วันเวลาปัจจุบัน 04 พ.ค. 2025, 07:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2009, 19:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธเจ้าตรัสว่า: พระรามมาเกิดเป็นเราตถาคต สีดาเกิดเป็นพระนางพิมพา พระลักษณ์เกิดเป็นพระสารีบุตร


http://board.dserver.org/g/gaytiplokvil/00000814.html

จากหนังสือ "นางแก้วคู่บารมี" นี้ได้รวบรวมอดีตชาติของนางแก้วคู่บารมีของพระโพธิสัตว์ที่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน สรุปได้ว่า:

พระเจ้าทศรถ มาเกิดเป็น พระเจ้าสุทโธทนะ
พระราชมารดา มาเกิดเป็นพระนางสิริมหามายา
พระราม มาเกิดเป็น พระพุทธเจ้า
นางสีดา มาเกิดเป็นพระนางพิมพา
พระลักษณ์ มาเกิดเป็น พระสารีบุตร
พระภรต มาเกิดเป็นพระอานนท์

และจาก เล่ม ๖๐ อรรถกถา พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑ ตอนท้ายของอรรถกถานี้มีดังนี้:

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะใน
เวลาจบสัจจะ กุฎุมพีดำรงในโสดาปัตติผล ทรงประชุมชาดกว่าพระทส-
รถมหาราชครั้งนั้น ได้มาเป็นสุทโธทนมหาราช พระมารดาได้มาเป็น
พระมหามายา
สีดาได้มาเป็นมารดาของราหุล เจ้าภรตะได้มาเป็นอานนท์ เจ้าลักขณ์ ได้มาเป็นสารีบุตร บริษัทได้มาเป็นพุทธบริษัท ส่วนรามบัณฑิตได้มาเป็นเราตถาคตแล.
จบอรรถกถาทสรถชาดก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2009, 20:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


http://board.dserver.org/g/gaytiplokvil/00000814.html เขียน:
บทสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้า กับ พระผู้สร้าง
ข้อความ : บทสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้า กับ พระผู้สร้าง
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย พรหมนิมันตนิกสูตร เล่มที่ ๑๒ ข้อ ๕๐๑ หน้า ๕๓๗

สมัยหนึ่ง พระผู้มีภาคประทับอยู่ ณ วัดเชตวัน ได้ตรัสเรื่องนี้ เล่าให้พระภิกษุทั้งหลายฟังว่า
“ ภิกษุทั้งหลาย สมัยหนึ่ง เราอยู่ที่โคนต้นสาละใหญ่ในป่าสุภคะใกล้เมืองอุกกัฏฐา ในสมัยนั้น พรหมเจ้าเกิดความคิดขึ้นมาว่า ‘แดนสวรรค์แห่งนี้เที่ยงแท้ ยั่งยืน มั่นคง แข็งแรง มีความไม่เคลื่อนไปเป็นธรรมดา แดนสวรรค์แห่งนี้ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ ก็แล สถานที่ไปให้พ้นจากทุกข์ นอกจากแดนสวรรค์แห่งนี้ไม่มีอีก”

ครั้งนั้น เราอันตรธานจากโคนต้นสาละใกล้เมืองอุกกัฏฐา ไปปรากฏในพรหมโลกนั้น พรหมได้เห็นเรามาแต่ไกล จึงได้กล่าวว่า ‘พระคุณเจ้า เชิญมาทางนี้เถิด กล่าวอีกว่า ‘ท่านน่าจะมาที่นี้นานแล้ว แดนสวรรค์แห่งนี้ เที่ยง ยั่งยืนมั่นคง แข็งแรง มีความเปลี่ยนแปลง แดนสวรรค์แห่งนี้ไม่เกิด ไม่แก่ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ ก็แล สถานที่ไปให้พ้นจากทุกข์ นอกจากแดนสวรรค์แห่งนี้ไม่มีอีก’

เมื่อพรหมเจ้ากล่าวอย่างนี้ เราได้กล่าวว่า ‘ ท่านพรหม ท่านเข้าใจผิดแล้วหนอ เพราะว่าท่านกล่าวสิ่งที่ไม่เที่ยงว่า‘เที่ยง’ กล่าวสิ่งที่ไม่ยั่งยืนว่า‘ยั่งยืน’ กล่าวสิ่งที่ไม่มั่นคงว่า‘มั่นคง’ กล่าวสิ่งที่ไม่แข็งแรงว่า‘แข็งแรง’ กล่าวสิ่งที่มีความเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดาว่า ‘มีความไม่การเปลี่ยนแปลง’

ขณะนั้นเอง เทวดาท่านหนึ่งกล่าวแทรกว่า ‘ภิกษุ ภิกษุ อย่ากล่าวรุกรานพรหมเจ้านะ ๆ เพราะว่าพรหมผู้นี้เป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ ฝ่าฝืนไม่ได้ โดยที่แท้ เป็นผู้รู้ทั่ว สรรพสัตว์ให้เป็นไปในอำนาจของท่าน เป็นอิสระ เป็นผู้สร้างโลก นิรมิตโลก เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้แต่งสัตว์ เป็นผู้ใช้อำนาจ เป็นบิดาของเหล่าสัตว์ สมณพราหมณ์พวกก่อน ๆ ได้เคยติเตียนดินท่านพรหมเจ้า หลังจากตายแล้ว สมณพราหมณ์เหล่านั้นได้ไปเกิดในที่อันเลวเชียวนะ.. ส่วนสมณพราหมณ์ที่สรรเสริญ ชมเชยท่านพรหมเจ้า หลังจากตายแล้วสมณพราหมณ์เหล่านั้นจะไปเกิดในพวกที่ดี
ภิกษุ เพราะเหตุนั้น เราจึงบอกท่านว่า ‘ เชิญเถิด ท่านจงทำตามคำที่พรหมเจ้าบอกเท่านั้นเถิด ท่านจงอย่าฝ่าฝืนคำของพรหมเจ้าเลย ถ้าท่านจักฝ่าฝืนคำของพรหมเจ้า โทษจักมีแก่ท่าน เปรียบเหมือนบุรุษเอาท่อนไม้ไล่ตีสิริที่มาถึง หรือเปรียบเหมือนบุรุษผู้ตกเหวลึก ดึงมือ และเท้าให้ห่างแผ่นดินเสียฉะนั้น เชิญเถิด ท่านจงทำตามคำที่พรหมเจ้าบอกเท่านั้น ท่านจงอย่าฝ่าฝืนคำของพรหมเลยนะ ท่านเห็นเทวดาจำนวนมากมายมาประชุมกันแล้วมิใช่หรือ’

เราจึงได้ตอบไปว่า ‘ท่านเทพ.. เรารู้จักเรื่องราวของท่านดี ท่านอย่าเข้าใจว่า ‘พระสมณะไม่รู้จักเรา’ ท่านอย่าคิดว่า พรหมก็ดี เทพทั้งหลายก็ดีทั้งหมดนั้นอยู่ในมือของท่าน ตกอยู่ในอำนาจของท่าน ‘แม้พระสมณะก็ต้องอยู่ในมือของเรา ต้องอยู่ในอำนาจของเรา’ แต่ว่า เราหาได้อยู่ในมือของท่านไม่ เราไม่ได้ตกอยู่ในอำนาจของท่านหรอกนะ’

ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรากล่าวอย่างนี้แล้ว พรหมเจ้าได้กล่าวว่า เรากล่าวสิ่งที่เที่ยงว่า‘เที่ยง’ กล่าวสิ่งที่มั่นคงว่า ‘มั่นคง’ กล่าวสิ่งที่ยั่งยืนว่า ‘ยั่งยืน’ ฯลฯ เรากล่าวว่า ‘แดนสวรรค์แห่งนี้ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ ที่อื่นที่จะพ้นไปจากทุกข์ได้นอกจากแดนสวรรค์แห่งนี้ ไม่มี ...แต่ำทำไม ท่านกลับกล่าวคัดค้าน สมณพราหมณ์อย่างพวกท่านได้มีอายุนานทั้งสิ้นมีประมาณเท่าใดกัน?? กรรมที่ทำด้วยตบะของสมณพราหมณ์อย่างพวกท่านมีประมาณเท่านั้นกัน สมณพราหมณ์อย่างพวกท่านรู้วิธีการสลัดออกจากทุกข์อย่างยิ่งอื่น หรือจะพึงรู้การสลัดออกจากทุกข์อย่างยิ่งอื่น(ซึ่งต่างไปจากที่เรารู้หรือ?)

พรหมเจ้ากล่าวต่ออีกว่า ‘ท่านจักไม่เห็นการสลัดออกจากทุกข์อย่างยิ่งอื่นเลย แม้ว่าท่านจักเป็นผู้มีความลำบากและพากเพียรอย่างไรก็ตาม ท่านภิกษุ.. ถ้าท่านจักกลืนกินแผ่นดิน ท่านก็จักชื่อว่าเป็นผู้นอนใกล้เรา นอนในที่อยู่ของเรา เราพึงสั่งได้ตามประสงค์ เราพึงห้ามได้ ถ้าท่านกลืนกินน้ำ ... ฯลฯ ท่านก็จักชื่อว่าเป็นผู้นอนใกล้เรา นอนในที่อยู่ของเรา เราพึงสั่งได้ตามประสงค์ เราพึงห้ามได้’
ภิกษุทั้งหลาย เราจึงตอบพรหมไปว่า ‘ท่านพรหม แม้เราก็รู้อย่างนี้ว่า ‘ถ้าเราจักกลืนกินแผ่นดิน เราก็จักชื่อว่าเป็นผู้นอนใกล้ท่าน นอนในที่อยู่ของท่าน ท่านพึงสั่งได้ตามประสงค์ ท่านพึงห้ามได้ ฯลฯ ..ใช่แต่เท่านั้น เรายังรู้อีกถึงคติและรู้ความรุ่งเรืองของท่านว่า พรหมเจ้านี้เป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากอย่างนี้ มีศักดิ์มากอย่างนี้’

พรหมเจ้าจึงถามเราว่า ‘ท่านภิกษุ ท่านรู้คติและรู้ความรุ่งเรืองของเราว่า พรหมเจ้านี้มีฤทธิ์มากอย่างนี้ พรหมเจ้านี้มีอานุภาพมากอย่างนี้ พรหมเจ้านี้มีศักดิ์มากอย่างนี้ได้อย่างไร?’

เรากล่าวว่า ‘ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ย่อมโคจรส่องทิศทั้งปวงให้สว่างเท่าใด อำนาจของท่านย่อมเป็นไปใน ๑,๐๐๐ จักรวาลเท่านั้น ท่านย่อมรู้จักสัตว์ที่เลวและสัตว์ที่ประณีต รู้จักสัตว์ที่มีราคะและสัตว์ที่ไม่มีราคะ รู้จักจักรวาลนี้และจักรวาลอื่น และรู้จักการเกิดและการตายของสัตว์ทั้งหลาย’ ท่านพรหม.. เรารู้คติและรู้ความรุ่งเรืองของท่านอย่างนี้

ท่านพรหม.. หมู่พรหมอื่นมีอยู่อีกมาก ท่านไม่รู้จักไม่เห็นหมู่พรหมนั้น แต่..เรารู้ เราเห็นหมู่พรหมนั้น หมู่พรหมที่ชื่ออาภัสสราก็มีอยู่ ท่านเคลื่อนแล้วจากที่ใด มาอุบัติแล้วในที่นี้ ท่านมีสติหลงลืมไปเพราะอาศัยอยู่กับที่นานเกินไป เพราะเหตุนั้น ท่านจึงไม่รู้ ไม่เห็นหมู่พรหมอื่น ๆ นั้น แต่เรารู้.. เห็นหมู่พรหมนั้น เรากับท่านเทียบกันไม่ได้ด้วยปัญญาอันรู้แจ้งแม้อย่างนี้ ความที่เราเป็นผู้ต่ำกว่าท่านจะมีแต่ที่ไหน โดยที่แท้ เราเท่านั้นเป็นผู้สูงยิ่งกว่าท่าน

หมู่พรหมที่ชื่อสุภกิณหา ก็มีอยู่ ...
หมู่พรหมที่ชื่อเวหัปผลา ก็มีอยู่ ...
หมู่พรหมที่ชื่ออภิภู ก็มีอยู่ ท่านไม่รู้.. ไม่เห็นหมู่พรหมนั้น แต่เรารู้... เห็นหมู่พรหมนั้น เรากับท่านเทียบกันไม่ได้ด้วยปัญญาอันรู้ยิ่งแม้อย่างนี้ ความที่เราเป็นผู้ต่ำกว่าท่านจะมีแต่ที่ไหน โดยที่แท้เราเท่านั้นเป็นผู้สูงยิ่งกว่าท่าน

เรารู้จักสิ่งทั้งปวง รู้จักนิพพานที่สัตว์เสวยไม่ได้... ท่านพรหม เราเทียบกับท่านไม่ได้ด้วยปัญญาอันรู้ยิ่งแม้อย่างนี้ ความที่เราเป็นผู้ต่ำกว่าท่านจะมีแต่ที่ไหน โดยที่แท้ เราเท่านั้นเป็นผู้สูงยิ่งกว่าท่าน

พรหมนั้นกล่าวกับเราว่า ‘ท่านภิกษุ ถ้าท่านพูดอ้างว่าตนเองรู้นิพพานที่สัตว์เสวยไม่ได้โดยความที่สิ่งทั้งปวงเป็นสิ่งทั้งปวง ถ้อยคำของท่านอย่าได้ว่าง อย่าได้เปล่าเสียเลย(อย่าดีแต่ปาก..)”

เราตอบว่า “ นิพพานที่ผู้บรรลุจะพึงรู้แจ้งได้นั้น เป็นสภาวะที่มองไม่เห็นด้วยตา เป็นอนันตะ มีรัศมีกว่าสิ่งทั้งปวง สัตว์เสวยไม่ได้โดยความที่ดินเป็นดิน โดยความที่น้ำเป็นน้ำ..ฯลฯโดยความที่พรหมเป็นพรหม...” ฯลฯ
‘เราเห็นภัยในภพและเห็นภพของสัตว์ ผู้แสวงหาความปราศจากภพแล้ว ไม่กล่าวยกย่องภพอะไรเลย ทั้งไม่ยึดมั่นติดใจในภพด้วย’ ฯลฯ..

ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น พวกเทพพากันมากล่าวกับเราว่า ‘ท่านภิกษุ ถ้าท่านรู้อย่างนี้ ตรัสรู้อย่างนี้ ก็อย่าแนะนำ อย่าแสดงธรรม (อย่าเผยแผ่คำสอน)เลย เพราะว่า(ในอดีต) ได้มีสมณพราหมณ์พวกก่อนท่าน ก็ได้ปฏิญญาว่า เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในโลก สมณพราหมณ์พวกนั้นแนะนำ แสดงธรรม (เผยแผ่คำสอน) หลังจากตายแล้วก็ไปเกิดในพวกที่เลว ส่วนสมณพราหมณ์พวกที่ปฏิญญาว่า เป็นพระอรหันตสัมมาพุทธเจ้าในโลก ..แต่ไม่แนะนำ ไม่แสดงธรรม (ไม่เผยแผ่คำสอน) หลังจากตายแล้วก็ไปเกิดในพวกที่ดี เพราะฉะนั้น เราจึงขอเตือนท่านว่า ‘ท่านภิกษุ ขอท่านอย่ากังวลไปเลย จงอยู่สบาย ๆ เฉย ๆ ไป เถิด เพราะการไม่พูดเป็นความดี ท่านอย่าสั่งสอนสัตว์อื่น ๆ เลย’

ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเหล่าเทพกล่าวอย่างนี้แล้ว เราจึงกล่าวว่า “อย่าพูดเลย... เรารู้จักท่านดี... ท่านหามีความอนุเคราะห์ด้วยจิตเกื้อกูลไม่ จึงกล่าวกับเราอย่างนี้ ท่านไม่มีความอนุเคราะห์ด้วยจิตเกื้อกูลจึงกล่าวกับเราอย่างนี้ ท่านกลัวว่า ‘ถ้าพระสมณโคดมจักแสดงธรรมแก่ชนเหล่าใด ชนเหล่านั้น จักล่วงวิสัยของเราไป’ ฯลฯ

มารเอ๋ย เราแม้เมื่อแสดงธรรมแก่สาวกทั้งหลาย ก็เป็นเหมือนเดิม เพราะเราละอาสวะที่ทำให้ต้องไปเกิดในภพใหม่ได้แล้ว ..ฯลฯ (เราล่วงพ้น)ความตายไปได้แล้ว ตัดรากถอนโคนเหมือนต้นตาลที่ถูกตัดรากถอนโคนไปแล้ว เหลือแต่พื้นที่ ทำให้ไม่มี เกิดขึ้นต่อไปได้อีก ต้นตาลที่ถูกตัดยอดแล้วไม่อาจงอกขึ้นอีกได้ แม้ฉันใด ตถาคตก็ฉันนั้นเหมือนกัน เราละอาสวะที่ทำให้ต้องไปเกิดในภพใหม่ได้แล้ว ..ฯลฯ (เราล่วงพ้น)ความตายไปได้แล้ว ตัดรากถอนโคนเหมือนต้นตาลที่ถูกตัดรากถอนโคนไปแล้ว เหลือแต่พื้นที่ ทำให้ไม่มีการเกิดขึ้นต่อไปได้อีก”



จาก : montasavi - - montasavi_@hotmail.com - 05/08/2007 22:06


นำลิงค์นั้นมาให้ดูเต็มๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2009, 20:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเข้าไปในลิงค์ที่พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ อ้าง

และเจอแต่แต่บทความข้างต้น

ไม่มีข้อความตามที่พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ อ้าง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2009, 20:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เล่ม ๖๐อรรถกถา พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑

ใครหาอรรถกถาข้างต้นเจอ กรุณาผมด้วย

อยากดูฉบับเต็มครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2009, 20:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อรรถกถา ทสรถชาดก
ว่าด้วย ผู้มีปัญญาย่อมไม่เศร้าโศกถึงสิ่งที่เสียไปแล้ว
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภกุฎุมพีผู้บิดาตายแล้วคนหนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า เอถ ลกฺขณสีตา จ ดังนี้.
ความพิสดารว่า กุฎุมพีนั้น เมื่อบิดาถึงแก่กรรมแล้วถูกความเศร้าโศกครอบงำ จึงทอดทิ้งหน้าที่การงานเสียทุกอย่าง ครุ่นแต่ความเศร้าโศกอยู่แต่ถ่ายเดียว.
พระศาสดาทรงตรวจดูสัตวโลกในเวลาใกล้รุ่ง ทอดพระเนตรเห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผลของเขา รุ่งขึ้นจึงเสด็จโปรดสัตว์ในกรุงสาวัตถี เสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว ทรงส่งภิกษุทั้งหลายกลับ ทรงชวนไว้เป็นปัจฉาสมณะเพียงรูปเดียว เสด็จไปยังเรือนของเขา เมื่อตรัสเรียกเขาผู้นั่งถวายบังคมด้วยพระดำรัสอันไพเราะ จึงตรัสว่า ดูก่อนอุบาสก เจ้าเศร้าโศกไปทำไม
เมื่อเขากราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความเศร้าโศกถึงบิดากำลังเบียดเบียนข้าพระองค์
จึงตรัสว่า ดูก่อนอุบาสก บัณฑิตในปางก่อนทราบโลกธรรม ๘ ประการตามความเป็นจริง เมื่อบิดาถึงแก่กรรมแล้ว ก็มิได้ประสบความเศร้าโศก แม้สักน้อยหนึ่งเลย
เขากราบทูลอาราธนา จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัสว่า
ในอดีตกาล พระเจ้าทสรถมหาราชทรงละความถึงอคติ เสวยราชสมบัติโดยธรรมในกรุงพาราณสี พระอัครมเหสีผู้เป็นใหญ่กว่าสตรี ๑๖,๐๐๐ นางของท้าวเธอ ประสูติพระโอรส ๒ พระองค์ พระธิดา ๑ พระองค์
พระโอรสองค์ใหญ่ทรงพระนามว่า รามบัณฑิต องค์น้องทรงพระนามว่า ลักขณกุมาร พระธิดาทรงพระนามว่า สีดาเทวี.
ครั้นจำเนียรกาลนานมา พระอัครมเหสีสิ้นพระชนม์ พระราชาเมื่อพระนางสิ้นพระชนม์แล้ว ทรงถึงอำนาจแห่งความเศร้าโศกตลอดกาลนาน หมู่อำมาตย์ช่วยกันกราบทูลให้ทรงสร่าง ทรงกระทำการบริหารที่ควรกระทำแก่พระนางแล้ว ทรงตั้งสตรีอื่นไว้ในตำแหน่งอัครมเหสีพระนางเป็นที่รัก เป็นที่จำเริญพระหฤทัยของพระราชา.
ครั้นกาลต่อมา แม้พระนางก็ทรงพระครรภ์ ทรงได้รับพระราชทานเครื่องครรภ์บริหาร จึงประสูติพระราชโอรส. พระประยูรญาติขนานพระนามพระโอรสนั้นว่า ภรตกุมาร.
พระราชาตรัสว่า แน่ะนางผู้เจริญ ฉันขอให้พรแก่เธอ เธอจงรับเถิด ด้วยทรงพระเสน่หาในพระโอรส.
พระนางทรงเฉยเสีย ทำทีว่าทรงรับแล้ว จนพระกุมารมีพระชนมายุได้ ๗-๘ พรรษา จึงเข้าไปเฝ้าพระราชา กราบทูลว่า พระทูลกระหม่อม พระองค์พระราชทานพระพรไว้แก่บุตรของกระหม่อมฉัน บัดนี้ ขอทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานพระพรนั้นแก่เธอ
เมื่อพระราชาตรัสว่ารับเอาเถิด นางผู้เจริญ จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระทูลกระหม่อม ขอพระองค์โปรดทรงพระกรุณาพระราชทานราชสมบัติแก่บุตรของกระหม่อมฉันเถิด พระเจ้าข้า.
พระราชาทรงตบพระหัตถ์ตรัสขู่ว่า เจ้าจงย่อยยับเสียเถอะ นางถ่อย บุตรของข้า ๒ คน กำลังรุ่งเรืองเหมือนกองเพลิง เจ้าจะให้ข้าฆ่าเขาทั้ง ๒ คนเสียแล้ว ขอราชสมบัติให้ลูกของเจ้า.
พระนางตกพระทัย เสด็จเข้าสู่พระตำหนักอันทรงสิริ ถึงในวันอื่นๆเล่าก็คงทูลขอราชสมบัติกับพระราชาเนืองๆ ทีเดียว.
พระราชาครั้นไม่พระราชทานพระพรแก่พระนาง จึงทรงพระดำริว่า ขึ้นชื่อว่ามาตุคามเป็นคนอกตัญญู มักทำลายมิตร นางนี้พึงปลอมหนังสือหรือจ้างคนโกงๆ ฆ่าลูกทั้ง ๒ ของเราเสียได้. พระองค์จึงตรัสสั่งให้พระราชโอรสทั้ง ๒ เข้าเฝ้า ตรัสความนั้นมีพระดำรัสว่า พ่อเอ๋ย อันตรายคงจักมีแก่พวกเจ้าผู้อยู่ ณ ที่นี้ เจ้าทั้งหลายจงพากันไปสู่แดนแห่งสามันตราช หรือสู่ราวป่า พากันมาก็ต่อเมื่อพ่อตายแล้ว ยึดเอาราชสมบัติของตระกูลเถิด ดังนี้ แล้วรับสั่งให้พวกโหราจารย์เข้าเฝ้าอีก ตรัสถามกำหนดพระชนมายุของพระองค์ ทรงสดับว่าจักยั่งยืนไปตลอด ๑๒ ปีข้างหน้า จึงตรัสว่า พ่อเอ๋ย โดยล่วงไป ๑๒ ปีถัดจากนี้ พวกเจ้าจงพากันมาให้มหาชนยกฉัตรถวาย.
พระราชโอรสเหล่านั้นกราบทูลว่า ดีแล้วพระเจ้าข้า พากันถวายบังคมพระราชบิดา ทรงพระกันแสงเสด็จลงจากพระปราสาท. พระนางสีดาเทวีทรงพระดำริว่า ถึงเราก็จักไปกับพี่ทั้งสอง ถวายบังคมพระราชบิดา ทรงพระกันแสงเสด็จออก. กษัตริย์ทั้งสามพระองค์นั้นแวดล้อมไปด้วยมหาชนออกจากพระนคร ทรงให้มหาชนพากันกลับ เสด็จเข้าสู่หิมวันตประเทศโดยลำดับ สร้างอาศรม ณ ประเทศอันมีน้ำและมูลผลาผลสมบูรณ์ ทรงเลี้ยงพระชนมชีพด้วยผลาผล พากันประทับอยู่แล้ว.
ฝ่ายพระลักขณบัณฑิตและพระนางสีดาได้ทูลขอร้องพระรามบัณฑิตรับปฏิญญาว่า พระองค์ดำรงอยู่ในฐานะแห่งพระราชบิดาของหม่อมฉัน เหตุนั้นเชิญประทับประจำ ณ อาศรมบทเท่านั้นเถิด หม่อมฉันทั้งสองจักนำผลาผลมาบำรุงเลี้ยงพระองค์.
จำเดิมแต่นั้นมา พระรามบัณฑิตคงประทับประจำ ณ อาศรมบทนั้นเท่านั้น. พระลักขณบัณฑิตและพระนางสีดาพากันหาผลาผลมาปรนนิบัติพระองค์.
เมื่อกษัตริย์ทั้งสามพระองค์นั้น ทรงเลี้ยงพระชนมชีพอยู่ด้วยผลาผลอย่างนี้ พระเจ้าทสรถมหาราชเสด็จสวรรคตลงในปีที่ ๙ เพราะทรงเศร้าโศกถึงพระราชโอรส. ครั้นจัดการถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระเจ้าทสรถมหาราชเสร็จแล้ว พระเทวีมีพระดำรัสให้พวกอำมาตย์ถวายพระเศวตฉัตรแด่พระภรตกุมารผู้โอรสของตน. แต่พวกอำมาตย์ทูลว่า เจ้าของเศวตฉัตรยังอยู่ในป่า ดังนี้แล้วจึงไม่ยอมถวาย.
พระภรตกุมารตรัสว่า เราจักเชิญพระรามบัณฑิตผู้เป็นพระภาดามาจากป่า ให้ทรงเฉลิมพระเศวตฉัตร ทรงถือเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ๕ อย่างพร้อมด้วยเสนา ๔ เหล่าบรรลุถึงที่ประทับของพระรามบัณฑิตนั้น ให้ตั้งค่ายพักแรมอยู่ ณ ที่อันไม่ไกล เสด็จเข้าไปสู่อาศรมบทกับอำมาตย์ ๒-๓ นาย ในเวลาที่พระลักขณบัณฑิตและพระนางสีดาเสด็จไปป่า เข้าเฝ้าพระรามบัณฑิตผู้ปราศจากความระแวง ประทับนั่งอย่างสบาย ประหนึ่งรูปทองคำที่ตั้งไว้ ณ ประตูอาศรมบท ถวายบังคม ประทับยืน ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง กราบทูลข่าวของพระราชาแล้ว ก็ทรงฟุบลงแทบพระบาททั้งคู่ ทรงพระกันแสงพร้อมกับเหล่าอำมาตย์.
พระรามบัณฑิตมิได้ทรงเศร้าโศกเลย มิได้ทรงพระกันแสงเลย แม้เพียงอาการผิดปกติแห่งอินทรีย์ ก็มิได้มีแก่พระองค์เลย ก็แลในเวลาที่พระภรตะทรงพระกันแสงประทับนั่ง เป็นเวลาสายัณหสมัย พระลักขณบัณฑิตและพระนางสีดาทั้งสองพระองค์ ทรงพากันถือผลาผลเสด็จมาถึง.
พระรามบัณฑิตทรงดำริว่า เจ้าลักขณะและแม่สีดายังเป็นเด็ก ยังไม่มีปรีชากำหนดถี่ถ้วนเหมือนเรา ได้รับบอกเล่าว่า บิดาของเธอสวรรคตแล้วโดยรวดเร็ว เมื่อไม่อาจจะยับยั้งความเศร้าโศกไว้ได้ แม้หัวใจของเธอก็อาจแตกไปได้ เราต้องใช้อุบายให้เจ้าลักขณะและแม่สีดาจงไปแช่น้ำแล้วให้ได้ฟังข่าวนั้น.
ลำดับนั้น ทรงชี้แอ่งน้ำแห่งหนึ่งข้างหน้าแห่งกษัตริย์ทั้งสองพระองค์นั้น ตรัสว่า เจ้าทั้งสองมาช้านัก นี่เป็นทัณฑกรรมของเจ้า เจ้าจงลงไปแช่น้ำยืนอยู่ ดังนี้แล้ว
จึงตรัสกึ่งพระคาถาว่า

มานี่แน่ะเจ้าลักขณะและนางสีดาทั้งสอง จงมาลงน้ำ.

คำอันเป็นคาถานั้น มีอธิบายว่า มานี่แน่ะเจ้าลักขณะและนางสีดา จงพากันมา จงลงสู่น้ำทั้งสองคน.

พระลักขณะและพระนางสีดาทั้งสองพระองค์นั้น พากันเสด็จลงไปประทับยืนอยู่ ด้วยพระดำรัสครั้งเดียวเท่านั้น. ลำดับนั้น พระรามบัณฑิต เมื่อจะทรงบอกข่าวแห่งพระราชบิดาแก่กษัตริย์ทั้ง ๒ พระองค์นั้น
จึงตรัสกึ่งคาถาที่เหลือว่า

พ่อภรตะนี้ กล่าวอย่างนี้ว่า พระราชาทสรถสวรรคตเสียแล้ว.

พระลักขณะและพระนางสีดาทั้งสองพระองค์นั้นพอได้สดับข่าวว่า พระราชบิดาสวรรคตเท่านั้นก็พากันวิสัญญีสลบไป. พระรามบัณฑิตตรัสบอกซ้ำอีก ก็พากันสลบไปอีก.
หมู่อำมาตย์ช่วยกันอุ้มกษัตริย์ทั้งสองพระองค์อันทรงถึงวิสัญญีภาพไปถึงสามครั้งด้วยอาการอย่างนี้ ขึ้นจากน้ำ ให้ประทับนั่งบนบก.
เมื่อเธอทั้งสองได้ลมอัสสาสปัสสาสะแล้ว ทุกพระองค์ต่างก็ประทับนั่ง ทรงพระกันแสงคร่ำครวญกันเรื่อย. ครั้งนั้น พระภรตกุมารทรงพระดำริว่า พระภาดาของเรา ลักขณกุมารและพระภคินีสีดาเทวีของเรา สดับข่าวว่า พระทสรถสวรรคตเสียแล้วมิอาจจะยับยั้งความเศร้าโศกไว้ได้ แต่พระรามบัณฑิตมิได้ทรงเศร้าโศก มิได้ทรงคร่ำครวญเลย อะไรเล่าหนอ เป็นเหตุแห่งความไม่เศร้าโศกของพระองค์ ต้องถามพระองค์ดู.
เมื่อท้าวเธอจะตรัสถามพระองค์ จึงตรัสพระคาถาที่ ๒ ว่า

พี่รามบัณฑิต ด้วยอานุภาพอะไร เจ้าพี่จึงไม่เศร้าโศก ถึงสิ่งที่ควรเศร้าโศก ความทุกข์มิได้ครอบงำพี่เพราะได้สดับว่า พระราชบิดาสวรรคตเล่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปภาเวน แปลว่า ด้วยอานุภาพ. บทว่า น ตํ ปสหเต ทุกฺขํ ความว่า ความทุกข์เห็นปานนี้ เหตุไรจึงไม่บีบคั้นพี่ได้เลย อะไรเป็นเครื่องบังคับมิให้พี่เศร้าโศกเลย โปรดแจ้งแก่หม่อมฉันก่อน.

ลำดับนั้น พระรามบัณฑิต เมื่อจะแสดงเหตุที่บังคับมิให้พระองค์ทรงเศร้าโศกแก่พระกุมารภรตะนั้น จึงตรัสว่า

คนเราไม่สามารถจะรักษาชีวิตที่คนเป็นอันมากพร่ำเพ้อถึง นักปราชญ์ผู้รู้แจ้งจะทำตนเพื่อให้เดือดร้อนเพื่ออะไรกัน.
ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทั้งพาลทั้งบัณฑิต ทั้งคนมั่งมีทั้งคนยากจน ล้วนบ่ายหน้าไปหามฤตยูทั้งนั้น.
ผลไม้ที่สุกแล้ว ก็พลันแต่จะหล่นลงเป็นแน่ฉันใด สัตว์ทั้งหลายเกิดมาแล้ว ก็พลันแต่จะตายเป็นแน่ฉันนั้น.
เวลาเช้าเห็นกันอยู่มากคน พอถึงเวลาเย็นบางคนก็ไม่เห็นกัน เวลาเย็นเห็นกันอยู่มากคน พอถึงเวลาเช้าบางคนก็ไม่เห็นกัน.
ถ้าผู้ที่คร่ำครวญหลงเบียดเบียนตนอยู่ จะพึงได้รับประโยชน์สักเล็กน้อยไซร้ บัณฑิตผู้มีปรีชาก็จะพึงทำเช่นนั้นบ้าง.
ผู้เบียดเบียนตนของตนอยู่ ย่อมซูบผอม ปราศจากผิวพรรณ สัตว์ผู้ละไปแล้วไม่ได้ช่วยคุ้มครองรักษา ด้วยการร่ำไห้นั้นเลย การร่ำไห้ไร้ประโยชน์.
คนฉลาดพึงดับไฟที่ไหม้เรือนด้วยน้ำฉันใด คนผู้เป็นนักปราชญ์ได้รับการศึกษามาดีแล้ว มีปัญญาเฉลียวฉลาด พึงรีบกำจัดความเศร้าโศกที่เกิดขึ้นโดยพลัน เหมือนลมพัดปุยนุ่นฉะนั้น.
คนๆ เดียวเท่านั้นตายไป คนเดียวเท่านั้น เกิดในตระกูล ส่วนการคบหากันของสรรพสัตว์ มีการเกี่ยวข้องกันเป็นอย่างยิ่ง.
เพราะเหตุนั้นแล ความเศร้าโศกแม้จะมากมาย ก็ไม่ทำจิตใจของนักปราชญ์ผู้เป็นพหูสูต มองเห็นโลกนี้และโลกหน้า รู้ทั่วถึงกรรมให้เร่าร้อนได้.
เราจักให้ยศ และโภคสมบัติ แก่ผู้ที่ควรจะได้ จักทะนุบำรุงภริยา ญาติทั้งหลาย และคนที่เหลือ นี้เป็นกิจของบัณฑิตผู้ปรีชา.

พระรามบัณฑิต ได้ประกาศถึงอนิจจตาด้วยคาถา ๖ คาถาเหล่านี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาเลตุ ได้แก่ เพื่อจะรักษา. บทว่า ลปตํ ได้แก่ ผู้บ่นเพ้ออยู่ ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ดังนี้ว่า พ่อภรตะเอ๋ย ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย บรรดาที่พากันร่ำไห้ถึงกันมากมาย แม้สักคนเดียวก็มิอาจจะรักษาไว้ได้ว่า อย่าขาดไปเลยนะ บัดนี้ผู้เช่นเรานั้นรู้โลกธรรมทั้ง ๘ ประการโดยความเป็นจริง ชื่อว่าวิญญูชน มีความหลักแหลมเป็นบัณฑิต ในเมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีชีวิตมีความตายเป็นที่สุด ตายไปแล้ว จะยังตนให้เข้าไปเดือดร้อนเพื่ออะไรกัน คือเหตุไรจึงจะแผดเผาตนด้วยความทุกข์ของตนอันหาอุปการะมิได้.
คาถาว่า ทหรา จ เป็นต้นมีอธิบายว่า พ่อภรตะเอ๋ย ขึ้นชื่อว่ามฤตยูนี้ มิได้ละอายต่อคนหนุ่มผู้เช่นกับรูปทองคำมีขัตติยกุมารเป็นต้นเลย และมิได้เกรงขามต่อมหาโยธาทั้งหลายผู้ถึงความเจริญโดยคุณ มิได้เกรงกลัวเหล่าสัตว์ผู้สันดานหนาเป็นพาล มิได้ยำเกรงปวงบัณฑิตมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น มิได้หวั่นเกรงมวลอิสริยชนมีพระเจ้าจักรพรรดิเป็นต้น มิได้อดสูต่อคนขัดสนไม่เว้นตัวฝูงสัตว์เหล่านี้ แม้ทั้งหมดล้วนบ่ายหน้าไปหามฤตยู พากันย่อยยับแหลกลาญที่ปากแห่งความตายทั้งนั้นแหละ
บทว่า ปตนโต ได้แก่ โดยการตกไป มีอธิบายว่า ดูก่อนพ่อภรตะเอ๋ย เปรียบเหมือนผลไม้อันสุกแล้ว ตั้งแต่เวลาที่สุกแล้วไป ก็มีแต่จะรอเวลาร่วงหล่น ว่าจะพรากจากขั้วหล่นลงบัดนี้ หล่นลงเดี๋ยวนี้ คือผลไม้เหล่านั้นมีแต่จะคอยระแวงอยู่อย่างนี้ว่า ความหวั่นที่จะต้องหล่นเป็นการแน่นอนเที่ยงแท้ มีแต่เรื่องนั้นถ่ายเดียวเท่านั้นฉันใด แม้ฝูงสัตว์ที่ต้องตายที่เกิดมาแล้วก็ฉันนั้น หวั่นเกรงแต่ที่จะตายถ่ายเดียวเท่านั้น ขณะหรือครู่ที่ฝูงสัตว์เหล่านั้นจะไม่ต้องระแวงความตายนั้นไม่มีเลย.
บทว่า สายํ แปลว่า ในเวลาเย็น. ด้วยบทว่า สายํ นี้ ท่านแสดงถึงการที่ไม่ปรากฏของผู้ที่เห็นกันอยู่ในเวลากลางวัน ในเวลากลางคืน และของสัตว์ผู้เห็นกันอยู่ในเวลากลางคืน ในเวลากลางวัน.
บทว่า กิญฺจิทตฺถํ ความว่า ถ้าคนเราคร่ำครวญอยู่ด้วยคิดว่า พ่อของเรา ลูกของเรา ดังนี้เป็นต้น หลงใหลเบียดเบียนตนอยู่ ให้ตนลำบากอยู่ จะพึงนำประโยชน์มาแม้สักหน่อย.
บทว่า กยิรา เจ นํ วิจกฺขโณ ความว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น บุรุษผู้เป็นบัณฑิตพึงร่ำไห้เช่นนั้น แต่เพราะผู้ร่ำไห้อยู่ ไม่สามารถจะนำผู้ตายแล้วมาได้ หรือสามารถจะทำความเจริญอื่นๆ แก่ผู้ตายแล้วนั้นได้ เหตุนั้นจึงเป็นกิริยาที่ไร้ประโยชน์ แก่ผู้ที่ถูกร่ำไห้ถึง บัณฑิตทั้งหลายจึงไม่ร่ำไห้.
บทว่า อตฺตานมตฺตโน ความว่า ผู้ร่ำไห้กำลังเบียดเบียนอัตภาพของตน ด้วยทุกข์คือความโศกและความร่ำไห้. บทว่า น เตน ความว่า ด้วยความร่ำไห้นั้น ฝูงสัตว์ผู้ไปปรโลกแล้ว ย่อมจะคุ้มครองไม่ได้ จะยังตนให้เป็นไม่ได้เลย. บทว่า นิรตฺถา ความว่า เพราะเหตุนั้น การร่ำไห้ถึงฝูงสัตว์ผู้ตายไปแล้วเหล่านั้นจึงเป็นกิริยาที่หาประโยชน์มิได้.
บทว่า สรณํ ได้แก่ เรือนเป็นที่อยู่อาศัย ท่านกล่าวคำอธิบายนี้ไว้ว่า บุรุษผู้เป็นบัณฑิต เมื่อเรือนถูกไฟไหม้ ก็ไม่ต้องตกใจแม้สักครู่ รีบดับเสียด้วยน้ำตั้งพันหม้อทันทีฉันใด ธีรชนก็ฉันนั้น พึงดับความโศกที่เกิดขึ้นแล้วโดยทันทีทีเดียว กำจัดปัดเป่าเสียโดยวิธีที่ความโศกจะไม่อาจตั้งอยู่ได้ เหมือนลมพัดปุยนุ่นฉะนั้น.
ใน บทว่า เอโกว มจฺโจ มีอธิบายดังต่อไปนี้ พ่อภรตะเอ๋ย ฝูงสัตว์เหล่านี้ชื่อว่ามีกรรมเป็นของของตน สัตว์ผู้ไปสู่ปรโลกจากโลกนี้ ผู้เดียวจากฝูงสัตว์เหล่านั้น ล่วงไปผ่านไป แม้เมื่อเกิดในตระกูลมีกษัตริย์เป็นต้น ผู้เดียวเท่านั้นไปเกิด. ส่วนความร่วมคบหากันของสัตว์ทั้งปวงในที่นั้นๆ มีการเกี่ยวข้องกันนั้นว่า ผู้นี้เป็นบิดาของเรา ผู้นี้เป็นมารดาของเรา ผู้นี้เป็นญาติมิตรของเรา ดังนี้ด้วยอำนาจที่เกี่ยวข้องกันทางญาติ ทางมิตร เท่านั้นเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อว่าโดยปรมัตถ์ ฝูงสัตว์เหล่านี้ ในภพทั้ง ๓ มีกรรมเป็นของของตนทั้งนั้น.
บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะเว้นความเกี่ยวข้องทางญาติ ทางมิตร อันเป็นเพียงการคบหากันของสัตว์เหล่านี้เสียแล้ว ต่อจากนั้นย่อมเป็นอื่นไปไม่ได้ ฉะนั้น.
บทว่า สมฺปสฺสโต ได้แก่ เห็นโลกนี้และโลกหน้า อันมีความพลัดพรากจากกันเป็นสภาวะโดยชอบ. บทว่า อญฺญาย ธมฺมํ ได้แก่ เพราะรู้โลกธรรม ๘ ประการ. บทว่า หทยํ มนญฺจ นี้ ทั้งสองบท เป็นชื่อของจิตนั่นเอง.
ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ดังนี้ว่า
โปฏฐปาทะเอ๋ย ธรรมในมวลมนุษย์เหล่านี้ คือมีลาภ ไม่มีลาภ มียศ ไม่มียศ นินทา สรรเสริญ สุขและทุกข์ เป็นของไม่เที่ยง เธออย่าเศร้าโศก เธอจะเศร้าโศกไปทำไม ดังนี้.

ความเศร้าโศกแม้จะใหญ่หลวง ซึ่งมีบุตรที่เป็นที่รักตายไปเป็นวัตถุ ย่อมปรากฏทางจิต ด้วยโลกธรรม ๘ ประการอย่างใดอย่างหนึ่งนี้ และย่อมไม่แผดเผาหทัยของธีรชนผู้ดำรงอยู่ เพราะได้รู้ถึงสภาวธรรมอันนั้นว่าเป็นของไม่เที่ยง.
อีกนัยหนึ่ง พึงเห็นความในข้อนี้ อย่างนี้ว่า ความเศร้าโศกแม้ว่าจะใหญ่หลวงก็จะแผดเผาหทัยวัตถุ และใจของธีรชนไม่ได้ เพราะมาทราบโลกธรรม ๘ ประการนี้.
บทว่า โสหํ ยสญฺจ โภคญฺจ ความว่า พ่อภรตะเอ๋ย การร้องไห้ร่ำไห้เหมือนของพวกคนอันธพาลไม่สมควรแก่เราเลย แต่เราเมื่อพระราชบิดาล่วงลับไป ดำรงอยู่ในฐานะของพระองค์นั่นแล จะให้ทานแก่คนที่ควรให้ มีพวกคนกำพร้าเป็นต้น ให้ตำแหน่งแก่ผู้ที่ควรให้ตำแหน่ง ให้ยศแก่ผู้ที่ควรจะให้ยศ บริโภคอิสริยยศโดยนัยที่พระราชบิดาของเราทรงบริโภค ทรงเลี้ยงหมู่ญาติ จะคุ้มครองคนที่เหลือ คือคนภายในและคนที่เป็นบริวาร จักกระทำการปกป้องและคุ้มครองกันโดยธรรมแก่สมณะและพราหมณ์ผู้ทรงธรรม เพราะทั้งนี้เป็นกิจอันสมควรของผู้รู้ คือผู้เป็นบัณฑิต.
ฝูงชนฟังธรรมเทศนาอันประกาศความไม่เที่ยงของพระรามบัณฑิตนี้แล้ว พากันสร่างโศก. ต่อจากนั้น พระภรตกุมารบังคมพระรามบัณฑิตทูลว่า เชิญพระองค์ทรงรับราชสมบัติในพระนครพาราณสีเถิด. ดูก่อนพ่อ ท่านจงพาพระลักขณ์และสีดาเทวีไปครองราชสมบัติกันเถิด.
ทูลถามว่า ก็พระองค์เล่า พระเจ้าข้า.
ตรัสว่า พ่อเอ๋ย พระบิดาของฉันได้ตรัสไว้กะฉันว่า ต่อล่วง ๑๒ ปี เจ้าค่อยมาครองราชสมบัติ เมื่อฉันจะไป ณ บัดนี้เล่า ก็เป็นอันไม่ชื่อว่าไม่กระทำตามพระดำรัสของพระองค์ แต่ครั้นพ้นจาก ๓ ปี อื่นไปแล้ว ฉันจักยอมไป.
ทูลถามว่า ตลอดกาลเพียงนี้ ใครจักครองราชสมบัติเล่า. พวกเธอครองชี.
ทูลว่า หากหม่อมฉันไม่ครอง.
ตรัสว่า ถ้าเช่นนั้นรองเท้าคู่นี้จักครองจนกว่าฉันไปแล้วทรงถอดฉลองพระบาททำด้วยหญ้าของพระองค์ประทานให้. กษัตริย์ทั้งสามพระองค์รับฉลองพระบาท บังคมพระรามบัณฑิต แวดล้อมด้วยมหาชน เสด็จไปสู่พระนครพาราณสี. ฉลองพระบาทครองราชสมบัติตลอด ๓ ปี. พวกอำมาตย์พากันวางฉลองพระบาทหญ้าเหนือราชบังลังก์ แล้วพากันตัดสินคดี. ถ้าตัดสินไม่ดีฉลองพระบาทก็กระทบกัน ด้วยสัญญานั้นต้องพากันตัดสินใหม่ เวลาที่ตัดสินชอบแล้ว ฉลองพระบาทปราศจากเสียงและคงเงียบอยู่.
ต่อนั้นสามปี พระรามบัณฑิตจึงเสด็จออกจากป่าบรรลุถึงพระนครพาราณสี เสด็จเข้าสู่พระราชอุทยาน. พระกุมารทั้งหลายทรงทราบความที่พระองค์เสด็จมา มีหมู่อำมาตย์แวดล้อมเสด็จไปพระอุทยาน ทรงกระทำนางสีดาเป็นอัครมเหสีแล้วอภิเษกทั้งคู่.
พระมหาสัตว์ทรงปราบดาภิเษกแล้ว ประทับเหนือราชรถอันอลงกต เสด็จเข้าสู่พระนครด้วยบริวารขบวนใหญ่ ทรงเลียบพระนครแล้วเสด็จขึ้นสู่ท้องพระโรง แห่งพระสุนันทนปราสาท. ตั้งแต่นั้น ทรงครองราชสมบัติโดยธรรมตลอดหมื่นหกพันปี ในเวลาสิ้นพระชนมายุ ทรงยังเมืองสวรรค์ให้เนืองแน่นแล้ว.

อภิสัมพุทธคาถานี้ว่า

พระเจ้ารามผู้มีพระศอดุจกลองทอง มีพระพาหาใหญ่ ทรงครอบครองราชสมบัติอยู่ตลอด ๑๖,๐๐๐ ปีดังนี้ ย่อมประกาศเนื้อความนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กมฺพุคิโว ความว่า มีพระศอ เช่นกับแผ่นทองคำ. จริงอยู่ ทองคำเรียกว่า กัมพุ.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะ ในเวลาจบสัจจะ กุฎุมพีดำรงในโสดาปัตติผล
ทรงประชุมชาดกว่า
พระทสรถมหาราชครั้งนั้น ได้มาเป็น พระเจ้าสุทโธทนมหาราช
พระมารดาได้มาเป็น พระนางสิริมหามายา
สีดาได้มาเป็น พระมารดาพระราหุล
เจ้าภรตะได้มาเป็น พระอานนท์
เจ้าลักขณ์ได้มาเป็น พระสารีบุตร
บริษัทได้มาเป็น พุทธบริษัท
ส่วนรามบัณฑิตได้มาเป็น เราตถาคต แล.

จบอรรถกถาทสรถชาดกที่ ๗

.. อรรถกถา ทสรถชาดก จบ.

อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 278&Z=6308
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด พระไตรปิฎกฉบับธรรมทาน
บันทึก ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ DhammaPerfect@yahoo.com


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2009, 21:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


mes เขียน:
อรรถกถา ทสรถชาดก

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะ ในเวลาจบสัจจะ กุฎุมพีดำรงในโสดาปัตติผล
ทรงประชุมชาดกว่า
พระทสรถมหาราชครั้งนั้น ได้มาเป็น พระเจ้าสุทโธทนมหาราช
พระมารดาได้มาเป็น พระนางสิริมหามายา
สีดาได้มาเป็น พระมารดาพระราหุล
เจ้าภรตะได้มาเป็น พระอานนท์
เจ้าลักขณ์ได้มาเป็น พระสารีบุตร
บริษัทได้มาเป็น พุทธบริษัท
ส่วนรามบัณฑิตได้มาเป็น เราตถาคต แล.

จบอรรถกถาทสรถชาดกที่ ๗

.. อรรถกถา ทสรถชาดก จบ.

อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 278&Z=6308
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด พระไตรปิฎกฉบับธรรมทาน
บันทึก ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ DhammaPerfect@yahoo.com


ต้องขอขอบคุณคุณ mes ที่นำข้อความฉบับเต็มมาลง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร