วันเวลาปัจจุบัน 03 มิ.ย. 2025, 15:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 139 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2014, 19:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เมื่อพูดถึงแนวทางการปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน 4 (ข้อ) อโศก ต้องรู้เข้าใจ กาย ที่ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก่อนนะ เอาให้แน่นะขอรับ ไม่ยังงั้นแล้วเจ๊งโบ้ง คิกๆ ต่อให้พูดอะไรต่ออะไรจนไข่นุ้ยหลับ ก็เป็น 0

แต่เท่าที่ลองถามดูแล้วอโศกยังหาจุดลงตัวที่เขาเรียกว่า กาย หรือร่างกาย ไม่ได้เลย แล้วจะไป กายานุปัสสนาได้ยังไงกันล่ะ

เรื่อง สติปัฏฐาน หรือ สัมมาสตินีี่คงต้องพูดกันอีกนาน เพราะเชื่อมโยงไปถึงหลักปฏิบัติอีกหลายข้อหลายตัว แม้แต่คำว่า "มรรค" ในอริยสัจด้วย

:b12:
อันนี้ก็เป็นการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 เรียงตามตำรา เลยเข้าใจว่าต้องผ่านกายานุปัสสนาก่อนจึงจะไปทำเวทนา...จิตตา...ธัมมานุปัสสนาตามลำดับ

การปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 โดยธรรมชาตินั้นยึดปัจจุบันอารมณ์เป็นสำคัญ......สังเกตดูให้ดี

1.ปัจจุบันอารมณ์ บางครั้งเป็นกายา บางครั้งเป็นเวทนา บางครั้งเป็นธรรมมรมณ์.....บางครั้งเป็นจิตตานุปัสสนา

2.เมื่อมีผัสสะที่กาย มันจะส่งต่อไปถึง เวทนา จิต ธรรม ครบทั้ง 4 ฐานเสมอ

ตัวอย่าง

กรัชกายโดนตบหลัง

รู้สึกหนอ กายา...

เจ็บหนอ เวทนา...

สงสัย(ว่าใครตบ)ธรรมา..

เหลียวไปมอง......กายา

ตาเห็นรูป.....กายา

ระลึกได้(ว่าเป็นอโศกะ)......ธรรมา..

ไม่พอใจ.....จิตตา....

ขุ่นมัว....จิตตา....

ตะโกนถาม......กายา....วจีกรรม
ดังนี้เป็นต้น

เจริญสติ ปัญญา ให้ทันปัจจุบันอารมณ์ให้ได้ดีๆเพราะ

"ปัจจุบันอารมณ์ คือที่รวม ที่เกิด ที่ดับ แห่งธรรมทั้งปวง(รวมถึงสติปัฏฐาน 4 และโพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ประการด้วย
:b38:



อ้างคำพูด:
อันนี้ก็เป็นการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 เรียงตามตำรา เลยเข้าใจว่าต้องผ่านกายานุปัสสนาก่อนจึงจะไปทำเวทนา...จิตตา...ธัมมานุปัสสนาตามลำดับ



นี่เป็นความเข้าใจผิด คุณหรือใครก็ตาม นั่งอยู่ตรงนั้น เดินอยู่ตรงนั้นเดี๋ยวนั้นขณะนัน กาย เวทนา จิต ธรรม เกิดครบหมด ไม่ใช่ไปทำทีละอย่างทีละข้อ (ไม่ใช่เกิดเรียงตามตัวหนังสือ) จึงบอกว่า เป็นยังไง รู้สึกยังไง ก็พึงรู้เท่ารู้ทันมันทุกๆขณะในขณะนั้นๆ ตามที่มันเป็นของมัน มิใช่ไปคิดจะให้มันเป็นตามที่ตนเองต้องการ นี่คือการปฏิบัติแนวสติปัฏฐานเบื้องต้น เบื้องต้นนะ แค่เริ่มต้นให้ถูกแค่นั้น


ที่ยกเอา กายานุปัสสนาพูด เพราะต้องการจะให้เห็นเพื่อเน้นว่า แม้แต่ร่างกาย,กาย ซึงเป็นรูปธรรมโด่ๆยังไม่รู้จัก จะกล่าวไปใย ถึงนามธรรมเล่า :b1:

:b12:
เลี่ยงบาลียังไม่พอยืมคำตอบเขามาตอบอีกด้วย

ทำไมไม่พูดอย่างนี้เสียตั้งแต่แรกล่ะ ขยักไว้เพราะไม่รู้จริงหรือเปล่า
:b12:




ตรงไหนเลี่ยงบาลี เราถกเถียงเรื่อง กาย ใจ รูปนาม ร่างกาย ยังลงตัวไม่ได้เลย

ยกมาสารพัดวิธี ทั้งจักขุ โสต ฆาน ชิวหา กาย มโน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม กายานุปัสสนา ...สารพัดกาย ร่างกายที่นำมาถาม ยังไม่มีคำตอบชัดๆสักคน จึงเลี่ยงนามธรรมเสียก่อน :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2014, 19:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เมื่อพูดถึงแนวทางการปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน 4 (ข้อ) อโศก ต้องรู้เข้าใจ กาย ที่ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก่อนนะ เอาให้แน่นะขอรับ ไม่ยังงั้นแล้วเจ๊งโบ้ง คิกๆ ต่อให้พูดอะไรต่ออะไรจนไข่นุ้ยหลับ ก็เป็น 0

แต่เท่าที่ลองถามดูแล้วอโศกยังหาจุดลงตัวที่เขาเรียกว่า กาย หรือร่างกาย ไม่ได้เลย แล้วจะไป กายานุปัสสนาได้ยังไงกันล่ะ

เรื่อง สติปัฏฐาน หรือ สัมมาสตินีี่คงต้องพูดกันอีกนาน เพราะเชื่อมโยงไปถึงหลักปฏิบัติอีกหลายข้อหลายตัว แม้แต่คำว่า "มรรค" ในอริยสัจด้วย

:b12:
อันนี้ก็เป็นการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 เรียงตามตำรา เลยเข้าใจว่าต้องผ่านกายานุปัสสนาก่อนจึงจะไปทำเวทนา...จิตตา...ธัมมานุปัสสนาตามลำดับ

การปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 โดยธรรมชาตินั้นยึดปัจจุบันอารมณ์เป็นสำคัญ......สังเกตดูให้ดี

1.ปัจจุบันอารมณ์ บางครั้งเป็นกายา บางครั้งเป็นเวทนา บางครั้งเป็นธรรมมรมณ์.....บางครั้งเป็นจิตตานุปัสสนา

2.เมื่อมีผัสสะที่กาย มันจะส่งต่อไปถึง เวทนา จิต ธรรม ครบทั้ง 4 ฐานเสมอ

ตัวอย่าง

กรัชกายโดนตบหลัง

รู้สึกหนอ กายา...

เจ็บหนอ เวทนา...

สงสัย(ว่าใครตบ)ธรรมา..

เหลียวไปมอง......กายา

ตาเห็นรูป.....กายา

ระลึกได้(ว่าเป็นอโศกะ)......ธรรมา..

ไม่พอใจ.....จิตตา....

ขุ่นมัว....จิตตา....

ตะโกนถาม......กายา....วจีกรรม
ดังนี้เป็นต้น

เจริญสติ ปัญญา ให้ทันปัจจุบันอารมณ์ให้ได้ดีๆเพราะ

"ปัจจุบันอารมณ์ คือที่รวม ที่เกิด ที่ดับ แห่งธรรมทั้งปวง(รวมถึงสติปัฏฐาน 4 และโพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ประการด้วย
:b38:



อ้างคำพูด:
อันนี้ก็เป็นการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 เรียงตามตำรา เลยเข้าใจว่าต้องผ่านกายานุปัสสนาก่อนจึงจะไปทำเวทนา...จิตตา...ธัมมานุปัสสนาตามลำดับ




นี่เป็นความเข้าใจผิด คุณหรือใครก็ตาม นั่งอยู่ตรงนั้น เดินอยู่ตรงนั้นเดี๋ยวนั้นขณะนัน กาย เวทนา จิต ธรรม เกิดครบหมด ไม่ใช่ไปทำทีละอย่างทีละข้อ (ไม่ใช่เกิดเรียงตามตัวหนังสือ) จึงบอกว่า เป็นยังไง รู้สึกยังไง ก็พึงรู้เท่ารู้ทันมันทุกๆขณะในขณะนั้นๆ ตามที่มันเป็นของมัน มิใช่ไปคิดจะให้มันเป็นตามที่ตนเองต้องการ นี่คือการปฏิบัติแนวสติปัฏฐานเบื้องต้น เบื้องต้นนะ แค่เริ่มต้นให้ถูกแค่นั้น


ที่ยกเอา กายานุปัสสนาพูด เพราะต้องการจะให้เห็นเพื่อเน้นว่า แม้แต่ร่างกาย,กาย ซึงเป็นรูปธรรมโด่ๆยังไม่รู้จัก จะกล่าวไปใย ถึงนามธรรมเล่า :b1:

:b12:
เลี่ยงบาลียังไม่พอยืมคำตอบเขามาตอบอีกด้วย

ทำไมไม่พูดอย่างนี้เสียตั้งแต่แรกล่ะ ขยักไว้เพราะไม่รู้จริงหรือเปล่า
:b12:




ตรงไหนเลี่ยงบาลี เราถกเถียงเรื่อง กาย ใจ รูปนาม ร่างกาย ยังลงตัวไม่ได้เลย

ยกมาสารพัดวิธี ทั้งจักขุ โสต ฆาน ชิวหา กาย มโน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม กายานุปัสสนา ...สารพัดกาย ร่างกายที่นำมาถาม ยังไม่มีคำตอบชัดๆสักคน จึงเลี่ยงนามธรรมเสียก่อน :b1:

:b12:
ประโยชน์ที่ควรสนทนามันอยู่ที่เรื่องสติปัฏฐาน 4 จึงอยากคุยต่อ
ส่วนไอ้ปัญหาลองภูมิเรื่องกายนั่นไปค้นอ่านตำร่าเอาเองน่ะกรัชกาย
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2014, 19:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เมื่อพูดถึงแนวทางการปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน 4 (ข้อ) อโศก ต้องรู้เข้าใจ กาย ที่ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก่อนนะ เอาให้แน่นะขอรับ ไม่ยังงั้นแล้วเจ๊งโบ้ง คิกๆ ต่อให้พูดอะไรต่ออะไรจนไข่นุ้ยหลับ ก็เป็น 0

แต่เท่าที่ลองถามดูแล้วอโศกยังหาจุดลงตัวที่เขาเรียกว่า กาย หรือร่างกาย ไม่ได้เลย แล้วจะไป กายานุปัสสนาได้ยังไงกันล่ะ

เรื่อง สติปัฏฐาน หรือ สัมมาสตินีี่คงต้องพูดกันอีกนาน เพราะเชื่อมโยงไปถึงหลักปฏิบัติอีกหลายข้อหลายตัว แม้แต่คำว่า "มรรค" ในอริยสัจด้วย

:b12:
อันนี้ก็เป็นการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 เรียงตามตำรา เลยเข้าใจว่าต้องผ่านกายานุปัสสนาก่อนจึงจะไปทำเวทนา...จิตตา...ธัมมานุปัสสนาตามลำดับ

การปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 โดยธรรมชาตินั้นยึดปัจจุบันอารมณ์เป็นสำคัญ......สังเกตดูให้ดี

1.ปัจจุบันอารมณ์ บางครั้งเป็นกายา บางครั้งเป็นเวทนา บางครั้งเป็นธรรมมรมณ์.....บางครั้งเป็นจิตตานุปัสสนา

2.เมื่อมีผัสสะที่กาย มันจะส่งต่อไปถึง เวทนา จิต ธรรม ครบทั้ง 4 ฐานเสมอ

ตัวอย่าง

กรัชกายโดนตบหลัง

รู้สึกหนอ กายา...

เจ็บหนอ เวทนา...

สงสัย(ว่าใครตบ)ธรรมา..

เหลียวไปมอง......กายา

ตาเห็นรูป.....กายา

ระลึกได้(ว่าเป็นอโศกะ)......ธรรมา..

ไม่พอใจ.....จิตตา....

ขุ่นมัว....จิตตา....

ตะโกนถาม......กายา....วจีกรรม
ดังนี้เป็นต้น

เจริญสติ ปัญญา ให้ทันปัจจุบันอารมณ์ให้ได้ดีๆเพราะ

"ปัจจุบันอารมณ์ คือที่รวม ที่เกิด ที่ดับ แห่งธรรมทั้งปวง(รวมถึงสติปัฏฐาน 4 และโพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ประการด้วย
:b38:



อ้างคำพูด:
อันนี้ก็เป็นการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 เรียงตามตำรา เลยเข้าใจว่าต้องผ่านกายานุปัสสนาก่อนจึงจะไปทำเวทนา...จิตตา...ธัมมานุปัสสนาตามลำดับ




นี่เป็นความเข้าใจผิด คุณหรือใครก็ตาม นั่งอยู่ตรงนั้น เดินอยู่ตรงนั้นเดี๋ยวนั้นขณะนัน กาย เวทนา จิต ธรรม เกิดครบหมด ไม่ใช่ไปทำทีละอย่างทีละข้อ (ไม่ใช่เกิดเรียงตามตัวหนังสือ) จึงบอกว่า เป็นยังไง รู้สึกยังไง ก็พึงรู้เท่ารู้ทันมันทุกๆขณะในขณะนั้นๆ ตามที่มันเป็นของมัน มิใช่ไปคิดจะให้มันเป็นตามที่ตนเองต้องการ นี่คือการปฏิบัติแนวสติปัฏฐานเบื้องต้น เบื้องต้นนะ แค่เริ่มต้นให้ถูกแค่นั้น


ที่ยกเอา กายานุปัสสนาพูด เพราะต้องการจะให้เห็นเพื่อเน้นว่า แม้แต่ร่างกาย,กาย ซึงเป็นรูปธรรมโด่ๆยังไม่รู้จัก จะกล่าวไปใย ถึงนามธรรมเล่า :b1:

:b12:
เลี่ยงบาลียังไม่พอยืมคำตอบเขามาตอบอีกด้วย

ทำไมไม่พูดอย่างนี้เสียตั้งแต่แรกล่ะ ขยักไว้เพราะไม่รู้จริงหรือเปล่า
:b12:




ตรงไหนเลี่ยงบาลี เราถกเถียงเรื่อง กาย ใจ รูปนาม ร่างกาย ยังลงตัวไม่ได้เลย

ยกมาสารพัดวิธี ทั้งจักขุ โสต ฆาน ชิวหา กาย มโน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม กายานุปัสสนา ...สารพัดกาย ร่างกายที่นำมาถาม ยังไม่มีคำตอบชัดๆสักคน จึงเลี่ยงนามธรรมเสียก่อน :b1:

:b12:
ประโยชน์ที่ควรสนทนามันอยู่ที่เรื่องสติปัฏฐาน 4 จึงอยากคุยต่อ
ส่วนไอ้ปัญหาลองภูมิเรื่องกายนั่นไปค้นอ่านตำร่าเอาเองน่ะกรัชกาย
onion


อ้างคำพูด:
ประโยชน์ที่ควรสนทนามันอยู่ที่เรื่องสติปัฏฐาน 4 จึงอยากคุยต่อ



ลองเริ่มสิครับ จะเริ่มยังไง เอ้า ๆ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2014, 19:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เมื่อพูดถึงแนวทางการปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน 4 (ข้อ) อโศก ต้องรู้เข้าใจ กาย ที่ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก่อนนะ เอาให้แน่นะขอรับ ไม่ยังงั้นแล้วเจ๊งโบ้ง คิกๆ ต่อให้พูดอะไรต่ออะไรจนไข่นุ้ยหลับ ก็เป็น 0

แต่เท่าที่ลองถามดูแล้วอโศกยังหาจุดลงตัวที่เขาเรียกว่า กาย หรือร่างกาย ไม่ได้เลย แล้วจะไป กายานุปัสสนาได้ยังไงกันล่ะ

เรื่อง สติปัฏฐาน หรือ สัมมาสตินีี่คงต้องพูดกันอีกนาน เพราะเชื่อมโยงไปถึงหลักปฏิบัติอีกหลายข้อหลายตัว แม้แต่คำว่า "มรรค" ในอริยสัจด้วย

:b12:
อันนี้ก็เป็นการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 เรียงตามตำรา เลยเข้าใจว่าต้องผ่านกายานุปัสสนาก่อนจึงจะไปทำเวทนา...จิตตา...ธัมมานุปัสสนาตามลำดับ

การปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 โดยธรรมชาตินั้นยึดปัจจุบันอารมณ์เป็นสำคัญ......สังเกตดูให้ดี

1.ปัจจุบันอารมณ์ บางครั้งเป็นกายา บางครั้งเป็นเวทนา บางครั้งเป็นธรรมมรมณ์.....บางครั้งเป็นจิตตานุปัสสนา

2.เมื่อมีผัสสะที่กาย มันจะส่งต่อไปถึง เวทนา จิต ธรรม ครบทั้ง 4 ฐานเสมอ

ตัวอย่าง

กรัชกายโดนตบหลัง

รู้สึกหนอ กายา...

เจ็บหนอ เวทนา...

สงสัย(ว่าใครตบ)ธรรมา..

เหลียวไปมอง......กายา

ตาเห็นรูป.....กายา

ระลึกได้(ว่าเป็นอโศกะ)......ธรรมา..

ไม่พอใจ.....จิตตา....

ขุ่นมัว....จิตตา....

ตะโกนถาม......กายา....วจีกรรม
ดังนี้เป็นต้น

เจริญสติ ปัญญา ให้ทันปัจจุบันอารมณ์ให้ได้ดีๆเพราะ

"ปัจจุบันอารมณ์ คือที่รวม ที่เกิด ที่ดับ แห่งธรรมทั้งปวง(รวมถึงสติปัฏฐาน 4 และโพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ประการด้วย
:b38:



อ้างคำพูด:
อันนี้ก็เป็นการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 เรียงตามตำรา เลยเข้าใจว่าต้องผ่านกายานุปัสสนาก่อนจึงจะไปทำเวทนา...จิตตา...ธัมมานุปัสสนาตามลำดับ




นี่เป็นความเข้าใจผิด คุณหรือใครก็ตาม นั่งอยู่ตรงนั้น เดินอยู่ตรงนั้นเดี๋ยวนั้นขณะนัน กาย เวทนา จิต ธรรม เกิดครบหมด ไม่ใช่ไปทำทีละอย่างทีละข้อ (ไม่ใช่เกิดเรียงตามตัวหนังสือ) จึงบอกว่า เป็นยังไง รู้สึกยังไง ก็พึงรู้เท่ารู้ทันมันทุกๆขณะในขณะนั้นๆ ตามที่มันเป็นของมัน มิใช่ไปคิดจะให้มันเป็นตามที่ตนเองต้องการ นี่คือการปฏิบัติแนวสติปัฏฐานเบื้องต้น เบื้องต้นนะ แค่เริ่มต้นให้ถูกแค่นั้น


ที่ยกเอา กายานุปัสสนาพูด เพราะต้องการจะให้เห็นเพื่อเน้นว่า แม้แต่ร่างกาย,กาย ซึงเป็นรูปธรรมโด่ๆยังไม่รู้จัก จะกล่าวไปใย ถึงนามธรรมเล่า :b1:

:b12:
เลี่ยงบาลียังไม่พอยืมคำตอบเขามาตอบอีกด้วย

ทำไมไม่พูดอย่างนี้เสียตั้งแต่แรกล่ะ ขยักไว้เพราะไม่รู้จริงหรือเปล่า
:b12:




ตรงไหนเลี่ยงบาลี เราถกเถียงเรื่อง กาย ใจ รูปนาม ร่างกาย ยังลงตัวไม่ได้เลย

ยกมาสารพัดวิธี ทั้งจักขุ โสต ฆาน ชิวหา กาย มโน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม กายานุปัสสนา ...สารพัดกาย ร่างกายที่นำมาถาม ยังไม่มีคำตอบชัดๆสักคน จึงเลี่ยงนามธรรมเสียก่อน :b1:

:b12:
ประโยชน์ที่ควรสนทนามันอยู่ที่เรื่องสติปัฏฐาน 4 จึงอยากคุยต่อ
ส่วนไอ้ปัญหาลองภูมิเรื่องกายนั่นไปค้นอ่านตำร่าเอาเองน่ะกรัชกาย
onion


อ้างคำพูด:
ประโยชน์ที่ควรสนทนามันอยู่ที่เรื่องสติปัฏฐาน 4 จึงอยากคุยต่อ



ลองเริ่มสิครับ จะเริ่มยังไง เอ้า ๆ :b1:

:b12:
ง่ายจะตาย ก็เริ่มตรง

สำรวมกายใจมานิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์นั่นไง

ทำเป็นไหม? หรือจะให้มาจูงมือทำ
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2014, 20:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เมื่อพูดถึงแนวทางการปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน 4 (ข้อ) อโศก ต้องรู้เข้าใจ กาย ที่ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก่อนนะ เอาให้แน่นะขอรับ ไม่ยังงั้นแล้วเจ๊งโบ้ง คิกๆ ต่อให้พูดอะไรต่ออะไรจนไข่นุ้ยหลับ ก็เป็น 0

แต่เท่าที่ลองถามดูแล้วอโศกยังหาจุดลงตัวที่เขาเรียกว่า กาย หรือร่างกาย ไม่ได้เลย แล้วจะไป กายานุปัสสนาได้ยังไงกันล่ะ

เรื่อง สติปัฏฐาน หรือ สัมมาสตินีี่คงต้องพูดกันอีกนาน เพราะเชื่อมโยงไปถึงหลักปฏิบัติอีกหลายข้อหลายตัว แม้แต่คำว่า "มรรค" ในอริยสัจด้วย

:b12:
อันนี้ก็เป็นการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 เรียงตามตำรา เลยเข้าใจว่าต้องผ่านกายานุปัสสนาก่อนจึงจะไปทำเวทนา...จิตตา...ธัมมานุปัสสนาตามลำดับ

การปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 โดยธรรมชาตินั้นยึดปัจจุบันอารมณ์เป็นสำคัญ......สังเกตดูให้ดี

1.ปัจจุบันอารมณ์ บางครั้งเป็นกายา บางครั้งเป็นเวทนา บางครั้งเป็นธรรมมรมณ์.....บางครั้งเป็นจิตตานุปัสสนา

2.เมื่อมีผัสสะที่กาย มันจะส่งต่อไปถึง เวทนา จิต ธรรม ครบทั้ง 4 ฐานเสมอ

ตัวอย่าง

กรัชกายโดนตบหลัง

รู้สึกหนอ กายา...

เจ็บหนอ เวทนา...

สงสัย(ว่าใครตบ)ธรรมา..

เหลียวไปมอง......กายา

ตาเห็นรูป.....กายา

ระลึกได้(ว่าเป็นอโศกะ)......ธรรมา..

ไม่พอใจ.....จิตตา....

ขุ่นมัว....จิตตา....

ตะโกนถาม......กายา....วจีกรรม
ดังนี้เป็นต้น

เจริญสติ ปัญญา ให้ทันปัจจุบันอารมณ์ให้ได้ดีๆเพราะ

"ปัจจุบันอารมณ์ คือที่รวม ที่เกิด ที่ดับ แห่งธรรมทั้งปวง(รวมถึงสติปัฏฐาน 4 และโพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ประการด้วย
:b38:



อ้างคำพูด:
อันนี้ก็เป็นการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 เรียงตามตำรา เลยเข้าใจว่าต้องผ่านกายานุปัสสนาก่อนจึงจะไปทำเวทนา...จิตตา...ธัมมานุปัสสนาตามลำดับ




นี่เป็นความเข้าใจผิด คุณหรือใครก็ตาม นั่งอยู่ตรงนั้น เดินอยู่ตรงนั้นเดี๋ยวนั้นขณะนัน กาย เวทนา จิต ธรรม เกิดครบหมด ไม่ใช่ไปทำทีละอย่างทีละข้อ (ไม่ใช่เกิดเรียงตามตัวหนังสือ) จึงบอกว่า เป็นยังไง รู้สึกยังไง ก็พึงรู้เท่ารู้ทันมันทุกๆขณะในขณะนั้นๆ ตามที่มันเป็นของมัน มิใช่ไปคิดจะให้มันเป็นตามที่ตนเองต้องการ นี่คือการปฏิบัติแนวสติปัฏฐานเบื้องต้น เบื้องต้นนะ แค่เริ่มต้นให้ถูกแค่นั้น


ที่ยกเอา กายานุปัสสนาพูด เพราะต้องการจะให้เห็นเพื่อเน้นว่า แม้แต่ร่างกาย,กาย ซึงเป็นรูปธรรมโด่ๆยังไม่รู้จัก จะกล่าวไปใย ถึงนามธรรมเล่า :b1:

:b12:
เลี่ยงบาลียังไม่พอยืมคำตอบเขามาตอบอีกด้วย

ทำไมไม่พูดอย่างนี้เสียตั้งแต่แรกล่ะ ขยักไว้เพราะไม่รู้จริงหรือเปล่า
:b12:




ตรงไหนเลี่ยงบาลี เราถกเถียงเรื่อง กาย ใจ รูปนาม ร่างกาย ยังลงตัวไม่ได้เลย

ยกมาสารพัดวิธี ทั้งจักขุ โสต ฆาน ชิวหา กาย มโน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม กายานุปัสสนา ...สารพัดกาย ร่างกายที่นำมาถาม ยังไม่มีคำตอบชัดๆสักคน จึงเลี่ยงนามธรรมเสียก่อน :b1:

:b12:
ประโยชน์ที่ควรสนทนามันอยู่ที่เรื่องสติปัฏฐาน 4 จึงอยากคุยต่อ
ส่วนไอ้ปัญหาลองภูมิเรื่องกายนั่นไปค้นอ่านตำร่าเอาเองน่ะกรัชกาย
onion


อ้างคำพูด:
ประโยชน์ที่ควรสนทนามันอยู่ที่เรื่องสติปัฏฐาน 4 จึงอยากคุยต่อ



ลองเริ่มสิครับ จะเริ่มยังไง เอ้า ๆ :b1:

:b12:
ง่ายจะตาย ก็เริ่มตรง

สำรวมกายใจมานิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์นั่นไง

ทำเป็นไหม? หรือจะให้มาจูงมือทำ
:b32:



เหมือนเคยถามแล้วนะว่า สำรวมกาย สำรวมยังไง เห็นแต่บอกสำรวมๆๆๆๆๆๆๆ ไม่ตอบสิที

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2014, 20:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เงียบ คิกๆๆ

ชวนคุย สติปัฏฐาน 4 ถามว่าสติปัฏฐานทำยังไง เริ่มยังไง

ว่า ให้สำรวมกาย

ก็จึงถามว่า สำรวมกาย สำรวมยังไง เงียบเลย หรือว่าทำนองนิพพานเกลือ

กรัชกาย จึงว่าอโศกขาดหลักสำหรับใช้ฝึกฝนพัฒนาจิตโดยตรง ไม่มี :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2014, 20:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b13:
ภาษาไทยว่า "สำรวมกายใจ" ยังไม่เข้าใจ ทำไม่เป็น คงต้องจูงมือไปทำเหมือนเด็กๆเสียแล้วกรัชกาย

สำรวมกาย(รวมถึงวาจาด้วย)....ก็ตั้งใจที่จะทำกายให้สงบนิ่ง ปิดวาจา ทำตนอยู่ในท่าที่สงบ จะเป็นนั่ง ยืน นอนหรือแม้แต้เดินก็ได้

แต่ท่านั่งขัดสมาธิตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเสมอว่า

นิสีธะติ.....ปัลลังกัง..อุชุงกายัง...ปณิธายะ......

ปูลาดอาสนะ นั่งขัดสมาธิ ตั้งกายให้ตรง ตั้งใจ......(ที่จะเอาสติ ปัญญา มานิ่งรู้นิ่งสังเกต ปัจจุบันอารมณ์)

สำรวมใจคือเจริญสมาธิ ทำจิตให้นิ่ง ให้จิตตั้งมั่นอยู่กับที่ได้นานๆจนควรแก่การทำงาน คือสังเกต พิจารณาปัจจุบันอารมณ์ได้อย่างต่อเนื่องนานพอที่จะเห็น ความทนตั้งอยู่ไม่ได้ (ทุกขัง)....จึงต้องปรวนแปรไป(อนิจจัง)และไม่มีอะไรที่บังคับได้(อนัตตา)

ส่วนกิเลส ตัณหา อัตตา อันจะมาปร่ากฏเป็นนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 ขวางกั้นความสงบนิ่งและการปฏิบัตินั้น นั้่นแหละจะเป็นงานที่ผู้ปฏิบัติ ต้องค้นให้พบวิธีแก้ไขแล้วชำระให้หมดไปด้วยตนเอง
:b11:
เอ้า!......พอจะลงมือทำได้หรือยังกรัชกาย ทำได้ก็รีบพิสูจน์ธรรมแล้วมาเล่าสู่กันฟัง
:b37:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2014, 21:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b13:
ภาษาไทยว่า "สำรวมกายใจ" ยังไม่เข้าใจ ทำไม่เป็น คงต้องจูงมือไปทำเหมือนเด็กๆเสียแล้วกรัชกาย

สำรวมกาย(รวมถึงวาจาด้วย)....ก็ตั้งใจที่จะทำกายให้สงบนิ่ง ปิดวาจา ทำตนอยู่ในท่าที่สงบ จะเป็นนั่ง ยืน นอนหรือแม้แต้เดินก็ได้

แต่ท่านั่งขัดสมาธิตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเสมอว่า

นิสีธะติ.....ปัลลังกัง..อุชุงกายัง...ปณิธายะ......

ปูลาดอาสนะ นั่งขัดสมาธิ ตั้งกายให้ตรง ตั้งใจ......(ที่จะเอาสติ ปัญญา มานิ่งรู้นิ่งสังเกต ปัจจุบันอารมณ์)

สำรวมใจคือเจริญสมาธิ ทำจิตให้นิ่ง ให้จิตตั้งมั่นอยู่กับที่ได้นานๆจนควรแก่การทำงาน คือสังเกต พิจารณาปัจจุบันอารมณ์ได้อย่างต่อเนื่องนานพอที่จะเห็น ความทนตั้งอยู่ไม่ได้ (ทุกขัง)....จึงต้องปรวนแปรไป(อนิจจัง)และไม่มีอะไรที่บังคับได้(อนัตตา)

ส่วนกิเลส ตัณหา อัตตา อันจะมาปร่ากฏเป็นนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 ขวางกั้นความสงบนิ่งและการปฏิบัตินั้น นั้่นแหละจะเป็นงานที่ผู้ปฏิบัติ ต้องค้นให้พบวิธีแก้ไขแล้วชำระให้หมดไปด้วยตนเอง
:b11:
เอ้า!......พอจะลงมือทำได้หรือยังกรัชกาย ทำได้ก็รีบพิสูจน์ธรรมแล้วมาเล่าสู่กันฟัง
:b37:



อ้างคำพูด:
นิสีธะติ.....ปัลลังกัง..อุชุงกายัง...ปณิธายะ......



นั่นๆว่าแต่เขา ว่าลอกตำรา ไปเอามาจากไหนกันล่ะน่า :b32: ลอกมายังผิด ขนาดเขียนผิด กรัชกายยังเดาออกว่า เขียนผิดเลย :b1:

นี่ก็ชัดว่าอโศกรู้แต่ในตำรา คือ อ่านตำราแล้วทิ่ม (ทำ) ตรงๆตามตัวหนังสือเลย ที่เขียน อุชุงกายัง มีคำว่า กาย ที่เคยไล่ถามกันอยู่ด้วย ศัพท์นี้ เป็นอุชุ+กาย (กายตรง) ที่เขียน นิสีธะติ ของเขา เป็น นิสีทติ แปลว่า ย่อมนั่ง นั่ง


อุชุศัพท์นี้ ในอิติปิโส มีอยู่ตัวหนึ่ง :b1:

อุชุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติตรง (แล้ว)

ตรงไปไหน ? ตรงไปที่ ญายธรรม (= มรรค ผล นิพพาน)

ญายปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์ (แล้ว)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2014, 07:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าจะมองให้ครบจริงๆ มีทั้งภาคที่เป็นตัวหลักความรู้ (ใช้ศัพท์ที่เราได้ยินจนคุ้นหูคุ้นตาก็ ปริยัติ-ปฏิบัติ...) และภาคปฏิบัติ

ถ้าเรียกด้วยภาษาสมัยนี้ ก็เรียกว่า ภาคทฤษฎีด้วย ภาคปฏิบัติด้วย จึงจะครบ แต่ก็ไม่อยากใช้คำว่าทฤษฎี เพราะทฤษฎีเป็นศัพท์สมัยใหม่ มีความหมายของเขาอีกแบบหนึ่ง เราอย่าไปยุ่งเลย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2014, 11:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b13:
ภาษาไทยว่า "สำรวมกายใจ" ยังไม่เข้าใจ ทำไม่เป็น คงต้องจูงมือไปทำเหมือนเด็กๆเสียแล้วกรัชกาย

สำรวมกาย(รวมถึงวาจาด้วย)....ก็ตั้งใจที่จะทำกายให้สงบนิ่ง ปิดวาจา ทำตนอยู่ในท่าที่สงบ จะเป็นนั่ง ยืน นอนหรือแม้แต้เดินก็ได้

แต่ท่านั่งขัดสมาธิตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเสมอว่า

นิสีธะติ.....ปัลลังกัง..อุชุงกายัง...ปณิธายะ......

ปูลาดอาสนะ นั่งขัดสมาธิ ตั้งกายให้ตรง ตั้งใจ......(ที่จะเอาสติ ปัญญา มานิ่งรู้นิ่งสังเกต ปัจจุบันอารมณ์)

สำรวมใจคือเจริญสมาธิ ทำจิตให้นิ่ง ให้จิตตั้งมั่นอยู่กับที่ได้นานๆจนควรแก่การทำงาน คือสังเกต พิจารณาปัจจุบันอารมณ์ได้อย่างต่อเนื่องนานพอที่จะเห็น ความทนตั้งอยู่ไม่ได้ (ทุกขัง)....จึงต้องปรวนแปรไป(อนิจจัง)และไม่มีอะไรที่บังคับได้(อนัตตา)

ส่วนกิเลส ตัณหา อัตตา อันจะมาปร่ากฏเป็นนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 ขวางกั้นความสงบนิ่งและการปฏิบัตินั้น นั้่นแหละจะเป็นงานที่ผู้ปฏิบัติ ต้องค้นให้พบวิธีแก้ไขแล้วชำระให้หมดไปด้วยตนเอง
:b11:
เอ้า!......พอจะลงมือทำได้หรือยังกรัชกาย ทำได้ก็รีบพิสูจน์ธรรมแล้วมาเล่าสู่กันฟัง
:b37:



อ้างคำพูด:
นิสีธะติ.....ปัลลังกัง..อุชุงกายัง...ปณิธายะ......



นั่นๆว่าแต่เขา ว่าลอกตำรา ไปเอามาจากไหนกันล่ะน่า :b32: ลอกมายังผิด ขนาดเขียนผิด กรัชกายยังเดาออกว่า เขียนผิดเลย :b1:

นี่ก็ชัดว่าอโศกรู้แต่ในตำรา คือ อ่านตำราแล้วทิ่ม (ทำ) ตรงๆตามตัวหนังสือเลย ที่เขียน อุชุงกายัง มีคำว่า กาย ที่เคยไล่ถามกันอยู่ด้วย ศัพท์นี้ เป็นอุชุ+กาย (กายตรง) ที่เขียน นิสีธะติ ของเขา เป็น นิสีทติ แปลว่า ย่อมนั่ง นั่ง


อุชุศัพท์นี้ ในอิติปิโส มีอยู่ตัวหนึ่ง :b1:

อุชุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติตรง (แล้ว)

ตรงไปไหน ? ตรงไปที่ ญายธรรม (= มรรค ผล นิพพาน)

ญายปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์ (แล้ว)

:b12: :b12: :b12:
เอาเรื่อง....อุชุงกายัง.....ตั้งกายให้ตรง......แลบฟุ้งไปถึงอุชุปฏิปันโน โน่น......... นักวิชาการมักชอบเป็นอย่างงี้แหละชอบฟุ้งแลบเบี่ยงประเด็นเปรอะไปหมด

คนบ้านนอกอาจพิมพ์ผิดไปบ้างเพราะไม่ค่อยได้อิงตำรามาตอบ เอาที่เคยฟังเคยอ่านจำได้แล้วนึกขึ้นมาตอบ แต่ความหมาายยังไม่แตกต่าง

มีอีกอันหนึ่งที่ไม่ได้ใส่นึกได้เมื่อคืน พระบรมศาสดาทรงบอกต่อว่า

"ปริมุขัง สะติง อุปัถเปตวา"........ดำรงสติไว้ตรงหน้า

ต่อจากนั้นไปถ้าจะเจริญวิปัสสนาภาวนาไปเลยก็ นิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ไป มันจะเป็นสติปัฏฐาน 4 ไปเองโดยธรรม ไม่ใช่ตามตำรา

ถ้ายังสมาธิไม่มั่นพอ พระบรมศาสดาก็ยังทรงแนะนำว่า

"โสสะโตวะ อัสสะติ สะโตปัสสะสติ"....พิมพ์ถูกผิดไปบ้างก็ไม่ว่ากันนะเพราะนึกจำเอาไม่ได้เปิดหรือเกาะตำรา......ความหมายว่า พิจารณานั่นเทียว ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก แล้วก็เจริญ สมถะควบคู่ไปกับวิปัสสนาภาวนา ตามแนวทาง 16 ข้อของอานาปานสติสูตร อย่างนี้ก็ถึงธรรมได้ ไม่ต้องไปตีความทำความรู้เรื่อง "ชีวิต" ติดยึดแน่นอยู่กับคำว่า "ชีวิต" ให้เนิ่นนานมากมาย อย่างที่กรัชกายกำลังเป็น จนเป็นเอามากขนาดที่ว่า ใครไม่รู้เรื่อง ชีวิตเท่ากับกรัชกายแล้วจะไม่มีทางบรรลุธรรมแน่ๆ

เฮ้อ!....น่าสงสารนักวิชาการ ไม่ค่อยเอาพุทธภาษิตที่ว่า

"สัพเพธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ".....มาใส่ใจพิจารณาให้ลึกซึ้งบ้างเลย ....แปลเอาเองนะ พ่อนักวิชาการเอก
:b9:
แล้วเมื่อไหร่จะเอาผลการนิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์มาเล่าให้ฟังได้ล่ะ เด็กเฉโก
:b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2014, 12:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b13:
ภาษาไทยว่า "สำรวมกายใจ" ยังไม่เข้าใจ ทำไม่เป็น คงต้องจูงมือไปทำเหมือนเด็กๆเสียแล้วกรัชกาย

สำรวมกาย(รวมถึงวาจาด้วย)....ก็ตั้งใจที่จะทำกายให้สงบนิ่ง ปิดวาจา ทำตนอยู่ในท่าที่สงบ จะเป็นนั่ง ยืน นอนหรือแม้แต้เดินก็ได้

แต่ท่านั่งขัดสมาธิตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเสมอว่า

นิสีธะติ.....ปัลลังกัง..อุชุงกายัง...ปณิธายะ......

ปูลาดอาสนะ นั่งขัดสมาธิ ตั้งกายให้ตรง ตั้งใจ......(ที่จะเอาสติ ปัญญา มานิ่งรู้นิ่งสังเกต ปัจจุบันอารมณ์)

สำรวมใจคือเจริญสมาธิ ทำจิตให้นิ่ง ให้จิตตั้งมั่นอยู่กับที่ได้นานๆจนควรแก่การทำงาน คือสังเกต พิจารณาปัจจุบันอารมณ์ได้อย่างต่อเนื่องนานพอที่จะเห็น ความทนตั้งอยู่ไม่ได้ (ทุกขัง)....จึงต้องปรวนแปรไป(อนิจจัง)และไม่มีอะไรที่บังคับได้(อนัตตา)

ส่วนกิเลส ตัณหา อัตตา อันจะมาปร่ากฏเป็นนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 ขวางกั้นความสงบนิ่งและการปฏิบัตินั้น นั้่นแหละจะเป็นงานที่ผู้ปฏิบัติ ต้องค้นให้พบวิธีแก้ไขแล้วชำระให้หมดไปด้วยตนเอง
:b11:
เอ้า!......พอจะลงมือทำได้หรือยังกรัชกาย ทำได้ก็รีบพิสูจน์ธรรมแล้วมาเล่าสู่กันฟัง
:b37:



อ้างคำพูด:
นิสีธะติ.....ปัลลังกัง..อุชุงกายัง...ปณิธายะ......



นั่นๆว่าแต่เขา ว่าลอกตำรา ไปเอามาจากไหนกันล่ะน่า :b32: ลอกมายังผิด ขนาดเขียนผิด กรัชกายยังเดาออกว่า เขียนผิดเลย :b1:

นี่ก็ชัดว่าอโศกรู้แต่ในตำรา คือ อ่านตำราแล้วทิ่ม (ทำ) ตรงๆตามตัวหนังสือเลย ที่เขียน อุชุงกายัง มีคำว่า กาย ที่เคยไล่ถามกันอยู่ด้วย ศัพท์นี้ เป็นอุชุ+กาย (กายตรง) ที่เขียน นิสีธะติ ของเขา เป็น นิสีทติ แปลว่า ย่อมนั่ง นั่ง


อุชุศัพท์นี้ ในอิติปิโส มีอยู่ตัวหนึ่ง :b1:

อุชุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติตรง (แล้ว)

ตรงไปไหน ? ตรงไปที่ ญายธรรม (= มรรค ผล นิพพาน)

ญายปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์ (แล้ว)

:b12: :b12: :b12:
เอาเรื่อง....อุชุงกายัง.....ตั้งกายให้ตรง......แลบฟุ้งไปถึงอุชุปฏิปันโน โน่น......... นักวิชาการมักชอบเป็นอย่างงี้แหละชอบฟุ้งแลบเบี่ยงประเด็นเปรอะไปหมด

คนบ้านนอกอาจพิมพ์ผิดไปบ้างเพราะไม่ค่อยได้อิงตำรามาตอบ เอาที่เคยฟังเคยอ่านจำได้แล้วนึกขึ้นมาตอบ แต่ความหมาายยังไม่แตกต่าง

มีอีกอันหนึ่งที่ไม่ได้ใส่นึกได้เมื่อคืน พระบรมศาสดาทรงบอกต่อว่า

"ปริมุขัง สะติง อุปัถเปตวา"........ดำรงสติไว้ตรงหน้า

ต่อจากนั้นไปถ้าจะเจริญวิปัสสนาภาวนาไปเลยก็ นิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ไป มันจะเป็นสติปัฏฐาน 4 ไปเองโดยธรรม ไม่ใช่ตามตำรา

ถ้ายังสมาธิไม่มั่นพอ พระบรมศาสดาก็ยังทรงแนะนำว่า

"โสสะโตวะ อัสสะติ สะโตปัสสะสติ"....พิมพ์ถูกผิดไปบ้างก็ไม่ว่ากันนะเพราะนึกจำเอาไม่ได้เปิดหรือเกาะตำรา......ความหมายว่า พิจารณานั่นเทียว ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก แล้วก็เจริญ สมถะควบคู่ไปกับวิปัสสนาภาวนา ตามแนวทาง 16 ข้อของอานาปานสติสูตร อย่างนี้ก็ถึงธรรมได้ ไม่ต้องไปตีความทำความรู้เรื่อง "ชีวิต" ติดยึดแน่นอยู่กับคำว่า "ชีวิต" ให้เนิ่นนานมากมาย อย่างที่กรัชกายกำลังเป็น จนเป็นเอามากขนาดที่ว่า ใครไม่รู้เรื่อง ชีวิตเท่ากับกรัชกายแล้วจะไม่มีทางบรรลุธรรมแน่ๆ

เฮ้อ!....น่าสงสารนักวิชาการ ไม่ค่อยเอาพุทธภาษิตที่ว่า

"สัพเพธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ".....มาใส่ใจพิจารณาให้ลึกซึ้งบ้างเลย ....แปลเอาเองนะ พ่อนักวิชาการเอก
:b9:
แล้วเมื่อไหร่จะเอาผลการนิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์มาเล่าให้ฟังได้ล่ะ เด็กเฉโก
:b12: :b12:


ไม่ต้องใช้อาสนะได้ไหมขอรับ :b1:

ขยันรู้จัง รู้ๆๆๆ รู้อะไรขอรับ เอาชัดๆ

ผลเกิดจากเหตุ ถูกมั้ยครับ

ทีนี่ก็มาดูเหตุที่อโศกทำ?

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2014, 13:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b13:
ภาษาไทยว่า "สำรวมกายใจ" ยังไม่เข้าใจ ทำไม่เป็น คงต้องจูงมือไปทำเหมือนเด็กๆเสียแล้วกรัชกาย

สำรวมกาย(รวมถึงวาจาด้วย)....ก็ตั้งใจที่จะทำกายให้สงบนิ่ง ปิดวาจา ทำตนอยู่ในท่าที่สงบ จะเป็นนั่ง ยืน นอนหรือแม้แต้เดินก็ได้

แต่ท่านั่งขัดสมาธิตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเสมอว่า

นิสีธะติ.....ปัลลังกัง..อุชุงกายัง...ปณิธายะ......

ปูลาดอาสนะ นั่งขัดสมาธิ ตั้งกายให้ตรง ตั้งใจ......(ที่จะเอาสติ ปัญญา มานิ่งรู้นิ่งสังเกต ปัจจุบันอารมณ์)

สำรวมใจคือเจริญสมาธิ ทำจิตให้นิ่ง ให้จิตตั้งมั่นอยู่กับที่ได้นานๆจนควรแก่การทำงาน คือสังเกต พิจารณาปัจจุบันอารมณ์ได้อย่างต่อเนื่องนานพอที่จะเห็น ความทนตั้งอยู่ไม่ได้ (ทุกขัง)....จึงต้องปรวนแปรไป(อนิจจัง)และไม่มีอะไรที่บังคับได้(อนัตตา)

ส่วนกิเลส ตัณหา อัตตา อันจะมาปร่ากฏเป็นนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 ขวางกั้นความสงบนิ่งและการปฏิบัตินั้น นั้่นแหละจะเป็นงานที่ผู้ปฏิบัติ ต้องค้นให้พบวิธีแก้ไขแล้วชำระให้หมดไปด้วยตนเอง
:b11:
เอ้า!......พอจะลงมือทำได้หรือยังกรัชกาย ทำได้ก็รีบพิสูจน์ธรรมแล้วมาเล่าสู่กันฟัง
:b37:



อ้างคำพูด:
นิสีธะติ.....ปัลลังกัง..อุชุงกายัง...ปณิธายะ......



นั่นๆว่าแต่เขา ว่าลอกตำรา ไปเอามาจากไหนกันล่ะน่า :b32: ลอกมายังผิด ขนาดเขียนผิด กรัชกายยังเดาออกว่า เขียนผิดเลย :b1:

นี่ก็ชัดว่าอโศกรู้แต่ในตำรา คือ อ่านตำราแล้วทิ่ม (ทำ) ตรงๆตามตัวหนังสือเลย ที่เขียน อุชุงกายัง มีคำว่า กาย ที่เคยไล่ถามกันอยู่ด้วย ศัพท์นี้ เป็นอุชุ+กาย (กายตรง) ที่เขียน นิสีธะติ ของเขา เป็น นิสีทติ แปลว่า ย่อมนั่ง นั่ง


อุชุศัพท์นี้ ในอิติปิโส มีอยู่ตัวหนึ่ง :b1:

อุชุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติตรง (แล้ว)

ตรงไปไหน ? ตรงไปที่ ญายธรรม (= มรรค ผล นิพพาน)

ญายปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์ (แล้ว)

:b12: :b12: :b12:
เอาเรื่อง....อุชุงกายัง.....ตั้งกายให้ตรง......แลบฟุ้งไปถึงอุชุปฏิปันโน โน่น......... นักวิชาการมักชอบเป็นอย่างงี้แหละชอบฟุ้งแลบเบี่ยงประเด็นเปรอะไปหมด

คนบ้านนอกอาจพิมพ์ผิดไปบ้างเพราะไม่ค่อยได้อิงตำรามาตอบ เอาที่เคยฟังเคยอ่านจำได้แล้วนึกขึ้นมาตอบ แต่ความหมาายยังไม่แตกต่าง

มีอีกอันหนึ่งที่ไม่ได้ใส่นึกได้เมื่อคืน พระบรมศาสดาทรงบอกต่อว่า

"ปริมุขัง สะติง อุปัถเปตวา"........ดำรงสติไว้ตรงหน้า

ต่อจากนั้นไปถ้าจะเจริญวิปัสสนาภาวนาไปเลยก็ นิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ไป มันจะเป็นสติปัฏฐาน 4 ไปเองโดยธรรม ไม่ใช่ตามตำรา

ถ้ายังสมาธิไม่มั่นพอ พระบรมศาสดาก็ยังทรงแนะนำว่า

"โสสะโตวะ อัสสะติ สะโตปัสสะสติ"....พิมพ์ถูกผิดไปบ้างก็ไม่ว่ากันนะเพราะนึกจำเอาไม่ได้เปิดหรือเกาะตำรา......ความหมายว่า พิจารณานั่นเทียว ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก แล้วก็เจริญ สมถะควบคู่ไปกับวิปัสสนาภาวนา ตามแนวทาง 16 ข้อของอานาปานสติสูตร อย่างนี้ก็ถึงธรรมได้ ไม่ต้องไปตีความทำความรู้เรื่อง "ชีวิต" ติดยึดแน่นอยู่กับคำว่า "ชีวิต" ให้เนิ่นนานมากมาย อย่างที่กรัชกายกำลังเป็น จนเป็นเอามากขนาดที่ว่า ใครไม่รู้เรื่อง ชีวิตเท่ากับกรัชกายแล้วจะไม่มีทางบรรลุธรรมแน่ๆ

เฮ้อ!....น่าสงสารนักวิชาการ ไม่ค่อยเอาพุทธภาษิตที่ว่า

"สัพเพธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ".....มาใส่ใจพิจารณาให้ลึกซึ้งบ้างเลย ....แปลเอาเองนะ พ่อนักวิชาการเอก
:b9:
แล้วเมื่อไหร่จะเอาผลการนิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์มาเล่าให้ฟังได้ล่ะ เด็กเฉโก
:b12: :b12:


ไม่ต้องใช้อาสนะได้ไหมขอรับ :b1:

ขยันรู้จัง รู้ๆๆๆ รู้อะไรขอรับ เอาชัดๆ

ผลเกิดจากเหตุ ถูกมั้ยครับ

ทีนี่ก็มาดูเหตุที่อโศกทำ?

:b12:
เป็นพระภิกษุผู้สำรวม ไม่ปูลาดอาสนะแล้วนั่ง ก็อาบัตินะสิ กรัชกาย พระบรมศาสดาทรงละเอียดอ่อนมากในเรื่องอย่างนี้ พระดำรัสของพระองค์จึงไม่มีที่ติและถกเถียงได้ยังไงกรัชกาย
:b8:
แต่สำหรับกรัชกาย จะไม่ปูที่รองนั่ง ให้หินมันทิ่มก้นอยู่ก็ตามใจใครจะไปว่า แต่อย่าให้เด็กรุ่นหลังมันรู้ เดี๋ยวเกิดเอาไปโพนธนา ว่าท่านนักวิชาการใหญ่ นั่งทนภาวนาให้หินทิ่มตูด เพราะกลัวเสียหน้า เดี๋ยวจะว่าหล่อไม่เตือนนะ
555555555


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2014, 13:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b13:
ภาษาไทยว่า "สำรวมกายใจ" ยังไม่เข้าใจ ทำไม่เป็น คงต้องจูงมือไปทำเหมือนเด็กๆเสียแล้วกรัชกาย

สำรวมกาย(รวมถึงวาจาด้วย)....ก็ตั้งใจที่จะทำกายให้สงบนิ่ง ปิดวาจา ทำตนอยู่ในท่าที่สงบ จะเป็นนั่ง ยืน นอนหรือแม้แต้เดินก็ได้

แต่ท่านั่งขัดสมาธิตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเสมอว่า

นิสีธะติ.....ปัลลังกัง..อุชุงกายัง...ปณิธายะ......

ปูลาดอาสนะ นั่งขัดสมาธิ ตั้งกายให้ตรง ตั้งใจ......(ที่จะเอาสติ ปัญญา มานิ่งรู้นิ่งสังเกต ปัจจุบันอารมณ์)

สำรวมใจคือเจริญสมาธิ ทำจิตให้นิ่ง ให้จิตตั้งมั่นอยู่กับที่ได้นานๆจนควรแก่การทำงาน คือสังเกต พิจารณาปัจจุบันอารมณ์ได้อย่างต่อเนื่องนานพอที่จะเห็น ความทนตั้งอยู่ไม่ได้ (ทุกขัง)....จึงต้องปรวนแปรไป(อนิจจัง)และไม่มีอะไรที่บังคับได้(อนัตตา)

ส่วนกิเลส ตัณหา อัตตา อันจะมาปร่ากฏเป็นนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 ขวางกั้นความสงบนิ่งและการปฏิบัตินั้น นั้่นแหละจะเป็นงานที่ผู้ปฏิบัติ ต้องค้นให้พบวิธีแก้ไขแล้วชำระให้หมดไปด้วยตนเอง
:b11:
เอ้า!......พอจะลงมือทำได้หรือยังกรัชกาย ทำได้ก็รีบพิสูจน์ธรรมแล้วมาเล่าสู่กันฟัง
:b37:



อ้างคำพูด:
นิสีธะติ.....ปัลลังกัง..อุชุงกายัง...ปณิธายะ......



นั่นๆว่าแต่เขา ว่าลอกตำรา ไปเอามาจากไหนกันล่ะน่า :b32: ลอกมายังผิด ขนาดเขียนผิด กรัชกายยังเดาออกว่า เขียนผิดเลย :b1:

นี่ก็ชัดว่าอโศกรู้แต่ในตำรา คือ อ่านตำราแล้วทิ่ม (ทำ) ตรงๆตามตัวหนังสือเลย ที่เขียน อุชุงกายัง มีคำว่า กาย ที่เคยไล่ถามกันอยู่ด้วย ศัพท์นี้ เป็นอุชุ+กาย (กายตรง) ที่เขียน นิสีธะติ ของเขา เป็น นิสีทติ แปลว่า ย่อมนั่ง นั่ง


อุชุศัพท์นี้ ในอิติปิโส มีอยู่ตัวหนึ่ง :b1:

อุชุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติตรง (แล้ว)

ตรงไปไหน ? ตรงไปที่ ญายธรรม (= มรรค ผล นิพพาน)

ญายปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์ (แล้ว)

:b12: :b12: :b12:
เอาเรื่อง....อุชุงกายัง.....ตั้งกายให้ตรง......แลบฟุ้งไปถึงอุชุปฏิปันโน โน่น......... นักวิชาการมักชอบเป็นอย่างงี้แหละชอบฟุ้งแลบเบี่ยงประเด็นเปรอะไปหมด

คนบ้านนอกอาจพิมพ์ผิดไปบ้างเพราะไม่ค่อยได้อิงตำรามาตอบ เอาที่เคยฟังเคยอ่านจำได้แล้วนึกขึ้นมาตอบ แต่ความหมาายยังไม่แตกต่าง

มีอีกอันหนึ่งที่ไม่ได้ใส่นึกได้เมื่อคืน พระบรมศาสดาทรงบอกต่อว่า

"ปริมุขัง สะติง อุปัถเปตวา"........ดำรงสติไว้ตรงหน้า

ต่อจากนั้นไปถ้าจะเจริญวิปัสสนาภาวนาไปเลยก็ นิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ไป มันจะเป็นสติปัฏฐาน 4 ไปเองโดยธรรม ไม่ใช่ตามตำรา

ถ้ายังสมาธิไม่มั่นพอ พระบรมศาสดาก็ยังทรงแนะนำว่า

"โสสะโตวะ อัสสะติ สะโตปัสสะสติ"....พิมพ์ถูกผิดไปบ้างก็ไม่ว่ากันนะเพราะนึกจำเอาไม่ได้เปิดหรือเกาะตำรา......ความหมายว่า พิจารณานั่นเทียว ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก แล้วก็เจริญ สมถะควบคู่ไปกับวิปัสสนาภาวนา ตามแนวทาง 16 ข้อของอานาปานสติสูตร อย่างนี้ก็ถึงธรรมได้ ไม่ต้องไปตีความทำความรู้เรื่อง "ชีวิต" ติดยึดแน่นอยู่กับคำว่า "ชีวิต" ให้เนิ่นนานมากมาย อย่างที่กรัชกายกำลังเป็น จนเป็นเอามากขนาดที่ว่า ใครไม่รู้เรื่อง ชีวิตเท่ากับกรัชกายแล้วจะไม่มีทางบรรลุธรรมแน่ๆ

เฮ้อ!....น่าสงสารนักวิชาการ ไม่ค่อยเอาพุทธภาษิตที่ว่า

"สัพเพธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ".....มาใส่ใจพิจารณาให้ลึกซึ้งบ้างเลย ....แปลเอาเองนะ พ่อนักวิชาการเอก
:b9:
แล้วเมื่อไหร่จะเอาผลการนิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์มาเล่าให้ฟังได้ล่ะ เด็กเฉโก
:b12: :b12:


ไม่ต้องใช้อาสนะได้ไหมขอรับ :b1:

ขยันรู้จัง รู้ๆๆๆ รู้อะไรขอรับ เอาชัดๆ

ผลเกิดจากเหตุ ถูกมั้ยครับ

ทีนี่ก็มาดูเหตุที่อโศกทำ?

:b12:
เป็นพระภิกษุผู้สำรวม ไม่ปูลาดอาสนะแล้วนั่ง ก็อาบัตินะสิ กรัชกาย พระบรมศาสดาทรงละเอียดอ่อนมากในเรื่องอย่างนี้ พระดำรัสของพระองค์จึงไม่มีที่ติและถกเถียงได้ยังไงกรัชกาย
:b8:
แต่สำหรับกรัชกาย จะไม่ปูที่รองนั่ง ให้หินมันทิ่มก้นอยู่ก็ตามใจใครจะไปว่า แต่อย่าให้เด็กรุ่นหลังมันรู้ เดี๋ยวเกิดเอาไปโพนธนา ว่าท่านนักวิชาการใหญ่ นั่งทนภาวนาให้หินทิ่มตูด เพราะกลัวเสียหน้า เดี๋ยวจะว่าหล่อไม่เตือนนะ
555555555



ไร้สาระ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2014, 13:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b13:
ภาษาไทยว่า "สำรวมกายใจ" ยังไม่เข้าใจ ทำไม่เป็น คงต้องจูงมือไปทำเหมือนเด็กๆเสียแล้วกรัชกาย

สำรวมกาย(รวมถึงวาจาด้วย)....ก็ตั้งใจที่จะทำกายให้สงบนิ่ง ปิดวาจา ทำตนอยู่ในท่าที่สงบ จะเป็นนั่ง ยืน นอนหรือแม้แต้เดินก็ได้

แต่ท่านั่งขัดสมาธิตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเสมอว่า

นิสีธะติ.....ปัลลังกัง..อุชุงกายัง...ปณิธายะ......

ปูลาดอาสนะ นั่งขัดสมาธิ ตั้งกายให้ตรง ตั้งใจ......(ที่จะเอาสติ ปัญญา มานิ่งรู้นิ่งสังเกต ปัจจุบันอารมณ์)

สำรวมใจคือเจริญสมาธิ ทำจิตให้นิ่ง ให้จิตตั้งมั่นอยู่กับที่ได้นานๆจนควรแก่การทำงาน คือสังเกต พิจารณาปัจจุบันอารมณ์ได้อย่างต่อเนื่องนานพอที่จะเห็น ความทนตั้งอยู่ไม่ได้ (ทุกขัง)....จึงต้องปรวนแปรไป(อนิจจัง)และไม่มีอะไรที่บังคับได้(อนัตตา)

ส่วนกิเลส ตัณหา อัตตา อันจะมาปร่ากฏเป็นนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 ขวางกั้นความสงบนิ่งและการปฏิบัตินั้น นั้่นแหละจะเป็นงานที่ผู้ปฏิบัติ ต้องค้นให้พบวิธีแก้ไขแล้วชำระให้หมดไปด้วยตนเอง
:b11:
เอ้า!......พอจะลงมือทำได้หรือยังกรัชกาย ทำได้ก็รีบพิสูจน์ธรรมแล้วมาเล่าสู่กันฟัง
:b37:



อ้างคำพูด:
นิสีธะติ.....ปัลลังกัง..อุชุงกายัง...ปณิธายะ......



นั่นๆว่าแต่เขา ว่าลอกตำรา ไปเอามาจากไหนกันล่ะน่า :b32: ลอกมายังผิด ขนาดเขียนผิด กรัชกายยังเดาออกว่า เขียนผิดเลย :b1:

นี่ก็ชัดว่าอโศกรู้แต่ในตำรา คือ อ่านตำราแล้วทิ่ม (ทำ) ตรงๆตามตัวหนังสือเลย ที่เขียน อุชุงกายัง มีคำว่า กาย ที่เคยไล่ถามกันอยู่ด้วย ศัพท์นี้ เป็นอุชุ+กาย (กายตรง) ที่เขียน นิสีธะติ ของเขา เป็น นิสีทติ แปลว่า ย่อมนั่ง นั่ง


อุชุศัพท์นี้ ในอิติปิโส มีอยู่ตัวหนึ่ง :b1:

อุชุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติตรง (แล้ว)

ตรงไปไหน ? ตรงไปที่ ญายธรรม (= มรรค ผล นิพพาน)

ญายปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์ (แล้ว)

:b12: :b12: :b12:
เอาเรื่อง....อุชุงกายัง.....ตั้งกายให้ตรง......แลบฟุ้งไปถึงอุชุปฏิปันโน โน่น......... นักวิชาการมักชอบเป็นอย่างงี้แหละชอบฟุ้งแลบเบี่ยงประเด็นเปรอะไปหมด

คนบ้านนอกอาจพิมพ์ผิดไปบ้างเพราะไม่ค่อยได้อิงตำรามาตอบ เอาที่เคยฟังเคยอ่านจำได้แล้วนึกขึ้นมาตอบ แต่ความหมาายยังไม่แตกต่าง

มีอีกอันหนึ่งที่ไม่ได้ใส่นึกได้เมื่อคืน พระบรมศาสดาทรงบอกต่อว่า

"ปริมุขัง สะติง อุปัถเปตวา"........ดำรงสติไว้ตรงหน้า

ต่อจากนั้นไปถ้าจะเจริญวิปัสสนาภาวนาไปเลยก็ นิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ไป มันจะเป็นสติปัฏฐาน 4 ไปเองโดยธรรม ไม่ใช่ตามตำรา

ถ้ายังสมาธิไม่มั่นพอ พระบรมศาสดาก็ยังทรงแนะนำว่า

"โสสะโตวะ อัสสะติ สะโตปัสสะสติ"....พิมพ์ถูกผิดไปบ้างก็ไม่ว่ากันนะเพราะนึกจำเอาไม่ได้เปิดหรือเกาะตำรา......ความหมายว่า พิจารณานั่นเทียว ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก แล้วก็เจริญ สมถะควบคู่ไปกับวิปัสสนาภาวนา ตามแนวทาง 16 ข้อของอานาปานสติสูตร อย่างนี้ก็ถึงธรรมได้ ไม่ต้องไปตีความทำความรู้เรื่อง "ชีวิต" ติดยึดแน่นอยู่กับคำว่า "ชีวิต" ให้เนิ่นนานมากมาย อย่างที่กรัชกายกำลังเป็น จนเป็นเอามากขนาดที่ว่า ใครไม่รู้เรื่อง ชีวิตเท่ากับกรัชกายแล้วจะไม่มีทางบรรลุธรรมแน่ๆ

เฮ้อ!....น่าสงสารนักวิชาการ ไม่ค่อยเอาพุทธภาษิตที่ว่า

"สัพเพธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ".....มาใส่ใจพิจารณาให้ลึกซึ้งบ้างเลย ....แปลเอาเองนะ พ่อนักวิชาการเอก
:b9:
แล้วเมื่อไหร่จะเอาผลการนิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์มาเล่าให้ฟังได้ล่ะ เด็กเฉโก
:b12: :b12:


ไม่ต้องใช้อาสนะได้ไหมขอรับ :b1:

ขยันรู้จัง รู้ๆๆๆ รู้อะไรขอรับ เอาชัดๆ

ผลเกิดจากเหตุ ถูกมั้ยครับ

ทีนี่ก็มาดูเหตุที่อโศกทำ?

:b12:
เป็นพระภิกษุผู้สำรวม ไม่ปูลาดอาสนะแล้วนั่ง ก็อาบัตินะสิ กรัชกาย พระบรมศาสดาทรงละเอียดอ่อนมากในเรื่องอย่างนี้ พระดำรัสของพระองค์จึงไม่มีที่ติและถกเถียงได้ยังไงกรัชกาย
:b8:
แต่สำหรับกรัชกาย จะไม่ปูที่รองนั่ง ให้หินมันทิ่มก้นอยู่ก็ตามใจใครจะไปว่า แต่อย่าให้เด็กรุ่นหลังมันรู้ เดี๋ยวเกิดเอาไปโพนธนา ว่าท่านนักวิชาการใหญ่ นั่งทนภาวนาให้หินทิ่มตูด เพราะกลัวเสียหน้า เดี๋ยวจะว่าหล่อไม่เตือนนะ
555555555



ไร้สาระ :b1:

:b7:
เอ้อ!......
มีคนเห็นว่าพระวินัยเรื่องผ้าปูนั่งที่พระบรมศาสดาทรงบัญญัติไว้เป็นเรื่องไร้สาระ......
s006
s004


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2014, 15:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 08:17
โพสต์: 73

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้มีปัญญาไม่คลุกคลีหมู่คณะ

ข้อความจากพระไตรปิฎก

พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๘ ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถา
เถรคาถา จัตตาฬีสนิบาต
๑. มหากัสสปเถรคาถา

คาถาสุภาษิตของพระมหากัสสปเถระ

[๓๙๘] ผู้มีปัญญาเห็นว่า ไม่ควรอยู่คลุกคลีด้วยหมู่
เพราะเป็นเหตุทำใจให้ฟุ้งซ่าน ได้สมาธิโดยยาก
การสงเคราะห์ชนต่างๆ เป็นความลำบากดังนี้
จึงไม่ชอบใจหมู่คณะ
นักปราชญ์ไม่ควรเกี่ยวข้องกับตระกูลทั้งหลาย
เพราะเป็นเหตุทำใจให้ฟุ้งซ่าน ได้สมาธิโดยยาก
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับตระกูลนั้น ย่อมต้องขวนขวายในการเข้าไปสู่ตระกูล
มักติดรสอาหาร ย่อมละทิ้งประโยชน์อันจะนำความสุขมาให้
นักปราชญ์ได้กล่าวการกราบไหว้และการบูชาในตระกูลทั้งหลาย
ว่าเป็นเปือกตมและเป็นลูกศรที่ละเอียดถอนได้ยาก
บุรุษผู้เลวทรามย่อมละสักการะได้ยากยิ่ง
เราลงจากเสนาสนะแล้วก็เข้าไปบิณฑบาตยังนคร
เราได้เข้าไปหาบุรุษโรคเรื้อน ผู้กำลังบริโภคอาหารด้วยความอ่อนน้อม
บุรุษโรคเรื้อนนั้น ได้น้อมเข้าซึ่งคำข้าวด้วยมือโรคเรื้อน
เมื่อเขาใส่คำข้าวลง นิ้วมือของเขาก็ขาดตกลงในบาตรของเรานี้
เราอาศัยชายคาเรือน ฉันข้าวนั้นอยู่ ในเวลาที่กำลังฉันและฉันเสร็จแล้ว
เรามิได้มีความเกลียดชังเลย

ภิกษุใดไม่ดูหมิ่นปัจจัยทั้งสี่ คือ
อาหารบิณฑบาตที่จะพึงลุกขึ้นยืนรับ ๑
บังสุกุลจีวร ๑
เสนาสนะคือโคนไม้ ๑
ยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า ๑
ภิกษุนั้นแล สามารถจะอยู่ในจาตุรทิศได้ในเวลาแก่

ภิกษุบางพวกเมื่อขึ้นเขาย่อมลำบาก
แต่พระมหากัสสปะผู้เป็นทายาทของพระพุทธเจ้า เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ
แม้ในเวลาแก่เป็นผู้แข็งแรงด้วยกำลังแห่งฤทธิ์
ย่อมขึ้นไปได้ตามสบาย
พระมหากัสสปะผู้หมดอุปาทาน ละความหวาดกลัวภัยได้แล้ว
กลับจากบิณฑบาตแล้ว ขึ้นสู่ภูเขา เพ่งฌานอยู่
พระมหากัสสปะผู้หมดอุปาทาน
เมื่อสัตว์ทั้งหลายถูกไฟไหม้อยู่ เป็นผู้ดับไฟได้แล้ว
กลับจากบิณฑบาตแล้ว ขึ้นสู่ภูเขา เพ่งฌานอยู่
พระมหากัสสปะผู้หมดอุปาทานทำกิจเสร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ
กลับจากบิณฑบาตแล้ว ขึ้นสู่ภูเขา เพ่งฌานอยู่

ภูมิภาคอันประกอบด้วยระเบียบแห่งต้นกุ่มทั้งหลาย
น่ารื่นรมย์ใจ กึกก้องด้วยเสียงช้างร้อง น่ารื่นรมย์
ล้วนแล้วด้วยภูเขา ย่อมทำให้เรายินดี

ภูเขามีสีเขียวดุจเมฆงดงาม มีธารน้ำเย็นใสสะอาด
ดารดาษไปด้วยหญ้ามีสี เหมือนแมลงทับทิมทอง
ย่อมยังเราให้รื่นรมย์

ภูเขาอันสูงตระหง่านแทบจดเมฆเขียวชะอุ่ม
เปรียบปานดังปราสาท กึกก้องด้วยเสียงช้างร้อง
น่ารื่นรมย์นัก ย่อมยังเราให้ยินดี

ภูเขาที่ฝนตกรดแล้ว มีพื้นน่ารื่นรมย์ เป็นที่อาศัยของเหล่าฤาษี
เซ็งแซ่ด้วยเสียงนกยูง ย่อมยังเราให้รื่นรมย์

สถานที่เหล่านั้นเหมาะสำหรับเราผู้ยินดีในการเพ่งฌาน
มีใจเด็ดเดี่ยว มีสติ เหมาะสำหรับเราผู้ใคร่ประโยชน์
รักษาตนดีแล้ว ผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร
เหมาะสำหรับเราผู้ปรารถนาความผาสุก มีใจเด็ดเดี่ยว
เหมาะสำหรับเราผู้ปรารถนา ประกอบความเพียร
มีใจแน่วแน่ ศึกษาอยู่

ภูเขาที่มีสีดังดอกผักตบ ปกคลุมด้วยหมู่เมฆบนท้องฟ้า
เกลื่อนกล่นด้วยหมู่นกต่างๆ ย่อมยังเราให้รื่นรมย์

ภูเขาอันไม่เกลื่อนกล่นด้วยผู้คน มีแต่หมู่เนื้ออาศัย
ดารดาษด้วยหมู่นกต่างๆ ย่อมยังเราให้รื่นรมย์

ภูเขาที่มีน้ำใสสะอาด มีแผ่นหินเป็นแท่งทึบ
เกลื่อนกล่นด้วยค่างและมฤคชาติ ดารดาษไปด้วยสาหร่าย
ย่อมยังเราให้รื่นรมย์

เราผู้มีจิตตั้งมั่น พิจารณาเห็นธรรมโดยชอบ
ย่อมไม่มีความยินดีด้วยดนตรีเครื่อง ๕ เช่นนั้น

ภิกษุไม่พึงทำการงานให้มากนัก
พึงเว้นคนผู้มิใช่กัลยาณมิตรเสีย
ไม่ควรขวนขวายในลาภผล
ท่านผู้ปฏิบัติเช่นนั้น
ย่อมจะต้องขวนขวายและติดในรสอาหาร
ย่อมละทิ้งประโยชน์อันจะนำความสุขมาให้

ภิกษุไม่พึงทำการงานให้มากนัก
พึงเว้นสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เสีย
เมื่อภิกษุขวนขวายในการงานมาก
ก็จะต้องเยียวยาร่างกายลำบาก
ผู้มีร่างกายลำบากนั้น
ย่อมไม่ได้ประสบความสงบใจ

ภิกษุไม่รู้สึกตนด้วยเหตุสักว่าการท่องบ่นพุทธวจนะ
ย่อมท่องเที่ยวชูคอ สำคัญตนประเสริฐกว่าผู้อื่น
ผู้ใดบิณฑบาตไม่ประเสริฐ เป็นพาล
แต่สำคัญตนว่าประเสริฐกว่าเขาเสมอเขา
นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมไม่สรรเสริญผู้นั้น ซึ่งเป็นผู้มีใจกระด้างเลย

ผู้ใดไม่หวั่นไหวเพราะมานะ ๓ อย่าง คือ
ว่าเราเป็นผู้ประเสริฐกว่าเขา ๑
เสมอเขา ๑
เลวกว่าเขา ๑
นักปราชญ์ทั้งหลาย ย่อมสรรเสริญผู้นั้นแหละว่า
เป็นผู้มีปัญญา มีวาจาจริง ตั้งมั่นดีแล้วในศีลทั้งหลาย
และว่าประกอบด้วยความสงบใจ

ภิกษุใดไม่มีความเคารพในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย
ภิกษุนั้นย่อมเป็นผู้เหินห่างจากพระสัทธรรม
เหมือนฟ้ากับดิน ฉะนั้น

ภิกษุเหล่าใดเข้าไปตั้งหิริและโอตตัปปะไว้ชอบทุกเมื่อ
มีพรหมจรรย์อันงอกงาม
ภิกษุเหล่านั้นมีภพใหม่สิ้นแล้ว

ภิกษุผู้ยังมีใจฟุ้งซ่าน กลับกลอก
ถึงจะนุ่งห่มผ้าบังสุกุล ภิกษุนั้นย่อมไม่งดงามด้วยผ้าบังสุกุลนั้น
เหมือนกับวานรคลุมด้วยหนังราชสีห์ ฉะนั้น

ส่วนภิกษุผู้มีใจไม่ฟุ้งซ่าน ไม่กลับกลอก
มีปัญญา เครื่องรักษาตน
สำรวมอินทรีย์ ย่อมงดงามเพราะผ้าบังสุกุล
ดังราชสีห์ในถ้ำ ฉะนั้น

เทพเจ้าผู้มีฤทธิ์ มีเกียรติยศเป็นอันมาก
ประมาณหมื่นและพรหมทั้งปวง
ได้พากันมายืนประนมอัญชลี
นอบน้อมท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร
ผู้มีปัญญามาก ผู้มีฌานใหญ่ มีใจตั้งมั่น
เปล่งวาจาว่า ข้าแต่ท่านบุรุษอาชาไนย ขอนอบน้อมแด่ท่าน
ข้าแต่ท่านผู้เป็นอุดมบุรุษ ขอนอบน้อมแด่ท่าน
ท่านย่อมเข้าฌานอยู่ เพราะอาศัยอารมณ์ใด
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ย่อมรู้ไม่ถึงอารมณ์เหล่านั้นของท่าน
น่าอัศจรรย์จริงหนอ วิสัยของท่านผู้รู้ทั้งหลาย ลึกซึ้งยิ่งนัก
ข้าพเจ้าทั้งหลายผู้มาประชุมกันอยู่ ณ ที่นี้
นับว่าเป็นผู้เฉียบแหลม ดุจนายขมังธนูก็ยังรู้ไม่ถึง
ความยิ้มแย้มได้ปรากฏมีแด่ท่านพระกัปปินเถระ
เพราะได้เห็นท่านพระสารีบุตร
ผู้ควรแก่สักการะบูชา อันหมู่ทวยเทพบูชาอยู่เช่นนั้น
ในเวลานั้น ตลอดทั่วพุทธอาณาเขต
ยกเว้นแต่สมเด็จพระมหามุนีองค์เดียวเท่านั้น
เราเป็นผู้ประเสริฐสุดในทางธุดงคคุณ ไม่มีใครเทียบเท่าเลย
เราเป็นผู้คุ้นเคยกับพระบรมศาสดา
เราทำคำสอนของพระพุทธเจ้าเสร็จแล้ว
ปลงภาระอันหนักลงแล้ว ถอนตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพขึ้นได้แล้ว
พระสมณโคดมผู้ทรงพระคุณหาปริมาณมิได้
มีพระทัยน้อมไปในเนกขัมมะ
ทรงสลัดภพทั้ง ๓ ออกได้แล้ว
ย่อมไม่ทรงติดอยู่ด้วยจีวรบิณฑบาตและเสนาสนะ
เปรียบเหมือนบัวไม่ติดอยู่ด้วยน้ำ ฉะนั้น
พระองค์ทรงเป็นจอมนักปราชญ์
มีสติปัฏฐานเป็นพระศอ
มีศรัทธาเป็นพระอรหัตถ์
มีปัญญาเป็นพระเศียร
ทรงพระปรีชามาก
ทรงดับเสียแล้วซึ่งกิเลส
แล กองทุกข์ตลอดกาลทุกเมื่อ.

ในจัตตาฬีสนิบาตนี้ มีพระมหากัสสปเถระองค์เดียวเท่านั้น ได้ภาษิต
คาถาไว้ ๔๐ คาถา.
จัตตาฬีสนิบาตจบบริบูรณ์.
ที่มา : http://flymetodusit.blogspot.com/2012/0 ... _2168.html


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 139 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร