไปพัวพันรู้ ตามไปเสียท่าอยู่กะวิญญาน ขนาดไหน

ถ้าผู้ปฎิบัติตามหลวงปู่ดูลย์จริงๆ ก็เห้นกันได้ชัดๆ กันแหละค่ะ

ว่านั่นไม่ใช่ผู้ปฎิบัติ เรียกว่า ปฎิบัติไม่เอาไหนเรยด้วยซ้ำ ค่ะ

บอกตงๆ อายแทนเรยค่ะ คริคริ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2019, 11:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สมมติ การรู้ร่วมกัน, การตกลงกัน, การมีมติร่วมกัน หรือยอมรับร่วมกัน

สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ คือ โดยความตกลงหมายรู้ร่วมกันของมนุษย์ เช่น นาย ก. นาย ข. ช้าง ม้า มด โต๊ะ หนังสือ พ่อ แม่ ลูก เพื่อน ลานธรรมจักร ลานธรรมเสวนา พันทิพ พลังจิต เป็นต้น ซึ่งเมื่อกล่าวตามสภาวะ หรือโดยปรมัตถ์แล้วก็เป็นเพียงสังขาร หรือนามรูป หรือขันธ์ ๕ เท่านั้น

บัญญัติ การตั้งขึ้น, ข้อที่ตั้งขึ้น, การกำหนดเรียก, การเรียกชื่อ, การวางเป็นกฎไว้, ข้อบังคับ


:b1:

รู้จักสมมติแล้วใช้ให้เป็น ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ก็ใช้สมมติกันอยู่ แต่มากคนไม่รู้จักสมมติ


ความหมายของคำว่าสมมุติ ของคุณกบนอกกะลา
น่าจะหมายถึงการปรุงแต่งเวทนาของสัญญาสังขาร
อันนี้ผมเคยเห็น



สาธุคครับท่านเจ ถูกแล้วดีแล้วครับท่าน :b8: :b8:


นั่นเอาคำศัพท์และความหมายไปคิดเอาเอง :b1: สมมติ (สํ+มติ เป็นบาลี) ความเห็นร่วมกัน,ข้อที่ตกลงร่วมกัน ตัวอย่างง่ายๆ ทางม้าลาย สังคมสมมติ คือ ตกลงร่วมกันว่า ใช้เป็นทางสำหรับคนเดินข้าม นี่แหละข้อตกลง นี่แหละสมมติ

ไฟเขียวไฟแดงก็ทำนองเดียวกัน ไฟแดง ตกลงกันว่าหยุด ไฟเขียวไปได้ นี่แหละสมมติ ไม่ใช่ปรมัตถ์ ถ้าว่าโดยปรมัตถ์ไฟเขียวไฟเหลืองไฟแดงไม่มี มีแต่รูป, รูปธรรม มันเป็นรูปธรรม


คืออย่างนี้ครับ เรากำลังสนทนาในเรื่องเกี่ยวกับจิตรู้สมมุติ
เราเข้าใจกันว่าที่กล่าวว่าจิตรู้สมมุติ สมมุติที่ว่านั้นหมายถึงอะไร
ผมเห็นคุณ กรัชกาย ร่วมสนทนาด้วยในเรื่องเกี่ยวกับคำว่า สมมุติ
ผมจึงอธิบายความหมายของคำว่าสมมุติที่เราเข้าใจกัน ให้คุณกรัชกายเข้าใจด้วย
จะได้สนทนากันเข้าใจ ประมาณนี้ครับ

ส่วนคำว่าสมมุติก็มีความหมายตามที่คุณกรัชกายกล่าวนั้นแหละ



คือ สมมติของ ผม ท่านเจ ท่านอ๊บ คืออันเดียวกันซึ่งเป็น ธัมมารมณ์

ส่วนที่ท่านกรัซกายยกมาคือ สมมติสัจจ์ที่เป็นการบัญญัติ คือคำนาม Noun ที่ใช้เรียกของลักษณะอาการความรู้สึก การกระทำต่างๆ ที่เป็นกริยา Verb รวามไปถึงคุณศัพทฺ หรือคุณสมยัติของสิ่งนั้นๆ Adjective


อ้างคำพูด:
คือ สมมติของ ผม ท่านเจ ท่านอ๊บ คืออันเดียวกันซึ่งเป็น ธัมมารมณ์


คุณทั้งสาม นำศัพท์และความหมาย (สมมติ) ของเขาไปตีความเอาเอง

ธรรมารมณ์ อารมณ์คือธรรม, สิ่งที่ถูกรับรู้ทางใจ, สิ่งที่รู้ด้วยใจ, สิ่งที่ใจรู้สึกนึกคิด




อะไรเป็นตัวรู้ครับ สมมติคืออะไรรู้ จริงคืออะไรรู้ ครับ
:b1: :b1: :b1:

ผม ขน เล็บ ฟันหนังหรอครับเป็นตัวรู้สิ่งที่จำ ผม ขน เล็บ ฟัน หนังหรอครับเป็นตัวรู้คิด ผม ขน เล็บ ฟัน หนังหรอครับที่รู้สึกเสวยอารมณ์
ผมหรอครับที่รู้ธัมมารมณ์ :b1: :b1: มันก็เปธรรมชาตอคนไม้เคยเห็นจริงจะอัตตาสมมติสัจจ์ครับ


ธรรมารมณ์ เป็นสมมติอะไรของคุณขอรับ


สิ่งใดที่ใจรู้โดยความไม่จริงทางใจ คือสมมติทั้งหมด เช่น ความคิด เมื่อ ๓ ปีก่อนมีคนทำให้คุณโกรธเแค้นใจมากจนผูกแค้นผูกพยาบาท จนถึงวันนี้คุณก็ยังคิดถึงเรื่องนั้น ทั้งๆที่มันจบไปแล้วตั้ง ๓ ปี คุณยังเอามาคิดจนร้อนรุ่มเหมือนว่ามันกำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ถามว่าวิตกมีจริงไหม ย่อมมีจริง แต่สิ่งที้คิดนั้นไม่มีอยู่จริงในปัจจุบัน วิตกความตรึก สิ่งที่มันตรึกไม่มีอยู่จริงในปัจจุบัน มโนภาพ มโนกรรม เจตนา มีจริง แต่สิ่งที่หวนระลึกถึงไม่มีอยู่จริงในปัจจุบัน นี่เป็นสมมติไหมเล่า แล้ว มโนภาพ สอ่งมี้ตรึก ที่ใจรู้นั้นเป็นธัมมารมณ์ หรือ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟกันเล่า

ความสุขกามคุณ ๕ มันเกิดขึ้นที่ใจโดยตรงหรือไม่ หรือสุขที่เกิดจากเม็ดสีที่เรียงกันเป็นสีสันฐานต่างๆ ที่รู้ทางตา มีความจำได้หมายรู้ว่าเป็นรูปที่เจริญใจ ก็สุข สุขนั้นมันเกิดที่ใจโดยตรงหรือสังขารซ้ำจากเม็ดสีจนรู้ตัวตนเป็นสอ้งที่เจริยใจ จึงสุขที่เห็น

เสพย์เมถุนจริงๆแล้วเวลาที่องคชาติมันรูดเข้าออกช่องคลอด เสียวที่องค์ชาติ ก็ติดใจเสียวเพราะเสัยบเข้าช่องคลอด ก็ติดใจ หลง
..ซึ่งจริงๆแล้วอาการที่มันรับรู้ได้ทางกายหรืององคชาติมันมีแค่อาการที่อ่อน นุ่ม แข็ง เสียดสี เคลื่อนไหวสัมผัส อุ่นๆ เอิบอาบเกาะกุม ไม่มีเกินนี้
..ก็แล้วที่ว่าเสียว มันเสียโดยตรง สุขที่ใจโดยตรง หรือเพราะสมมติว่าสุขจากสัมผัสมี่อ่อนแข็งเสียดสี ไหวเคลื่อน อบอุ่น เอิบอาบ ที่เจริญใจนั้นเล่ามันสุขทั่เนื่องด้วยกายเกิดที่กาย หรือเกิดที่ใจ ก็ถ้าสุขที่ใจโดยตรงแล้วเราไม่ต้องไปทำไรๆกับองคชาติไม่ต้องมีเพศสัมพันธ์ ใัจก็สุขแล้วสิ สิ่งที่ใจรู้ว่าสุขนี้มันเป็นของจริงหรือของสมมติกันเล่า เป็นสุขที่เนื่องด้วยกายหรือเนื่องด้วยใจเล่า มันสุขได้ด้วยตัวมันเองกรืออาศัยสิ่งอิ่นมาทำให้มันสุขกันเล่า เป็นสุขที่อิงอามิส หรือไม่อิงอามิสเล่า แล้วความรู้สึกสุขนี้เป็นธัมมารมณ์ หรือเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นสิ่งที่ใจรู้สืบต่อสมมติทางกายหรือเกิดขึ้นที่ใจโดยตรง หากเป็นธัมมารมณ์ ดังนั้นธัมมารมณ์นี้เป็นสมมติหรือไม่เล่า


คุณนำศัพท์ทางธรรม มามโนด้นเดาเอาตามความคิดของตนเองทั้งเพเบย :b1: นี่แหละเขาเรียกธรรมปฏิรูป :b13:

ให้ดูหลักของเขานิดหนึ่ง

- รูปารมณ์

-สัททารมณ์

-คันธารมณ์

- รสารมณ์

- โผฏฐัพพารมณ์

- ธัมมารมณ์

มันไม่เป็นสมมติอย่างที่จับไปใส่ให้มันหรอก



ครับตามแต่ปัญญาสะสมมาของแต่ละคนจะเข้าเห็นได้ ลองดูว่าธรรมมารมณ์มีอะไรบ้าง ไม่ได้บอกว่าเป็นของสมมติทั้งหมด มันมีทั้งจริงและไม่จริงตามที่อธิบาย..สิ่งใดจริงก็บอก สิ่งใดสมมติก็บอกไว้แล้วครับ แล้วอธิบายเรื่องกามคุณ ๕ ก็แยกไว้ชัดเจนในผัสายตนะแล้ว ตั้งแต่โผฐัพพายตนะ มาจนถึงมนายตนะ เวทนาทางกายที่ส่งมาให้ใจรู้ อุปาทาน อยู่ที่..ปัญญา คือ..ความรู้ความเข้าใจของแต่ละคนต่างกัน และการเห็นจริงกับคิดตามเอามันคนละอย่างกันครับ

ลองไปหาดูนะครับ ธัมมารมณ์มีอะไรบ้าง เห็นได้มากน้อยก็ไม่ผิด แต่ไม่เห็นไม่รู้จริงแล้วอัตตานี่ผิด หรือเห็นแค่นิดหน่อยแต่อัตตาหลงก็ผิด ..และผมอาจจะผิดก็ได้

.. เรื่องสมมติสัจจ์ผมก็เรียนรู้จึงไม่ว่ากระไรและไม่ขัดท่าน มันถูกตามตำราสมมติสัจจ์ ที่เป็นคำอธิบายถึงบัญญัติ กับความรู้สึกจริง ที่สัตว์โลกมี แต่บัญญัติขึ้นมาเพื่อใช้เรียกใช้กล่าวเพื่อความเข้าใจที่ตรงกันต่างๆกันไปตามแต่ละชุมชน พื้นที่ ประเทศ

.. ส่วนเรื่องที่คุยกันระหว่างผม ท่านเจ ท่านกบ คือการเห็นจากการปฏิบัติ การเห็นรู้ได้จากการปฏิบัติตามจริง

.. ตรงนี้คือจุดต่างระหว่างคนทำกับคนเรียนปริยัติแต่ยังไม่ปฏิบัติทำให้เห็นจริงครับ

.. สมมติ มีความหมายคือ สิ่งที่ไม่มีอยู่จริงในขณะนั้นๆ สิ้งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นเลย ความคาดคะเน จินตนาการ รวมไปถึง การตั้ง การกำหนดให้เกิดมีขึ้นโดยที่เรื่องนั้นยังไม่เกิดขึ้น หรือไม่มีอยู่ในขณะนั้นๆ หรือไม่ใช่ความจริง เพื่อจำลองเหตุการณ์ สถานะ สภาวะให้เข้าใจตรงกันบ้าง เพื่อสืบต่อเรื่องราวเสมือนจริงบ้าง

ขออนุโมทนาครับท่านกรัซกาย



อ้างคำพูด:
สมมติ มีความหมายคือ สิ่งที่ไม่มีอยู่จริงในขณะนั้นๆ


นี่แหละครับที่บอกว่า เอาศัพท์ของเขามา "สมมติ" แล้วมาพูดมาอธิบายเอาเองว่านั่นๆนี่ๆดังว่านั้นแหละ นี่แหละธรรมปฏิรูป

คำว่า "คน" เป็นสมมติไหม



ไม่ใช่ศัพท์ของเขาหรือใครครับ เป็นการสอนปฏิบัติของพระป่าสายหลวงปู่มั่นทั้งหมด ซึ่งคนที่ปฏิบัติในสายพระป่าจะรู้จักกันในเรื่องนี้ พระป่าท่านจะสอนเหมือนกัน คนมีครูบาอาจารย์จะรู้จักกันครับ

.. โดย "สมมติ" ของผม..ไม่ได้กล่าวจำเพาะจิตส่งออกนอก หรือ ความคิดเท่านั้น แต่รวมทั้ง..สมมติสัจจ์, การที่ไม่เห็นของจริงในภายใน, จนถึงจิตไม่เดิน, จิตไม่ทำกิจ ชื่อว่าไม้รู้อริยะสัจ ๔ ไม่ว่าคนใดที่ปฏิบัติสายพระป่าจะรู้และเข้าใจ หรือท่านใดที่ปฏิบัติธรรมเห็นธรรมจริงเกิดญาณทัศนะจะรู้ชัดได้

.. ส่วนทานใดที่ยึดถือบัญญัติทั้งๆที่กล่าวคำว่าไม่มี โดยที่ยังไม่ปฏิบัติให้เห็นจริงก็ไม่แปลกที่จะขัดใจ เพราะเขาเข้ารู้ตามไม่ได้จึงว่าผิด ว่าไม่จริงไม่มี เพราะไม่สามารถสัมผัสของจริงในสิ่งนั้นๆได้นั่นเอง

.. ส่วนสิ่งที่ท่านพูดมาตามตำราผมรู้หมด ไม่ขัด เพราะผมก็ศึกษาเรียนมาเช่นกัน

.. และที่สำคัญพระพุทธศาสนาเหมือนกัน ผมก็ไม่รู้จะอยากเอาชนะไปทำไม อันไหนมันก็ดี อยู่ที่ปัญญาของแต่ละคนที่มีไม่เท่ากัน จึงเข้าถึงได้ไม่เท่ากัน


ส่วนคนที่อ่านอภิธรรมท่องจำแล้วปฏิบัติ จะรู้จักแต่สมมติสัจจ์ ครับ ดังว่านักปริยัติ จะกล่าวว่า เวทนา คือ ความเสวยอารมณ์ สุข ทุกข์ เฉยๆ ส่วนนักปฏิบัติที่เห็นเวทนาจะกล่าวเพียงว่า ความรู้สึก เมื่อไรรู้ว่าสุข ทุกข์ เฉยๆ คือ สมมติเวทนาจากสัญญาปรุงแต่งให้จิตรู้ว่าเจริญใจ หรือไม่เจริญใจ หรือเฉยๆ

ท่านคิดไหมว่า ทำไมท่านอ๊บ ท่านเจ จึงคุยกันกับผมรู้เรื่องได้ นั่นเพราะเขาปฏิบัติในทางเดียวกันนั่นเอง ถึงไม่ต้องถามว่าท่านปฏิบัติแบบไหน อย่างไร กับใคร แต่ก็รู้ได้ทันทีครับ

ถ้าแยกไม่ออกระหว่าง วิตก กับสิ่งที่คิด ไม่รู้จักว่าทั้งวิตก กับสิ่งที่คิดคือ ธัมมารมณ์ ที่เป็นสมมติ และของจริง ก็ไม่สามารถจะไปต่อเกินนี้ได้ครับ

ถามว่า หากท่านกรัซกายรักใครสักคน แต่ไม่มีโอกาสได้คบหาเขา เพราะอายบ้าง ไม่กล้าพูดบ้าง ยังแอบรักข้างเดียว
.. พอกลับบ้านก็นึกถึงผู้หญิงคนนั้น อยากได้เป็นแฟน เป็นภรรยา
.. เมื่อนึกถึงเขาประกอบกับความปารถนาก็ให้นึกถึงสร้างเรื่องราวว่าได้รักกัน คู่กัน อยู่ด้วยกัน
.. ถามว่าเรื่องราวที่คิดนั้นเป็นเรื่องจริงเกิดขึ้นจริง หรือแค่สมมติ ความคิดมีจริงไหม มีจริงใช่ไหม แล้วเรื่องราวที่คิดนั้นจริงไหม
.. กามคุณ ๕ ที่อธิบายไว้ นี่เป็นมหาสติปัฏฐาน คนที่เดินเข้าเวทนานุปัสสนาจึงจะรู้ได้ เวทนานี้แหละเป็นตัวโซ่คล้อง เชื่อม ยึดใจกับกายไว้ด้วยกามคุณ ๕
.. สมมติที่กล่าวไว้ คือ จิต คนที่เดินเข้าจิตตานุปัสสาจะรู้ได้ว่า จิต คือ ธัมมามณ์ ตัดธัมมารมณ์ มีโสมนัส โทมนัส อุเบกขา อารมณ์ความรู้สึกต่างๆออกจากสมมติกิเลสของปลอม จึงเห็นจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้เห็นแยกธัมมารมณ์ก็จะเริ่มเห็นและรู้จักไตรลักษณ์แท้ๆ
.. ส่วนสมมติกิเลสของปลอม คือ จะนิวรณ์ก็ดี จะอวิชชาก็ดี ความหลงตามกิเลส เพราะไม่รู้ของจริง เพราะของจริงเกิดจากรู้เห็นในพระอริยะสัจ ดังนั้นสัตว์ไม่รู้เห็นพระอริยะสัจจึงลูบคลำความเป็นตัวตนในขันธ์ (เพราะพระอริยะสัจ ๔ นี้ คือ วิชชา) ดังนั้นหากจิตไม่ทำกิจในพระอริยะสัจ ๔ ครบรอบ ๓ อาการ ๑๒ จึงยังหลงสมมติอยู่อย่างนั้น แม้ท่องจำครบพระอภิธรรม ๗ คำภีร์ก็ได้แต่แบกตำราตัวหนังสือ


ลองปฏิบัติให้ได้ฌาณนะครับ พอเมื่อปฏิบัติไป จะเข้าใจรู้จัก วิจาร วิจารคืออะไร ก็ตัวรื่องราวของสิ่งที่ตรึกนั้นแหละคือวิจาร เพื่อละอกุศลวิตก และอกุศลวิจาร การกรรมฐานจึงมี พุทโธ เป็นวิตก มีวิจารคือลม แต่คิดว่าถึงพูดไปก็คงไม่เกิดประโยชน์ คนที่ท่องจำกับคนที่ปฏิบัติจะเรียนรู้ ทำความรู้ความเข้าใจมาต่างกัน ส่วนคนที่มีทั้งปริยัติ ปฏฺบัติ ถึง ปฏิเวท ก็จะรู้ทั้ง 2 อย่าง ไม่มีสิ่งใดขัดกันเลย ซึ่งผมก็ชี้แจงครบทั้ง 2 อย่าง ลองปฏิบัติดูก่อนครับแล้วจะเข้าใจ คนที่ท่องจำโดยมากรู้จักแต่วิตก วิจารรู้แต่บัญญัติ รู้แต่ว่าตรอง รู้แต่ว่าแนบอารมณ์ แต่ไม่เคยเข้าใจจริงๆว่าคืออะไร ซึ่งจะมีแค่คนที่ปฏิบัติเท่านั้นที่จะเห็น วิตก แยกวิจาร ครับ


- ทั้งหมดผมอธิบายครบ ผู้มีสันดารอริยะจะเข้าใจได้ชัด
- ส่วนผู้มีสันดารปุถุชน ย่อมเห็นเป็นของปลอม เพราะเป็นปรกติของสัตว์โลกมักหลงตามสมมติกิเลสของปลอม ทำให้อัตตามีมากกว่าปัญญาสิ่งใดที่ตนรู้เห็นสัมผัสไม่ได้ เข้าไม่ถึง ..ย่อมกล่าวว่าไม่มี ไม่ใช่ ไม่จริง


ขออนุโมทนาครับ

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2019, 18:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:



ไม่ใช่ศัพท์ของเขาหรือใครครับ เป็นการสอนปฏิบัติของพระป่าสายหลวงปู่มั่นทั้งหมด ซึ่งคนที่ปฏิบัติในสายพระป่าจะรู้จักกันในเรื่องนี้ พระป่าท่านจะสอนเหมือนกัน คนมีครูบาอาจารย์จะรู้จักกันครับ

.. โดย "สมมติ" ของผม..ไม่ได้กล่าวจำเพาะจิตส่งออกนอก หรือ ความคิดเท่านั้น แต่รวมทั้ง..สมมติสัจจ์, การที่ไม่เห็นของจริงในภายใน, จนถึงจิตไม่เดิน, จิตไม่ทำกิจ ชื่อว่าไม้รู้อริยะสัจ ๔ ไม่ว่าคนใดที่ปฏิบัติสายพระป่าจะรู้และเข้าใจ หรือท่านใดที่ปฏิบัติธรรมเห็นธรรมจริงเกิดญาณทัศนะจะรู้ชัดได้

.. ส่วนทานใดที่ยึดถือบัญญัติทั้งๆที่กล่าวคำว่าไม่มี โดยที่ยังไม่ปฏิบัติให้เห็นจริงก็ไม่แปลกที่จะขัดใจ เพราะเขาเข้ารู้ตามไม่ได้จึงว่าผิด ว่าไม่จริงไม่มี เพราะไม่สามารถสัมผัสของจริงในสิ่งนั้นๆได้นั่นเอง

.. ส่วนสิ่งที่ท่านพูดมาตามตำราผมรู้หมด ไม่ขัด เพราะผมก็ศึกษาเรียนมาเช่นกัน

.. และที่สำคัญพระพุทธศาสนาเหมือนกัน ผมก็ไม่รู้จะอยากเอาชนะไปทำไม อันไหนมันก็ดี อยู่ที่ปัญญาของแต่ละคนที่มีไม่เท่ากัน จึงเข้าถึงได้ไม่เท่ากัน


ส่วนคนที่อ่านอภิธรรมท่องจำแล้วปฏิบัติ จะรู้จักแต่สมมติสัจจ์ ครับ ดังว่านักปริยัติ จะกล่าวว่า เวทนา คือ ความเสวยอารมณ์ สุข ทุกข์ เฉยๆ ส่วนนักปฏิบัติที่เห็นเวทนาจะกล่าวเพียงว่า ความรู้สึก เมื่อไรรู้ว่าสุข ทุกข์ เฉยๆ คือ สมมติเวทนาจากสัญญาปรุงแต่งให้จิตรู้ว่าเจริญใจ หรือไม่เจริญใจ หรือเฉยๆ

ท่านคิดไหมว่า ทำไมท่านอ๊บ ท่านเจ จึงคุยกันกับผมรู้เรื่องได้ นั่นเพราะเขาปฏิบัติในทางเดียวกันนั่นเอง ถึงไม่ต้องถามว่าท่านปฏิบัติแบบไหน อย่างไร กับใคร แต่ก็รู้ได้ทันทีครับ

ถ้าแยกไม่ออกระหว่าง วิตก กับสิ่งที่คิด ไม่รู้จักว่าทั้งวิตก กับสิ่งที่คิดคือ ธัมมารมณ์ ที่เป็นสมมติ และของจริง ก็ไม่สามารถจะไปต่อเกินนี้ได้ครับ

ถามว่า หากท่านกรัซกายรักใครสักคน แต่ไม่มีโอกาสได้คบหาเขา เพราะอายบ้าง ไม่กล้าพูดบ้าง ยังแอบรักข้างเดียว
.. พอกลับบ้านก็นึกถึงผู้หญิงคนนั้น อยากได้เป็นแฟน เป็นภรรยา
.. เมื่อนึกถึงเขาประกอบกับความปารถนาก็ให้นึกถึงสร้างเรื่องราวว่าได้รักกัน คู่กัน อยู่ด้วยกัน
.. ถามว่าเรื่องราวที่คิดนั้นเป็นเรื่องจริงเกิดขึ้นจริง หรือแค่สมมติ ความคิดมีจริงไหม มีจริงใช่ไหม แล้วเรื่องราวที่คิดนั้นจริงไหม
.. กามคุณ ๕ ที่อธิบายไว้ นี่เป็นมหาสติปัฏฐาน คนที่เดินเข้าเวทนานุปัสสนาจึงจะรู้ได้ เวทนานี้แหละเป็นตัวโซ่คล้อง เชื่อม ยึดใจกับกายไว้ด้วยกามคุณ ๕
.. สมมติที่กล่าวไว้ คือ จิต คนที่เดินเข้าจิตตานุปัสสาจะรู้ได้ว่า จิต คือ ธัมมามณ์ ตัดธัมมารมณ์ มีโสมนัส โทมนัส อุเบกขา อารมณ์ความรู้สึกต่างๆออกจากสมมติกิเลสของปลอม จึงเห็นจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้เห็นแยกธัมมารมณ์ก็จะเริ่มเห็นและรู้จักไตรลักษณ์แท้ๆ
.. ส่วนสมมติกิเลสของปลอม คือ จะนิวรณ์ก็ดี จะอวิชชาก็ดี ความหลงตามกิเลส เพราะไม่รู้ของจริง เพราะของจริงเกิดจากรู้เห็นในพระอริยะสัจ ดังนั้นสัตว์ไม่รู้เห็นพระอริยะสัจจึงลูบคลำความเป็นตัวตนในขันธ์ (เพราะพระอริยะสัจ ๔ นี้ คือ วิชชา) ดังนั้นหากจิตไม่ทำกิจในพระอริยะสัจ ๔ ครบรอบ ๓ อาการ ๑๒ จึงยังหลงสมมติอยู่อย่างนั้น แม้ท่องจำครบพระอภิธรรม ๗ คำภีร์ก็ได้แต่แบกตำราตัวหนังสือ


ลองปฏิบัติให้ได้ฌาณนะครับ พอเมื่อปฏิบัติไป จะเข้าใจรู้จัก วิจาร วิจารคืออะไร ก็ตัวรื่องราวของสิ่งที่ตรึกนั้นแหละคือวิจาร เพื่อละอกุศลวิตก และอกุศลวิจาร การกรรมฐานจึงมี พุทโธ เป็นวิตก มีวิจารคือลม แต่คิดว่าถึงพูดไปก็คงไม่เกิดประโยชน์ คนที่ท่องจำกับคนที่ปฏิบัติจะเรียนรู้ ทำความรู้ความเข้าใจมาต่างกัน ส่วนคนที่มีทั้งปริยัติ ปฏฺบัติ ถึง ปฏิเวท ก็จะรู้ทั้ง 2 อย่าง ไม่มีสิ่งใดขัดกันเลย ซึ่งผมก็ชี้แจงครบทั้ง 2 อย่าง ลองปฏิบัติดูก่อนครับแล้วจะเข้าใจ คนที่ท่องจำโดยมากรู้จักแต่วิตก วิจารรู้แต่บัญญัติ รู้แต่ว่าตรอง รู้แต่ว่าแนบอารมณ์ แต่ไม่เคยเข้าใจจริงๆว่าคืออะไร ซึ่งจะมีแค่คนที่ปฏิบัติเท่านั้นที่จะเห็น วิตก แยกวิจาร ครับ


- ทั้งหมดผมอธิบายครบ ผู้มีสันดารอริยะจะเข้าใจได้ชัด
- ส่วนผู้มีสันดารปุถุชน ย่อมเห็นเป็นของปลอม เพราะเป็นปรกติของสัตว์โลกมักหลงตามสมมติกิเลสของปลอม ทำให้อัตตามีมากกว่าปัญญาสิ่งใดที่ตนรู้เห็นสัมผัสไม่ได้ เข้าไม่ถึง ..ย่อมกล่าวว่าไม่มี ไม่ใช่ ไม่จริง


ขออนุโมทนาครับ


ที่เอามาพูดนั่นน่า เป็นศัพท์ทางธรรมศัพท์ทางศาสนา เอาของเขามาใช้แล้ว ไปอธิบายกันเอง ปัญหามันอยู่ตรงนี้ :b1: นั่นแหละธรรมปฏิรูป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2019, 23:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2218

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:



ไม่ใช่ศัพท์ของเขาหรือใครครับ เป็นการสอนปฏิบัติของพระป่าสายหลวงปู่มั่นทั้งหมด ซึ่งคนที่ปฏิบัติในสายพระป่าจะรู้จักกันในเรื่องนี้ พระป่าท่านจะสอนเหมือนกัน คนมีครูบาอาจารย์จะรู้จักกันครับ

.. โดย "สมมติ" ของผม..ไม่ได้กล่าวจำเพาะจิตส่งออกนอก หรือ ความคิดเท่านั้น แต่รวมทั้ง..สมมติสัจจ์, การที่ไม่เห็นของจริงในภายใน, จนถึงจิตไม่เดิน, จิตไม่ทำกิจ ชื่อว่าไม้รู้อริยะสัจ ๔ ไม่ว่าคนใดที่ปฏิบัติสายพระป่าจะรู้และเข้าใจ หรือท่านใดที่ปฏิบัติธรรมเห็นธรรมจริงเกิดญาณทัศนะจะรู้ชัดได้

.. ส่วนทานใดที่ยึดถือบัญญัติทั้งๆที่กล่าวคำว่าไม่มี โดยที่ยังไม่ปฏิบัติให้เห็นจริงก็ไม่แปลกที่จะขัดใจ เพราะเขาเข้ารู้ตามไม่ได้จึงว่าผิด ว่าไม่จริงไม่มี เพราะไม่สามารถสัมผัสของจริงในสิ่งนั้นๆได้นั่นเอง

.. ส่วนสิ่งที่ท่านพูดมาตามตำราผมรู้หมด ไม่ขัด เพราะผมก็ศึกษาเรียนมาเช่นกัน

.. และที่สำคัญพระพุทธศาสนาเหมือนกัน ผมก็ไม่รู้จะอยากเอาชนะไปทำไม อันไหนมันก็ดี อยู่ที่ปัญญาของแต่ละคนที่มีไม่เท่ากัน จึงเข้าถึงได้ไม่เท่ากัน


ส่วนคนที่อ่านอภิธรรมท่องจำแล้วปฏิบัติ จะรู้จักแต่สมมติสัจจ์ ครับ ดังว่านักปริยัติ จะกล่าวว่า เวทนา คือ ความเสวยอารมณ์ สุข ทุกข์ เฉยๆ ส่วนนักปฏิบัติที่เห็นเวทนาจะกล่าวเพียงว่า ความรู้สึก เมื่อไรรู้ว่าสุข ทุกข์ เฉยๆ คือ สมมติเวทนาจากสัญญาปรุงแต่งให้จิตรู้ว่าเจริญใจ หรือไม่เจริญใจ หรือเฉยๆ

ท่านคิดไหมว่า ทำไมท่านอ๊บ ท่านเจ จึงคุยกันกับผมรู้เรื่องได้ นั่นเพราะเขาปฏิบัติในทางเดียวกันนั่นเอง ถึงไม่ต้องถามว่าท่านปฏิบัติแบบไหน อย่างไร กับใคร แต่ก็รู้ได้ทันทีครับ

ถ้าแยกไม่ออกระหว่าง วิตก กับสิ่งที่คิด ไม่รู้จักว่าทั้งวิตก กับสิ่งที่คิดคือ ธัมมารมณ์ ที่เป็นสมมติ และของจริง ก็ไม่สามารถจะไปต่อเกินนี้ได้ครับ

ถามว่า หากท่านกรัซกายรักใครสักคน แต่ไม่มีโอกาสได้คบหาเขา เพราะอายบ้าง ไม่กล้าพูดบ้าง ยังแอบรักข้างเดียว
.. พอกลับบ้านก็นึกถึงผู้หญิงคนนั้น อยากได้เป็นแฟน เป็นภรรยา
.. เมื่อนึกถึงเขาประกอบกับความปารถนาก็ให้นึกถึงสร้างเรื่องราวว่าได้รักกัน คู่กัน อยู่ด้วยกัน
.. ถามว่าเรื่องราวที่คิดนั้นเป็นเรื่องจริงเกิดขึ้นจริง หรือแค่สมมติ ความคิดมีจริงไหม มีจริงใช่ไหม แล้วเรื่องราวที่คิดนั้นจริงไหม
.. กามคุณ ๕ ที่อธิบายไว้ นี่เป็นมหาสติปัฏฐาน คนที่เดินเข้าเวทนานุปัสสนาจึงจะรู้ได้ เวทนานี้แหละเป็นตัวโซ่คล้อง เชื่อม ยึดใจกับกายไว้ด้วยกามคุณ ๕
.. สมมติที่กล่าวไว้ คือ จิต คนที่เดินเข้าจิตตานุปัสสาจะรู้ได้ว่า จิต คือ ธัมมามณ์ ตัดธัมมารมณ์ มีโสมนัส โทมนัส อุเบกขา อารมณ์ความรู้สึกต่างๆออกจากสมมติกิเลสของปลอม จึงเห็นจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้เห็นแยกธัมมารมณ์ก็จะเริ่มเห็นและรู้จักไตรลักษณ์แท้ๆ
.. ส่วนสมมติกิเลสของปลอม คือ จะนิวรณ์ก็ดี จะอวิชชาก็ดี ความหลงตามกิเลส เพราะไม่รู้ของจริง เพราะของจริงเกิดจากรู้เห็นในพระอริยะสัจ ดังนั้นสัตว์ไม่รู้เห็นพระอริยะสัจจึงลูบคลำความเป็นตัวตนในขันธ์ (เพราะพระอริยะสัจ ๔ นี้ คือ วิชชา) ดังนั้นหากจิตไม่ทำกิจในพระอริยะสัจ ๔ ครบรอบ ๓ อาการ ๑๒ จึงยังหลงสมมติอยู่อย่างนั้น แม้ท่องจำครบพระอภิธรรม ๗ คำภีร์ก็ได้แต่แบกตำราตัวหนังสือ


ลองปฏิบัติให้ได้ฌาณนะครับ พอเมื่อปฏิบัติไป จะเข้าใจรู้จัก วิจาร วิจารคืออะไร ก็ตัวรื่องราวของสิ่งที่ตรึกนั้นแหละคือวิจาร เพื่อละอกุศลวิตก และอกุศลวิจาร การกรรมฐานจึงมี พุทโธ เป็นวิตก มีวิจารคือลม แต่คิดว่าถึงพูดไปก็คงไม่เกิดประโยชน์ คนที่ท่องจำกับคนที่ปฏิบัติจะเรียนรู้ ทำความรู้ความเข้าใจมาต่างกัน ส่วนคนที่มีทั้งปริยัติ ปฏฺบัติ ถึง ปฏิเวท ก็จะรู้ทั้ง 2 อย่าง ไม่มีสิ่งใดขัดกันเลย ซึ่งผมก็ชี้แจงครบทั้ง 2 อย่าง ลองปฏิบัติดูก่อนครับแล้วจะเข้าใจ คนที่ท่องจำโดยมากรู้จักแต่วิตก วิจารรู้แต่บัญญัติ รู้แต่ว่าตรอง รู้แต่ว่าแนบอารมณ์ แต่ไม่เคยเข้าใจจริงๆว่าคืออะไร ซึ่งจะมีแค่คนที่ปฏิบัติเท่านั้นที่จะเห็น วิตก แยกวิจาร ครับ


- ทั้งหมดผมอธิบายครบ ผู้มีสันดารอริยะจะเข้าใจได้ชัด
- ส่วนผู้มีสันดารปุถุชน ย่อมเห็นเป็นของปลอม เพราะเป็นปรกติของสัตว์โลกมักหลงตามสมมติกิเลสของปลอม ทำให้อัตตามีมากกว่าปัญญาสิ่งใดที่ตนรู้เห็นสัมผัสไม่ได้ เข้าไม่ถึง ..ย่อมกล่าวว่าไม่มี ไม่ใช่ ไม่จริง


ขออนุโมทนาครับ


ที่เอามาพูดนั่นน่า เป็นศัพท์ทางธรรมศัพท์ทางศาสนา เอาของเขามาใช้แล้ว ไปอธิบายกันเอง ปัญหามันอยู่ตรงนี้ :b1: นั่นแหละธรรมปฏิรูป



คริคริ

ได้มาอ่านแล้วตลกดี จริงมั๊ยลุงกรัชกาย

คนนี้ ปริยัติก็ไม่เรียน พระอภิธรรมก็ไม่ได้เรียน พุทธธรรมก็ไม่ได้อ่าน ปฎิบัติก็ไม่เอาไหน
ได้แต่ อ้างพระป่าๆๆ


แถมยังบอกให้ปฎิบัติให้ได้ฌานนะคร๊าบบ

โดย ไม่รู้ว่า จะฌานอะไรๆก็ตาม ถ้าไม่มีโสภณเจตสิก เกิดขึ้น 18 ดวง สัมมาฌานเกิดขึ้นไม่ได้
สัมมาสติเกิดขึ้นไม่ได้

เป็นได้แต่ มิจฉาสติในฌาน ค่ะ คุณปฎิบัติส่งเดช อ้างพระป่าๆ

โดยไม่มีปริยัติรับรอง

คำพูดสอบลงพระธรรมวินัยไม่ได้ สอบลงพระไตรปิฎกไม่ได้
คนที่มาอ้างพระป่า นั้นจำมาผิด ท่องมาผิด ซะแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2019, 23:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2218

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


บอกไบ้ให้นิ๊ดนะคะ

ว่าป่าทั้งป่า สร้างคำสอนขึ้นมาใหม่
ไม่ใช่ใบไม้ ในกำมือพระตถาคต ที่เป็นประโยชน์


คำสอนคิดเอง ไม่ตรงกะอรรถะ และพยัญญชนะ ที่พระพุทธองค์ ทรงตรัสไว้ในพระไตรปิฎก

เพราะคิดไปเอง ว่าปฎิบัติอยู่ ถูก เข้าใจอยู่ ถูก

แต่แท้จริง ผิด

ผิดมหันต์ เพราะไปสำคัญเหนือพระพุทธเจ้า

เป็นธรรมะที่คนเหล่านั้น คิดค้นกันขึ้นมาเอง ไม่ใช่พระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดง

เมื่อปริยัติที่ผิดเพี้ยน ไม่ตรงพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์
ไม่ตรงตามพระธรรมที่แสดงไว้ในพระอภิธรรม พระไตรปิฎก

ปฎิบัติ ก็ไม่มีวันที่จะถูกต้องตามพระพุทธองค์แสดงได้

และไม่อาจถึงปฎิเวธ ตามที่พระพุทธเจ้าสอนได้ค่ะ

จะมาอ้างนักปฎิบัติๆๆๆๆ อ้างไปเหอะ ถ้ามันผิด ถ้ามันเพื้ยน ไม่ตรงตามพระพุทธองค์ทรงแสดง

ก็เป็นได้แค่ พวกอวดโม้ เท่านั้นแหละค่ะ

คริคริ


แก้ไขล่าสุดโดย โลกสวย เมื่อ 07 ก.พ. 2019, 03:38, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 00:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2218

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


และจะบอกให้อีกนิ๊ด นะคะ

จะได้ไม่แสดงความเขลาเบาปัญญาออกมา
ที่อ้างตัวเป็นนักปฎิบัติ สายพระป่าๆๆๆ

จะบอกให้ว่า
การปฎิบัติของพวกปริยัตินั้น ไม่ใช่ไม่มีการปฎิบัติ
แต่มีการปฎิบิติ ตลอดเวลา และถูกต้องตรงพระอภิธรรม พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงค่ะ

การปฎิบัติของอภิธรรม คือ การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
เน้นการเจริญปัญญา เพื่อให้ประจักษ์ปรมัตถ์ธรรม ที่กำลังปรากฎตามทวารต่างๆ

เพื่อให้ปัญญาเห็น อนิจจะ ทุกข อนัตตะ ในสภาพของปรมัตถ์ ที่แท้จริง
และตรงตามคำสอนพระพุทธองค์ ทั้งในอภิธรรม และในพระไตรปิฎก
และตรงตามมหาสติปัฎฐานสี่ เพื่อบรรลุวิปัสสนาญาน มรรคญาน และ ผลญานในสุดท้าย


ไม่ได้ไปคิดเองเออเอง สร้างคำใหม่ๆขึ้นเอง แบบจิตหนึ่งที่ไม่มีในพระไตรปิฎก
ตามแบบพวกปฎิบัติเอาเองสร้างคำสอนใหม่
ไม่ตรงตามที่พระพุทธองค์แสดง

คำสอนมากมายจึงไม่สามารถสอบลงพระอภิธรรม ไม่สามารถสอบลงพระวินัย พระสูตรได้

แถมเที่ยวบอกใครต่อใครอีก ให้ปฎิบัติให้ได้ฌาน

เพราะยิ่งเขลาเบาปัญญาหนัก ไม่รู้ว่า

กรรมฐาน 40 กอง ไม่ได้ทำให้ผู้ปฎิบัติ เข้าถึง นวโลกุตระธรรม 9 ได้

มีแต่ สติปัฎฐาน 44 บรรพะ ที่ทำให้ผู้ปฎิบัติ เข้าถึงนวโลกุตรธรรม 9 ตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงได้

อ่อ หลายๆคนที่เค้ามาคุยด้วยน่ะ เพราะเค้ารู้ว่าคุยกะคน เขลาน่ะค่ะ


คริคริ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 00:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2218

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่เมย์บอกนิ๊ดๆ นั่นแหละส่วนนึงของธรรมปฎิรูป แบบคุณลุงกรัชกายบอกป่าวคะ ?

พอดีไม่ค่อยว่างเรย มีคนมาให้เสริมอิ๋ม ไปก่อนแระค่ะ
ว่างๆค่อยมาใหม่นะ บ๊ายบายค่ะ

คริคริ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 09:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าทำให้สบายใจได้ก็ตามนั้นแหละครับ แต่ถ้าอยากเห็นว่าจริงไหม ก็ไปปฏิบัติมาก่อนน่ะครับ :b16: :b16: :b16:

เพราะคนปฏิบัติจะต่างกับคนที่ท่องจำอยู่แล้ว :b32: :b32: :b32: มันจึงเป็นธรรมชาติที่นักท่องจำจะไม่เคยเห็นแล้วขัดแย้ง :b32: :b32: :b32:

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 09:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
แค่อากาศ เขียน:



ไม่ใช่ศัพท์ของเขาหรือใครครับ เป็นการสอนปฏิบัติของพระป่าสายหลวงปู่มั่นทั้งหมด ซึ่งคนที่ปฏิบัติในสายพระป่าจะรู้จักกันในเรื่องนี้ พระป่าท่านจะสอนเหมือนกัน คนมีครูบาอาจารย์จะรู้จักกันครับ

.. โดย "สมมติ" ของผม..ไม่ได้กล่าวจำเพาะจิตส่งออกนอก หรือ ความคิดเท่านั้น แต่รวมทั้ง..สมมติสัจจ์, การที่ไม่เห็นของจริงในภายใน, จนถึงจิตไม่เดิน, จิตไม่ทำกิจ ชื่อว่าไม้รู้อริยะสัจ ๔ ไม่ว่าคนใดที่ปฏิบัติสายพระป่าจะรู้และเข้าใจ หรือท่านใดที่ปฏิบัติธรรมเห็นธรรมจริงเกิดญาณทัศนะจะรู้ชัดได้

.. ส่วนทานใดที่ยึดถือบัญญัติทั้งๆที่กล่าวคำว่าไม่มี โดยที่ยังไม่ปฏิบัติให้เห็นจริงก็ไม่แปลกที่จะขัดใจ เพราะเขาเข้ารู้ตามไม่ได้จึงว่าผิด ว่าไม่จริงไม่มี เพราะไม่สามารถสัมผัสของจริงในสิ่งนั้นๆได้นั่นเอง

.. ส่วนสิ่งที่ท่านพูดมาตามตำราผมรู้หมด ไม่ขัด เพราะผมก็ศึกษาเรียนมาเช่นกัน

.. และที่สำคัญพระพุทธศาสนาเหมือนกัน ผมก็ไม่รู้จะอยากเอาชนะไปทำไม อันไหนมันก็ดี อยู่ที่ปัญญาของแต่ละคนที่มีไม่เท่ากัน จึงเข้าถึงได้ไม่เท่ากัน


ส่วนคนที่อ่านอภิธรรมท่องจำแล้วปฏิบัติ จะรู้จักแต่สมมติสัจจ์ ครับ ดังว่านักปริยัติ จะกล่าวว่า เวทนา คือ ความเสวยอารมณ์ สุข ทุกข์ เฉยๆ ส่วนนักปฏิบัติที่เห็นเวทนาจะกล่าวเพียงว่า ความรู้สึก เมื่อไรรู้ว่าสุข ทุกข์ เฉยๆ คือ สมมติเวทนาจากสัญญาปรุงแต่งให้จิตรู้ว่าเจริญใจ หรือไม่เจริญใจ หรือเฉยๆ

ท่านคิดไหมว่า ทำไมท่านอ๊บ ท่านเจ จึงคุยกันกับผมรู้เรื่องได้ นั่นเพราะเขาปฏิบัติในทางเดียวกันนั่นเอง ถึงไม่ต้องถามว่าท่านปฏิบัติแบบไหน อย่างไร กับใคร แต่ก็รู้ได้ทันทีครับ

ถ้าแยกไม่ออกระหว่าง วิตก กับสิ่งที่คิด ไม่รู้จักว่าทั้งวิตก กับสิ่งที่คิดคือ ธัมมารมณ์ ที่เป็นสมมติ และของจริง ก็ไม่สามารถจะไปต่อเกินนี้ได้ครับ

ถามว่า หากท่านกรัซกายรักใครสักคน แต่ไม่มีโอกาสได้คบหาเขา เพราะอายบ้าง ไม่กล้าพูดบ้าง ยังแอบรักข้างเดียว
.. พอกลับบ้านก็นึกถึงผู้หญิงคนนั้น อยากได้เป็นแฟน เป็นภรรยา
.. เมื่อนึกถึงเขาประกอบกับความปารถนาก็ให้นึกถึงสร้างเรื่องราวว่าได้รักกัน คู่กัน อยู่ด้วยกัน
.. ถามว่าเรื่องราวที่คิดนั้นเป็นเรื่องจริงเกิดขึ้นจริง หรือแค่สมมติ ความคิดมีจริงไหม มีจริงใช่ไหม แล้วเรื่องราวที่คิดนั้นจริงไหม
.. กามคุณ ๕ ที่อธิบายไว้ นี่เป็นมหาสติปัฏฐาน คนที่เดินเข้าเวทนานุปัสสนาจึงจะรู้ได้ เวทนานี้แหละเป็นตัวโซ่คล้อง เชื่อม ยึดใจกับกายไว้ด้วยกามคุณ ๕
.. สมมติที่กล่าวไว้ คือ จิต คนที่เดินเข้าจิตตานุปัสสาจะรู้ได้ว่า จิต คือ ธัมมามณ์ ตัดธัมมารมณ์ มีโสมนัส โทมนัส อุเบกขา อารมณ์ความรู้สึกต่างๆออกจากสมมติกิเลสของปลอม จึงเห็นจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้เห็นแยกธัมมารมณ์ก็จะเริ่มเห็นและรู้จักไตรลักษณ์แท้ๆ
.. ส่วนสมมติกิเลสของปลอม คือ จะนิวรณ์ก็ดี จะอวิชชาก็ดี ความหลงตามกิเลส เพราะไม่รู้ของจริง เพราะของจริงเกิดจากรู้เห็นในพระอริยะสัจ ดังนั้นสัตว์ไม่รู้เห็นพระอริยะสัจจึงลูบคลำความเป็นตัวตนในขันธ์ (เพราะพระอริยะสัจ ๔ นี้ คือ วิชชา) ดังนั้นหากจิตไม่ทำกิจในพระอริยะสัจ ๔ ครบรอบ ๓ อาการ ๑๒ จึงยังหลงสมมติอยู่อย่างนั้น แม้ท่องจำครบพระอภิธรรม ๗ คำภีร์ก็ได้แต่แบกตำราตัวหนังสือ


ลองปฏิบัติให้ได้ฌาณนะครับ พอเมื่อปฏิบัติไป จะเข้าใจรู้จัก วิจาร วิจารคืออะไร ก็ตัวรื่องราวของสิ่งที่ตรึกนั้นแหละคือวิจาร เพื่อละอกุศลวิตก และอกุศลวิจาร การกรรมฐานจึงมี พุทโธ เป็นวิตก มีวิจารคือลม แต่คิดว่าถึงพูดไปก็คงไม่เกิดประโยชน์ คนที่ท่องจำกับคนที่ปฏิบัติจะเรียนรู้ ทำความรู้ความเข้าใจมาต่างกัน ส่วนคนที่มีทั้งปริยัติ ปฏฺบัติ ถึง ปฏิเวท ก็จะรู้ทั้ง 2 อย่าง ไม่มีสิ่งใดขัดกันเลย ซึ่งผมก็ชี้แจงครบทั้ง 2 อย่าง ลองปฏิบัติดูก่อนครับแล้วจะเข้าใจ คนที่ท่องจำโดยมากรู้จักแต่วิตก วิจารรู้แต่บัญญัติ รู้แต่ว่าตรอง รู้แต่ว่าแนบอารมณ์ แต่ไม่เคยเข้าใจจริงๆว่าคืออะไร ซึ่งจะมีแค่คนที่ปฏิบัติเท่านั้นที่จะเห็น วิตก แยกวิจาร ครับ


- ทั้งหมดผมอธิบายครบ ผู้มีสันดารอริยะจะเข้าใจได้ชัด
- ส่วนผู้มีสันดารปุถุชน ย่อมเห็นเป็นของปลอม เพราะเป็นปรกติของสัตว์โลกมักหลงตามสมมติกิเลสของปลอม ทำให้อัตตามีมากกว่าปัญญาสิ่งใดที่ตนรู้เห็นสัมผัสไม่ได้ เข้าไม่ถึง ..ย่อมกล่าวว่าไม่มี ไม่ใช่ ไม่จริง


ขออนุโมทนาครับ


ที่เอามาพูดนั่นน่า เป็นศัพท์ทางธรรมศัพท์ทางศาสนา เอาของเขามาใช้แล้ว ไปอธิบายกันเอง ปัญหามันอยู่ตรงนี้ :b1: นั่นแหละธรรมปฏิรูป



คือ ไม่ใช่แนวหลวงปู่ดุลย์ครับ คำจำกัดความที่เหมือนกันครูบาอาจารย์ท่านรู้ทุกคน ส่วนที่ตั้งคำจำกัดความไว้เพื่อให้เข้าใจตรงกัน ท่านกรัซกายคิดแค่ว่ามีหลวงปู่ดุลย์กล่าวหรือครับ ลองเรียนรู้จากหลวงตาสิริ อิรทรสิริดูสิครับ หรือ หลวงปู่ฝั้น หรือ หลวงปู่่เหรียญ :b1: :b1: :b1: โลกทัศน์ของท่านจะกว้างขึ้นครับ

แต่ถ้าเห็นได้แค่ว่าเอาสิ่งที่หลวงปู่ดุลย์กล่าวไว้ดีแล้วมาพูด ก็เข้ามใจตามนั้นได้ไม่ผิด แต่สิ่งของแต่ละคนจะรู้เห็นนั้นย่อมต่างกัน ซึ่งของผมนี้จะเทียบได้อย่างไรกับพระอรหันต์ ไม่ควรเอาไปเทียบกับท่านมันไม่ดีครับ ปุถุชนไม่อาจเทียบได้กับพระอริยะ

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


แก้ไขล่าสุดโดย แค่อากาศ เมื่อ 07 ก.พ. 2019, 09:22, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 09:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
ถ้าทำให้สบายใจได้ก็ตามนั้นแหละครับ แต่ถ้าอยากเห็นว่าจริงไหม ก็ไปปฏิบัติมาก่อนน่ะครับ :b16: :b16: :b16:

เพราะคนปฏิบัติจะต่างกับคนที่ท่องจำอยู่แล้ว :b32: :b32: :b32: มันจึงเป็นธรรมชาติที่นักท่องจำจะไม่เคยเห็นแล้วขัดแย้ง :b32: :b32: :b32:

:b8:

ขำ หัวเราะกันไปมาไม่รู้จักจบสิ้น

เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ครับ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 09:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
ถ้าทำให้สบายใจได้ก็ตามนั้นแหละครับ แต่ถ้าอยากเห็นว่าจริงไหม ก็ไปปฏิบัติมาก่อนน่ะครับ :b16: :b16: :b16:

เพราะคนปฏิบัติจะต่างกับคนที่ท่องจำอยู่แล้ว :b32: :b32: :b32: มันจึงเป็นธรรมชาติที่นักท่องจำจะไม่เคยเห็นแล้วขัดแย้ง :b32: :b32: :b32:

:b8:

ขำ หัวเราะกันไปมาไม่รู้จักจบสิ้น

เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ครับ

:b8:

:b8:

เจริญ เมตตาจิตให้มากๆ เจริญขันติมากๆเข้าไว้
แล้วใจเราจะเย็นลง มอบความรักความปารถนาดีแก่ทุกคน
ให้อภัย ไม่ถือสาหาความ คนหลงผิด ผมเองก็เคยหลงผิด
มาเช่นกันครับ เมื่อตื่นรู้แล้วย่อมเบิกบาน

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 09:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2018, 00:52
โพสต์: 512

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
ถ้าทำให้สบายใจได้ก็ตามนั้นแหละครับ แต่ถ้าอยากเห็นว่าจริงไหม ก็ไปปฏิบัติมาก่อนน่ะครับ :b16: :b16: :b16:

เพราะคนปฏิบัติจะต่างกับคนที่ท่องจำอยู่แล้ว :b32: :b32: :b32: มันจึงเป็นธรรมชาติที่นักท่องจำจะไม่เคยเห็นแล้วขัดแย้ง :b32: :b32: :b32:

:b8:

ขำ หัวเราะกันไปมาไม่รู้จักจบสิ้น

เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ครับ

:b8:


อ่อเฮฮากันครับไม่มีอะไรท่าน บางคนหลงตัวหนังสือมากกว่าที่จะทำ ก็เป็นธรรมดาที่กระตุ้นให้ลองทำ เมื่อเห็นแล้วก็จะไม่ขัดแย้งกัน แต่เมื่อยังเห็นแค่ตัวหนังสือ ความคิดตน มันก็ขัดแย้งกันไป สิ่งที่ผสกล่าวนี้คือเข้าใจธรรมชาติของมันครับว่าเป็นเรื่องปรกติ ที่เป็นแบบนี้เพราะเป็นแบบนี้

.....................................................
(จิตรู้สมมติ เป็นสมุทัย)
(ผลอันเกิดจากจิตรู้สมมติ เป็นทุกข์)
(จิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นมรรค)
(ผลอันเกิดจากจิตเห็นจริงต่างหากจากสมมติ เป็นนิโรธ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 09:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
sssboun เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
ถ้าทำให้สบายใจได้ก็ตามนั้นแหละครับ แต่ถ้าอยากเห็นว่าจริงไหม ก็ไปปฏิบัติมาก่อนน่ะครับ :b16: :b16: :b16:

เพราะคนปฏิบัติจะต่างกับคนที่ท่องจำอยู่แล้ว :b32: :b32: :b32: มันจึงเป็นธรรมชาติที่นักท่องจำจะไม่เคยเห็นแล้วขัดแย้ง :b32: :b32: :b32:

:b8:

ขำ หัวเราะกันไปมาไม่รู้จักจบสิ้น

เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ครับ

:b8:


อ่อเฮฮากันครับไม่มีอะไรท่าน บางคนหลงตัวหนังสือมากกว่าที่จะทำ ก็เป็นธรรมดาที่กระตุ้นให้ลองทำ เมื่อเห็นแล้วก็จะไม่ขัดแย้งกัน แต่เมื่อยังเห็นแค่ตัวหนังสือ ความคิดตน มันก็ขัดแย้งกันไป สิ่งที่ผสกล่าวนี้คือเข้าใจธรรมชาติของมันครับว่าเป็นเรื่องปรกติ ที่เป็นแบบนี้เพราะเป็นแบบนี้


เป็นอะไร ทำงัยต่อ


นั่งสมาธิแล้วเหมือนร่างกายลอยจากพื้น

ใช้วิธีอานาปานสติ ช่วงแรกนั่งสมาธิดิ่งลงมากๆจะเห็นแสงสว่างจ้ามากๆเป็นดวงแว๊บๆและสว่างตลอดเวลา
เคยอ่านหนังสือหลวงพ่อสดว่าอย่าวอกแวก เรานึกได้ก็ดูลมหายใจต่อ
จากนั้น ตัวมันเบามาก แถมเหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่างคุยกัน ทั้งๆที่ในห้องก็เงียบมาก และจู่ๆก็ได้ยินเสียงคนพูด "นั่นแหละกำหนดรู้ใจคน"
ก็เกิดตกใจขึ้น ร่างกายที่เคยมี ก็หายไป แต่พอได้สติ นึกได้ก็ภาวนาต่อ
ทีนี้ร่างกายเหมือนจะลอยจากพื้นดิน อาการคือตัวโครงไม่อยู่นิ่งกับพื้น ทีนี้ก็เลยกลัว รีบออกจากสมาธิ
แบบนี้เรียกว่าอะไรครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 07 ก.พ. 2019, 09:29, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 09:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่อากาศ เขียน:
sssboun เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
ถ้าทำให้สบายใจได้ก็ตามนั้นแหละครับ แต่ถ้าอยากเห็นว่าจริงไหม ก็ไปปฏิบัติมาก่อนน่ะครับ :b16: :b16: :b16:

เพราะคนปฏิบัติจะต่างกับคนที่ท่องจำอยู่แล้ว :b32: :b32: :b32: มันจึงเป็นธรรมชาติที่นักท่องจำจะไม่เคยเห็นแล้วขัดแย้ง :b32: :b32: :b32:

:b8:

ขำ หัวเราะกันไปมาไม่รู้จักจบสิ้น

เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ครับ

:b8:


อ่อเฮฮากันครับไม่มีอะไรท่าน บางคนหลงตัวหนังสือมากกว่าที่จะทำ ก็เป็นธรรมดาที่กระตุ้นให้ลองทำ เมื่อเห็นแล้วก็จะไม่ขัดแย้งกัน แต่เมื่อยังเห็นแค่ตัวหนังสือ ความคิดตน มันก็ขัดแย้งกันไป สิ่งที่ผสกล่าวนี้คือเข้าใจธรรมชาติของมันครับว่าเป็นเรื่องปรกติ ที่เป็นแบบนี้เพราะเป็นแบบนี้

:b8:

ที่คุณว่าก็ถูกของคุณนะครับ แต่การนำพระธรรมคำสอน
มาว่าแบบเล่นๆ เฮฮาแบบนี้ควรแล้วหรือ การทำอะไรนั้น
หากไม่ตั้งใจแล้วก็ยากที่จะเจอของจริงและได้ของจริง
นะครับ แม้เมื่อก่อนพระสาวกของพระองค์เวลาฟังธรรม
กล่าวธรรมยังเครารพในพระธรรมเลย

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 09:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
แค่อากาศ เขียน:
ถ้าทำให้สบายใจได้ก็ตามนั้นแหละครับ แต่ถ้าอยากเห็นว่าจริงไหม ก็ไปปฏิบัติมาก่อนน่ะครับ :b16: :b16: :b16:

เพราะคนปฏิบัติจะต่างกับคนที่ท่องจำอยู่แล้ว :b32: :b32: :b32: มันจึงเป็นธรรมชาติที่นักท่องจำจะไม่เคยเห็นแล้วขัดแย้ง :b32: :b32: :b32:

:b8:

ขำ หัวเราะกันไปมาไม่รู้จักจบสิ้น

เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ครับ

:b8:


ที่เคยว่า คุณโรสหัวเราะทำไม ได้คำตอบแล้ว คิกๆๆ

คุณถึงได้ :b8: ยังงี้ตลอด :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 274 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11 ... 19  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร