วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 23:15  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 147 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2016, 06:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b13:
กบเอยกบ ปัจจุบันปัญหาเผชิญอยู่ข้างหน้า กลับต้องถอยหลังไปเริ่มต้นที่ทาน ศีล ภาวนา แล้วมันจะทันกินรื้อ?

ถามว่า "ใครอยาก"

ถ้าตอบได้ถูกต้องจริงๆก็เจอหน้าสมุทัย พบคำตอบว่าทำไมต้องเอาชนะสักกายทิฏฐิให้ได้ก่อนทันที

ตอบมาให้ได้ให้ถูกก่อนสิว่า "ใครอยาก"

ถามย้ำ 2 ครั้งแล้วนะ ยังตอบไม่ได้ ถ้าให้ต้องถามถึง 3 ครั้งระวังศรีษะของกบอาจต้องแตกเป็นเจ็ดเสี่ยงนะ
:b13: :b13: :b17: :b17: :b29: :b29:


อ่านดูดีดี....แล้วพิจารณาให้เกิดปัญญา...ว่า..

จะเจอปัญหากับสักกายทิฏฐิได้อย่างไร..ถ้าตัณหายังมากล้นอยู่..

กบนอกกะลา เขียน:
เรื่องด่านแรก....ต้องทำ..ต้องพิชิต..ตามโวหารของอโสกะ..นั้นนะ

ถ้ายังอุดมไปด้วยตัณหา...อยากมี..อยากรวย...มียศ..มีลาภฯ...อย่างคนที่ใช้ชีวิตทั่วๆไปแล้วละก้อ...การที่จะพูดว่า..ต้องมาทำลายสักกายทิฏฐิ(สำนวนอโสกะ)..นั้น...จะไปทำลายอะไรได้เมื่อตัวมองไม่เห็น...มันเกินกำลังจะเห็น

พระองค์จึงสอนให้ทำจากเรื่องพื้น ๆ ค่อย ๆเป็น.ค่อยๆไป...ให้ทำทาน..รักษาศีล..

ลดตัณหาหยาบๆให้เบาบางลงมาซักหน่อย...มีภาวนาเพิ่มเข้ามา..ตั้งจิตจะนิพพานในชาตินี้ให้ได้..น่านแหละ...จึงจะเริ่มเห็นตัวปัญหาสักกายทิฏฐิ

ไม่อย่างนั้นนะ..สักกายทิฏฐิก็เป็นแค่คำที่ท่องจำได้ว่าแปลว่าอะไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2016, 20:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s004
แสดงว่ากบไม่เคยนั่งสงบสังเกตการณ์สภาวธรรมที่เกิดขึ้นในกายในใจ จึงไม่เห็นไม่รู้จักปฏิกิริยาของอัตตาหรือสักกายทิฏฐิที่ตอบโต้กับทุกๆสัมผัสของทวารทั้ง 6 คำพูดจึงไปวนอยู่แต่เรื่อในตำรา ลำดับตามที่เรียนรู้จดจำมาจากตำรา
grin
สังเกตดูที่ใจตนเองขณะอ่านข้อความนี้จบจะเห็น กู หรือสักกายทิฏฐิมันกำลังวินิจฉัยคิดพิจารณาเพื่อจะตอบโต้ ดูใจที่ตอบโต้นั้นให้ดีๆเดี๋ยวจะได้เห็นปฏิกิริยาที่แสดงออกเป็นยินดียินร้าย....มโนกรรม....วจีกรรม.....กายกรรมตามลำดับ แล้วก็จะมีวิบากคือผลแสดงให้ดูเป็นหลักฐานให้รับและเสวยผลไปทำซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างนี้ไปไม่รู้จบ จนกว่าจะพ้นจากภาวะปุถุชนได้
onion


แก้ไขล่าสุดโดย asoka เมื่อ 31 พ.ค. 2016, 06:13, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2016, 22:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เด็ก...เด็ก..

huh


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2016, 07:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เด็ก...เด็ก..

huh

:b13: :b17:
อ๋อ!......นี่กบยอมมาสารภาพกับชุมชนว่าตนเองยังเป็นเด็กๆทั้งในทางโลกและทางธรรมเช่นนั้นหรือ?
:b4:
อนุโมทนานะที่รู้จักเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตัวและยอมรับความจริง
:b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2016, 21:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s004
แสดงว่ากบไม่เคยนั่งสงบสังเกตการณ์สภาวธรรมที่เกิดขึ้นในกายในใจ จึงไม่เห็นไม่รู้จักปฏิกิริยาของอัตตาหรือสักกายทิฏฐิที่ตอบโต้กับทุกๆสัมผัสของทวารทั้ง 6 คำพูดจึงไปวนอยู่แต่เรื่อในตำรา ลำดับตามที่เรียนรู้จดจำมาจากตำรา
grin
สังเกตดูที่ใจตนเองขณะอ่านข้อความนี้จบจะเห็น กู หรือสักกายทิฏฐิมันกำลังวินิจฉัยคิดพิจารณาเพื่อจะตอบโต้ ดูใจที่ตอบโต้นั้นให้ดีๆเดี๋ยวจะได้เห็นปฏิกิริยาที่แสดงออกเป็นยินดียินร้าย....มโนกรรม....วจีกรรม.....กายกรรมตามลำดับ แล้วก็จะมีวิบากคือผลแสดงให้ดูเป็นหลักฐานให้รับและเสวยผลไปทำซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างนี้ไปไม่รู้จบ จนกว่าจะพ้นจากภาวะปุถุชนได้
onion


กบนอกกะลา เขียน:
เด็ก...เด็ก..

huh


เด็ก..เด็ก..

สอนตัวเองก็ดีนะ.. :b9: :b9:

แต่ไม่รู้ว่า..ทำไมต้องแก้ไขข้อความของตัวเอง...หลังจากผ่านไปตั้งหลายวันไปแล้ว.. s006 s006
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2016, 20:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b51:
ช่วงเวลาที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้พบวิศกรท่านหนึ่งที่ปลีกจากงานโลกมาบวช 1 เดือน วิศวกรท่านนี้มีประสบการณ์ธรรมที่น่าทึ่ง คือ ท่านทำสมถะภาวนาในช่วงที่มีช่องว่างระหว่างการทำงานประจำ จนได้สมาธิลึกสามารถทำจิตเข้าภวังค์ได้ดังใจนึก หลังจากนั้นท่านบอกว่ามีโอกาสไปช่วยงานก่อสร้างวัดที่อินเดียใกล้ๆกับสังเวชนียสถานจึงมีโอกาสได้ปฏิบัติเข้มข้นเต็มที่มาก จนสติเป็นมหาสติต่อเนื่องกันเป็นเดือน ช่วงนั้นเองเวลาท่านออกจากภวังค์ก็มาน้อมพิจารณาสังขารร่างกายให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความไม่น่าดูน่าเอาของสังขารธาตุขันธ์แล้วมีอยู่วันหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นช่วงวันหยุดงานท่านมีเวลาได้เจริญสติเจริญปัญญาต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืน มันเกิดเหตุการณ์ที่ท่านไม่เคยพบเจอมาก่อนคือขณะที่ท่านพิจารณาธาตุขันธ์อยู่ จิตมันสงบมาก สภาวธรรมแจ่มชัดมาก มันเกิดอาการเหมือนจะดับลงภวังค์แต่ไม่ใช่ทันทีทันใดต่อจากนั้นธาตุขันธ์ของท่านก็เหมือนแตกระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆหายไปหมดแม่แต่ตัวจิตผู้รู้ชั่วพริบตาเดียวพอกลับมารู้สึกตัว ข้างในใจเปลี่ยนไปหมดคือไม่มีอะไรเหลือสักอย่างมีแต่ความว่างเปล่า ไม่ใช่ว่างธรรมดาๆแต่มันคือความว่างแบบไม่มีอะไรเหลือ แล้วหลังจากนั้นจนถึงวันนี้ถ้าไม่มีงานอะไรชีวิตมันก็จะไปอยู่ที่ไม่มีอะไรนี้เองโดยอัตโนมัติโดยธรรมชาติ มีงานสติปัญญาอวัยวะต่างๆก็ตื่นขึ้นมาทำงานตามเหตุตามผลตามเหตุปัจจัย หมดงานทุกอย่างก็เงียบสงบ ความคิดฟุ้งซ่านไม่หยุดหย่อนอย่างที่เคยเป็นหายไปหมด มันจะคิดเมื่อต้องใช้ความคิดทำงาน จบแล้วก็จบ

ถ้าเป็นอย่างนี้จริงการตายก่อนตายของท่านวิศวกรคนนี้คงไม่ยากแล้วเพราะเวลาตายจริงก็คงตายตรงที่ไม่มีอะไรเหลือสักอย่างนั่นเอง

:b8:
:b27:
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2016, 06:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

ถ้าเป็นอย่างนี้จริงการตายก่อนตายของท่านวิศวกรคนนี้คงไม่ยากแล้วเพราะเวลาตายจริงก็คงตายตรงที่ไม่มีอะไรเหลือสักอย่างนั่นเอง
:b8:
:b27:
onion


ก็เดา..เดา...ไปงั้น. :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2016, 09:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b51:

ช่วงเวลาที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้พบวิศกรท่านหนึ่งที่ปลีกจากงานโลกมาบวช 1 เดือน วิศวกรท่านนี้มีประสบการณ์ธรรมที่น่าทึ่ง คือ ท่านทำสมถะภาวนาในช่วงที่มีช่องว่างระหว่างการทำงานประจำ จนได้สมาธิลึกสามารถทำจิตเข้าภวังค์ได้ดังใจนึก หลังจากนั้นท่านบอกว่ามีโอกาสไปช่วยงานก่อสร้างวัดที่อินเดียใกล้ๆกับสังเวชนียสถานจึงมีโอกาสได้ปฏิบัติเข้มข้นเต็มที่มาก จนสติเป็นมหาสติต่อเนื่องกันเป็นเดือน ช่วงนั้นเองเวลาท่านออกจากภวังค์ก็มาน้อมพิจารณาสังขารร่างกายให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความไม่น่าดูน่าเอาของสังขารธาตุขันธ์แล้วมีอยู่วันหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นช่วงวันหยุดงานท่านมีเวลาได้เจริญสติเจริญปัญญาต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืน มันเกิดเหตุการณ์ที่ท่านไม่เคยพบเจอมาก่อนคือขณะที่ท่านพิจารณาธาตุขันธ์อยู่ จิตมันสงบมาก สภาวธรรมแจ่มชัดมาก มันเกิดอาการเหมือนจะดับลงภวังค์แต่ไม่ใช่ทันทีทันใดต่อจากนั้นธาตุขันธ์ของท่านก็เหมือนแตกระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆหายไปหมดแม่แต่ตัวจิตผู้รู้ชั่วพริบตาเดียวพอกลับมารู้สึกตัว ข้างในใจเปลี่ยนไปหมดคือไม่มีอะไรเหลือสักอย่างมีแต่ความว่างเปล่า ไม่ใช่ว่างธรรมดาๆแต่มันคือความว่างแบบไม่มีอะไรเหลือ แล้วหลังจากนั้นจนถึงวันนี้ถ้าไม่มีงานอะไรชีวิตมันก็จะไปอยู่ที่ไม่มีอะไรนี้เองโดยอัตโนมัติโดยธรรมชาติ มีงานสติปัญญาอวัยวะต่างๆก็ตื่นขึ้นมาทำงานตามเหตุตามผลตามเหตุปัจจัย หมดงานทุกอย่างก็เงียบสงบ ความคิดฟุ้งซ่านไม่หยุดหย่อนอย่างที่เคยเป็นหายไปหมด มันจะคิดเมื่อต้องใช้ความคิดทำงาน จบแล้วก็จบ

ถ้าเป็นอย่างนี้จริงการตายก่อนตายของท่านวิศวกรคนนี้คงไม่ยากแล้วเพราะเวลาตายจริงก็คงตายตรงที่ไม่มีอะไรเหลือสักอย่างนั่นเอง


ภวังค์ หมายถึงอะไรขอรับ


อ้างคำพูด:
ถ้าเป็นอย่างนี้จริงการตายก่อนตายของท่านวิศวกรคนนี้คงไม่ยากแล้วเพราะเวลาตายจริงก็คงตายตรงที่ไม่มีอะไรเหลือสักอย่างนั่นเอง

เป็นอุจเฉททิฏฐิแหง๋มๆ :b32:

อ้างคำพูด:
เวลาตายจริงก็คงตายตรงที่ไม่มีอะไรเหลือสักอย่างนั่นเอง


ตอนเป็นคือยังไม่ตาย ท่านอโศกนะ เกือบไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว ยังเหลือแต่กางเกงใน คิกๆๆ

อีกนิดจะเหมือนนักบวชนิครนถ์

http://i253.photobucket.com/albums/hh79 ... C_3464.jpg

:b32:

https://www.facebook.com/10000901745482 ... =2&theater

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2016, 17:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b47:
ภวังค์....เป็นช่วงต่อระหว่างความเกิดกับความดับ
จิตที่ฝึกดีแล้วมีสมาธิที่มีกำลังมากแล้วสามารถจะดับลงภวังค์ได้ตามใจปรารถนา

ที่ภวังค์เป็นที่ๆยุติความเกิดความดับไปชั่วขณะ
onion
อุจเฉทะทิฏฐิ เป็นความเห็นตามตำราของกรัชกาย
แต่การตายตรงที่ไม่มีอะไรเป็นภาษาพูดที่ฟังง่ายๆแต่ความหมายลึกล้ำอย่างชนิดที่หนอนตำราอย่างกรัชกายไม่สามารถจะเข้าใจได้
:b11:
ก่อนที่จะเข้าถึงความไม่มีอะไรได้จนเป็นปกติธรรมดานั้นท่านวิศกรได้ทำลายความเห็นผิดขาดสะบั้นไปก่อนแล้ว จึงไม่มีอุจเฉทะทิฏฐิ
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2016, 20:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b47:
ภวังค์....เป็นช่วงต่อระหว่างความเกิดกับความดับ
จิตที่ฝึกดีแล้วมีสมาธิที่มีกำลังมากแล้วสามารถจะดับลงภวังค์ได้ตามใจปรารถนา

ที่ภวังค์เป็นที่ๆยุติความเกิดความดับไปชั่วขณะ
onion
อุจเฉทะทิฏฐิ เป็นความเห็นตามตำราของกรัชกาย
แต่การตายตรงที่ไม่มีอะไรเป็นภาษาพูดที่ฟังง่ายๆแต่ความหมายลึกล้ำอย่างชนิดที่หนอนตำราอย่างกรัชกายไม่สามารถจะเข้าใจได้
:b11:
ก่อนที่จะเข้าถึงความไม่มีอะไรได้จนเป็นปกติธรรมดานั้นท่านวิศกรได้ทำลายความเห็นผิดขาดสะบั้นไปก่อนแล้ว จึงไม่มีอุจเฉทะทิฏฐิ
onion



ท่านอโศกคงพยากรณ์อริยบุคคลให้ท่านวิศกรท่านนั้นแน่ๆ หลอกเขาบาปตกนรกโลกันต์นะท่านอโศก :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2016, 06:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b47:
ภวังค์....เป็นช่วงต่อระหว่างความเกิดกับความดับ
จิตที่ฝึกดีแล้วมีสมาธิที่มีกำลังมากแล้วสามารถจะดับลงภวังค์ได้ตามใจปรารถนา

ที่ภวังค์เป็นที่ๆยุติความเกิดความดับไปชั่วขณะ
onion
อุจเฉทะทิฏฐิ เป็นความเห็นตามตำราของกรัชกาย
แต่การตายตรงที่ไม่มีอะไรเป็นภาษาพูดที่ฟังง่ายๆแต่ความหมายลึกล้ำอย่างชนิดที่หนอนตำราอย่างกรัชกายไม่สามารถจะเข้าใจได้
:b11:
ก่อนที่จะเข้าถึงความไม่มีอะไรได้จนเป็นปกติธรรมดานั้นท่านวิศกรได้ทำลายความเห็นผิดขาดสะบั้นไปก่อนแล้ว จึงไม่มีอุจเฉทะทิฏฐิ
onion


คิดถึงอดีต...
Bigtoo บอกว่า...ดับไปต่อหน้าต่อตา

อโสกะ...ถลาเข้ามารับรองทันที.. :b32: :b32:

อโสกะ..มีความชอบส่วนตัวกับคำทำนอง...ดับไปต่อหน้าต่อตา..เฉย...

พอเจอคำทำนองนี้เหมือนงูเจอเชือกกล้วย...อ่อนระทวย..ซูฮก...ปลกหัวงกงก.. :b16: :b16:

ลืมดูมรรค...สนแต่ปากที่พูดถึงผล.. :b9:

ไม่มีมรรค...ไม่มีผล

คนหลงก็คิดว่า...นี้งัยมรรค..นั้นงัยมรรค..ปัณหาคือ...ตนเองก็ไม่ทั่วถึงในมรรค...ตนก็เข้าใจผิดในมรรค..จึงตัดสินผิดคิดว่านั้นก็มรรค..นี้ก็มรรค..แล้ว

ผิดพลาดในมรรค...ก็ตัดสินผลผิดพลาด :b17: :b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2016, 11:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
onion
ในศาสนาพุทธ คำว่าวิญญาณ (บาลี: viññāṇa; สันสกฤต: विज्ञान) ใช้หมายถึงพิชาน (consciousness) คือความรู้แจ้งอารมณ์[1] พระไตรปิฎกระบุว่าพระพุทธเจ้าทรงจำแนกวิญญาณออกเป็น 6 ประเภท[2] ได้แก่

จักขุวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางตา คือรู้รูปด้วยตา หรือการเห็น
โสตวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางหู คือรู้เสียงด้วยหู หรือการได้ยิน
ฆานวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางจมูก คือรู้กลิ่นด้วยจมูก หรือการได้กลิ่น
ชิวหาวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางลิ้น คือรู้รสด้วยลิ้น หรือการรู้รส
กายวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางกาย คือรู้โผฏฐัพพะด้วยกาย หรือการรู้สึกกายสัมผัส
มโนวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางใจ คือรู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ หรือการนึกคิด
นอกจากนี้วิญญาณยังปรากฏในหลักธรรมอื่น ๆ ด้วย เช่น วิญญาณขันธ์ในขันธ์ 5 วิญญาณในปฏิจจสมุปบาท

คำว่าวิญญาณยังถือเป็นคำไวพจน์ของคำว่าจิต มีความหมายเหมือนกัน ใช้แทนกันได้[3]

หน้าที่ของวิญญาณ (วิญญาณกิจ) แก้ไข

คัมภีร์วิสุทธิมรรคของพระพุทธโฆสะและคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะของพระอนุรุทธาจารย์ กล่าวว่าวิญญาณมีหน้าที่ 14 อย่าง[4][5] คือ

ปฏิสนธิ สืบต่อภพใหม่
ภวังคะ เป็นองค์ประกอบของภพ
อาวัชชนะ คำนึงถึงอารมณ์ใหม่
ทัสสนะ เห็นรูป (ตรงกับจักขุวิญญาณ)
สวนะ ได้ยินเสียง (ตรงกับโสตวิญญาณ)
ฆายนะ ได้กลิ่น (ตรงกับฆานวิญญาณ)
สายนะ รู้รส (ตรงกับชิวหาวิญญาณ)
ผุสนะ ถูกต้องโผฏฐัพพะ (ตรงกับกายวิญญาณ)
สัมปฏิจฉนะ รับอารมณ์
สันตีรณะ พิจารณาอารมณ์
โวฏฐัพพนะ ตัดสินอารมณ์
ชวนะ เสพอารมณ์
ตทาลัมพณะ รับอารมณ์ต่อจากชวนะก่อนจะกลับสู่ภวังค์
จุติ เคลื่อนจากภพปัจจุบันเพื่อจะไปสู่ภพหน้า
อ้างอิง แก้ไข

↑ วิญญาณ 6. พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)
↑ ที.ปา.11/306/255
↑ พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย, 2546
↑ วิสุทธิ 3/29
↑ สงฺคห15
พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) ป.ธ. ๙ ราชบัณฑิต พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด คำวัด, วัดราชโอรสาราม กรุงเทพฯ พ.ศ. 2548
:b34:
อ่านดูซะกบ&โฮฮับ
onion

Kiss
อธิบายให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นได้ว่า
วิญญาณขันธ์เป็นจิตในอภิธรรมที่ย่อว่าจิ
จิตเป็นสภาพรู้เป็นธาตุรู้เป็นใหญ่เป็นประธาน
ในการรู้แจ้งอารมณ์ทุกอย่างที่เป็นธาตุผ่านอายตน6
ที่รู้การปรากฏของเห็นได้ยินได้กลิ่นรู้รสรู้กระทบสัมผัส
เป็นผลของกรรมคือเกิดจากขณะจิตสุดท้ายของอดีตชาติ
1ขณะสุดท้ายที่เกิดดับสืบต่อผ่านภวังค์มาเกิดปฏิสนธิจิตภพใหม่
ดังนั้นจิตเป็นสภาวะรู้แจ้งอารมณ์ทุกอย่างทั้งที่ปรากฏและไม่ปรากฏเลยค่ะ
สำหรับรูปขันธ์เป็นสภาพที่ไม่รู้อะไรเลยแต่เป็นสภาพที่จิตไปรับรู้ว่ามีปรากฏกับจิตย่อว่ารุ
ส่วนขันธ์ที่เหลือเวทนา/สัญญา/สังขารเป็นสภาพรู้เป็นธาตุรู้ที่เกิด-ดับพร้อมจิตเรียกเจตสิกย่อว่าเจ
ในพระอภิธรรมปิฎกแสดงความละเอียดของจิตที่ยังไม่ถึงนิพพานว่าเป็นจิต+เจตสิก+รูปเกิดดับสืบต่อค่ะ
ขั้นสูงสุดของพระพุทธศาสนาคือพระนิพพานเป็นสภาวะที่เที่ยงไม่มีการเกิดดับย่อว่านิจึงย่อเป็น...จิเจรุนิ
จิตเกิดดับสืบต่อผ่านเข้าออกจากร่างนี้ไปร่างนั้นเหมือนที่คุณอโศกบอกค่ะแต่เป็นจิตเจตสิกไปเกิด31ภพ
จิต+เจตสิกเกิดดับสืบต่อผ่านภพภูมิไปรู้รูปตามภพภูมินั้นๆแล้วหลงรูปที่ปรากฏในนิมิต(อ่านนิ-มิด-ตะ)ค่ะ
:b4: :b4:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 08 มิ.ย. 2016, 19:21, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2016, 16:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b47:
ภวังค์....เป็นช่วงต่อระหว่างความเกิดกับความดับ
จิตที่ฝึกดีแล้วมีสมาธิที่มีกำลังมากแล้วสามารถจะดับลงภวังค์ได้ตามใจปรารถนา

ที่ภวังค์เป็นที่ๆยุติความเกิดความดับไปชั่วขณะ
onion
อุจเฉทะทิฏฐิ เป็นความเห็นตามตำราของกรัชกาย
แต่การตายตรงที่ไม่มีอะไรเป็นภาษาพูดที่ฟังง่ายๆแต่ความหมายลึกล้ำอย่างชนิดที่หนอนตำราอย่างกรัชกายไม่สามารถจะเข้าใจได้
:b11:
ก่อนที่จะเข้าถึงความไม่มีอะไรได้จนเป็นปกติธรรมดานั้นท่านวิศกรได้ทำลายความเห็นผิดขาดสะบั้นไปก่อนแล้ว จึงไม่มีอุจเฉทะทิฏฐิ
onion


คิดถึงอดีต...
Bigtoo บอกว่า...ดับไปต่อหน้าต่อตา

อโสกะ...ถลาเข้ามารับรองทันที.. :b32: :b32:

อโสกะ..มีความชอบส่วนตัวกับคำทำนอง...ดับไปต่อหน้าต่อตา..เฉย...

พอเจอคำทำนองนี้เหมือนงูเจอเชือกกล้วย...อ่อนระทวย..ซูฮก...ปลกหัวงกงก.. :b16: :b16:

ลืมดูมรรค...สนแต่ปากที่พูดถึงผล.. :b9:

ไม่มีมรรค...ไม่มีผล

คนหลงก็คิดว่า...นี้งัยมรรค..นั้นงัยมรรค..ปัณหาคือ...ตนเองก็ไม่ทั่วถึงในมรรค...ตนก็เข้าใจผิดในมรรค..จึงตัดสินผิดคิดว่านั้นก็มรรค..นี้ก็มรรค..แล้ว

ผิดพลาดในมรรค...ก็ตัดสินผลผิดพลาด :b17: :b17: :b17:

smiley
กบเอ๋ยกบพอพูดนอกตำรานิดเดียวกบก็ไม่เข้าใจ เป็นหนอนกอดตำราเหมือนกรัชกายเลยนะนี่
:b7:
อ้างคำพูด:
ก่อนที่จะเข้าถึงความไม่มีอะไรได้จนเป็นปกติธรรมดานั้นท่านวิศกรได้ทำลายความเห็นผิดขาดสะบั้นไปก่อนแล้ว จึงไม่มีอุจเฉทะทิฏฐิ

onion
ดูตรงนี้ให้ดีนะกบ

มรรคเขาทำงานทำลายความเห็นผิด (สักกายทิฏฐิ)จนดับหรือขาดสะบั้นแล้ว
ผลจึงเกิดให้ท่านวิศกรได้รับ เป็นผลอันยั่งยืนไม่เปลี่ยนแปลงเพราะสามารถเข้าถึงได้เสมอเป็นธรรมชาติเป็นปกติธรรมดา พิสูจน์ได้อยู่ตลอดเวลาเสมอๆ
สนใจก็ขึ้นไปพบปะสัมภาษณ์พิสูจน์ได้ด้วยตัวเองเลยนะกบ

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2016, 20:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b47:
ภวังค์....เป็นช่วงต่อระหว่างความเกิดกับความดับ
จิตที่ฝึกดีแล้วมีสมาธิที่มีกำลังมากแล้วสามารถจะดับลงภวังค์ได้ตามใจปรารถนา

ที่ภวังค์เป็นที่ๆยุติความเกิดความดับไปชั่วขณะ
onion
อุจเฉทะทิฏฐิ เป็นความเห็นตามตำราของกรัชกาย
แต่การตายตรงที่ไม่มีอะไรเป็นภาษาพูดที่ฟังง่ายๆแต่ความหมายลึกล้ำอย่างชนิดที่หนอนตำราอย่างกรัชกายไม่สามารถจะเข้าใจได้
:b11:
ก่อนที่จะเข้าถึงความไม่มีอะไรได้จนเป็นปกติธรรมดานั้นท่านวิศกรได้ทำลายความเห็นผิดขาดสะบั้นไปก่อนแล้ว จึงไม่มีอุจเฉทะทิฏฐิ
onion


คิดถึงอดีต...
Bigtoo บอกว่า...ดับไปต่อหน้าต่อตา

อโสกะ...ถลาเข้ามารับรองทันที.. :b32: :b32:

อโสกะ..มีความชอบส่วนตัวกับคำทำนอง...ดับไปต่อหน้าต่อตา..เฉย...

พอเจอคำทำนองนี้เหมือนงูเจอเชือกกล้วย...อ่อนระทวย..ซูฮก...ปลกหัวงกงก.. :b16: :b16:

ลืมดูมรรค...สนแต่ปากที่พูดถึงผล.. :b9:

ไม่มีมรรค...ไม่มีผล

คนหลงก็คิดว่า...นี้งัยมรรค..นั้นงัยมรรค..ปัณหาคือ...ตนเองก็ไม่ทั่วถึงในมรรค...ตนก็เข้าใจผิดในมรรค..จึงตัดสินผิดคิดว่านั้นก็มรรค..นี้ก็มรรค..แล้ว

ผิดพลาดในมรรค...ก็ตัดสินผลผิดพลาด :b17: :b17: :b17:

asoka เขียน:
smiley
กบเอ๋ยกบพอพูดนอกตำรานิดเดียวกบก็ไม่เข้าใจ เป็นหนอนกอดตำราเหมือนกรัชกายเลยนะนี่
:b7:
อ้างคำพูด:
ก่อนที่จะเข้าถึงความไม่มีอะไรได้จนเป็นปกติธรรมดานั้นท่านวิศกรได้ทำลายความเห็นผิดขาดสะบั้นไปก่อนแล้ว จึงไม่มีอุจเฉทะทิฏฐิ


onion
ดูตรงนี้ให้ดีนะกบ

มรรคเขาทำงานทำลายความเห็นผิด (สักกายทิฏฐิ)จนดับหรือขาดสะบั้นแล้ว
ผลจึงเกิดให้ท่านวิศกรได้รับ เป็นผลอันยั่งยืนไม่เปลี่ยนแปลงเพราะสามารถเข้าถึงได้เสมอเป็นธรรมชาติเป็นปกติธรรมดา พิสูจน์ได้อยู่ตลอดเวลาเสมอๆ
สนใจก็ขึ้นไปพบปะสัมภาษณ์พิสูจน์ได้ด้วยตัวเองเลยนะกบ

onion


แค่คำพูด....สวยหรู....ไม่ได้ช่วยอะไร...

ยิ่งอโสกะ..วิ่งไปรับรอง...ยิ่งต้องระวัง..ต้องมองดีดี

แต่..ผล...คือ..วิ่งเข้าภวังค์ได้ตลอดเวลา...ชอบเข้าภวังค์...นี้ผลมันผิด...แสดงว่าที่ทำยังไม่ใช่มรรค..ยังไม่สมบูรณ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มิ.ย. 2016, 04:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อโสกะ..อาจจะงง...ว่าทำไมถึงว่าไม่ใช่ผล..มรรคเขาก็ทำอยู่นี้..เขาก็น้อมพิจารณาอนิจจัง..ทุกขัง..อนัตตา..แล้วนี้

ธาตุขันธ์แตกระเบิด...ว่างแบบไม่มีอะไรเหลือแล้ว...
อโสกะ.ก็เข้าใจว่า..สักกายทิฏฐิตัดขาดสะบั้นแล้ว..(ตามสำนวนอโสกะ)

ใจก็ว่างแล้ว...มันจะไม่ใช่.ผล.ได้อย่างไร??

อโสกะเข้าใจว่า...มีมรรค..มีผล..สมบูรณ์แล้ว :b32: :b32:

สำหรับผมนะ..ยัง....ยังไม่พอ

asoka เขียน:
:b51:

ช่วงเวลาที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้พบวิศกรท่านหนึ่งที่ปลีกจากงานโลกมาบวช 1 เดือน วิศวกรท่านนี้มีประสบการณ์ธรรมที่น่าทึ่ง คือ ท่านทำสมถะภาวนาในช่วงที่มีช่องว่างระหว่างการทำงานประจำ จนได้สมาธิลึกสามารถทำจิตเข้าภวังค์ได้ดังใจนึก หลังจากนั้นท่านบอกว่ามีโอกาสไปช่วยงานก่อสร้างวัดที่อินเดียใกล้ๆกับสังเวชนียสถานจึงมีโอกาสได้ปฏิบัติเข้มข้นเต็มที่มาก จนสติเป็นมหาสติต่อเนื่องกันเป็นเดือน ช่วงนั้นเองเวลาท่านออกจากภวังค์ก็มาน้อมพิจารณาสังขารร่างกายให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความไม่น่าดูน่าเอาของสังขารธาตุขันธ์แล้วมีอยู่วันหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นช่วงวันหยุดงานท่านมีเวลาได้เจริญสติเจริญปัญญาต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืน มันเกิดเหตุการณ์ที่ท่านไม่เคยพบเจอมาก่อนคือขณะที่ท่านพิจารณาธาตุขันธ์อยู่ จิตมันสงบมาก สภาวธรรมแจ่มชัดมาก มันเกิดอาการเหมือนจะดับลงภวังค์แต่ไม่ใช่ทันทีทันใดต่อจากนั้นธาตุขันธ์ของท่านก็เหมือนแตกระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆหายไปหมดแม่แต่ตัวจิตผู้รู้ชั่วพริบตาเดียวพอกลับมารู้สึกตัว ข้างในใจเปลี่ยนไปหมดคือไม่มีอะไรเหลือสักอย่างมีแต่ความว่างเปล่า ไม่ใช่ว่างธรรมดาๆแต่มันคือความว่างแบบไม่มีอะไรเหลือ แล้วหลังจากนั้นจนถึงวันนี้ถ้าไม่มีงานอะไรชีวิตมันก็จะไปอยู่ที่ไม่มีอะไรนี้เองโดยอัตโนมัติโดยธรรมชาติ มีงานสติปัญญาอวัยวะต่างๆก็ตื่นขึ้นมาทำงานตามเหตุตามผลตามเหตุปัจจัย หมดงานทุกอย่างก็เงียบสงบ ความคิดฟุ้งซ่านไม่หยุดหย่อนอย่างที่เคยเป็นหายไปหมด มันจะคิดเมื่อต้องใช้ความคิดทำงาน จบแล้วก็จบ

ถ้าเป็นอย่างนี้จริงการตายก่อนตายของท่านวิศวกรคนนี้คงไม่ยากแล้วเพราะเวลาตายจริงก็คงตายตรงที่ไม่มีอะไรเหลือสักอย่างนั่นเอง


ช้าก่อน..อโสกะ..

ดูไปเรื่อย ๆ
... :b9: :b9: :b9:

อ้างคำพูด:
หายไปหมดแม่แต่ตัวจิตผู้รู้

เริ่มจากตรงนี้ก่อนเลย...

อโสกะ..ดูไปเรื่อย ๆ..ซัก ปี..สองปี..(สามปีได้ยิ่งดี)..อิอิ :b32: :b32: :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 147 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร