วันเวลาปัจจุบัน 03 มิ.ย. 2025, 23:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 286 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11 ... 20  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2015, 21:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
คนละกระทู้แล้วลุง....นี้มันกระทู้เครื่องมือตรวจวัดความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม
ตัวเองแท้ ๆ บอกว่า..โกรธ..พยาบาท...มาเป็นเครื่องมือวัด..กู้ผู้น้อง...กูผู้พี่อะไรของอโสกะ..นี้แหละ :b32: :b32:

นี้ไม่ใช่กระทู้..นิวรณ์นะขอรับ...นั้นอีกกระทู้นึ่ง
grin

:b12:
ก็มิได้เสียหายอะไร แค่ช่วยทำให้ผู้คนเห็นว่ากบ ฉลาด เก่งจริงๆ กัดได้ทันทีเมื่อมีช่องโหว่

มันลึกซึ้งยิ่งกว่าโทสะหรือปฏิฆะ

:b11:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2015, 05:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมแค่..ไม่ลืมรากเหง้าของปัญหา..ครับ

ก่อนจะไปต่อเรื่องอื่น..ต้องเอาเรื่องเก่าให้จบไปก่อน..สรุปเป็นเรื่อง ๆ..ปลดภาระทีละเปลาะ..ไม่หลงทำเรื่องสะเปะสะปะ..

ดีแล้ว...ที่ยอมรับว่ามันเป็นช่องว่าง...การจะรักษาพระธรรมต้องรัดกุมรอบคอบในการพูด..การแสดงออก..นะครับ..ยิ่งการเป็นผู้อบรมผู้อื่นด้วยแล้ว..ยิ่งต้องรอบคอบกว่าคนธรรมดาหลายเท่าตัว..จึงจะเป็นเนื้อบุญที่บริบูรณ์ได้..

ติเพื่อก่อ...ไม่ได้คิดจะเกทับบลัพแหลกอะไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2015, 08:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


คำสอนที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสไว้





walaiporn เขียน:
สมถะ-วิปัสสนา



ยุคนัทธวรรค ยุคนัทธกถา
[๕๓๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง ท่านพระอานนท์อยู่ ณ โฆสิตาราม ใกล้พระนครโกสัมพี
ณ ที่นั้นแล ท่านพระอานนท์เรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้นรับคำท่านพระอานนท์แล้ว ท่านพระอานนท์ได้กล่าวว่า ดูกรอาวุโส
ทั้งหลาย ก็ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง พยากรณ์อรหัตในสำนักเรา ด้วย
มรรค ๔ ทั้งหมดหรือด้วยมรรคเหล่านั้นมรรคใดมรรคหนึ่ง มรรค ๔ เป็นไฉน ฯ
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้ ย่อมเจริญวิปัสสนาอันมีสมถะ
เป็นเบื้องต้น เมื่อภิกษุนั้นเจริญวิปัสสนาอันมีสมถะเป็นเบื้องต้นอยู่ มรรคย่อม
เกิด ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ
ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น เมื่อภิกษุ
นั้นเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นอยู่ มรรคย่อมเกิดขึ้น ภิกษุนั้นเสพ เจริญ
ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่
ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป เมื่อภิกษุนั้น
เจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป มรรคย่อมเกิด ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำ
ให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อม
ละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีใจนึกถึงโอภาสอันเป็นธรรมถูกอุทธัจจะกั้นไว้
สมัยนั้น จิตย่อมตั้งมั่นสงบอยู่ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่นอยู่
มรรคย่อมเกิดแก่ภิกษุนั้น ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อ
ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัย
ย่อมสิ้นไป

ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ก็ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง พยากรณ์อรหัตในสำนักเรา
ด้วยมรรค ๔ นี้ทั้งหมด หรือด้วยมรรคเหล่านั้นมรรคใดมรรคหนึ่ง ฯ


[๕๓๕] ภิกษุเจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องต้นอย่างไร ฯ

ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถแห่งเนกขัมมะเป็นสมาธิ

วิปัสสนาด้วยอรรถว่าพิจารณาเห็นธรรมที่เกิดในสมาธินั้น
โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง
โดยความเป็นทุกข์
โดยความเป็นอนัตตา

ด้วยประการดังนี้
สมถะจึงมีก่อน วิปัสสนามีภายหลัง

เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องต้น ฯ





ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้

ย่อมเจริญวิปัสสนา อันมีสมถะเป็นเบื้องต้น

เมื่อภิกษุนั้นเจริญวิปัสสนา อันมีสมถะเป็นเบื้องต้นอยู่
มรรคย่อมเกิด ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น

เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่
ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ

อรรถกถาจารย์
[๕๓๖] ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความไม่พยาบาท เป็นสมาธิ

ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถแห่งอาโลกสัญญา เป็นสมาธิ ฯลฯ

ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจออก

ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจเข้า เป็นสมาธิ

วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาเห็นธรรมที่เกิดในสมาธินั้น
โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง
โดยความเป็นทุกข์
โดยความเป็นอนัตตา


ด้วยประการดังนี้ สมถะจึงมีก่อน วิปัสสนามีภายหลัง
เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องต้น ฯ

[๕๓๕] ภิกษุเจริญวิปัสสนา มีสมถะเป็นเบื้องต้นอย่างไร ฯ
ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่านด้วยสามารถแห่งเนกขัมมะ เป็นสมาธิ

วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาเห็นธรรมที่เกิดในสมาธินั้น
โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง
โดยความเป็นทุกข์
โดยความเป็นอนัตตา

ด้วยประการดังนี้ สมถะจึงมีก่อน วิปัสสนามีภายหลัง
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญวิปัสสนา มีสมถะเป็นเบื้องต้น ฯ

………………………………

อีกประการหนึ่ง ภิกษุเจริญสมถะ มีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น
เมื่อภิกษุนั้นเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นอยู่ มรรคย่อมเกิดขึ้น
ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น

เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่
ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ

[๕๓๗] ภิกษุนั้นย่อมเจริญสมถะ มีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นอย่างไร ฯ

วิปัสสนา ด้วยอรรถว่าพิจารณาเห็น
โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง
โดยความเป็นทุกข์
โดยความเป็นอนัตตา


ความที่จิตมีการปล่อยธรรมทั้งหลายที่เกิดใน
วิปัสสนานั้นเป็นอารมณ์


เพราะความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน เป็นสมาธิ
ด้วยประการดังนี้ วิปัสสนาจึงมีก่อน สมถะมีภายหลัง


เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า
เจริญสมถะ มีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น ฯ



http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/s ... 9&bookZ=33








ทิฏฐิโสกะ เกี่ยวกับ สมถะ-วิปัสสนา



asoka เขียน:
walaiporn เขียน:
asoka เขียน:
:b8:
สมถะ กดข่ม กลบบัง กามและนิวรณ์ทั้งปวง

วิปัสสนา. ตัดขาด ขุดถอน . กามและนิวรณ์ทั้งปวง
onion









โสกะนี่ นับวัน ... (ตีความเอาเองนะ)

คำสอนพระพุทธเจ้า ทรงตรัสแสดงไว้ชัดเจน สมถะ-วิปัสสนา

โสกะก็พยายามสร้างความหมายขึ้นใหม่
ลอกตามที่บอกต่อๆกันมา


ควรศึกษาพระธรรมคำสอน ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้บ้างนะ
จะได้ไม่สร้างเหตุแห่งวิวาทะ ให้มีเกิดขึ้นใหม่เนืองๆ


วลัยพรไม่ค่อยได้เจริญสมถะและวิปัสสนาจริงๆ จึงไม่สามารถจะเข้าใจสิ่งที่อโศกะบอกกล่าวได้
:b11:









walaiporn เขียน:
สัทธรรมปฏิรูป



๑๓. สัทธรรมปฏิรูปกสูตร

[๕๓๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ท่านพระมหากัสสปเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นพระมหากัสสปนั่งเรียบร้อยแล้วได้กราบทูลถามว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแล เป็นเหตุ เป็นปัจจัย
ให้เมื่อก่อนสิกขาบทมีน้อย และภิกษุตั้งอยู่ในพระอรหัตผลมีมาก

และอะไรเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้บัดนี้
สิกขาบทมีมาก และภิกษุตั้งอยู่ในพระอรหัตผลมีน้อย ฯ



[๕๓๒] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรกัสสป ข้อนั้นเป็นอย่างนี้คือ
เมื่อหมู่สัตว์เลวลง พระสัทธรรมกำลังเลือนหายไป
สิกขาบทจึงมีมากขึ้น ภิกษุที่ตั้งอยู่ในพระอรหัตผลจึงน้อยเข้า

สัทธรรมปฏิรูปยังไม่เกิดขึ้นในโลกตราบใดตราบนั้น
พระสัทธรรมก็ยังไม่เลือนหายไป

และสัทธรรมปฏิรูปเกิดขึ้นในโลกเมื่อใด
เมื่อนั้นพระสัทธรรมจึงเลือนหายไป


ทองเทียมยังไม่เกิดขึ้นในโลก ตราบใด ตราบนั้นทองคำธรรมชาติก็ยังไม่หายไป
และเมื่อทองเทียมเกิดขึ้น ทองคำธรรมชาติจึงหายไป ฉันใด พระสัทธรรมก็ฉันนั้น

สัทธรรมปฏิรูปยังไม่เกิดขึ้นในโลก ตราบใด
ตราบนั้นพระสัทธรรมก็ยังไม่เลือนหายไป

เมื่อสัทธรรมปฏิรูปเกิดขึ้นเมื่อใด
เมื่อนั้นพระสัทธรรมจึงเลือนหายไป ฯ



[๕๓๓] ดูกรกัสสป ธาตุดินยังพระสัทธรรมให้เลือนหายไปไม่ได้ ธาตุ
น้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ก็ยังพระสัทธรรมให้เลือนหายไปไม่ได้

ที่แท้โมฆบุรุษในโลกนี้ต่างหาก เกิดขึ้นมา
ก็ทำให้พระสัทธรรมเลือนหายไป


เปรียบเหมือนเรือจะอัปปาง ก็เพราะต้นหนเท่านั้น
พระสัทธรรมยังไม่เลือนหายไปด้วยประการฉะนี้ ฯ


[๕๓๔] ดูกรกัสสป เหตุฝ่ายต่ำ ๕ ประการเหล่านี้
ย่อมเป็นไปพร้อม เพื่อความฟั่นเฟือน เพื่อความเลือนหายแห่งพระสัทธรรม
เหตุฝ่ายต่ำ ๕ ประการ เป็นไฉน คือ

ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
ในธรรมวินัยนี้ ไม่เคารพยำเกรง
ในพระศาสดา ๑
ในพระธรรม ๑
ในพระสงฆ์ ๑
ในสิกขา ๑
ในสมาธิ ๑

เหตุฝ่ายต่ำ ๕ ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความฟั่นเฟือน
เพื่อความเลือนหายแห่งพระสัทธรรม ฯ




[๕๓๕] ดูกรกัสสป เหตุ ๕ ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อ
ความตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฟือน ไม่เลือนหายแห่งพระสัทธรรม
เหตุ ๕ ประการเป็นไฉน คือ

ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
ในธรรมวินัยนี้ มีความเคารพยำเกรง
ในพระศาสดา ๑
ในพระธรรม ๑
ในพระสงฆ์ ๑
ในสิกขา ๑
ในสมาธิ ๑
เหตุ ๕ ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความตั้งมั่น
ไม่ฟั่นเฟือน ไม่เลือนหายแห่งพระสัทธรรม ฯ






๕. สัทธรรมสัมโมสสูตรที่ ๒
[๑๕๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้
ย่อมเป็นไปเพื่อความลบเลือนเสื่อมสูญแห่งสัทธรรม
ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมไม่เล่าเรียนธรรม คือ
สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ นี้เป็นธรรมข้อที่ ๑
ย่อมเป็นไปเพื่อความลบเลือนเสื่อมสูญแห่งสัทธรรม



อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายย่อมไม่แสดงธรรมตามที่ได้ฟังมา
ตามที่ได้เล่าเรียนมาแก่ผู้อื่นโดยพิสดาร นี้เป็นธรรมข้อที่ ๒
ย่อมเป็นไปเพื่อความลบเลือนเสื่อมสูญแห่งสัทธรรม



อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายย่อมไม่บอกธรรมตามที่ได้ฟังมา
ตามที่ได้เล่าเรียนมาแก่ผู้อื่นโดยพิสดาร นี้เป็นธรรมข้อที่ ๓
ย่อมเป็นไปเพื่อความลบเลือนเสื่อมสูญแห่งสัทธรรม


อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย ย่อมไม่ทำการสาธยายธรรมตามที่ได้ฟังมา
ตามที่ได้เล่าเรียนมาแก่ผู้อื่นโดยพิสดาร นี้เป็นธรรมข้อที่ ๔
ย่อมเป็นไปเพื่อความลบเลือนเสื่อมสูญแห่งสัทธรรม



อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายย่อมไม่ตรึกตรอง ไม่เพ่งดูด้วยใจ
ซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมา ตามที่ได้เล่าเรียนมาโดยพิสดาร นี้เป็นธรรมข้อที่ ๕
ย่อมเป็นไปเพื่อความลบเลือนเสื่อมสูญแห่งสัทธรรม



ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้แล
ย่อมเป็นไปเพื่อความลบเลือนเสื่อมสูญแห่งสัทธรรม ฯ






ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความตั้งมั่น
ไม่ลบเลือนเสื่อมสูญแห่งสัทธรรม
ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ

ภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้ ย่อมเล่าเรียนธรรม คือ
สุตตะ เคยยะ ... อัพภูตธรรม เวทัลละ นี้เป็นธรรมข้อที่ ๑
ย่อมเป็นไปเพื่อความตั้งมั่น ไม่ลบเลือนเสื่อมสูญแห่งสัทธรรม

อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายย่อมแสดงธรรมตามที่ได้ฟังมา
ตามที่ได้เล่าเรียนมาแก่ผู้อื่นโดยพิสดาร นี้เป็นธรรมข้อที่ ๒
ย่อมเป็นไปเพื่อความตั้งมั่น ไม่ลบเลือนเสื่อมสูญแห่งสัทธรรม

อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายย่อมบอกธรรมตามที่ได้ฟังมา
ตามที่ได้เล่าเรียนมาแก่ผู้อื่นโดยพิสดาร นี้เป็นธรรมข้อที่ ๓
ย่อมเป็นไปเพื่อความตั้งมั่น ไม่ลบเลือนเสื่อมสูญแห่งสัทธรรม

อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย ย่อมทำการสาธยายธรรมตามที่ได้ฟังมา
ตามที่ได้เล่าเรียนมาแก่ผู้อื่นโดยพิสดาร นี้เป็นธรรมข้อที่ ๔
ย่อมเป็นไปเพื่อความตั้งมั่น ไม่ลบเลือนเสื่อมสูญแห่งสัทธรรม

อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายย่อมตรึกตรอง เพ่งดูด้วยใจ
ซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมา ตามที่ได้เล่าเรียนมาโดยพิสดาร นี้เป็นธรรมข้อที่ ๕
ย่อมเป็นไปเพื่อความตั้งมั่น ไม่ลบเลือนเสื่อมสูญแห่งสัทธรรม

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้แล
ย่อมเป็นไปเพื่อความตั้งมั่น ไม่ลบเลือนเสื่อมสูญแห่งสัทธรรม ฯ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2015, 18:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b16:
เรื่องของสมาธินำวิปัสสนา วิปัสสนานำสมาธิ สมาธิแลวิปัสสนาเจริญควบคู่กันไปทั้งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพระสารีบุตรแสดงก็เป็นที่รู้กันทั่วในหมู่นักปฏิบัติและนักวิชาการพุทธศาสตร์

เรื่องสัทธรรมปฏิรูปก็เช่นกัน

แต่เรื่อง
สมถะ กดข่ม กลบบัง กามและนิวรณ์ทั้งปวง

วิปัสสนา. ตัดขาด ขุดถอน . กามและนิวรณ์ทั้งปวง
นั้น

ถึงไม่เป็นเรื่องที่มีแสดงในคัมภีร์ แต่กลับเป็นธรรมที่มีแสดงอยู่ในผลการปฏิบัติจริงๆ

ลองพิจารณาดูโดยธรรม

สติเป็นเหตุเกิดสมาธิ สติจะปิดกั้นนิวรณ์ ไม่ให้เจริญงอกงาม สมาธิจะกำหราบกดข่ม กลบบังนิวรณ์ไม่ให้แสดงตัวหรือออกฤทธิ์ได้ แต่นิวรณ์ธรรมทั้งหมดจะไม่ตายหายขาดไปจากกมลสันดาน ดังฤาษีและนักสมถะภาวนาทั้งหลายเป็นอยู่

แต่เมื่อนิวรณ์ธรรมถูกวิปัสสนาปัญญาเข้าไปชำแหระออกจนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแล้ว นิวรณ์ธรรมเหล่านั้นจะตายหายขาดไปจากอุปาทานและสัญญาไม่สามารถจะมากำเริบกั้นขวางการเดินทางสู่ความดีและมรรคผลนิพพานของนักวิปัสสนาทั้งหลายได้ดังพระอนาคามีบุคคลผู้กำจัดนิวรณ์5 ได้เกือบหมดสิ้นและทรงฌาณได้เป็นปกติตลอดเวลา

ที่กล่าวมานี้มีความจริงตั้งอยู่ให้พิสูจน์สอบถามได้เสมอที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ทรงศีล ทรงสมาธิ ทรงธรรม


แล้วก็ไม่เป็นเรื่องนอกคำสอนของพระพุทธเจ้าเพราะเป็นส่วนหนึ่งของการเจริญเหตุสุขหรือมรรค 8 หรือวิปัสสนาภาวนา

คุณวลัยพรเคยชินคลุกเคล้าอยู่แต่การอ้างอิงความรู้ในตำราแต่ไม่ได้คลุกคลีอยู่กับพระป่านักปฏิบัติธรรมจึงฟังเรื่องเช่นนี้ไม่ค่อยจะเข้าใจแต่ไม่พึงปฏิเสธและโจมตีว่าผิดธรรม

มีหลายเรื่องที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงสอนไว้แต่ทิ้งเป็นการบ้านให้พุทธสาวกค้นหาจนพบด้วยตนเองซึ่งจะซาบซึ้งตรึงใจมากกว่าการรู้จากตำรา

ตัวอย่าง ลองเอาสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงสอนประโยคนี้ไปพิจารณาสิครับว่ามันเป็นธรรมหรือไม่ และมีความหมายลึกซึ้งเพียงไร


"หยุดคิดถึงรู้ แต่จะรู้ก็ต้องใช้ความคิด"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2015, 19:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b16:
เรื่องของสมาธินำวิปัสสนา วิปัสสนานำสมาธิ สมาธิแลวิปัสสนาเจริญควบคู่กันไปทั้งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพระสารีบุตรแสดงก็เป็นที่รู้กันทั่วในหมู่นักปฏิบัติและนักวิชาการพุทธศาสตร์

เรื่องสัทธรรมปฏิรูปก็เช่นกัน

แต่เรื่อง
สมถะ กดข่ม กลบบัง กามและนิวรณ์ทั้งปวง

วิปัสสนา. ตัดขาด ขุดถอน . กามและนิวรณ์ทั้งปวง
นั้น

ถึงไม่เป็นเรื่องที่มีแสดงในคัมภีร์ แต่กลับเป็นธรรมที่มีแสดงอยู่ในผลการปฏิบัติจริงๆ

ลองพิจารณาดูโดยธรรม

สติเป็นเหตุเกิดสมาธิ สติจะปิดกั้นนิวรณ์ ไม่ให้เจริญงอกงาม สมาธิจะกำหราบกดข่ม กลบบังนิวรณ์ไม่ให้แสดงตัวหรือออกฤทธิ์ได้ แต่นิวรณ์ธรรมทั้งหมดจะไม่ตายหายขาดไปจากกมลสันดาน ดังฤาษีและนักสมถะภาวนาทั้งหลายเป็นอยู่

แต่เมื่อนิวรณ์ธรรมถูกวิปัสสนาปัญญาเข้าไปชำแหระออกจนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแล้ว นิวรณ์ธรรมเหล่านั้นจะตายหายขาดไปจากอุปาทานและสัญญาไม่สามารถจะมากำเริบกั้นขวางการเดินทางสู่ความดีและมรรคผลนิพพานของนักวิปัสสนาทั้งหลายได้ดังพระอนาคามีบุคคลผู้กำจัดนิวรณ์5 ได้เกือบหมดสิ้นและทรงฌาณได้เป็นปกติตลอดเวลา

ที่กล่าวมานี้มีความจริงตั้งอยู่ให้พิสูจน์สอบถามได้เสมอที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ทรงศีล ทรงสมาธิ ทรงธรรม


แล้วก็ไม่เป็นเรื่องนอกคำสอนของพระพุทธเจ้าเพราะเป็นส่วนหนึ่งของการเจริญเหตุสุขหรือมรรค 8 หรือวิปัสสนาภาวนา

คุณวลัยพรเคยชินคลุกเคล้าอยู่แต่การอ้างอิงความรู้ในตำราแต่ไม่ได้คลุกคลีอยู่กับพระป่านักปฏิบัติธรรมจึงฟังเรื่องเช่นนี้ไม่ค่อยจะเข้าใจแต่ไม่พึงปฏิเสธและโจมตีว่าผิดธรรม

มีหลายเรื่องที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงสอนไว้แต่ทิ้งเป็นการบ้านให้พุทธสาวกค้นหาจนพบด้วยตนเองซึ่งจะซาบซึ้งตรึงใจมากกว่าการรู้จากตำรา

ตัวอย่าง ลองเอาสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงสอนประโยคนี้ไปพิจารณาสิครับว่ามันเป็นธรรมหรือไม่ และมีความหมายลึกซึ้งเพียงไร


"หยุดคิดถึงรู้ แต่จะรู้ก็ต้องใช้ความคิด"
ท่านอโสกะอย่ากล่าวเลยว่ามีหลายเรื่องที่พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนถ้าเป็นในเรื่องของการดับทุกข์ท่านสอนไว้หมดแล้ว. พระองค์มีความีรักความเมตตาสัตว์โลกมากได้บอกสอนทุกอย่างแก่สัตว์โลกจนครบหมดแล้ว. แต่อาจดป็นเพราะกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงพระสัทธรรมหรือเราๆท่านๆอาจยังไม่เข้าใจตรงตามที่พระองค์ปราถนาไว้ก็เป็นไปได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2015, 05:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b36:
ฝากลิ้งค์ดีๆที่คุณเอก้อนไปค้นพบและนำมาฝากนี้ให้ทุกท่านอ่านจะได้หายสงสัยในสิ่งที่อโศกะพูดครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกบกับวลัยพร

สมถะ กดข่ม กลบบัง กามและนิวรณ์ทั้งปวง

วิปัสสนา. ตัดขาด ขุดถอน . กามและนิวรณ์ทั้งปวง
นั้น

ถึงไม่เป็นเรื่องที่มีแสดงในคัมภีร์ แต่กลับเป็นธรรมที่มีแสดงอยู่ในผลการปฏิบัติจริงๆ

ลองพิจารณาดูโดยธรรม

:b37:

http://www.nkgen.com/374.htm

:b38:

อนุโมทนาสาธุกับสัมมาทิฏฐิที่จักเกิดขึ้นกับทุกๆคน
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2015, 06:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2015, 12:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b36:
ฝากลิ้งค์ดีๆที่คุณเอก้อนไปค้นพบและนำมาฝากนี้ให้ทุกท่านอ่านจะได้หายสงสัยในสิ่งที่อโศกะพูดครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกบกับวลัยพร

สมถะ กดข่ม กลบบัง กามและนิวรณ์ทั้งปวง

วิปัสสนา. ตัดขาด ขุดถอน . กามและนิวรณ์ทั้งปวง
นั้น

ถึงไม่เป็นเรื่องที่มีแสดงในคัมภีร์ แต่กลับเป็นธรรมที่มีแสดงอยู่ในผลการปฏิบัติจริงๆ

ลองพิจารณาดูโดยธรรม

:b37:

http://www.nkgen.com/374.htm

:b38:

อนุโมทนาสาธุกับสัมมาทิฏฐิที่จักเกิดขึ้นกับทุกๆคน
:b8:


:b6: :b32: :b1:

ไม่ใช่เรื่องที่ไม่มีอยู่ในคัมภีร์นะ มี แต่การที่กล่าวว่าไม่มีในคัมภีร์
เพราะ ผู้ปฏิบัติยังไม่ทั่วถึงในคัมภีร์เท่านั้นเอง

เรื่องนิวรณ์ อารมณ์นิวรณ์ เป็นเรื่องเจตสิก
ถ้าผู้ปฏิบัติได้ทำสมาธิและได้มีการพิจารณาธาตุ 4 ขันธ์ 5 อายตนะ 6 รูป-นาม ปฏิจจสมุปบาท อิทัปปัจยตา
ถ้าจิตมีคุณภาพพอเขาก็จะพิจารณาในเรื่องของเจตสิกได้
เขาก็กลั่นกรองออกมาและอธิบายในแง่อภิธรรม

ถ้าจะคุยถึงนิวรณ์สำหรับนักปฏิบัติเพื่อทวนความเข้าใจ
เขาก็จะหยิบยกเอาอารมณ์ธรรมดังกล่าวมาสอบทานความเห็นกัน
ว่านิวรณ์เป็นเช่นไร ปัจจัยปรากฎเป็นเช่นไร ปัจจัยไม่ปรากฎเป็นเช่นไร

อย่าไปโทษคัมภีร์ว่าไม่มีเลย บางทีตัวผู้ปฏิบัติเองที่ยังไม่ทั่วถึง...แค่นั้นเอง

และจริง ๆ การทำสมาธิหรือ วิปัสสนา เราไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องจี้เข้าไปอะไรกับนิวรณ์
เราก็ทำสมาธิไป วิปัสสนาได้ก็วิปัสสนาไปในเรื่อง ธาตุ 4 ขันธ์ 5 อายตนะ 6 รูป-นาม
ปฏิจจสมุปบาท อิทัปปัจยตา

ซึ่ง...นิวรณ์มีสัมปยุตเป็น เวทนาขันธ์ วิญญาณขันธ์ และวิปปยุตเป็นมรรค...

ซึ่งการใช้คำ "วิปัสสนา" จึงเป็นคำที่ หลวม สำหรับในเรื่องของ นิวรณ์

เรื่องนิวรณ์ ทันที่ที่กล่าว และสำหรับผู้ที่ได้มีการเพียรพิจารณาอยู่และเท่าทันในเวทนา
ก็จะรู้ว่า กิจของจิตที่ดำเนินอยู่จะเป็นตัวสะกัดนิวรณ์
และ กิจของจิตลักษณะไหนที่นิวรณ์จะไม่ปรากฎ

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2015, 12:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นิวรณ์ อนุสัย กิเลส อาสวะ อุปกิเลส ..... เป็นคำที่พระพุทธองค์ทรงใช้ในการแสดงธรรม
ซึ่งใช้ในสภาวะต่างๆ ไม่ได้นำมาปะปนกัน
หากนำสภาวะต่างๆ มาปะปนกัน จนดูราวกับว่า ละนิวรณ์คือการดับกิเลสสิ้นเชิงจนเตลิดไปถึงวิปัสสนา
ก็เรียกว่า ความปะปนกันจนยุ่งเหยิงวุ่นวาย

ยิ่งไปดู เว็ป nkgen ที่อ้างมา ยิ่งแล้วเลย มีการบัญญัติศัพท์ใหม่อีกคำ คือนิวรณูปกิเลส เพิ่มเข้ามาอีก
เว็ปนี้ ดูได้ แต่อย่านำมาทับพุทธวจนะ
เพียงศึกษาถ้อยคำพุทธวจนะก็เกินพอแล้วใยจะต้องไปนั่งดูคำใหม่ๆอีก

ในอภิธรรม ที่พระสังคีติยาจารย์ชำระพระธรรมวินัยครั้งที่ 3 ได้แต่งเพิ่มอีก 7 คัมภีร์
ก็ยังมีการบัญญัติให้วุ่นวายไปอีก เช่น อวิชชานิวรณ์ นี่ก็วุ่นวายเกินพุทธวจนะแล้ว

พระพุทธองค์ตรัสว่า นิวรณ์เป็นเครื่องกั้นปัญญา ละได้ด้วยปฐมฌาน ทำได้แค่นี้จบ

ยังมีผู้เอาคำ ยอดฮิต "หินทับหญ้า" มาใช้อธิบาย และถือว่าเป็นสิ่งถูกต้องเป็นตุเป็นตะ
ตะแบงไปเป็นปีๆ อาจจะต้องแบกคำนี้ไปจนวันตาย

อย่ารู้ อย่าสอนเกินพุทธวจนะเลยครับ
พระพุทธองค์ทรงจำแนกธรรมไว้ให้ดีแล้ว ให้ปฏิบัติได้ตรง อย่างไม่ต้องสงสัย

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2015, 19:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s004
อวิชชานิวรณ์นี่ก็ดูทะแม่งๆยังไงพิกลดังที่คุณเช่นนั้นทักท้วงไว้นะครับ

แต่เรื่องนิวรณ์ 5 ไม่เกี่ยวกับวิปัสสนาภาวนานี่ผมว่าเราคงมีเรื่องต้องสนทนากันต่อไปอีกสักหน่อยนะครับ
s004


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2015, 20:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เห็นมีใครพูดว่านิวรณ์ไม่เกี่ยวกับการภาวนา..นี้ครับ...

เขาแค่บอกว่า..อย่าใช้คำปะปนกัน..จนเข้าใจว่าละนิวรณ์ได้แล้วคิดว่าเป็นการฆ่ากิเลส...

นะคราบ...

บอกให้ตรงประเด็น....จะได้วิตกวิจารณ์ในประเด็น..ไม่พาลไปทางอื่น..
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2015, 21:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ไม่เห็นมีใครพูดว่านิวรณ์ไม่เกี่ยวกับการภาวนา..นี้ครับ...

เขาแค่บอกว่า..อย่าใช้คำปะปนกัน..จนเข้าใจว่าละนิวรณ์ได้แล้วคิดว่าเป็นการฆ่ากิเลส...

นะคราบ...

บอกให้ตรงประเด็น....จะได้วิตกวิจารณ์ในประเด็น..ไม่พาลไปทางอื่น..
:b32: :b32:

:b12:
น่าสงสารอีกแหละ
:b7:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2015, 21:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


จะสร้างประเด็นใหม่...ไม่ได้ใช่มั้ยละ...อิอิ..

:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2015, 05:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ไม่เห็นมีใครพูดว่านิวรณ์ไม่เกี่ยวกับการภาวนา..นี้ครับ...

เขาแค่บอกว่า..อย่าใช้คำปะปนกัน..จนเข้าใจว่าละนิวรณ์ได้แล้วคิดว่าเป็นการฆ่ากิเลส...

นะคราบ...

บอกให้ตรงประเด็น....จะได้วิตกวิจารณ์ในประเด็น..ไม่พาลไปทางอื่น..
:b32: :b32:

:b12:
น่าสงสารอีกแหละ
:b7:

:b12: :b12:
นิวรณ์ธรรม ท่านเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "กิเลสนิวรณ์"

กิเลสนิวรณ์สยบกลบบังไว้ได้ชั่วคราวด้วยอำนาจของสติและสมาธิ

แต่จะถูกขุดถอนให้เหงา เบาบางและตายไปหมดในที่สุดเมื่อเจอกับวิปัสสนาภาวนาปัญญา


กิเลส ตัณหา อัตตา ไม่ว่าจะเป็นตัวใดก็ตาม เมื่อถูกสติ ปัญญา สมาธิหรือวิปัสสนาภาวนา เข้าไปนิ่งรู้นิ่งสังเกตควบคุมอยู่ตั้งแต่เริ่มต้นเกิดขึ้น ตั้งอยู่ด้วยอำนาจเหตุปัจจัยของวิบากกรรม จนกระทั่งหมดแรงของเหตุปัจจัย ดับไป โดยไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างไรจากจิต กิเลส ตัณหา อัตตา ตัวนั้นๆก็จะถูกขุดถอนหรือชำระออกจากใจหมดปฏิกิริยาหรือไร้แรงทำปฏิกิริยาในการสัมผัสรับรู้ครั้งต่อๆไป

มีแต่ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ๆ เท่านั้นมาผัสสะให้รู้ที่จิต อุปาทานความผูกยึดความเห็นผิดในกิเลส ตัณหา อัตตา ชนิดนั้นๆมันหมดแรงไปและเฉาตายไปจากใจในที่สุด

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2015, 05:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


นิวรณ์...ไม่ว่าจะนิวรณ์ธรรม..หรือ..เรียกกิเลสนิวรณ์..นั้นเขาพูดในแง่..เครื่องกางกั้นสมาธิ..อันเป็นผลให้ปัญญาทำงานไม่ได้

ถ้าละไม่ได้...ผ่านไม่ได้..ก็ไม่มีสมาธิ..เมื่อสมาธิไม่มี..ปัญญาก็เกิดไม่ได้..ละตัวนี้มันละได้ชั่วคราว...ยังไม่ได้ฆ่ากิเลสความชั่วอะไร...

แต่ถ้าจะพูดเรื่องการละกิเลสความชั่วในแง่การฆ่ากิเลส..ตัดภพตัดชาติ...ก็มาใช้คำพูดว่า..อนุสัย...อาสวะ...อวิชชา..

แม้มันจะมาจากกิเลสตัญหาเหมือนกัน..แต่พูดเพื่อการสื่อสารที่ต่างกัน..ก็ต้องใช้คำให้ถูกต้องตามความหมาย..เพื่อให้การสือสารนั้นสื่อกันได้ถูกต้องตกทอดไปยังลูกหลาน..ป้องกันการผิดเพี้ยนที่จะเกิดในอนาคต..

เพื่อลดการผิดเพี้ยน...อนุรักษ์คำเดิม ๆ ความหมายเดิม ๆ ไปสู่ลูกหลาน..ให้ลูกหลานได้พบสมบัติอย่างที่เราได้พบ..เพื่อไม่เป็นการเอาเปรียบลูกหลาน...จึงไม่ควรสร้างคำใหม่...ไม่ควรแต่งคำใหม่..ตามใจตัว
ยิ่งการ....ใช้คำเก่ามาประดิษย์ประดอยใหม่..เสมือนเป๋นคำเก่า...ยิ่งทำให้ลูกหลานเข้าใจผิด(คิดว่าเป็นคำพระพุทธเจ้า)ได้ง่าย


ถ้าจะประดิษย์ใหม่....ก็ใช้คำใหม่ไปเลย...ลูกหลานจะได้แยกออกได้ง่าย
(อย่างกรมศิลป์...จะไปบูรณะของเก่า ๆ นี้..หากจำเป็นต้องใส่ของใหม่เข้าไป...เขาก็พยายามทำลวดลายให้เหมือนเดิม..แต่ใช้วัสดุที่บ่งบอกว่า..ชิ้นนี้สร้างขึ้นใหม่ภายหลังนะ..อะไรอย่างนี้)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 286 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11 ... 20  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร