วันเวลาปัจจุบัน 16 พ.ค. 2025, 00:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2009, 18:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เราพอจะรู้แล้วนะว่าเราน่าจะปฏิบัติผิดตรงที่:b48: ตรงที่เรามีเวลาน้อยในตอนเช้าค่ะ

ไม่ผิดหรอกครับ :b1: มีเวลาแค่ไหนก็แค่นั้น แค่ช้างกระดิกหูงูแลบลิ้นก็เป็นบุญแล้ว
ตัวอย่างเช่น หายใจเข้าพุท หายใจออก โธ เห็นไหมครับ เวลานิดเดียว ไม่เห็นผิดเลย
หรือเป็น พองหนอ ยุบหนอ นี่ก็ลมเข้าลมออกเหมือนกัน เวลานิดเดียว ไม่เห็นผิดตรงไหนเลย

คุณ O.wan ไม่พึงนำเวลามาเป็นเครื่องบีบคั้นจิตใจตนเองครับ เป็นทุกข์เปล่าๆ เป็นปลิโพธเปล่าๆ
ยินดีพอใจเท่าที่ทำได้ อยู่เป็นสุขทุกลมหายใจครับ


อ้างคำพูด:
คือเราจะเริ่มด้วยสวดมนต์ หลายบทมากๆเลยจะใช้ เวลาประมาณ ครึ่งชั่วโมง
แล้วก็จะนั่งสมาธิ อีก 20 นาที จะเดินจงกรมอีก 15นาที เสร็จแล้วแผ่เมตตาอีก
คือเราคิดว่าต้องทำให้ครบชุดแบบนี้น่ะค่ะ บางวันเวลาน้อยก็จะกังวล เดี๋ยวไม่ทัน
เลยพาลให้ใจกระสับกระส่ายไม่สงบ รีบด้วย.....
พอช่วงเย็น เราก็จะทำเหมือนตอนเช้า แต่ลดบทสวดมนต์ มาสวดอิติปิโสเท่าอายุ+1 แทน
บางวันรู้สึกเหนื่อยมาก แต่ก็ฝืนทำให้ได้ กลัวทำไม่ถูกแล้วไม่ได้บุญน่ะค่ะ

คุณเหมือนคนกระหายธรรม :b1:
ใครว่าบทไหนดีรับมาทำหมด คล้ายคนเป็นโรคบางอย่าง ใครบอกยาอะไรดี กินหมด
ใครบอกหมอไหนดีไปหาทุกหนทุกแห่ง แล้วหมอแต่ละคนๆ ก็มียาคนละขนานๆ เราจึงกินยาทุกขนาน
ของทุกๆหมอ ครั้นจะเว้นไม่กินบ้างก็ไม่สบายใจ สุดท้ายกลายเป็นโรคที่เกิดจากยา
อาการของคุณนี้เหมือนโรคที่เกิดจากธรรม (ดี) (เลยพาลให้ใจกระสับกระส่ายไม่สงบ รีบด้วย)
กำลังกระหายจึงรับมากินเอาๆซดเอาๆ ผลสุดท้ายอย่างที่บอก :b1:

ธรรมโอสถ กินบ่อยๆ วันละเล็กละน้อย ค่อยๆกิน รู้จักคิดคิดดีคิดเป็นคิดถูกวิธีคิดเร้ากุศลวันละเล็กละน้อย
ใจได้กินยาทางศาสนาแล้ว

คุณจะได้บทสวดมาจากวัดไหนอาจารย์ใดมามากมายก่ายกองก็ตาม
ให้หมุนเวียนสวดเท่าที่เวลาเรามี จึงจะเกิดประโยชน์ เกิดความอิ่มใจ

สวดมากแต่เร่งรีบให้จบๆ กลัวไปทำงานสาย ฯลฯ สู้ตั้ง นะโม ๓ จบก็ไม่ได้

ขณะใดกุศลจิตเกิดนั่นแหละบุญแล้ว ตั้งนะโม ๓ จบ สบายๆ แล้วไปทำงาน ได้บุญแล้ว
เทียบกับนั่งสวดมนต์เพื่อจะให้ครบสูตรที่ได้มา เร่งสวดจนควันออกหู เวลาก็ไล่เข้ามา
โอย...เหนื่อยจบพอดี รีบกระวีกระวาดไปทำงาน รีบจนลืมนั่นลืมนี่อีก อย่านี้ไม่ได้บุญ

อ้างคำพูด:
เราก็สงสัยนะคะ ตอนเราไปปฏิบัติธรรม 7 วัน พอพักเที่ยงเข้ามา พระอาจารย์ก็จะให้เดินจงกรม 10 นาที แล้วต่อด้วยนั่งสมาธิ 20 นาที แต่ไม่เห็นมีสวดมนต์เลย จะมีก็แค่สวดมนต์เช้า-เย็น
แบบนี้ถ้าเราแบ่งเวลาเป็นสวดมนต์ 10-นั่ง10-เดิน10 ก็คงน่าจะใช้ได้มังคะ


ใช้ได้ครับ มีเวลาแค่ไหนก็แค่นั้น

อ้างคำพูด:
รู้สึก อายท่านผู้อ่านเจอโพสต์นี้จังค่ะ แบบว่าเรานี่ช่างไม่รู้อะไรเลย มาถามเรื่องนี้
มันอาจดูน่า...แต่สำหรับคนไม่รู้ มันก็ไม่รู้จริงๆนะคะ

คุณจะอายใครครับ ก็เราไม่รู้จึงถาม แล้วใครๆที่ว่า เค้าไม่เห็นหน้าเราสะหน่อย ถึงเห็นหน้าก็ถามได้
บางคนกรวดน้ำยังถามเลยว่าเขาว่ายังไง :b1: มีบางคนยังถามเลยว่า ทำไมต้องคว่ำแก้ว แล้วทำไมที่นั่นที่นี่ไม่เห็นเขาคว่ำล่ะ

อ้างคำพูด:
ขอถามนะคะ คือ การสวดมนต์นี่ เราสลับสวดในแต่ละวัน แต่ละบทก็ได้ใช่ไหมคะ

ได้ครับ ตอบไว้ข้างบนชัดแล้ว

อ้างคำพูด:
คือเราอ่านหนังสือบทสวดต่างๆ ก็จะเหมือนกับบุญที่จะได้รับจะมีความหมายไม่เหมือนกัน
เช่น บทพาหุง ...ก็จะสติสัมปชัญญะดี เจริญรุ่งเรือง.....
บทยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก....ก็จะเป็นมหากุศลยิ่งใหญ่ในปัจจุบัน อนาคต ถึงลูกหลาน

บุญมีความหมายในทางธรรม “ความสุขใจ” “เครื่องชำระขันธสันดานให้บริสุทธิ์” ฯลฯ

คุณค่อยๆ ทำความเข้าใจที่ลิงค์นี้ครับ

http://www.dhammajak.net/board/viewtopi ... c&start=20

หนังสือเล่มนั้นใครเขียนบอกไว้ครับ ว่าสวดพาหุง แล้วสติปัญญาดี เจริญรุ่งเรือง
สวดบทยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก....ก็จะเป็นมหากุศลยิ่งใหญ่ในปัจจุบัน อนาคต ถึงลูกหลาน


ประเด็นนี้
หากพูดในแง่ให้เกิดกำลังใจเกิดขยันหมั่นเพียรพยายามสวดเพื่อให้จิตเกาะเกี่ยวอยู่กับบทสวดนั้นๆ แล้วจิตจะสงบเกิดสมาธิ ไม่ฟุ้งซ่าน เมื่อเกิดสมาธิแล้วปัญญาก็เกิดตามสมควร อย่างนี้เป็นไปได้ เป็นเหตุเป็นผลกัน
แต่ผลบางอย่างพูดล้ำเกินพุทธศาสตร์ไปครับ ไม่ประกอบด้วยเหตุผล ขาดเหตุปัจจัยสัมพันธ์

อ้างคำพูด:
แล้วแบบนี้เราควรสวดบทอะไรล่ะคะ จะได้บุญแบบหมดเลยน่ะค่ะ

สวดบทไหนก็ได้ ที่สวดแล้วจิตไม่ฟุ้งซ่าน เกิดสมาธิจิต กุศลจิตเกิดแล้ว กุศลเกิดก็ได้บุญแล้ว
ก็บทนั้นแหละครับ :b1:

อ้างคำพูด:
แล้วเวลาที่จะเดินจงกรม+นั่งสมาธิ แบบแค่ตั้งนะโม 3 ครั้งได้ไม๊คะ ไม่ต้องสวดมนต์

ได้ครับ
วิธีฝึกจิตแบบนี้ ทำได้ทุกที่ทุกเวลา เว้นเวลานอนหลับครับ :b12:

อ้างคำพูด:
แล้วหลังนั่งสมาธิเสร็จ ต้องกรวดน้ำ+แผ่เมตตาทุกครั้งไม๊คะ

ในตำราไม่มีเขียนบทบังคับไว้ครับ จึงเป็นอิสระของเราเอง

อ้างคำพูด:
เพราะเราสวดมนต์ในตอนเช้า+กรวดน้ำ+แผ่เตตาแล้ว
พอตอนเย็นก็แค่เดินจงกรม+นั่งสมาธิแค่นี้ได้ไม๊คะ

ได้ครับ สาธุ :b8:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2009, 18:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: ขอบคุณนะคะสำหรับคำแนะนำ รู้สึกว่าสมองโล่งเลยค่ะ แบบฟังเค้ามาน่ะค่ะ
สมองก็เลยจำ :b5: เลยทำให้รู้สึกเหนื่อย และไม่เข้าใจวิธีที่ถูก เลยสับสนที่นี้ก็จะค่อยๆ
ฝึกปฏิบัติ แล้วจะส่งผลงานให้ทราบนะคะ :b4: :b4:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2009, 22:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.พ. 2009, 00:03
โพสต์: 111


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
รู้สึก อายท่านผู้อ่านเจอโพสต์นี้จังค่ะ แบบว่าเรานี่ช่างไม่รู้อะไรเลย มาถามเรื่องนี้
มันอาจดูน่า...แต่สำหรับคนไม่รู้ มันก็ไม่รู้จริงๆนะคะ


ไม่ต้องอายหรอกค่ะ ที่คุณO.wan ถามๆมา แทนขวัญก็ไม่รู้เหมือนกัน ยังไม่อายเลยสงสัยจะด้าน คิคิ :b9:
แต่บ้างครั้งก็มีเหนียมๆบ้างค่ะแบบไม่รู้จริงๆ จะถามก็ยังเรียบเรียงไม่ถูก :b15: เชื่อว่ายังมีคนที่ไม่รู้อีกเยอะแยะค่ะ หรือรู้แบบผิดๆก็อีกเยอะเช่นกัน

คุณO.wan ถามมาแทนขวัญก็ได้ความรู้ไปด้วยค่ะ :b8: :b8:

ยิ่งอ่านเรื่องสวดมนต์ที่คุณกรัชกายตอบมาแล้ว แทนขวัญก็โล่งใจเช่นกันค่ะ แทนขวัญเป็นตรงข้ามกับคุณO.wanค่ะ เพราะสวดมนต์ได้น้อยมาก ที่สวดน้อยไม่ใช่เพราะไม่มีเวลาแต่สวดไม่เป็นค่ะ :b6: ก็เลยนึกบทสวดไม่ค่อยออก

เมื่อก่อนตอนเป็นเด็กสวดได้แต่นะโม3จบตามที่พ่อแม่สอนให้ท่อง เข้าโรงเรียนก็เรียนโรงเรียนคริสมีสวดมนต์เหมือนกันค่ะแต่สวดแบบคริส โตมาอีกหน่อยก็ย้ายมาอยู่โรงเรียนพุทธ ที่นี่ทุกวันศุกร์จะมีสวดมนต์หมู่ทำนองสรภัณญะด้วยช่วงบ่ายๆก่อนกลับบ้าน สวดในโรงอาหารทั้งโรงเรียน มาใหม่ๆก็นั่งเป็นใบ้ค่ะ แต่เห็นเพื่อนสวดกันก็อยากทำได้บ้าง คุณแม่เลยซื้อหนังสือสวดมนต์สำหรับนักเรียนเล่มเล็กๆให้เล่มนึง เวลาเค้าสวดกันก็จะพกไปอ่านตาม หลังๆก็พอได้ขึ้นมาบ้างไม่ต้องเปิดหนังสือ แต่พอโตๆมาอีกไม่ได้สวดมันก็ลืมๆไป

ตอนนี้กลับมาสวดใหม่ที่จำได้ตอนนี้ก็สวด นะโม3จบ สวดอรหังสัมมา ,อิติปิโส ,พุทธังสะระนังคัจฉามิ.... แล้วก็บทแผ่เมตตา ได้เท่านี้เองค่ะ แหะๆ ถ้าจะสวดบทอื่นก็จะต้องเปิดหนังสือสวด แต่มักจะขี้เกียจค่ะ :b3:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 00:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


สมาธิเกิดเร็ว แปลว่า บุญหนัก
และเคยภาวนามาแต่เก่าก่อน มาชาตินี้เลยทำได้ไว

ความสามารถในการภาวนานี้มันสั่งสมมาแต่ชาติที่แล้วๆมา
พวกคนที่เกิดมาอัจฉริยะตั้งแต่เด็กๆ เช่นเล่นเปียโนได้ตั้งแต่สองขวบ โดยไม่มีใครสอน
และไม่มีญาติสอน กลับเล่นเพลงยากๆได้
นี่ก้คือความทรงจำที่จิตมันเก้บเอาไว้มาแต่เ่ก่า


หรือเช่นอุปนิสัยที่เด็ดเดี่ยวของพระพุทธเจ้าในการตัดสินใจต่างๆ ก็ได้มาจากการบำเพ็ญในชาติพระเวสสันดร
เช่นความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวในการออกบวช ทิ้งทุกอย่างได้
หรือตอนที่มีกล้าเด็ดเดี่ยวมในการบำเพ็ญทุกรกริยาจนแทบเอาชีวิตไม่รอด
หรือความเด็ดเดี่ยวที่ที่ทรงบอกตัวเองว่า เราจะนั่งลงค้นหาสัจธรรมให้พบ แม้ว่ากระดูกเราจะป่นเป้นผง เราก้จะไม่ลุกขั้น ฯลฯ
ก็เพราะท่านมีบารมี มีกำลังบารมีจากชาติที่เป้นพระเวสสันดร เป้นต้น
ความเด็ดเดี่ยวใจเด็ดอันนี้มันก็อยู่ในจิตของท่าน
เป้นกำลังบารมีของท่านที่สะสมข้ามภพข้ามชาติ


หรือการเข้าถึงนิพพานนั้น ไม่ใช่ว่าทำชาติเดียวก็ได้แล้ว
แต่ว่าต้องทำกันหลายชาติ พระพุทธเจ้าใช้ถึง 500 ชาติในการบำเพ็ญเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า
แต่ละชาตินั้น ถ้าพูดกันตามจริงมันไม่ใช่การเริ่มใหม่ แต่มันมีทุนของดิมอยู่
เมื่อได้พบสภาวะเดิมที่เคยเจอมาแล้ว มันจะระลึกได้
เหมือนพวกระลึกชาติ ก็เป็นบทพิสูจน์ว่าความทรงจำมันไม่ได้มีอยู่ในสมองอย่างเดียว
มันสั่งสมในจิตข้ามพบข้ามชาติมาได้

สิง่ที่เราทำในปัจจุบันนี้ มันจะเป้นบารมีสืบไปในอนาคต
เป็นกำลังของใจ เป้นพลังใจที่จะสะสมต่อไปชาติหน้าๆ
การที่ปฏิบัติธรรมได้รวดเร้วนั้น เพราะทำมาก่อน บำเพ็ญมาก่อน
ไม่ใช่ความโชคดีแต่อย่างใด
แม้ว่าพวกเขาจะดูน่าอิจฉาแต่ความจริงเขาทำมาของเขาแต่เก่าก่อนแล้ว เขาเริ่มมานานกว่าเรา
เพราะฉะนั้นพวกเราต้องเพียรกันต่อไป

สู้ต่อไป ทาเคชิ !
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 08:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:คามินธรรม ขอบคุณนะคะที่เข้ามาแนะนำ และคุณก็จะเป็นรายต่อไป :b29: ที่เราจะต้องสนทนา
ด้วยนะคะ ตอนนี้เรากำลังอ่านของอ.สุรวัฒน์ แต่ช่วงนี้เวลาน้อยเลยได้แต่สะสมคำถาม เรียบเรียงน่ะค่ะ
แต่ไม่กล้าถามตรงนั้น เพราะไม่รู้จะตั้งคำถามแบบไหน เพราะมันไม่เข้าใจไปหมด :b23: :b23:
ถ้าเราถามคุณบนลานธรรมจักรนี้จะได้ไม๊คะ เราว่ามันก็เป็นธรรมะที่ดีมากๆเลยนะคะ :b1: :b1:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 12:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


O.wan เขียน:
:b8:คามินธรรม ขอบคุณนะคะที่เข้ามาแนะนำ และคุณก็จะเป็นรายต่อไป :b29: ที่เราจะต้องสนทนา
ด้วยนะคะ ตอนนี้เรากำลังอ่านของอ.สุรวัฒน์ แต่ช่วงนี้เวลาน้อยเลยได้แต่สะสมคำถาม เรียบเรียงน่ะค่ะ
แต่ไม่กล้าถามตรงนั้น เพราะไม่รู้จะตั้งคำถามแบบไหน เพราะมันไม่เข้าใจไปหมด :b23: :b23:
ถ้าเราถามคุณบนลานธรรมจักรนี้จะได้ไม๊คะ เราว่ามันก็เป็นธรรมะที่ดีมากๆเลยนะคะ :b1: :b1:


ผมโดนจองกฐินหรือนี่ "งานเข้า"

ผมไม่อยากเอาเรื่องดุจิตมาพูดคุยเลยครับ
เพราะดูจากกระทู้ดูจิตที่ตั้งเมื่อเร็วๆนี้ก็มีคนไปวิพากย์วิจารณ์ว่าขัดพระไตรปิฏกอย่างนั้นอย่างนี้
กลายเป็นว่าวิพากย์วิจารณ์พระอริยสงฆ์ ก่อบาปสร้างกรรมไม่รู้ตัว
บาปกรรมที่วิพากย์วิจารณ์พระอริยสงฆ์นี้หนักมาก ตัดทางมรรคผลนิพพาน
ธรรมะอะไรๆ แม้ง่ายๆก็จะไม่เข้าใจ

ผมยังยืนยันว่าให้เรียนจากคนที่รู้แจ้งเห็นจริงในเรื่องการดุจิตดีกว่านะครับ
คือถามหลวงพ่อ ไม่งั้นก็ถามคนที่หลวงพ่อวางใจให้สอนเช่นอาจารย์สุรวัฒน์

หาครูอาจารย์ที่ช่วยเราได้ให้เจอ
ผมจะแนะนำคุณโอว่านอย่างนี้ว่า กรรมฐานนี้ ให้ทำเฉพาะอันที่เหมาะสมกับตัว ที่ทำแล้วได้ผล
ถ้าเปลี่ยนกรรมฐานบ่อยๆ หรือทำหลายอย่างพร้อมกัน จิตมันงง แยกแยะสภาวะธรรมได้ไม่เด็ดขาด
มันจะเกิดความสับสนตัดกำลังภาวนา
ถ้าทำกรรมฐานไม่ถูกจริตของตัว ทำยังไงมันก็ไม่ก้าวหน้า

วิธีที่ดีที่สุดในการพิสูจน์ทราบว่าเราควรเจริญกรรมฐานอย่างไรดี มีสองอย่าง
1. ต้องเป้นคนช่างสังเกตุสภาวะธรรมต่างๆ สังเหตุว่าทำอะไรแล้วเจริญรุดหน้า ทำอะไรแล้วไม่คืบ
เรียกว่าต้องมีปัญญามาก วิเคราะห์ วิจัยได้เอง แต่ไม่หลง
เป็นคนมีบุญบารมีมาแต่เก่าก่อน ภาวนาได้ดีมาแต่เก่าก่อน
ซึ่งเป็นของยาก ไม่ค่อยจะมีใครมีความสามารถอย่างนี้ จึงเป็นที่มาของข้อ 2.

2. ต้องพึ่งครูอาจารย์ที่มีญานวิเศษณ์ช่วยหยั่งทราบให้เรา ว่าเรามีกรรมฐานอย่างไร
ครูอาจารย์ท่านจะทราบว่าจิตเขาเรามีจริตอย่างไร มีนิสัยแบบไหน
ไม่ใช่แค่นิสัยในชาตินี้ แต่เป้นนิสัยที่สะสมมาในชาติก่อนๆ รวมถึงว่าถ้าเราเคยทำกรรมฐานอะไรมาแล้วได้ผล ท่านก้จะทราบ แล้วชี้ทางให้เราได้ถูกต้อง
ซึ่งผมแนะนำให้คุณไปกราบนมัสการขอการบ้านหลวงพ่อโดยตรงสักครั้ง
แล้วให้ลองเชื่อท่านดู ท่านสอนอะไรก็ให้มีศรัทธาวางใจฝากชีวิตทางธรรมเอาไว้กับท่าน
ทำแต่เฉพาะที่ท่านบอก อันอื่นวางพักเอาไว้ให้หมดก่อน
แล้วถ้าไม่ได้ผลแล้วอยากจะทำอะไรก็ทำทีหลัง

ถ้าไม่ใช่สองข้อแรก ก้จะเป้นพวกที่ทำไปตามยถากรรม คือทำอะไรได้ก็ทำๆไป
ทำผิดทำถูกก็ไม่สามารถจะทราบได้ด้วยตัวเอง ได้แต่ทำๆไปอาศัยว่าศรัทธา

บางพวกมีทิฐิมากว่าตัวฉลาด มีบารมีมาก เข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าดวยตัวเอง
ก็ไม่ยอมพึ่งใครทั้งสิ้น กะจะบรรลุด้วยตัวเอง ใครพูดอะไรก็ไม่ฟังทั้งนั้น

บางพวก ไม่ได้ถือตัวอะไร แต่ปัญญาน้อยเอง ใครพาทำอะไรก้ทำทั้งนั้น มีศรัทธามาก
เลยโดนเขมรลากไป ไทยลากมา ลากไปลากมาทั้งชีวิตก็หาเส้นทางหลัก ทางสายเอก ไม่เจอสักที
คนนั้นพูดก็หวั่นไหว คนนี้พูดก็พยักหน้า เพราะพึ่งตัวเองไม่ได้


-----------------------

ทีนี้เรื่องที่ว่าสงสัยมาก ทำยังไง
ไม่รู้ว่าจะถามยังไง ถามไม่เป็น

ก็ให้ทิ้งมันทั้งหมดนั่นแหละครับ แล้วไปหาหลวงพ่อ ไปขอเอาแค่ที่เราเอาไปใช้ได้กับตัวคนเดียวเราก็พอ
ไม่ต้องไปอยากเข้าใจเลยว่าการดุจิตคืออะไรยังไง
เอาตัวรอดคนเดียวพอ รอดเมื่อไหร่ค่อยคิดถึงคนอื่น
ไม่งั้นมันจะเป็นเตี้ยอุ้มค่อม ลงเหวด้วยกันหมด

หรือถ้าจะดูจิต ก็ดูมันลงไปที่ความสงสัยนี่แหละครับ
เช่นเรากำลังสงสัยว่าทำถูกหรือผิด สงสัยว่าใช่หรือเปล่า
ก็เอาความสงสัยนี่แหละเป็นเครื่องรู้
ว่าความสงสัยมันรู้สึกอย่างนี้นะ และนี่เรากำลังสงสัย นี่ตะกี้เราเพิ่งสงสัย เราเพิ่งเผลอไปสงสัย
สังเกตุให้รู้ว่าความสงสัยมันรู้สึกแบบนี้ จิตที่สงสัยมันรู้สึกแบบนี้ เป็นนี้
แค่นี้ก็ทำถูกเรียบร้อยแล้วครับ

แล้วเมื่อ"สงสัยว่าทำถูกแล้วไงต่อ" ก็ให้รู้ทับลงไปอีกชั้นตรงความ"สงสสัยว่าทำไงต่อ"นี่แหละ
ก็เท่ากับเป็นการ "ทำต่อ" โดยอัตโนมัติเรียบร้อยแล้ว

แล้ววันหนึ่งก็จะ "ฉลาดในพฤติแห่งจิตเองโดยไม่ต้องปรึกษาหารือใคร"

ถ้าไงลองอ่านทุกสิง่ทุกอย่างเกี่ยวกับหลวงปู่ดูลย์ดู แล้วจะเข้าใจอะไรมากขึ้น
หลวงปู่ดุลย์เป็นอาจารย์ของหลวงพ่อปราโมทย์อีกที
เป็นผู้ให้กรรมฐานหลวงพ่อจนประสบผลสำเร้จในทางธรรมอย่างใหญ่หลวง

http://www.wimutti.net/pudule/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 13:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 14:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b20: 2. ต้องพึ่งครูอาจารย์ที่มีญานวิเศษณ์ช่วยหยั่งทราบให้เรา ว่าเรามีกรรมฐานอย่างไร
ครูอาจารย์ท่านจะทราบว่าจิตเขาเรามีจริตอย่างไร มีนิสัยแบบไหน
ไม่ใช่แค่นิสัยในชาตินี้ แต่เป้นนิสัยที่สะสมมาในชาติก่อนๆ รวมถึงว่าถ้าเราเคยทำกรรมฐานอะไรมาแล้วได้ผล ท่านก้จะทราบ แล้วชี้ทางให้เราได้ถูกต้อง
ซึ่งผมแนะนำให้คุณไปกราบนมัสการขอการบ้านหลวงพ่อโดยตรงสักครั้ง
แล้วให้ลองเชื่อท่านดู ท่านสอนอะไรก็ให้มีศรัทธาวางใจฝากชีวิตทางธรรมเอาไว้กับท่าน
ทำแต่เฉพาะที่ท่านบอก อันอื่นวางพักเอาไว้ให้หมดก่อน
แล้วถ้าไม่ได้ผลแล้วอยากจะทำอะไรก็ทำทีหลัง

:b31: เราก็ตั้งใจจะไปขอการบ้านสักครั้งเร็วๆนี้นะคะ แต่เราฟังดูเหมือนกับครั้งแรกอาจจะเข้าไม่ถึง
หรือเปล่าคะ แค่คราวก่อนไปศาลาลุงชิน ยัง :b5: :b5: :b5: :b5: เลยค่ะ ตอนนี้เราก็อ่าน
วีถีแห่งการรู้แจ้ง จบไป1รอบ กลับมาเก็บรายละเอียดรอบ2อีกครั้งค่ะ จะทำตามที่แนะนำนะคะ
จะถามอ.สุรวัฒน์ ก็ดีนะคะ :b48:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 19:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
2. ต้องพึ่งครูอาจารย์ที่มีญานวิเศษณ์ช่วยหยั่งทราบให้เรา ว่าเรามีกรรมฐานอย่างไร
ครูอาจารย์ท่านจะทราบว่าจิตเขาเรามีจริตอย่างไร มีนิสัยแบบไหน
ไม่ใช่แค่นิสัยในชาตินี้ แต่เป้นนิสัยที่สะสมมาในชาติก่อนๆ รวมถึงว่าถ้าเราเคยทำกรรมฐานอะไรมาแล้วได้ผล ท่านก้จะทราบ แล้วชี้ทางให้เราได้ถูกต้อง

แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าอาจารย์มีญาณวิเศษ... :b10: :b10:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 22:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.พ. 2009, 00:03
โพสต์: 111


 ข้อมูลส่วนตัว


:b10: :b10: :b14:

ตกลงคือเราไม่สามารถฝึกได้ด้วยตนเองหรอคะ :b5: :b10: :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 22:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณพี่ natdanai ลองไปกราบท่านสิครับ ไปขอกรรมฐานกับท่าน
คุณพี่จะปัตจัตตังด้วยตนเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2009, 07:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แทนขวัญ เขียน:

ตกลงคือเราไม่สามารถฝึกได้ด้วยตนเองหรอคะ


คุณแทนขวัญครับ :b1:
พุทธธรรมทั้งหมดทั้งทางโลกและทางธรรม (โลกียะ และ โลกุตระ) ตนเองต้องทำเองทั้งหมดครับ
ต่อให้เป็นแฟนก็ทำแทนกันไม่ได้ :b9: :b32:
ทำแทนกันไม่ได้ครับ ต่อให้พระพุทธเจ้าก็ทำแทนเราไม่ได้ ตัวเองจะต้องฝึกตนเอง
พุทธธรรมมิใช่เกิดจากการสวดอ้อนวอน หรือใช้เวทย์มนต์บันดาลให้กิเลสในใจตนหมดสิ้นได้
ฝึกครับฝึกโดยวิธีที่ถูกต้อง (สัมมาปฏิปทา)
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัด ตนแลเป็นที่พึงแห่งตน ยิ่งทางธรรมด้วยแล้วต้องฝึกเองเลย ศึกษาดีดีครับ
เกี่ยวกับบุคคลกรัชกายไม่อยากพูดมากนัก เพราะไม่ใช่ตัวของผู้นั้นเอง ถ้าเป็นตัวของผู้นั้นเองหรอครับ :b32: :b38:
เพียงแต่ว่า ในขณะที่เราฝึกอบรมจิตอยู่ ต้องอาศัยท่านผู้รู้แนะนำ เพราะท่านเคยผ่านเส้นทางนั้นมาก่อน
ย่อมรู้เห็นว่า มีอะไรอยู่ตรงไหน สิ่งนั้นคืออะไร :b1:

ดู อิติปิโส แปล ทำวัตรเข้า-เย็นแปลลิงค์นี้สิครับ มีคำศัพท์ทางศาสนาที่เราทำมาพูดๆกันมากมาย ดูสิว่าจริงๆแล้ว หมายถึงอะไร

viewtopic.php?f=28&t=19423

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2009, 22:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


คามินธรรม เขียน:
คุณพี่ natdanai ลองไปกราบท่านสิครับ ไปขอกรรมฐานกับท่าน
คุณพี่จะปัตจัตตังด้วยตนเอง

ก็อย่างท่านกรัชกายว่านั่นล่ะครับ หากเราไม่ปฏิบัติด้วยตนเองแล้ว เราก็ไม่มีวันจะรู้ได้เลยว่าอาจารย์ที่เราไปกราบน่ะ มีญาณวิเศษจริงรึป่าว ว่ามั้ยครับ ท่านคามิน :b1: :b1:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2009, 08:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


natdanai เขียน:
คามินธรรม เขียน:
คุณพี่ natdanai ลองไปกราบท่านสิครับ ไปขอกรรมฐานกับท่าน
คุณพี่จะปัตจัตตังด้วยตนเอง

ก็อย่างท่านกรัชกายว่านั่นล่ะครับ หากเราไม่ปฏิบัติด้วยตนเองแล้ว เราก็ไม่มีวันจะรู้ได้เลยว่าอาจารย์ที่เราไปกราบน่ะ มีญาณวิเศษจริงรึป่าว ว่ามั้ยครับ ท่านคามิน :b1: :b1:


แหมคุณพี่ ผมไม่อยากจะพูดให้ละเอียดเลยนะคับนี่
พูดละเอียดไปคนบางพวกเขาจะวิพากย์วิจารณ์อริยะสงฆ์ไปในทางไม่ดี
จะก่อบาปสร้างกรรมหนักกับเขาเองโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

ถ้ามีคนอ่านใจเราได้ รู้ว่าเราคิดอะไร ผมคิดว่านี่คือความวิเศษณ์
แต่ท่านวิเศษณ์กว่านั้นอีก คือรู้วาระจิตของเราว่า
ขณะนี้มีสติหรือเปล่า มีโลภะไหม มีโทสะไหม มีโมหะไหม แล้วสามารถหาวิธีแก้ให้เราได้
และเพียงพบกันครั้งแรกท่านก้สามารถรู้อุปนิสัยได้ว่าเรามีนิสัยอย่างไร เหมาะกับกรรมฐานแบบไหน

ก็เป็นเรื่องที่คนที่ไปกราบขอกรรมฐานจะทราบปัตจัตตังแก่ตัวเองดีว่านี่เป็นความวิเศษณ์หรือไม่
ลองไปขอดูสิครับคุณพี่
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2009, 22:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


มีโอกาสต้องไปแน่อยู่แล้วครับ ปกติทำงานก็มีโอกาสได้ไปทั่วประเทศอยู่แล้ว แล้วแต่วาสนา.... :b12:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร