วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 01:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 128 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2016, 20:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
อ้าวซ้ำอีก...

กบนอกกะลา เขียน:
อโสกะ..เข้าใจความหมายของวลี..ผู้เสวย..ผิด..

ที่เขาใช้ผู้เสวย..ผู้เสวย..นั้น...เขาใช้ในความหมายของ..อาการอุปาทาน..คือการเข้าไปยึดในอาการของขันธ์...

อุปาทานขันธ์ 5 ...นี้แหละคือทุกข์...


แค่นี้...พอจะเข้าใจบ้างยัง..ผู้เสวย..ผู้เสวย..นี้นะ

แต่อโสกะ..กลับเข้าใจผิด...เข้าใจว่ามีอัตตาอะไรสักอย่างมาเสวย...แล้วพยายามจะละอัตตาตัวนี้ด้วยการไม่รู้สึก...คิดว่าไม่มีอัตตาอะไรนี้(ที่ตนอุปโลกขึ้นมาเอง)คงเข้าถึงอนัตตา...เพราะอยากในอนัตตา....

คิดเองทั้งน่าน...จนมักมีวลี...ทางลัดสั้น...พวกเกาะตำราบ้างละ...ฯ
เซ้นต์เลยไม่มี...ไม่ปรากฎ...มักพลาดเวลาตัดสินคุณภาพธรรมของคนอื่น...
ใช้คิดคิด..จนเคย :b9: :b9:

ไม่มีมรรค...ก็ไม่มีผล
มรรคผิด..ผลก็ผิด


มีอัตตาตัวตนที่ไหนกัน...

ผู้หลง...นั้นแหละ..มีตัวมีตนมีผู้เสวย

s006
อ้างคำพูด:
การเข้าไปยึดในอาการของขันธ์...


ใครเป็นผู้ยึด?

อ้างคำพูด:
ผู้หลง


ใครเป็นผู้หลง?
s004
ใครเป็นผู้โต้ตอบข้อความในกระทู้นี้?
s006


รวมความขำ...

คิดว่า...พูดแนวเซนแล้วคงเท่..

อิอิ.. :b9: :b9: :b9:

เริ่มต้นเดิมที..อโสกะเองที่เริ่มเอาคำว่า..ผู้เสวย...มาพูดในกระทู้นี้..จากคำพูดของกระผมที่ถามอโสกะไปว่า..สุข...จากสมาธินี้เป็นเวทนามั้ย?..
อโสกะ..ตอบว่าเป็น...เพราะ..ปราโมทย์..ปีติ..ปัสสัทธิ..สุข..สงบ...ยังมีผู้เสวยอยู่

ผมบอกว่า..อโสกะเอาคำว่าเสวย..มาใช้ผิด..เพราะอโสกะไม่เข้าใจ..โดยผมแจงไปว่า...ผู้เสวยเขาใช้ในอาการเข้าไปยึดในขันธ์ 5..เรียกว่าอุปาทานในขันธ์..นี้แหละ..ทุกข์

อโสกะ..ก็มาแนว..แล้วใครเข้าไปยึด...ละ..

ฮาน้ำตาเล็ต.. s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2016, 04:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s004
.
อ้างคำพูด:
.ผู้เสวยเขาใช้ในอาการเข้าไปยึดในขันธ์ 5..เรียกว่าอุปาทานในขันธ์..นี้แหละ..ทุกข์

อโสกะ..ก็มาแนว..แล้วใครเข้าไปยึด...ละ..

:b11:
อาการเข้าไปยึดที่ว่านั้นนะมันเกิดมาจากอะไร?

อะไรเป็นเหตุให้เกิดอาการยึดหรือปล่อยทั้งหลาย?

ตอบหรือวิเคราะห์มาให้ฟังหน่อยสิกบ อย่าเพิ่งตีรวนชักใบให้เรือเสีย
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2016, 07:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


จุดเริ่มต้นของเรื่อง..คือ..เวทนา แยกเวทนา..กับ...ความรู้สึกทั่วๆไปออกยัง...

นี้จะเป็นจุดที่แสดงให้เห็นว่า..คุณอโสกะสังเกตปัจจุบันได้จริงรึยัง...

ปฏิจจสมุปบาท..หลังผัสสะ...เกิด...เวทนา..ตัณหา..อุปาทาน..ภพ..ชาติ..ทุกข์

การเห็นปัจจุบัน..จะเห็นของหยาบก่อนเป็นของธรรมดา...ไล่จากหยาบมาละเอียด..มี....ทุกข์(โสกะ..ปริเทวะฯ)..ภพ..อุปาทาน...ตัณหา..เวทนา

ทุกข์..ภพ..อุปาทาน...ตัณหา...ทั้งหมดล้วนก็เป็นความรู้สึกทั้งนั้นนั่นแหละ..เป็นนามขันธ์..มีเวทนา..สัญญา..สังขาร..ทำงานรวมรวมกัน....แต่เวทนาที่เป็น..สุขเวทนา..ทุกขเวทนา..หลังผัสสะ..นี้..มีลักษณะเฉพาะคือเป็นเวทนาล้วนๆ..(ไม่รวมที่วิญญาณรู้ในสัญญาว่าอยาตนะภายนอกคืออะไรนะ)

สุขเวทนา..จึงยินดี
ทุกขเวทนา..จึงยินร้าย

การกล่าวว่า..อยู่ระหว่างยินดี..กับ..ยินร้ายได้..ก็เป็นสายกลางได้แล้วนั้น...กระผมไม่เห็นด้วยกับคำพูดหยาบๆ..เยี่ยงนี้..กระผมถึงกับเคยพูดว่า..มิจฉาทิฏฐิก็ทำตรงนี้ได้..แล้วจะว่าเป็นสายกลางได้อย่างไรถ้าทำเพียงอยู่ระหว่าง..การยินดีกับการยินร้าย..แค่นี้

ตรงนี้เนี้ยแหละ...ที่อโสกะสรรเสริญ...การไม่รู้สึก..เพราะหลงเข้าใจผิดตรงนี้..

ยิ่งดูในรายละเอียดจากการสอบถาม..ก็ยิ่งเห็นว่าอโสกะยังไม่ลึกซึ้งพอ...ยิ่งแยกสุขเวทนาทุกขเวทนาจากความรู้สึกทั่วๆไปไม่ออก..แสดงว่าเห็นปัจจุบันยังไม่จริง...ก็ยิ่งไปกันใหญ่..

แล้วจะกล่าวใย..มีผู้ไปเสวยนั้นเสวยนี้

ผู้เสวย..นี้ก็อีกประเด็นหนึ่ง...ผมชี้ไปแล้ว่า..อโสกะใช้ผิด..เพราะเข้าใจผิดอย่างไร

asoka เขียน:
s004
.
อ้างคำพูด:
.ผู้เสวยเขาใช้ในอาการเข้าไปยึดในขันธ์ 5..เรียกว่าอุปาทานในขันธ์..นี้แหละ..ทุกข์

อโสกะ..ก็มาแนว..แล้วใครเข้าไปยึด...ละ..

:b11:
อาการเข้าไปยึดที่ว่านั้นนะมันเกิดมาจากอะไร?

อะไรเป็นเหตุให้เกิดอาการยึดหรือปล่อยทั้งหลาย?

ตอบหรือวิเคราะห์มาให้ฟังหน่อยสิกบ อย่าเพิ่งตีรวนชักใบให้เรือเสีย
onion


นี้ก็อีกประเด็นหนึ่งต่างหาก...ต้องแยกกัน...

การที่ผมไม่พยายามข้ามเวทนา..ยินดียินร้าย..นั้นเพราะต้องการให้อโสกะ..ได้ดูตนเองให้มากขึ้น

ไม่ใช่การตีรวน...หรือ..ชักใบให้เรือเสีย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2016, 10:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




1464098461704.jpg
1464098461704.jpg [ 32.47 KiB | เปิดดู 2050 ครั้ง ]
s004
อ้างคำพูด:
นี้ก็อีกประเด็นหนึ่งต่างหาก...ต้องแยกกัน...

การที่ผมไม่พยายามข้ามเวทนา..ยินดียินร้าย..นั้นเพราะต้องการให้อโสกะ..ได้ดูตนเองให้มากขึ้น

ไม่ใช่การตีรวน...หรือ..ชักใบให้เรือเสีย6

:b11:
ผมดูตนเองแล้วก็พยายามจะให้กบได้รู้ด้วยว่า
ตั้งแต่ช่วงต่อของเวทนาจะไปถึงตัณหานี่แหละเป็นช่วงต่อที่สำคัญที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติธรรมได้เห็นตัวสมุทัยสัจจะชัดเจนจึงถามซ้ำกบซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้กบได้คำตอบที่ชัดเจนที่ชี้ตรงไปที่ตัวสมุทัย แต่กบไม่ยอมตอบตรงๆสักที มันจึงยังยุติไม่ได้

อย่าพยายามแต่จะค้านจะหาคำอธิบายในตำรามาตอบสิมันยาก ลองหาคำตอบจากสามัญสำนึกธรรมดาๆมาตอบกบก็จะตอบได้ทันทีว่า
ใครยินดี ใครยินร้าย ใครเป็นผู้ยึด ใครเป็นผู้ปล่อย ถ้าคำตอบมันใช่มันจะไปตรงกับสมุทัยและผลของมรรคแรกเลยทีเดียว ง่ายแก่การอธิบาย ง่ายแก่การเข้าใจ ง่ายแก่การลงมือปฏิบัติ กบไม่อยากให้คนรู้เรื่องอย่างนี้หรือจึงมาขวางแล้วขวางอีกไม่รู้จบ
s004
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2016, 12:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าเอาแต่ตำรา...คงจับความไม่จริงของอโสกะไม่ได้หรอก..555

มันผิดตั้งกะอโสกะไม่รู้จักเวทนาแล้วละ...

ยิ่งมาที่...ใครเป็นผู้ยินดียินร้าย..เด้ว.อโสกะก็จิตนาการอีก...คือคิด..คิด...

ต่อไป..ไม่รู้ว่าอโสกะจะสร้างให้อวิชชาเป็นตัวเป็นตนเป็นอัตตาขึ้นมาอึกมั้ย..
:b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2016, 21:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ถ้าเอาแต่ตำรา...คงจับความไม่จริงของอโสกะไม่ได้หรอก..555

มันผิดตั้งกะอโสกะไม่รู้จักเวทนาแล้วละ...

ยิ่งมาที่...ใครเป็นผู้ยินดียินร้าย..เด้ว.อโสกะก็จิตนาการอีก...คือคิด..คิด...

ต่อไป..ไม่รู้ว่าอโสกะจะสร้างให้อวิชชาเป็นตัวเป็นตนเป็นอัตตาขึ้นมาอึกมั้ย..
:b9: :b9:

wink
ต่างคนก็ต่างยืนยันความเห็นของตนว่าใช่อย่างนี้ก็คงคุยกันไม่รูเรื่องแล้วละกบ
:b7:
กลับสู่ประเด็นของกระทู้แล้วนะ

https://youtu.be/QaD1e1h-2Ro
:b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2016, 03:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
จุดเริ่มต้นของเรื่อง..คือ..เวทนา แยกเวทนา..กับ...ความรู้สึกทั่วๆไปออกยัง...

นี้จะเป็นจุดที่แสดงให้เห็นว่า..คุณอโสกะสังเกตปัจจุบันได้จริงรึยัง...

ปฏิจจสมุปบาท..หลังผัสสะ...เกิด...เวทนา..ตัณหา..อุปาทาน..ภพ..ชาติ..ทุกข์

การเห็นปัจจุบัน..จะเห็นของหยาบก่อนเป็นของธรรมดา...ไล่จากหยาบมาละเอียด..มี....ทุกข์(โสกะ..ปริเทวะฯ)..ภพ..อุปาทาน...ตัณหา..เวทนา

ทุกข์..ภพ..อุปาทาน...ตัณหา...ทั้งหมดล้วนก็เป็นความรู้สึกทั้งนั้นนั่นแหละ..เป็นนามขันธ์..มีเวทนา..สัญญา..สังขาร..ทำงานรวมรวมกัน....แต่เวทนาที่เป็น..สุขเวทนา..ทุกขเวทนา..หลังผัสสะ..นี้..มีลักษณะเฉพาะคือเป็นเวทนาล้วนๆ..(ไม่รวมที่วิญญาณรู้ในสัญญาว่าอยาตนะภายนอกคืออะไรนะ)

สุขเวทนา..จึงยินดี
ทุกขเวทนา..จึงยินร้าย

การกล่าวว่า..อยู่ระหว่างยินดี..กับ..ยินร้ายได้..ก็เป็นสายกลางได้แล้วนั้น...กระผมไม่เห็นด้วยกับคำพูดหยาบๆ..เยี่ยงนี้..กระผมถึงกับเคยพูดว่า..มิจฉาทิฏฐิก็ทำตรงนี้ได้..แล้วจะว่าเป็นสายกลางได้อย่างไรถ้าทำเพียงอยู่ระหว่าง..การยินดีกับการยินร้าย..แค่นี้

ตรงนี้เนี้ยแหละ...ที่อโสกะสรรเสริญ...การไม่รู้สึก..เพราะหลงเข้าใจผิดตรงนี้..




ตรงกลาง...ยินดี..กับ..ยินร้าย..พวกมิจฉาทิฏฐิก็ทำได้

อโสกะ..พึงระลึกใว้..นะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2016, 05:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s004
กบนึกว่าตนเป็นสัมมาทิฏฐิอยู่แล้วหรือขณะที่พยายามเอายินดียินร้ายออก

เริ่มจากโง่มาก่อนเกือบทุกคนแล้วมาฉลาด ตื่นเบิกบาน ทีหลัง

กบไม่ได้สังเกตพิจารณาที่อโศกะบอกต่อไปอีกหรือว่าหลังจากอยู่ตรงกลางระหว่างความยินดียินร้ายได้อะไรจะเกิดต่อไปอีก
onion
ถ้าเอาตามปฐมเทศนาทางสายกลางอยู่ระหว่างทางสายตึง อัตตกิลมมัตถานุโยค กับทางสายหย่อน กามสุขัลลิกานุโยค คือมัชฌิมาปฏิปทาได้แก่ มรรคมีองค์ 8 ครับ

มรรคมีองค์ 8 ย่อลงมาคือ ปัญญา 2 ศีล 3 สมาธิ 3
เวลาลงมือภาวนาจริงๆ ศีลเป็นฐานรองรับไว้ด้านล่าง
มีปัญญามรรคและสมาธิมรรคเป็นตัวทำงาน

ย่อลงมาคือปัญญากับสติ มีสมาธิ วิริยะป็นกองหนุน

ภาวนายังไง

สติปัฏฐาน 4 นั่นแหละคือแบบสำเร็จของการเจริญมรรค เพราะจะได้ใช้ วิริยะ ปัญญา สติ เข้าไปร่วมกันทำงานเฝ้าดูเฝ้าสังเกตกายใจให้เห็นความจริงว่าทุกข์เกิดมาจากไหนเพื่อจะได้เอาเหตุทุกข์นั้นออก

แบบสำเร็จที่พระบรมศาสดาทรงทำไว้ให้คือ
การเอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก คำพูดเพียงเท่านี้แต่เวลาปฏิบัติจริงที่จะอาออกเสียให้ไดซึ่งความยินดียินร้ายนั้น มีกระบวนการมากมายแต่ไม่ยากเพราะธรรมชาติในกายและเหตุปัจจัยพื้นฐานที่สร้างสมมาของแต่ละคนจะเข้าไปค้นพบวิธีการเฉพาะตนของเขาโดยอัตโนมัติที่จะวางยินดียินร้าย
เมื่อวางยินดียินร้ายได้ชำนาญเขาจะได้รับผลสามัญเบื้องแรกคือมีชีวิตอยู่บนทางอุเบกขา เดินบนทางเส้นนี้ไปนานๆก็จะถึงจุดสิ้นสุดความปรุงแต่งคือ สังขารุเปกขาญาณ อันเป็นฐานสำคัญที่จะส่งสู่ มรรค ผลและนิพพานหรือนิโรธสัจจะ ดังนี้

ขอบคุณน้องรสรินที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ได้ขียนเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างเป็นกิจลักษณะ อนุโมทนา

ถึงตรงนี้น้องรสรินลองจับประด็นดูซิว่าตรงไหนเป็นทางสายกลางบ้าง หยาบละอียดต่างกันยังไง?

อ้อเกือบลืมไป
จำง่ายทำง่ายขึ้นไปอีกในการเดินทางสายกลางก็คือ

"สำรวมกายใจมานิ่งดูนิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์จนมันดับไปหรือเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา"

เพราะสติปัฏฐานทั้ง 4 จะรวมอยู่ที่ปัจจุบันอารมณ์

"ปัจจุบันอารมณ์เป็นที่รวมแห่งธรรมทั้งปวง"

ดังพุทธดำรัสที่ว่า

"ปัจจุปันนัญจะโยธัมมังตัตถะตัตถะวิปัสสติ อะสังหิรังอะสังกุปปัง ตังวิทธรามนุพรูหเย"

ผู้ใดเห็นธรรมอันเกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้นๆอย่างแจ่มแจ้งไม่ง่อนแง่นคลอนแคลนเขาควรพอกพูนอาการเช่นนั้นไว้"
:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2016, 06:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s004
กบนึกว่าตนเป็นสัมมาทิฏฐิอยู่แล้วหรือขณะที่พยายามเอายินดียินร้ายออก

:b38:


ครับ..ต้องมีสัมมาทิฏฐิก่อน..ไม่เช่นนั้นสติปัฏฐาน 4 ที่ทำทำ..ก็ไม่เป็นสติปัฏฐาน4 ของพระพุทธเจ้า...จะกลายเป็นพรหม..กลายป็นอรูปพรหมไป..

อริยะมรรค..เริ่มที่สัมมาทิฏฐินี้แหละ...
สัมมาทิฏฐิ...รู้ทุกข์ก่อน...รู้ว่ามันทุกข์ยังงัย...สุขเวทนามันทุกข์ยังงัย..ทุกขเวทนามันทุกข์ยังงัย..ยินดีมันทุกข์ยังงัย..ยินร้ายมันทุกข์ยังงัย..เป็นต้น..

เมื่อเห็นว่าทุกข์ยังงัย...มันก็พอจะเห็นแนวว่า.ความไม่ทุกข์ควรเป็นอย่างไร

สติปัฏฐาน 4 จึงเกิดได้จากการรู้หน้าตาของทุกข์...รู้ความไม่ทุกข์...

นี้แหละผู้ปฏิบัติจึงต้องมีสัมมาทิฏฐิก่อน..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2016, 09:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
s004
กบนึกว่าตนเป็นสัมมาทิฏฐิอยู่แล้วหรือขณะที่พยายามเอายินดียินร้ายออก

:b38:


ครับ..ต้องมีสัมมาทิฏฐิก่อน..ไม่เช่นนั้นสติปัฏฐาน 4 ที่ทำทำ..ก็ไม่เป็นสติปัฏฐาน4 ของพระพุทธเจ้า...จะกลายเป็นพรหม..กลายป็นอรูปพรหมไป..

อริยะมรรค..เริ่มที่สัมมาทิฏฐินี้แหละ...
สัมมาทิฏฐิ...รู้ทุกข์ก่อน...รู้ว่ามันทุกข์ยังงัย...สุขเวทนามันทุกข์ยังงัย..ทุกขเวทนามันทุกข์ยังงัย..ยินดีมันทุกข์ยังงัย..ยินร้ายมันทุกข์ยังงัย..เป็นต้น..

เมื่อเห็นว่าทุกข์ยังงัย...มันก็พอจะเห็นแนวว่า.ความไม่ทุกข์ควรเป็นอย่างไร

สติปัฏฐาน 4 จึงเกิดได้จากการรู้หน้าตาของทุกข์...รู้ความไม่ทุกข์...

นี้แหละผู้ปฏิบัติจึงต้องมีสัมมาทิฏฐิก่อน..

:b12:
อ้างคำพูด:
สติปัฏฐาน 4 นั่นแหละคือแบบสำเร็จของการเจริญมรรค เพราะจะได้ใช้ วิริยะ ปัญญา สติ เข้าไปร่วมกันทำงานเฝ้าดูเฝ้าสังเกตกายใจให้เห็นความจริงว่าทุกข์เกิดมาจากไหนเพื่อจะได้เอาเหตุทุกข์นั้นออก

แบบสำเร็จที่พระบรมศาสดาทรงทำไว้ให้คือ
การเอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก คำพูดเพียงเท่านี้แต่เวลาปฏิบัติจริงที่จะอาออกเสียให้ไดซึ่งความยินดียินร้ายนั้น มีกระบวนการมากมายแต่ไม่ยากเพราะธรรมชาติในกายและเหตุปัจจัยพื้นฐานที่สร้างสมมาของแต่ละคนจะเข้าไปค้นพบวิธีการเฉพาะตนของเขาโดยอัตโนมัติที่จะวางยินดียินร้าย
เมื่อวางยินดียินร้ายได้ชำนาญเขาจะได้รับผลสามัญเบื้องแรกคือมีชีวิตอยู่บนทางอุเบกขา เดินบนทางเส้นนี้ไปนานๆก็จะถึงจุดสิ้นสุดความปรุงแต่งคือ สังขารุเปกขาญาณ อันเป็นฐานสำคัญที่จะส่งสู่ มรรค ผลและนิพพานหรือนิโรธสัจจะ ดังนี้

onion
แล้วคนที่พูดดังอ้างอิงมาให้อ่านอีกทีนี้มีสัมมาทิฏฐิหรือเปล่าล่ะ?
s006
คราวก่อนก็บอกแล้วว่าคนไม่มีสัมมาทิฏฐิจะมีใจมาเจริญสติปัฏฐาน 4 ได้อย่างไร? กบจะมาย้ำว่าคนมิจฉาทิฏฐิก็ทำได้เรื่องเอายินดียินร้ายออกก็เป็นไปได้แต่วิธีไม่ยินดียินร้ายของเขานั้นไม่เน้นไปที่เหตุทุกข์หรือการเอาเหตุทุกข์ออกต่างกันตรงนั้น
อย่างพวกฤาษีชีไพรหลบทุกข์อยูในสมาธิในฌาณ

กบสำคัญว่าอโศกะบอกแค่วิธีเอายินดียินร้ายออกแบบหลบทุกข์นี้หรือ คบกันมานานไม่นึกว่าจะยีงมองเห็นอะไรไม่ชัดไม่ครบไม่ถ้วนเหมือนคนตาฟางเช่นนี้ กลับไปทบทวนดูใหม่นะ
:b34:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2016, 19:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


posting.php?mode=quote&f=1&p=393478

asoka เขียน:

:b12:
ถ้าเอาตามปฐมเทศนาทางสายกลางอยู่ระหว่างทางสายตึง อัตตกิลมมัตถานุโยค กับทางสายหย่อน กามสุขัลลิกานุโยค คือมัชฌิมาปฏิปทาได้แก่ มรรคมีองค์ 8 ครับ

มรรคมีองค์ 8 ย่อลงมาคือ ปัญญา 2 ศีล 3 สมาธิ 3
เวลาลงมือภาวนาจริงๆ ศีลเป็นฐานรองรับไว้ด้านล่าง
มีปัญญามรรคและสมาธิมรรคเป็นตัวทำงาน

ย่อลงมาคือปัญญากับสติ มีสมาธิ วิริยะป็นกองหนุน

ภาวนายังไง

สติปัฏฐาน 4 นั่นแหละคือแบบสำเร็จของการเจริญมรรค เพราะจะได้ใช้ วิริยะ ปัญญา สติ เข้าไปร่วมกันทำงานเฝ้าดูเฝ้าสังเกตกายใจให้เห็นความจริงว่าทุกข์เกิดมาจากไหนเพื่อจะได้เอาเหตุทุกข์นั้นออก

แบบสำเร็จที่พระบรมศาสดาทรงทำไว้ให้คือ
การเอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก คำพูดพียงเท่านี้แต่เวลาปฏิบัติจริงที่จะเอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายนั้น มีกระบวนการมากมายแต่ไม่ยากเพราะธรรมชาติในกายและเหตุปัจจัยพื้นฐานที่สร้างสมมาของแต่ละคนจะเข้าไปค้นพบวิธีการเฉพาะตนของเขาโดยอัตโนมัติที่จะวางยินดียินร้าย
เมื่อวางยินดียินร้ายได้ชำนาญเขาจะได้รับผลสามัญเบื้องแรกคือมีชีวิตอยู่บนทางอุเบกขา เดินบนทางเส้นนี้ไปนานๆก็จะถึงจุดสิ้นสุดความปรุงแต่งคือ สังขารุเปกขาญาณ
อันเป็นฐานสำคัญที่จะส่งสู่ มรรค ผลและนิพพานหรือนิโรธสัจจะ ดังนี้


:b8:


ก็เพราะตรงนี้แหละคับ...ที่ทำให้อโสกะ..มีปัญหา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2016, 19:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s004
กบนึกว่าตนเป็นสัมมาทิฏฐิอยู่แล้วหรือขณะที่พยายามเอายินดียินร้ายออก

เริ่มจากโง่มาก่อนเกือบทุกคนแล้วมาฉลาด ตื่นเบิกบาน ทีหลัง
:b38:


อโสกะ...มีความคิดว่า...ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ความเห็นที่ถูกต้องก่อน..ก่อนลงมือปฏิบัติตามสติปัฏฐานใช่มั้ยคับ?

แล้วอโสกะเชื่อผมมั้ย..ว่า..มิจฉาทิฏฐิก็อยู่กลาง..ระหว่าง..ยินดี..กับ..ยินร้ายได้?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2016, 21:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
เฉย ด้วยมิจฉาทิฏฐินั้น ใช้วิธีอดเอาทนเอา ไม่สนใจ หลบเข้ฌาณ เข้าสมาธิแบบพวกฤาษี อเจลกะ

แต่เฉยสัมมาทิฏฐินั้น เป็นไปตามกระบวนการแห่งมรรค คือเอาสติ ปัญญามา สังเกตพิจารณาความยินดียินร้ายจนเห็นผู้ยินดียินร้าย เห็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดยินดียินร้าย ทำงานไปจนหมดกำลังดับความยินดียินร้ายไปโดยไม่ต่อปฏิกิริยาไปจนเป็นตัณหา ยินดียินร้ายดับลงเพราะหมดเหตุปัจจัย อุเบกขาโดยธรรมจึงเกิดขึ้นมาแทน อุเบกขาประเภทนี้ สงบ เย็น ไม่ต้องออกแรงดูดดึงหรือผลักต้านสิ่งใด ตั้งอยู่ไม่นานก็เข้าสู่ปกติ หรือสมดุลย์ บางอาจารย์ท่านเรียกว่า "อุเบกขาที่สมบูรณ์" ภาษาอังกฤษเรียก " Equalnimity"

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2016, 04:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
เฉย ด้วยมิจฉาทิฏฐินั้น ใช้วิธีอดเอาทนเอา ไม่สนใจ หลบเข้ฌาณ เข้าสมาธิ (1)แบบพวกฤาษี อเจลกะ

แต่เฉยสัมมาทิฏฐินั้น เป็นไปตามกระบวนการแห่งมรรค คือเอาสติ ปัญญามา สังเกตพิจารณาความยินดียินร้ายจนเห็นผู้ยินดียินร้าย เห็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดยินดียินร้าย ทำงานไปจนหมดกำลังดับความยินดียินร้ายไปโดยไม่ต่อปฏิกิริยาไปจนเป็นตัณหา(2) ยินดียินร้ายดับลงเพราะหมดเหตุปัจจัย อุเบกขาโดยธรรมจึงเกิดขึ้นมาแทน อุเบกขาประเภทนี้ สงบ เย็น ไม่ต้องออกแรงดูดดึงหรือผลักต้านสิ่งใด ตั้งอยู่ไม่นานก็เข้าสู่ปกติ หรือสมดุลย์ บางอาจารย์ท่านเรียกว่า "อุเบกขาที่สมบูรณ์" ภาษาอังกฤษเรียก " Equalnimity"

onion


ถ้าดูตามที่เขียนมา..(1)..ก็เหมือนกับ..(2) ได้
ลำพัง...การขึ้นต้นด้วยคำว่า..มิจฉาทิฏฐิ...กับ..สัมมาทิฏฐิ...ไม่ได้ช่วยอะไร

(2)..จะต่างจาก (1) ได้...จะต้องมีคำบางคำที่บ่งชี้...ว่า..มีสัมมาญาณ..เกิดขึ้น..ซึ่งไม่เคยเห็นจากอโสกะเลย...นอกจากนิ่งๆไปแล้วมันก็ดับเอง...

ยินดี..ยินร้าย..นี้ถึงงัยมันดับเองอยู่แล้ว..ถึงปรุงไปมันก็ดับ....ไม่ปรุง.มันก็ดับ...การเห็นมันดับโดยไม่ปรุงต่อแค่นี้นะ...มิจฉาทิฏฐิ..ก็ทำได้...เพียงคำว่า..ใช้วิธีอดเอาทนเอา ไม่สนใจ หลบเข้ฌาณ เข้าสมาธิ ก็เป็นแค่โวหาร..เจ้าตัวก็อาจไม่รู้ว่าที่ตัวเองกำลังดูมัน..สังเกตมัน..อยู่นั้นนะ...ตัวเองกำลังใช้ความอดทนในเหตุปัจจัยที่ทำให้ยินดี..ยินร้าย..อยู่ก็ได้

แต่..สัมมาญาณ...จะแตกต่างออกไป...

ที่...ไม่เคยเห็นในความเห็นของอโสกะ..

ผมถึงเคยพูดว่า..อโสกะกำลังทำสมถะก็ไม่รู้ว่าตัวเองทำสมถะ...(สมถะไม่ได้น่าเกลียดอะไร..แต่หลงนี้แหละน่าเกลียด) :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2016, 04:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:

การที่ผมไม่พยายามข้ามเวทนา..ยินดียินร้าย..นั้นเพราะต้องการให้อโสกะ..ได้ดูตนเองให้มากขึ้น

ไม่ใช่การตีรวน...หรือ..ชักใบให้เรือเสีย


ถ้าอยู่กับปัจจุบัน..จริง...จะต้องเห็น..เวทนา
เ้ห็นสุขเวทนา..ทุกขเวทนา..มันทุกข์เสมอกันยังงัย?
..


ถ้าเลยมาที่..ยินดี..ยินร้าย...
ถ้าเห็นปัจจุบันจริง....จะมีคำถามกับตัวเองว่า..ทำไมมันถึงได้ยินดี..รึ..ยินร้าย.?
และถ้าอยู่กับปัจจุบันจริง...จะเห็นคำตอบในคำถาม
...
....
คำตอบนี้สำเร็จแล้วรึ?...ยัง..ยัง

เห็นคำตอบในคำถามนี้...เรื่อยๆ...จะเกิดความรู้สึกในสัมมาญาณ...
ความรู้สึกในสัมมาญาณนี้สำเร็จแล้วรึ?..ยัง...ยังก่อน

ความสำเร็จ..ไม่ใช่เรื่องของเรา.
เรื่องของเรา..คือ..สะสม..เพิ่มพูน..ความรู้สึกในสัมมาญาณ..ไปเรื่อยๆ..ส่วนความสำเร็จเป็นเรื่องของมัน..ไม่ใช่เรื่องของเรา..

ความรู้สึก..นี้แหละที่อโสกะ..ต่อต้านตลอด...นิยมความไม่รู้สึก...จนมีโวหารว่า..ยังมีผู้รู้อยู่...มักนิยมชมชอบคนที่มีโวหารการไม่รู้สึก...ดับไปต่อหน้าต่อตา..ตรงนี้ผมว่าอโสกะมีจิตตกร่องนะ(ภพประจำตัว)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 128 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร