วันเวลาปัจจุบัน 04 มิ.ย. 2025, 00:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 164 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2010, 09:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:
ขอความเห็นท่านเจ้าของกระทู้ด้วยนะครับ ว่าสติขั้นฝึกฝนจงใจได้หรือไม่


จงใจครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2010, 18:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



คุณชาติรู้หรือยังคะ ความแตกต่างระหว่าง มิจฉาสติกับสัสสมาสตินั้น
แตกต่างกันตรงไหน?

มีอยู่ตัวเดียวเท่านั้นแหละค่ะ ที่เป็นตัวบ่งบอกว่า นี่คือ มิจฉาสติ นี่คือ สัมมาสติ
เคยสงสัยบ้างไหมว่า ทำไมจึงต้องมีการเจริญสติปัฏฐาน เพราะอะไร?

ส่วนเรื่องการจงใจกับไม่จงใจ ไม่ใช่ตัววัดว่า นี่คือ มิจฉา นี่คือสัมมา
อันนั้นเป็นเพียงรูปแบบในการปฏิบัติเท่านั้นเองค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2010, 20:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:

คุณชาติรู้หรือยังคะ ความแตกต่างระหว่าง มิจฉาสติกับสัสสมาสตินั้น
แตกต่างกันตรงไหน?

มีอยู่ตัวเดียวเท่านั้นแหละค่ะ ที่เป็นตัวบ่งบอกว่า นี่คือ มิจฉาสติ นี่คือ สัมมาสติ
เคยสงสัยบ้างไหมว่า ทำไมจึงต้องมีการเจริญสติปัฏฐาน เพราะอะไร?

ส่วนเรื่องการจงใจกับไม่จงใจ ไม่ใช่ตัววัดว่า นี่คือ มิจฉา นี่คือสัมมา
อันนั้นเป็นเพียงรูปแบบในการปฏิบัติเท่านั้นเองค่ะ




วู๊!!!!!! .... คุณชาติ มาทางนี้ดีกว่า :b32:
มาสนทนาเรื่องที่ถามคุณไปดีกว่า

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2010, 06:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


มีบทธรรมมาเสนอเพิ่ม

เกี่ยวกับประเด็น

การ ตั้งใจ(จงใจ เจตนา) รวมถึง การกำหนด ในช่วงแรกของการฝึกเจริญสติถือว่าเป็น"ภาวะที่ผิดพลาด" ..........ไหม???



บางส่วนจาก

โอวาทธรรม ท่านอาจารย์มนตรี อาภัสสโร
ส่วนพุทธธรรมป่าละอู :b8: :b8: :b8:


http://www.bloggang.com/viewdiary.php?i ... 3&gblog=25

สติจากการเคลื่อนไหว สติที่ได้จากการเดินจงกรม
เป็นสติที่มีความมั่นคงที่สุด ใครเพิ่งเริ่มต้น
ไม่ขอแนะนำให้นั่งสมาธิหลับตาเฉย ๆ เลย



เทคนิคการเดินจงกรมสำหรับผู้เริ่มต้น ในช่วงแรก ๆ

- - เอาแรงใจเข้าช่วย โดยพนมมือ มนสิการ (น้อมจิต)
อธิษฐานว่า ขอปฏิบัติข้อวัตร เดินบูชาพระพุทธเจ้า
แล้วลงมือเดินเสมือนพระองค์ทอดพระเนตรมอง
(ไม่ต้องเครียด แค่รู้สึกว่าท่านมองอยู่ จะทำให้เรามีความตั้งใจขึ้น)

- - ที่ปลายทางจงกรม ให้หยุดนิดหนึ่งตอนกลับตัว
หมุนตัวกลับมาแล้ว สำรวจสติที่หล่นหายไปกลางทาง
เรียกความพร้อมกายใจกลับมาอีกครั้ง (เอาล่ะ...)
ทุกรอบ คือรอบใหม่ ตรึงขั้วหัวท้าย มั่นคงกว่ากัน

- - เวลาเดิน ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น นอกจากฝ่าเท้ากระทบปึ้บ ๆ ๆ ๆ ๆ
ไม่ต้องสนแม้ก้าวซ้ายขวา ไม่ต้องสนแม้เย็นร้อนอ่อนแข็ง
ไม่ต้องสนใจทำให้รู้สึกว่ากายเคลื่อนไหว ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น
รู้เท้าแค่นั้น ปึ้บ ๆ ๆ ๆ เผลอไปคิดเมื่อไหร่ ก็กลับมารู้อยู่ที่เท้า


เมื่อรู้ของหยาบเช่นนี้ได้ชัดขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
มันจะย้อนกลับมาดูใจได้ง่ายขึ้นเอง
เริ่มต้นก็เอาอย่างนี้ก่อน เอากำลังก่อน

- - ถ้าฟุ้งซ่านแรง ให้ลงเท้าให้หนักขึ้นอีกนิด
(อย่ากระแทกแรงเกิน ดูสุขภาพตัวเองด้วย) : )
วิหารธรรมก็คือตัวที่กระทบพื้น ปึ้บ ๆ ๆ ๆ นี่แหละ
ให้น้ำหนักนี้เรียกสติเรากลับคืนมา

- - ใช้วิ่ง หรือว่ายน้ำ เพื่อให้รู้กายได้ไหม "ได้"
ทำได้เหมือนกัน ดีเหมือนกัน
แต่อย่าลืมกลับมาเดินจงกรมด้วย
เพราะจะเป็นรูปแบบที่ให้ความมั่นคงกว่ากัน

- - เดินไป เปิดธรรมะของครูบาอาจารย์ฟังไปด้วยได้ไหม "ไม่ควร"
เอาเท้ากระทบที่เรารู้นี่แหละ ให้ชัดที่สุด พอแล้ว
เดี๋ยวอีกหน่อยฟังไปด้วยก็จะติด เป็นมีอามิสไปด้วย
เอาแค่เดินรู้เท้าเราอย่างเดียวพอแล้ว



ในขั้นการฝึกฝน หรือ ในขณะที่ฟุ้งซ่านมากๆ ...ท่านอาจารย์มนตรีท่านไม่ได้ห้ามกำหนดเฉพาะฝ่าเท้าน่ะครับ...ลองอ่าน ดีๆ




อนึ่ง หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต :b8:

ท่านเคยแสดง ถึง การตั้งใจ กำหนด สังเกตุ ในการเจริญสติเอาไว้เช่นกัน

อ้างคำพูด:
พระอาจารย์มั่น :

ตามแบบในมหาสติปัฏฐานพระพุทธเจ้าสอนสาวก ให้รู้จักนิวรณ์แลสังโยชน์

พระสาวกของท่านตั้งใจ กำหนด สังเกต ก็ละนิวรณ์แลสังโยชน์ได้หมดจนเป็นพระอรหันต์โดยมาก

ส่วนท่านที่อินทรีย์อ่อน ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ก็เป็นพระเสขบุคคล

ส่วนเราไม่ตั้งใจไม่สังเกต เป็นแต่จำว่านิวรณ์หรือสังโยชน์ แล้วก็ตั้งกองพูดแลคิดไปจึงไม่พบตัวจริงของนิวรณ์และสังโยชน์ เมื่ออาการของนิวรณ์แลสังโยชน์อย่างไรก็ไม่รู้จัก แล้วจะละอย่างไรได้






ในแนวทางของครูบาอาจารย์พระป่า ไม่ว่าจะ หลวงปู่มั่น หรือ ลูกศิษย์หลวงปู่ดุลย์ ก็ตาม...การกำหนด ในขั้นการฝึกเจริญสติ(สติอัตโนมัติยังไม่ปรากฏ) ไม่ถือว่า"ผิด"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2010, 11:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


มีบทธรรม ที่เกี่ยวกับการฝึกฝนเจริญสติ-สมาธิ มาเสนอเพิ่ม



พระอาจารย์ตั๋น วัดป่าบุญญาวาส จังหวัดชลบุรี
เทศน์เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2551 เรื่องปฏิปทาที่เหมาะสม



"....ตามหลัก ผู้ที่จิตไม่สงบในเบื้องต้น ในเวลาเดินจงกรมให้ทำสติอยู่ที่กรรมฐานที่ภาวนาเท่านั้น ถ้าเผลอสติออกไปก็ตั้งสติใหม่ขึ้นมา เผลอสติก็ตั้งสติขึ้นมาอยู่กับกรรมฐานเรา ไม่มีหน้าที่ที่จะต้องคิดเรื่องอดีตเรื่องอนาคต อย่าไปหลงกลกิเลส ปรุงแต่งส่งเสริมไป.... จะว่าบังคับ จะว่าควบคุม ก็ช่างเถอะ เราจะทำสติสมาธิก่อน ..."

ๆลๆ

"....ฝึกอย่างนี้เรื่อยๆ หรือนั่งสมาธิก็ตาม กำหนดระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั่่งคู้บัลลังก์ขัดสมาธิ กำหนดสติอยู่กับกรรมฐานที่เราภาวนา จะกำหนดอาปานสติ หรือ พุทธานุสติ หรือ กรรมฐานบทใดบทหนึ่งก็แล้วแต่ ให้ทำจิตให้ว่างจากอารมณ์ ไม่ต้องคิดถึงเรื่องอดีต เรื่องอนาคต เรื่ิองปัจจุบัน ให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน ถ้าเรานั่งอยู่กับหมู่ ให้เราทำใจให้เหมือนนั่งอยู่บนท้องฟ้าคนเดียว กำหนดสติอยู่กับกรรมฐานของเราเท่านั้นแหละ ถ้าคิดเรื่องอดีต ก็ตั้งสติขึ้นมาใหม่ คิดถึงเรื่องอนาคตก็ตั้งสติขึ้นมาใหม่อยู่กับลมหายใจเข้าออก อยู่กับคำบริกรรมภาวนา ทำอย่างนี้ไปก่อน .....สำหรับผู้ที่ไม่มีความสงบ ทำอย่างนี้ไปก่อน ใครจะว่าบังคับก็ตาม ควบคุมก็ตาม ไม่สนใจ.... เราจะควบคุมจิตใจเราให้ได้หนิ ปล่อยจิตใจมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ว เค้ายังฝึกช้างให้เชื่องได้ ฝึกม้าให้หายพยศ ฝึกหมาให้เชื่องได้ ทำไมใจตัวเราฝึกให้ดีไม่ได้ จะฝึกให้มันนิ่ง นิ่งไม่ได้เหรอ กำหนดอยู่ตรงนั้นแหละ

ถ้ามันเครียดตึง ปวดศรีษะ ปวดร่างกาย ปวดเส้น มันตึงไปก็รู้จักวางจิตให้เป็นกลางหน่อยผ่อนลงมาหน่อย อย่าไปเพ่งมากมายนัก

พอผ่อนลงไปมากก็หย่อน เกิดนิวรณ์ อันนี้ก็หย่อนเกินไป กำหนดสติให้ถี่ขึ้นมาหน่อย

หาความเป็นกลางให้ได้ ทำยังไงสมาธิจึงจะเกิดขึ้น หาความพอดีให้ได้


"...



...........................................



ความเห็นส่วนตัว


1.ท่านอาจารย์ตั๋น ไม่ได้ห้ามผู้เริ่มฝึดเจริญภาวนาตั้งใจ(จงใจ เจตนา)เจริญสติ เช่นกัน...ท่านใช้คำว่า "ตั้งสติ"

ท่านกล่าวชัดเจนครับ ว่า

"....ผู้ที่จิตไม่สงบในเบื้องต้น ในเวลาเดินจงกรมให้ทำสติอยู่ที่กรรมฐานที่ภาวนาเท่านั้น ถ้าเผลอสติออกไปก็ตั้งสติใหม่ขึ้นมา เผลอสติก็ตั้งสติขึ้นมาอยู่กับกรรมฐานเรา..."

และ

"สำหรับผู้ที่ไม่มีความสงบ ทำอย่างนี้ไปก่อน ใครจะว่าบังคับก็ตาม ควบคุมก็ตาม ไม่สนใจ"



2.ปัญหาในการฝึกฝนเจริญสติ

ไม่น่าจะอยุ่ที่ประเด็น "ยังคงมีความตั้งใจ(จงใจ เจตนา)เจริญสติไหม"? ...

แต่ น่าจะอยู่ที่ประเด็น "ตั้งใจ พอดี-พอเหมาะ ไหม?" มากกว่า.

ตามที่ท่านกล่าวว่า

"....ถ้ามันเครียดตึง ปวดศรีษะ ปวดร่างกาย ปวดเส้น มันตึงไปก็รู้จักวางจิตให้เป็นกลางหน่อยผ่อนลงมาหน่อย อย่าไปเพ่งมากมายนัก

พอผ่อนลงไปมากก็หย่อน เกิดนิวรณ์ อันนี้ก็หย่อนเกินไป กำหนดสติให้ถี่ขึ้นมาหน่อย

หาความเป็นกลางให้ได้ ทำยังไงสมาธิจึงจะเกิดขึ้น หาความพอดีให้ได้ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2010, 16:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
"....ถ้ามันเครียดตึง ปวดศรีษะ ปวดร่างกาย ปวดเส้น มันตึงไปก็รู้จักวางจิตให้เป็นกลางหน่อยผ่อนลงมาหน่อย อย่าไปเพ่งมากมายนัก

พอผ่อนลงไปมากก็หย่อน เกิดนิวรณ์ อันนี้ก็หย่อนเกินไป กำหนดสติให้ถี่ขึ้นมาหน่อย

หาความเป็นกลางให้ได้ ทำยังไงสมาธิจึงจะเกิดขึ้น หาความพอดีให้ได้ ..."


อันนี้แจ่มเลยครับท่านตรง ในผู้ปฏิบัติเขามักใช้คำว่าอย่า "เพ่งเกินไป" ก็ไม่ได้หมายความว่าเพ่งไม่ได้เลยมันอยู่ที่ความพอดีดังที่พระคุณเจ้าท่านกล่าวคับ
ถ้าเพ่งปุ๊บผิดทันที การทำสมถะทั้ง 40 กอง ก็ต้องผิดไปโดยปริยาย แต่ก็น่าเสียดายนะครับที่บางท่านกลับไปสอนว่า เพ่ง หรือจงใจ เมื่อไรก็ผิดทันที


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2010, 16:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณอายะถามตัวเองก่อนว่า
กำลังทำอะไร

ถ้าทำสมถะ
ก็ต้องเพ่ง

ที่ไม่เพ่ง มันเป็นเรื่องของวิปัสสนา
วิปัสสนา แปลว่า "ตามรู้"

คุณพลาดตรงความเข้าใจเรื่องสมถะ-วิปัสสนา

แล้วก็ถ้าอยากจะด่าหลวงพ่อปราดมทย์น่ะ
กรุณาไปดูเทศน์หลวงพ่อปราโมทย์ดีๆ ว่าเวลาท่านเทศน์ว่าไม่เพ่งๆ
ลองไปจับความดุดีๆ ว่าท่านกำลังพูดถึงวิปัสสนาใช่ไหม

ถ้าใช่

คราวนี้ให้คุณลองพิสุจน์ง่ายๆ
ด้วยการไปหาคำสอนของใครก้ได้ ที่คุณคิดว่าดี ว่าชอบ
ลองไปหาดุสิว่า มีใครบ้าง"สอนให้เพ่งในขั้นวิปัสสนา"

ถ้าหาเจอ แปลว่าคุณถูก
ผมท้าอย่างนี้นะ ลองดู


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2010, 22:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ถ้าทำสมถะ ก็ต้องเพ่ง
ที่ ไม่เพ่ง มันเป็นเรื่องของวิปัสสนา
วิปัสสนา แปลว่า "ตามรู้"
คุณ พลาดตรงความเข้าใจเรื่องสมถะ-วิปัสสนา
แล้วก็ถ้าอยากจะด่าหลวงพ่อ ปราดมทย์น่ะ
กรุณาไปดูเทศน์หลวงพ่อปราโมทย์ดีๆ ว่าเวลาท่านเทศน์ว่าไม่เพ่งๆ
ลองไปจับความดุดีๆ ว่าท่านกำลังพูดถึงวิปัสสนาใช่ไหม


ท่านชาติ ผมไม่ได้มีเจตนาด่าพระคุณเจ้าท่านหรอก
แต่ธรรมที่แสดงถูกผิดอย่างไรผมก็แย้งออกไปตามความเห็น มันเป็นคนละเรื่องกับการปรามาศพระนะครับท่าน

ถ้าทำสมถะ ก็ต้องเพ่ง ถ้าเข้าใจอย่างนี้ก็น่าจะสนทนาต่อไปได้
ผมขอให้ท่านตีความคำว่า "เพ่ง" กับ "จงใจ" ก่อนว่าเหมือนหรือไม่ แต่จากที่ผมเข้าใจในคำสอนของพระคุณเจ้าท่านผมว่าเหมือนกัน

คราวนี้มาประเด็นสำคัญนะครับ คือในขั้นวิปัสสนา อันนี้ผมยกตัวอย่างสายยุบหนอ พองหนอ ของหลวงพ่อจรัญ นะครับ

อ้างคำพูด:
สติที่เกิดขึ้นขณะปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น นอกจากจะคอยสกัดกั้นกิเลสไม่ให้เข้ามาทางอายตนะแล้ว ยังเพ่งเล็งอยู่ที่รูปกับนาม เมื่อเพ่งอยู่ก็จะเห็นความเกิดดับของรูปนามนั้น จักนำไปสู่การเห็นพระไตรลักษณ์ คือ ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีตัวตนของสังขาร หรืออัตภาพอย่างแจ่มแจ้
http://www.jarun.org/v6/th/dhamma-meditation.html

อันนี้ความเห็นผมนะ
จากที่ผมปฏิบัติ ผมต้อง จงใจ(แบบพอดี ๆ) พยายามให้ สติ อยู่กับรูป กับนาม หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งให้มีสติอยู่ในฐานทั้งสี่ สลับไปมา แบบต่อเนื่องดุจสายน้ำ เพื่อจะได้เห็นการเกิดดับของรูปนาม นั้นๆ ซึ่งก็จะทำให้จิตเห็นไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนันตา สลับไปมา ประมาณดังที่หลวงพ่อจรัญท่านกล่าว


อันนี้เอามาจากหลวงตา แต่ต้องบอกก่อนว่าวิธีนี้ของท่านผมยังไม่เคยทำ
อ้างคำพูด:
ปัญญาอบรมสมาธิ หน้า ๑๑ จาก http://www.fungdham.com/book/bua.html

ปญญา
ทางที่ถูกและราบรื่นของผูปฏิบัติก็คือ เมื่อจิตไดรับความสงบพอเห็นทางแลว
ตองฝกหัดจิตใหคิดคนในอาการของกาย จะเปนอาการเดียวหรือมากอาการก็ตาม ดวย
ปญญาคลี่คลายดูกายของตน
เริ่มตั้งแต่ ผม ขน เล็บ ฟน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก
เยื่อในกระดูก มาม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไสนอย ไสใหญ อาหารใหม
.....................................
กิเลสทวมหัวจนเอาตัวไมรอดก็เพราะกายอันนี้ สรุปความเรื่องในโลก คือเรื่องเพื่อกายอันเดียวนี้ทั้งนั้น
เมื่อพิจารณากายพรอมทั้งเรื่องของกายใหแจงประจักษกับใจ ดวยปญญาอยูอยางน ไมมีวันหยุดยั้ง กิเลสจะยกกองพลมาจากไหนใจจึงจะสงบลงไมได ปญญาอานประกาศความจริงใหใจฟงอยูอยางนี้ตลอดเวลา ใจจะฝนความจริงจากปญญาไปไหนเพราะกิเลสก็เกิดจากใจ ปญญาก็เกิดจากใจ เราก็คือใจ จะแกกิเลสดวยปญญาของเราจะไมไดอยางไร เมื่อปญญาเปนไปในกายอยูอยางนี้ จะไมเห็นแจงในกาย
อย่างไรเลา ?
เมื่อเห็นกายแจงประจักษใจดวยปญญาอยางนี้ ใจตองเบื่อหนายในกายตนและกายคนอื่นสัตวอื่น ตองคลายความกําหนัดยินดีในกาย แลวถอนอุปาทานความถือมั่นในกาย โดยสมุจเฉทปหาน พรอมทั้งความรูเทากายทุกสวน ไมหลงรักหลงชังในกายใดๆอีกตอไป


ท่านก็ลองพิจารณาเอาแล้วกันนะครับ การพิจารณา ผม ขน เล็บ ฯ นั้น มันพิจารณาไปเองไม่ได้ ต้องมีเจตนาที่จะพิจารณา ต้องให้สติ เจตนาหรือเพ่งอยู่ กับการพิจารณากาย

ดังนั้นผมขอสรุปว่าอย่างการเจริญวิปัสสนานั้น ต้องมีเจตนา หรือให้มีสติเพ่งอยู่กับ รูปนาม อยู่ซึ่งจะส่งผมให้จิตเห็นไตรลักษณ์ ซึ่งนำไปสู่สมุจเฉทปหาน (ในขั้นตอนนี้ตะหากที่ปราศจากเจตนาเพราะมันตัดสังโยชน์ไปเอง อันนี้ความเห็นผมนะ) ถ้าจะบอกว่าการทำวิปัสสนา นั้นต้องไม่เจตนา และต้องไม่เพ่ง มันก้ดูกระไรอยู่นะครับท่านชาติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2010, 22:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:

ท่านก็ลองพิจารณาเอาแล้วกันนะครับ การพิจารณา ผม ขน เล็บ ฯ นั้น มันพิจารณาไปเองไม่ได้ ต้องมีเจตนาที่จะพิจารณา ต้องให้สติ เจตนาหรือเพ่งอยู่ กับการพิจารณากาย

ดังนั้นผมขอสรุปว่าอย่างการเจริญวิปัสสนานั้น ต้องมีเจตนา หรือให้มีสติเพ่งอยู่กับ รูปนาม อยู่ซึ่งจะส่งผมให้จิตเห็นไตรลักษณ์ ซึ่งนำไปสู่สมุจเฉทปหาน (ในขั้นตอนนี้ตะหากที่ปราศจากเจตนาเพราะมันตัดสังโยชน์ไปเอง อันนี้ความเห็นผมนะ) ถ้าจะบอกว่าการทำวิปัสสนา นั้นต้องไม่เจตนา และต้องไม่เพ่ง มันก้ดูกระไรอยู่นะครับท่านชาติ


:b8: :b8:

ตามที่ว่ามานี้..เห็นด้วยครับ.. :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2010, 23:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


พระสุตตันปิฎกเล่มที่9 สังยุตนิกาย ขันธวราวรรค


“[๑๒๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้เพ่งพินิจโดยวิธี ๓ ประการ เป็นอย่างไร?

ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมเพ่งพินิจโดยความเป็นธาตุประการหนึ่ง
โดยความเป็นอายตนะประการหนึ่ง
โดยความเป็นปฏิจจสมุปบาทประการหนึ่ง.

ดูกรภิกษุทั้งหลายอย่างนี้แล ภิกษุย่อมเป็นผู้เพ่งพินิจโดยวิธี ๓ ประการ.

ภิกษุฉลาดในฐานะ ๗ ประการ ผู้เพ่งพินิจโดยวิธี ๓ ประการ เรา เรียกว่า ยอดบุรุษ ผู้เสร็จกิจ อยู่จบพรหมจรรย์ในธรรมวินัยนี้…”



ข้อสังเกตุ เพ่ง แบบนี้ ถึงขั้น เสร็จกิจ ในพระธรรมวินัย(อรหัตตผล)เลยน่ะครับ.... เพ่งแบบนี้ นับว่าเป็นวิปัสสนาได้ไหม?


........................................


พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)


อ้างคำพูด:

ฌาน 2 (การเพ่ง, การเพ่งพินิจด้วยจิตที่เป็นสมาธิแน่วแน่ - meditation; scrutiny; examination)
1. อารัมมณูปนิชฌาน (การเพ่งอารมณ์ ได้แก่ สมาบัติ 8 คือ รูปฌาน 4 และ อรูปฌาน 4 - object-scrutinizing Jhana)
2. ลักขณูปนิชฌาน (การเพ่งลักษณะ ได้แก่ วิปัสสนา มรรค และผล - characteristic-examining Jhana)

วิปัสสนา ชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะพินิจสังขารโดยไตรลักษณ์
มรรค ชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะยังกิจแห่งวิปัสสนานั้นให้สำเร็จ
ผล ชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะเพ่งนิพพานอันมีลักษณะเป็นสุญญตะ อนิมิตตะ และอัปปณิหิตะ อย่างหนึ่ง และเพราะเห็นลักษณะอันเป็นสัจจภาวะของนิพพาน อย่างหนึ่ง
ฌานที่แบ่งเป็น 2 อย่างนี้ มีมาในคัมภีร์ชั้นอรรถกถา.



.........................................

ท่าน พุทธทาสภิกขุ :b8:


ท่านได้เคยสรุปสาระ เรื่อง การเพ่ง ในการเจริญสติปัฏฐานเอาไว้ดังนี้


จาก หนังสือโพธิปักขิยธรรม


เรื่อง “ความเพ่ง “ นี้ ก็ได้พูดให้ฟัง กันมาหลายครั้งหลายหนแล้ว .

คำว่า เพ่ง คือ ฌานะ แปลว่าเพ่ง.
ฌาน นี้แปลว่าเพ่ง .

ถ้าเพ่งอย่างกำหนดอารมณ์ ก็เป็นสมถะ
ถ้าเพ่งลักษณะให้รู้ความจริง ก็เป็นปัญญาหรือวิปัสสนา


มันมีอยู่สองเพ่ง.

คำว่าเพ่งใช้สับสนปนเปกันไปหมดจนลำบาก พวกที่แปลเป็นภาษาฝรั่งก็ใช้ผิดๆ จนฝรั่งอ่านไม่รู้เรื่อง หรือ ไม่ได้เรื่องที่แท้จริง มันปนกันหมดระหว่างคำว่า meditate concentrate speculate อะไรนี้ ปนกันยุ่งไปหมด

ถ้าจะเอาเป็นหลักเป็นเกฌฑ์ meditate นี้เป็นเพ่งเฉยๆ เพ่งอย่างไรก็ได้ . ถ้า meditate ลงไปในวัตถุนั้นก็เป็น concentrate คือ รวบรวมจิต กระแสจิตทั้งหมดมาจดจ่ออยู่ที่สิ่งนี้สิ่งเดียวเป็น concentrate .

ถ้าเพ่งรายละเอียด หาข้อเท็จจริงอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็กลายเป็น speculate ก็รู้ข้อเท็จจริงอันละเอียดลึกซึ้งออกไป .

เดี๋ยวนี้เอาคำว่า concentrate กับ meditate มาใช้ปนกันยุ่ง ในหนังสือที่เขียนเป็นภาษาต่างประเทศมันก็ลำบาก .

แม้แต่ในภาษาไทยนี้ก็ยังลำบาก.

ต้องไปหาหลักที่ถูกต้องและแน่นอนว่า

คำว่า ฌานะ แปลว่า เพ่ง .
ถ้าเพ่งอารมณ์ก็เพ่งให้จิตหยุดอยู่ที่นั่น แล้วเป็นสมถะ.
ถ้าเพ่งหาความจริงอย่างลึกซึ้งก็เป็นปัญญา หรือ เป็นวิปัสสนา
.

คำว่า สติปัฏฐาน คำเดียวนี้ มีความหมายสองอย่าง แยกไปในทางสมถะก็ได้ แยกไปในทางวิปัสสนาก็ได้ .

เหมือนอย่างที่พูดแล้ว สำหรับกายว่าเป็นอย่างไร .

เพ่งให้จิตหยุดอยู่ที่นั่น คือ เพ่งกายให้จิตหยุดอยู่ที่นั่นก็เป็นสมถะ .
เพ่งกาย ให้รู้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นปัญญา.



.........................................


เพ่ง ในความหมายดั้งเดิมในพระไตรปิฎก ... และ ที่ท่านผู้รู้รุ่นก่อนสอนไว้ ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี อะไรเลย

เพ่ง นั้น เป็นไปได้ในความหมายทั้ง ในทาง สมถะ และ วิปัสสนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2010, 00:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ตรงประเด็น เขียน:
พระสุตตันปิฎกเล่มที่9 สังยุตนิกาย ขันธวราวรรค


“[๑๒๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้เพ่งพินิจโดยวิธี ๓ ประการ เป็นอย่างไร?

ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมเพ่งพินิจโดยความเป็นธาตุประการหนึ่ง
โดยความเป็นอายตนะประการหนึ่ง
โดยความเป็นปฏิจจสมุปบาทประการหนึ่ง.

ดูกรภิกษุทั้งหลายอย่างนี้แล ภิกษุย่อมเป็นผู้เพ่งพินิจโดยวิธี ๓ ประการ.

ภิกษุฉลาดในฐานะ ๗ ประการ ผู้เพ่งพินิจโดยวิธี ๓ ประการ เรา เรียกว่า ยอดบุรุษ ผู้เสร็จกิจ อยู่จบพรหมจรรย์ในธรรมวินัยนี้…”



ข้อสังเกตุ เพ่ง แบบนี้ ถึงขั้น เสร็จกิจ ในพระธรรมวินัย(อรหัตตผล)เลยน่ะครับ.... เพ่งแบบนี้ นับว่าเป็นวิปัสสนาได้ไหม?


ผมมีคำถามว่า ผู้ที่เสร็จกิจ ยังมีความจำเป็นต้องวิปัสสนาอีกหรือไม่
ถ้าไม่มีความจำเป้นต้องวิปัสสนาอีก กิจอื่นเพื่อเป็นอย่างนี้ไม่มีอีกแล้ว
ก็แสดงว่าคำว่าเพ่งในที่คุณหมอว่ามา คงจะมีความหมายอื่น

ถ้ามีสมมุติฐานว่า ผู้ที่เสร้จกิจแล้ว ยังมีความจำเป้นต้องวิปัสสนาอีก
อันนี้คงจะเรื่องใหญ่ แล้วคงจะต้องมีการบ้านให้คิดเยอะแยะเลยครับ


ส่วนประเด็นเรื่องเพ่งที่คุณหมอยกมาถึง 3 อาจารย์นี้
ผมยอมรับเลยนะ ในแง่ที่ผมบอกว่า"ให้หาคนสอนเพ่งในขั้นวิปัสสนา"
คุณหมอหาได้จริงๆ แต่บอกตามตรงว่าใจผมไม่ยอมรับว่าวิปัสนาเป็นการเพ่ง

เพ่งตอนไม่มีเอโกทิภาวะ กับเพ่งตอนมีเอโกทิภาวะ
ผมคิดว่าไม่เมหือนกัน

ให้ผมเพ่งพุทธโธๆ ให้ผมเพ่งลมหายใจ ผมก็เพ่งในรูปแบบหนึ่ง
ซึ่งทุกคนก้ทำการ"เพ่ง" ในลักษณะนี้ได้ทั้งนั้น

แต่ "เพ่ง" ที่ว่า "เพ่งนิพพานเป้นอารมณ์" มันเพ่งอันเดียวกับเพ่งแรกไหม
อันนี้ก็เป้นคำถามที่ต้องคิดกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2010, 08:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




สติ สมาธิ_resize.jpg
สติ สมาธิ_resize.jpg [ 99.75 KiB | เปิดดู 4822 ครั้ง ]
tongue
ปัญญา เป็นเหตุของ สติ

แล้วสติก็กลับมาอบรมปัญญา

สมาธิ เป้นผลของการเจริญสติและปัญญา

แล้วสมาธิก็กลับมาอบรมทั้ง ปัญญาและสติ


ตัวอย่าง
เพราะได้ศึกษาเรียนรู้เรื่องศีล 5 (สุตตมยปัญญา)

คิดพิจารณาตามแล้วเห็นคุณของศีล 5 (จินตมยปัญญา)

เกิดศรัทธาลงมือปฏิบัติรักษาศีล 5 คือมีสติ อันเป็น สัมมาสติเบื้องต้น ระมัดระวังไม่ล่วงศีล 5 (มีข้อศีลไว้เป็นที่ระลึกในใจว่าจะไม่ล่วงศีล 5)

ได้รับผลเป็นความสุขเย็น เกิดขึ้นในใจเพราะอานิสงจากการไม่ล่วงศีล 5 (ภาวนามยปัญญา) เกิดปัญญาเห็นผลจริงจากการรักษาศีล 5

เมื่อศีล 5 ดีขึ้น จิตก็สะอาด สงบ เป็นปกติมากขึ้น สติ สมาธิ ปัญญา ก็ยิ่งละเอียดอ่อนยิ่งขึ้น นำไปสู่การเจริญ ปัญญา สติ สมาธิ ในขั้นที่สูงยิ่งๆขึ้นไปอีก ดังนี้


อีกตัวอย่างหนึ่ง

เพราะได้ศึกษาเรื่องสติปัฏฐาน 4 โดยถูกต้องถ่องแท้ (สุตตมยปัญญา)

จนเห็นคุณของสติปัฏฐาน 4 โดยปริยัติ (จินตมยปัญญา)

มีศรัทธาที่จะลงมือปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 โดยมีหลักวิธีปฏิบัติสติปัฏฐานสี่ตั้งไว้ในสัญญาให้เป้นที่ระลึกรู้ของสติ

ลงมือปฏิบัติ สติปัฏฐาน 4

ได้รับคุณของการเจริญสติปัฏฐาน 4 ไปตามลำดับ(ภาวนามยปัญญา)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2010, 11:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


เรียน ท่าน จขกท.



อ้างคำพูด:
ผมมีคำถามว่า ผู้ที่เสร็จกิจ ยังมีความจำเป็นต้องวิปัสสนาอีกหรือไม่
ถ้าไม่มีความจำเป้นต้องวิปัสสนาอีก กิจอื่นเพื่อเป็นอย่างนี้ไม่มีอีกแล้ว
ก็แสดงว่าคำว่าเพ่งในที่คุณหมอว่ามา คงจะมีความหมายอื่น


พระสูตรนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดง ถึง วิธีที่จะยังให้เสร็จกิจ(คือ การฉลาดในฐานะ7ประการ เพ่งพินิจโดยวิธี3ประการ)....

หาใช่ทรงแสดง กิจที่"ผู้เสร็จกิจ"จะต้องทำอีก ....ก็ เสร็จกิจแล้ว จะไปทำสิ่งใดอีก???



คำว่า เพ่งพินิจ ในวลี "เพ่งพินิจโดยวิธี3ประการ"นี้ .... คือ การเจริญลักขณูปนิชฌาน(เพ่งลักษณะ;วิปัสสนา) นั่นเอง

อ้างคำพูด:
ลักขณูปนิชฌาน (การเพ่งลักษณะ ได้แก่ วิปัสสนา มรรค และผล - characteristic-examining Jhana)





เสนอ อ่าน อารมณ์ของวิปัสสนา จาก

อ้างคำพูด:
วิปัสสนาภูมิ ตามที่แสดงไว้ในวิสุทธิมรรคนั้น ได้แก่ ธรรมมะ 201 เป็นต้น เช่น

ขันธ์ 5
อายตนะ 12
ธาตุ 18
อินทรีย์ 22
อริยสัจ 4
ปฏิจจสมุปบาท 12



เสนอ เพ่งเล็ง ไปที่ ปฏิจจสมุปบาท เลย...เพราะ ชัดเจนที่สุด

จาก พระสูตร

พระสุตตันปิฎกเล่มที่9 สังยุตนิกาย ขันธวราวรรค


“[๑๒๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้เพ่งพินิจโดยวิธี ๓ ประการ เป็นอย่างไร?

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเพ่งพินิจ
โดยความเป็นธาตุประการหนึ่ง
โดยความเป็นอายตนะประการหนึ่ง
โดยความเป็นปฏิจจสมุปบาทประการหนึ่ง.

ดูกรภิกษุทั้งหลายอย่างนี้แล ภิกษุย่อมเป็นผู้เพ่งพินิจโดยวิธี ๓ ประการ.

ภิกษุฉลาดในฐานะ ๗ ประการ ผู้เพ่งพินิจโดยวิธี ๓ ประการ เรา เรียกว่า ยอดบุรุษ ผู้เสร็จกิจ อยู่จบพรหมจรรย์ในธรรมวินัยนี้…”



การ เพ่งพินิจโดยความเป็นปฏิจจสมุปบาท นั้น...คือ การเจริญวิปัสสนาแน่นอน

เพราะ ปฏิจจสมุปบาท ไม่ใช่อารมณ์แห่งสมถะกรรมฐาน แน่ๆ



นี่คือ การเพ่งในขั้นวิปัสสนา(ลักขณูปนิชฌาน)



ดังนั้น ผมจึงนำพระสูตรนี้ มา"ตอบโจทย์" ท่าน จขกท. ที่ถามว่า

อ้างคำพูด:
คราวนี้ให้คุณลองพิสุจน์ง่ายๆ

ด้วยการไปหาคำสอนของใครก้ได้ ที่คุณคิดว่าดี ว่าชอบ

ลองไปหาดุสิว่า มีใครบ้าง"สอนให้เพ่งในขั้นวิปัสสนา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2010, 11:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ จาก คห.ข้างบน น่ะครับ



อ้างคำพูด:
ส่วนประเด็นเรื่องเพ่งที่คุณหมอยกมาถึง 3 อาจารย์นี้
ผมยอมรับเลยนะ ในแง่ที่ผมบอกว่า"ให้หาคนสอนเพ่งในขั้นวิปัสสนา"
คุณหมอหาได้จริงๆ แต่บอกตามตรงว่าใจผมไม่ยอมรับว่าวิปัสนาเป็นการเพ่ง



ถึงแม้น คุณอาจจะยังไม่เห็นด้วยในตอนนี้ ว่า เพ่งลักษณะ(ลักขณูปนิชฌาน) เป็น การเพ่งในขั้นวิปัสสนา.... ก็ ไม่เป็นไรครับ...

ถือเสียว่า เป็นการเสนอความเห็น รับฟังความเห็น แลกเปลี่ยนความเห็น กัน... ก็แล้วกัน

เห็นตรงกันหรือไม่ อาจไม่สำคัญสักเท่าใด






อ้างคำพูด:
ให้ผมเพ่งพุทธโธๆ ให้ผมเพ่งลมหายใจ ผมก็เพ่งในรูปแบบหนึ่ง
ซึ่งทุกคนก้ทำการ"เพ่ง" ในลักษณะนี้ได้ทั้งนั้น

แต่ "เพ่ง" ที่ว่า "เพ่งนิพพานเป้นอารมณ์" มันเพ่งอันเดียวกับเพ่งแรกไหม
อันนี้ก็เป้นคำถามที่ต้องคิดกัน



เพ่งนิพพานเป็นอารมณ์ .... ต้องดูดีๆว่า หมายถึงอะไร



ถ้า หมายเอา นิพพานุสติ ในกรรมฐาน40กอง แบบในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ...ก็ น่าจะคล้ายๆกับ เพ่งพุทโธ (ส่วน อานาปานสติ มีทั้งส่วนสมถะ และ วิปัสสนา เปรียบเทียบยาก) คือ เน้นสมถะกรรมฐาน



แต่ ถ้าหมายเอาความหมายของ "ยึดหน่างเหนี่ยวนิพพานให้เป็นอารมณ์" จาก สัทธาสูตร

“...ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็สติของอริยสาวกนั้น เป็นสตินทรีย์ ด้วยว่าอริยสาวกผู้มีศรัทธา ปรารภความเพียร เข้าไปตั้งสติไว้แล้ว พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักยึดหน่วงนิพพานให้เป็นอารมณ์ ได้สมาธิ ได้เอกัคคตาจิต….”

การยึดหน่วงนิพพานให้เป็นอารมณ์ ในลักษณะนี้ ....ที่ มีสตินทรีย์เป็นเหตุนำ และ มีปัญญินทรีย์เป็นผลตาม...มัน เลยขั้นสมถะกรรมฐานทั่วๆไปแบบในกรรมฐาน40กอง ไปแล้ว ครับ. ตรงจุดนี้ มันกำลังจะบรรลุมรรคผลแล้ว.... เป็นภูมิวิปัสสนาแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2010, 14:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ประเด็น

"การเพ่งในขั้นวิปัสสนา มีอยู่ไหม??"



เป็นประเด็นที่สืบเนื่องมาจาก

"ในขั้นการฝึกเจริญสติ การตั้งใจ(จงใจ เจตนา)เจริญสติ ถือว่าเป็น ภาวะผิดพลาด ไหม???"

ที่ เรา-ท่าน ได้เสวนากันมาใน คห.ก่อนๆ




ต้องไม่ลืม คำว่า"เพ่ง"นั้น ก็มีความหมายที่สืบเนื่องมาจาก คำว่า"ตั้งใจ"... แต่มีความหมายน้ำหนักของภาษาที่ใช้ มากกว่าคำว่า "ตั้งใจ"ขึ้นไปอีก...

กล่าวคือ "ตั้งใจ"จดจ่ออย่างต่อเนื่อง มันก็กลายเป็น"เพ่ง"ไป



ถ้าปักใจเชื่อว่า ในขั้นการฝึกเจริญสติ การ"ตั้งใจ"เป็นภาวะที่ผิดพลาด(มิจฉาวายามะ นำไปสู่ มิจฉาสติ)...แล้วละก็

การเพ่งในขั้นวิปัสสนา จะต้องถือว่า เป็นภาวะที่ผิดพลาดแบบร้อยเท่าทวีคูณ ไปเลยทีเดียว!!!




สติ นั้นเป็นธรรมที่นำไปสู่สมถะและวิปัสสนา

ถ้าเข้าใจเรื่อง การฝึกเจริญสติ แตกต่างกัน...ทั้ง สมถะ และ วิปัสสนา จะเข้าใจแตกต่างกันหมด



มันจึงไม่ใช่ประเด็น สมถะยานิก-วิปัสสนายานิก ...อะไรหรอก...ดูดีๆ... เพราะ ไม่ว่าจะ สมถะยานิก หรือ วิปัสสนายานิก มันก็ต้องเริ่มด้วย สติ ทั้งสิ้น

มันเป็นประเด็นที่ว่า เข้าใจการฝึกเจริญสติ ไม่ตรงกัน


ครูบาอาจารย์พระสุปฏิปันโนของไทยในอดีต ท่านไม่ถือว่า การตั้งใจ(จงใจ เจตนา)ในขั้นการฝึกเจริญสติเป็นภาวะผิดพลาด


ใน ขณะที่ ชาวพุทธรุ่นใหม่คนเมือง ถือกันว่า การตั้งใจ(จงใจ เจตนา)ในขั้นการฝึกเจริญสติเป็นภาวะผิดพลาด






ผมจึงเสนอให้ ย้อนกลับไปยังประเด็นสำคัญ ในเรื่องการฝึกเจริญสติ ที่ว่า

"ในขั้นการฝึกเจริญสติ การตั้งใจ(จงใจ เจตนา)เจริญสติ ถือว่าเป็น ภาวะผิดพลาด ไหม???"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 164 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร