วันเวลาปัจจุบัน 16 ก.ค. 2025, 17:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2009, 09:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2008, 09:39
โพสต์: 219


 ข้อมูลส่วนตัว


๑. คนพาล (นอกรีต นอกศาสนา)
๒. บัณฑิต (มิตร กัลยาณมิตร)


เราท่าน มีความเข้าใจความหมายของคำเหล่านี้ มากน้อยเพียงใด ?
เจริญธรรม

:b8: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2009, 20:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


มิตรตัวน้อย เขียน:
๑. คนพาล (นอกรีต นอกศาสนา)
๒. บัณฑิต (มิตร กัลยาณมิตร)

เราท่าน มีความเข้าใจความหมายของคำเหล่านี้ มากน้อยเพียงใด ?
เจริญธรรม

:b8: :b12:



ถ้าสนทนาไม่ตรงหัวข้อกระทู้ ต้องขออภัยด้วยนะคะ

อันว่า คนเราทุกคนล้วนมี 2 ด้าน มีทั้งดีและไม่ดี สุดแต่ว่าใครจะเห็นด้านไหน เราจะไปฟันธงว่า คนนอกรีต นอกศาสนาเขาเป็นคนไม่ดีก็ไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะสนทนาได้นี่คะ พอดีคุณคามินธรรมนำมาโพส ดิฉันก็ว่า เราควรจะเลือกที่จะสนทนาด้วยดีกว่า ถ้าสนทนาด้วยแล้ว เห็นแล้วว่า ถ้ายังขืนสนทนาต่อไป มีแต่สร้างอกุศลกรรมใหม่ให้เกิด ซึ่งเป็นการสร้างเหตุที่ไม่ดี ผลมันก็ไปรออยู่ที่อนาคตแล้ว และแถมมีผลต่อการปฏิบัติของเราด้วย แล้วเราจะเอามันไหม จะสนทนาด้วยไหม ถ้าเราเป็นผู้ปฏิบัติ เรามีสติ สัมปชัญญะในระดับหนึ่ง เราก็สามารถที่จะเลือกสนทนาได้

สิ่งที่ควรพูด 10 อย่าง

กถาวัตถุ 10
กถาวัตถุ 10 หมายถึง เรื่องที่ควรพูด เรื่องที่ควรนำมาสนทนากันในหมู่ภิกษุ ได้แก่

1. อัปปิจฉกถา เรื่องความมักน้อย ถ้อยคำที่ชักชวนให้มีความปรารถนาน้อย
2. สันตุฏฐิกถา เรื่องความสันโดษ ถ้อยคำที่ชักนำให้มีความสันโดษ ไม่ชอบฟุ้งเฟ้อหรือปรนปรือ
3. ปวิเวกกถา เรื่องความสงัด ถ้อยคำที่ชักนำให้มีความสงัดกายใจ
4. อสังสัคคกถา เรื่องความไม่คลุกคลี ถ้อยคำที่ชักนำให้ไม่คลุกคลีด้วยหมู่
5. วิริยารัมภกถา เรื่องการปรารภความเพียร ถ้อยคำที่ชักนำให้มุ่งมั่นทำความเพียร
6. สีลกถา เรื่องศีล ถ้อยคำที่ชักนำให้ตั้งอยู่ในศีล
7. สมาธิกถา เรื่องสมาธิ ถ้อยคำที่ชักนำให้ทำจิตมั่น
8. ปัญญากถา เรื่องปัญญา ถ้อยคำที่ชักนำให้เกิดปัญญา
9. วิมุตติกถา เรื่องวิมุตติ ถ้อยคำที่ชักนำให้ทำใจให้พ้นจากกิเลสและความทุกข์
10. วิมุตติญาณทัสสนกถา เรื่องความรู้ความเห็นในวิมุตติ
ถ้อยคำที่ชักนำให้สนใจ และเข้าใจเรื่องความรู้ ความเห็นในภาวะที่หลุดพ้น จากกิเลสและความทุกข์


ส่วนใครจะทำอะไร อย่างไร เขาเป็นผู้รับผลของการกระทำนั้นๆ จะเป็นกุศลหรืออกุศล จิตเขาเองเป็นผู้บันทึกไว้ ไม่ใช่เป็นกุศลหรืออกุศลตามความคิดของเขา

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2009, 09:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2008, 09:39
โพสต์: 219


 ข้อมูลส่วนตัว


คนพาล (นอกรีต นอกศาสนา) = พวกนอกกรอบของศาสนา ไม่ว่าศาสนาใด ชอบวิวาทะ ไม่เป็นไปเพื่อให้เกิดปัญญา ไม่ประกอบด้วยเหตุด้วยผล มุ่งเอาชนะ เพื่อปกป้องความเห็นหรือทัศนะของตนจะใช้ วาจาหยาบ ก้าวร้าวไม่เคารพความเห็นของคนอื่น ชอบทำลายศาสนาอื่นด้วยวิธีรุนแรง เหมือนศาสนาพุทธที่ ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ในประเทศอินเดีย

บัณฑิต (มิตร กัลยาณมิตร) = มิตรนั้น มุ่งดีปรารถนาดี ถูกก็ชม ผิดก็เตือน

"กัลยาณมิตร" ปกป้องด้วย ไม่ยอมให้คิดผิด ทำผิด ตักเตือนก่อนเสมอ
แม้จะอยู่ไกล ไม่เคยรู้จักกัน แต่เมื่อมีใจมุ่งดีปรารถนาดีจริงใจต่อผู้ใด
เพื่อป้องกันช่วยเหลือ ไม่ให้เกิดความเสียหาย กับผู้นั้น
ไม่ว่ามากน้อยหนักเบา ก็นับได้ว่าป็นกัลยาณมิตรได้

"กัลยาณมิตร" นี้ หาไม่ได้ง่าย ๆ ไม่ใช่สามีทุกคนเป็นกัลยาณมิตรของภรรยา
หรือภรรยาทุกคนเป็นกัลยาณมิตรของสามี และไม่ใช่ว่าเพื่อนทุกคนเป็นกัลยาณมิตรของกันและกัน

ผู้เป็นกัลยาณมิตรนั้นมีคุณสมบัติเป็นหลักสำคัญที่สุดคือ "ความดี มีคุณธรรมประจำใจ พร้อมด้วยสติและปัญญา"

หากไม่มีคุณสมบัติดังกล่าว ก็ไม่อาจเป็นกัลยาณมิตรได้ ที่สำคัญ แม้เป็นผู้มีกัลยาณมิตร
แต่ปฏิเสธที่จะรับเป็นกัลยาณมิตร จึงเหมือนไม่มี และไม่ได้รับประโยชน์ด้วยควร

อีกข้อหนึ่งคือ พวก
พวก = เฮไหนเฮนั่น เอาไหนเอาด้วยผิดถูกไม่ว่า หลับหูหลับตาสนับสนุน ยกมือโมทนาสาธุ ไว้ก่อน

ถามว่า เราท่านจะเลือกใคร ส่วนใหญ่ก็จะเลือก "พวก" เพราะไม่ชอบคำเตือนของ "มิตร"
ยิ่ง "กัลยาณมิตร" ยิ่งไม่ต้องการ เพราะคำเตือนของ กัลยาณมิตร "แสลงหู แสลงใจ"


ท่านก็เลือกเอาว่า จะเสวนากับ พาล หรือ มิตร

เจริญธรรม

สวัสดีครับ คุณ walaiporn ยินดีที่ได้สนทนาแสดงความคิดเห็นต่อกัน

:b8: :b12:


แก้ไขล่าสุดโดย มิตรตัวน้อย เมื่อ 04 ก.พ. 2009, 10:28, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2009, 10:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2009, 23:24
โพสต์: 5

ที่อยู่: พรานนก

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นครั้งแรกที่เข้ามาสนทนาธรรม ทั้งที่ตัวไม่มีความเรื่องธรรมสักเท่าไรเลยครับ ผิดถูกขออภัยด้วยครับ

ส่วนตัวผมคิดว่า ไม่มีใครที่อยากสนทนากับคนพาล มากกว่า กัลยาณมิตร น่ะครับ
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า เราแยก พาล แยก มิตร ออกไหม
ที่สำคัญคือ ความคิดแต่ละขณะของตัวเรา เป็นความคิดแบบคนพาลไหม
ถ้าจิตตัวเรา"ขณะนั้น"เป็น พาล หรือ มีอวิชชามาบังสติ เราก็จะเลือกฟังคนที่มีความคิดแบบเราเสมอๆ
เราเป็นคนดึงคนแบบต่างๆ เข้ามาในชีวิตเรา ในแบบที่เราเป็น ถ้าจะแก้ต้องแก้ที่ตัวเราก่อน
..เคารพในทุกความคิดเห็นนะครับ..

.....................................................
"ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2009, 13:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2008, 09:39
โพสต์: 219


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับ คุณคาโมมายล์ ยินดีอย่างยิ่งที่ได้สนทนาแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นกัน

การสนทนาธรรมนั้น หากสนทนากับมิตร หรือ กัลยาณมิตร "ธรรมเพียงประโยคเดียว" ก็ยังสามารถทำให้ผู้อื่น เกิดสติ เกิดปัญญา บรรลุธรรมได้ เช่น :---

"พาหิยะ เธอจงอย่าสนใจในรูป"
"เราตถาคต หยุดแล้ว เธอสิยังไม่หยุด"

"นกตัวนี้มันทำอะไรให้พ่อ พ่อจึงยิงมัน"


หากได้เสวนาธรรมกับคนพาลนั้น มีแต่ขุ่นข้อง หมองใจ ทะเลาะ เบาะแว้ง กันเป็นประจำเห็นได้ใน Webboard นี้ ท่านจึงว่า "อย่าเหนื่อยหน่ายในการเสวนาธรรมกับมิตร แต่จงเหนื่อยหน่ายในการทะเลาะเบาะแว้ง กับคนพาล"

เจริญธรรมครับ

:b8: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2009, 13:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


มิตรตัวน้อย เขียน:
๑. คนพาล (นอกรีต นอกศาสนา)
๒. บัณฑิต (มิตร กัลยาณมิตร)

เราท่าน มีความเข้าใจความหมายของคำเหล่านี้ มากน้อยเพียงใด ?
เจริญธรรม

:b8: :b12:



บัณฑิตในที่นี้ มิได้หมายถึงคนที่จบด๊อกเตอร์ หรือปริญญาระดับต่างๆ นะครับ
คนพาลก็ไม่ได้หมายถึง นักเลงอันธพาลอย่างเดียว

ท่านว่าลักษณะของคนพาลมี ๓ ประการคือ

๑. คิดชั่ว คือการมีจิตคิดอยากได้ในทางทุจริต มีความพยาบาท และมิจฉาทิฏฐิ คือเห็นผิดเป็นชอบ

๒. พูดชั่ว คือคำพูดที่ประกอบไปด้วยวจีทุจริตเช่น พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ และพูดเพ้อเจ้อ

๓. ทำชั่ว คือทำอะไรที่ประกอบด้วยกายทุจริตเช่น การฆ่าสัตว์ ลักขโมย ฉ้อโกง ฉุดคร่าอนาจาร ประพฤติผิดในกาม

รูปแบบของคนพาล มีข้อควรสังเกตุคือ

๑. ชอบแนะนำไปในทางที่ผิด หรือที่ไม่ควรแนะนำ อาทิเช่น แนะนำให้ไปเล่นการพนัน ให้ไปลักขโมย ให้กินยาบ้า ให้เสพยา ชวนไปฉุดคร่าอนาจาร เป็นต้น เหล่านี้ถือว่าเป็นพาล

๒. ชอบทำในสิ่งที่ไม่ใช่ธุระ อาทิเช่น ไม่ทำงานตามหน้าที่ของตนให้เรียบร้อย แต่กลับชอบจะไปก้าวก่ายยุ่งกับหน้าที่การงานของผู้อื่น หรือไปจับผิดเพื่อนร่วมงาน แกล้ง ยุยง นินทาว่าร้ายกันและกัน เป็นต้น

๓. ชอบทำผิดโดยเห็นสิ่งผิดเป็นของดี อาทิเช่น การสูบยาได้เป็นฮีโร่ เห็นคนที่ซื่อสัตย์เป็นคนโง่ไม่กินตามน้ำ ชอบรับสินบน ทุจริตในหน้าที่ หรือช่วยพวกพ้องให้พ้นจากความผิด เป็นต้น

๔. จะโกรธเคืองเมื่อพูดเตือน อาทิเช่น การเตือนเรื่องการเที่ยวเตร่ เตือนเรื่องการดื่มเหล้า กลับบ้านดึก เตือนเรื่องการคบเพื่อนเป็นต้น คนพวกนี้จะโกรธเมื่อได้รับการตักเตือน และไม่รับฟัง

๕. ไม่มีระเบียบวินัย อาทิเช่น ไม่เข้าคิวตามลำดับก่อนหลัง แต่ชอบแซงคิวอย่างหน้าด้านๆ ทิ้งขยะลงคลอง หรือข้างทาง ไม่เคารพกฏหมายของบ้านเมือง หรือของท้องถิ่น เป็นต้น


บัณฑิต หมายถึงผู้ทรงความรู้ มีปัญญา มีจิตใจที่งาม และมีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง รู้ดีรู้ชั่ว (ไม่ใช่คนที่จบปริญญาโดยนัย) มีลักษณะดังนี้คือ

๑. เป็นคนคิดดี คือการไม่คิดละโมบ ไม่พยาบาทปองร้ายใคร รู้จักให้อภัย เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ ความกตัญญูรู้คุณเป็นต้น

๒. เป็นคนพูดดี คือวจีสุจริต พูดจริง ทำจริงไม่โกหก ไม่พูดหยาบ ถากถาง นินทาว่าร้าย

๓. เป็นคนทำดี คือทำอาชีพสุจริต มีเมตตา ทำทานเป็นปกตินิสัย อยู่ในศีลธรรม ทำสมาธิภาวนา

รูปแบบของบัณฑิต มีข้อควรสังเกตุคือ

๑. ชอบชักนำในทางที่ถูกที่ควร อาทิเช่นการชักนำให้เลิกทำในสิ่งที่ผิด ตักเตือนให้ทำความดีอย่างเช่น ให้เลิกเล่นการพนันเป็นต้น

๒. ชอบทำในสิ่งที่เป็นธุระ อาทิเช่นการทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วง และใช้เวลาที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ ไม่ก้าวก่ายเรื่องของผู้อื่นเว้นแต่จะได้รับการร้องขอ

๓. ชอบทำและแนะนำสิ่งที่ถูกที่ควร อาทิเช่นการพูดและทำอย่างตรงไปตรงมา แนะนำการทำทานที่ถูกต้อง ทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น

๔. รับฟังดี ไม่โกรธ อาทิเช่นเมื่อมีคนมาว่ากล่าวก็ไม่ถือโทษ หรือโกรธ หรือทำอวดดี แต่จะรับฟังแล้วนำไปพิจารณาโดยยุติธรรม แล้วนำมาแก้ไขปรับปรุง

๕. รู้ระเบียบ กฏกติกามรรยาทที่ดี อาทิเช่นการรักษาระเบียบวินัยขององค์กร เพื่อให้หมู่คณะมีความเป็นระเบียบ และการดำเนินงานไม่สับสน หรือการรักษาความสะอาด ปฏิบัติ และเคารพกฏของสถานที่ ไม่ทำตามอำเภอใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2009, 05:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 462

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คนไม่ควรเสวนา หรือ แม้นแต่ อยู่ใกล้...

1. คนมี มิจฉาทิฐิ...

เช่น คนที่เห็นว่า กรรมไม่มี โลกหน้าไม่มี เป็นต้น

เพราะอะไรฤๅ จึงควรเลี่ยง?

...เพราะ มิจฉาทิฐิ เป็นเหตุ เป็นรากแก้ว ให้ ผิดศีล จัดอยู่ในกรรมหนัก
1 ใน 5 อนันตริกรรม (กรรมหนักสาหัส..นรกชั้นลึกๆ สถานเดียว)...

...เพราะฉะนั้น การอยู่ใกล้ ผู้มีความ เห็นเช่น นี้ มีโทษมาก..

มืดมาสว่างไป...
ตรงกันข้าม คนที่เคยมีมิจฉาทิฐิ ต่อมาได้ฟังสัจธรรมอัน ถูกต้องของกัลยาณมิตร...
ได้ดวงตา ละมิจฉาทิฐิ เสียได้ เรียกว่า มืดมาสว่างไป....

เช่น..คนที่ อาจจะ
ถูกสอนผิดๆ ยึดหลัก "Survival of the fittest"
http://en.wikipedia.org/wiki/Survival_of_the_fittest
ก็อาจมุ่ง โกหกบ้าง โกงเขาบ้าง หนักเข้าก็ถึงลอบฆ่าเขาก็มี..

เพระมีความเห็นผิดนั้นเอง....


เช่นบางคนเป็นเศรษฐีใหญ่ แต่ไม่เชื่อเรื่องกรรม มีความโลบความตระหนี่อย่างยิ่ง
บังเอิญเราเป็น คนรู้จักกับเขา เป็นกัลยณมิตรมิตรเขา เป็นอุปกระญาติของเขา เราก็จะแนะนำหรือชวน
เขาไปทำบุญ มีการทำสังฆทานเป็นต้น.....

ปรากฎว่าเศรษฐีขี้เหนียวอันมีมิจฉาทิฐิ ครอบงำ เขาจะไม่มีใจยินดีกับเรา ด้วย ทำทานก็ทำแต่ น้อย ทำแบบเสียไม่ได้ ไม่ทำด้วยความเคารพ....

อย่างนี้แล้ว จะไม่ก็ให้เกิดกุศลจิต ต่อเราเลย...
เราก็ควรหลีกเขาเสียให้ ไกลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล......
..
ถึงนิพพานก็ไม่ต้องมาเจอกันอีก... :b41:

.....................................................
"เป็นผู้เคารพยิ่งนักต่อพระสัทธรรมของสมเด็จพระผู้มีพระภาค"
ขอข้าพเจ้าพึงเป็นอติธัมมครุคือ


แก้ไขล่าสุดโดย นัน555 เมื่อ 09 ก.พ. 2009, 00:04, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2009, 06:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 462

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


1.1 ตรงกันข้าม

หากบังเอิญเราได้ โชคดี
ได้มีมิตรดีเยี่ยม มิตรชั้นเลิศ อย่างมหาอุบาสิกาวิสาขา..แล้วละก็ เหมือนได้ลาภก้อนโตๆ...
ขอให้ได้พบกันทุกๆชาติจนกว่าจะนิพพาน

เหตุใดฤๅ...

"นางวิสาขามหาอุบาสิกา เป็นสหายของดิฉัน อยู่ในเมืองสาวัตถี ได้สร้างมหาวิหารถวายสงฆ์ ดิฉันเห็นมหาวิหารนั้น "
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=1507&Z=1579
แล้ว มีจิตเลื่อมใสอนุโมทนา ก็วิมานอันเป็นที่รักนี้อันดิฉันได้แล้ว
เพราะการอนุโมทนาด้วยจิตบริสุทธิ์แต่อย่างเดียวเท่านั้น วิมานนี้เป็น
วิมานอัศจรรย์น่าดูน่าชม โดยรอบสูง ๑๖ โยชน์ เลื่อนลอยไปในอากาศ
ได้ตามความปรารถนาของดิฉัน ดิฉันมีปราสาทเป็นที่อยู่อาศัย อันบุญ
กรรมจัดแจงเนรมิตให้เป็นส่วนๆ งามรุ่งโรจน์ตลอดร้อยโยชน์โดยรอบ
ทิศ อนึ่ง ที่วิมานของดิฉัน มีสระโบกขรณีเป็นที่อาศัยของหมู่มัจฉาชาติ
มีน้ำใสสะอาด มีท่าอันลาดด้วยทรายทอง ดารดาษไปด้วยปทุมชาตินานา
ชนิดพร้อมทั้งบัวขาว เกษรแห่งบัวทั้งหลายอันลมรำเพยพัด ย่อมหอม
ฟุ้งเจริญใจ มีรุกขชาติต่างๆ อันบุญกรรมปลูกไว้ใกล้วิมาน คือ ไม้หว้า
ขนุน ตาล มะพร้าว วิมานนี้กึกก้องไปด้วยเสียงดนตรีต่างๆ และ
กึกก้องไปด้วยหมู่นางอัปสร แม้นรชนใดได้เห็นวิมานนี้ด้วยความฝัน
นรชนนั้นก็พึงปลื้มใจ วิมานอันมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ น่าอัศจรรย์
น่าดูน่าชมเช่นนี้ เกิดแต่ดิฉันเพราะกุศลกรรมทั้งหลาย ควรทำบุญโดยแท้.
พระอนุรุทธเถระ เมื่อจะให้นางเทพธิดาบอกที่เกิดของนางวิสาขามหาอุบาสิกา จึงกล่าว
ถามด้วยคาถาความว่า
วิมานอันอัศจรรย์น่าดูน่าชมนี้ ท่านได้แล้ว เพราะการอนุโมทนาด้วย
จิตอันบริสุทธิ์อย่างเดียวเท่านั้น ..
..."
...........................

เพราะฉะนั้น มีมิตรดี แม้แต่เพียง เราได้ อนุโมทนา ในกรรมดี ที่ เขาได้ทำ
ก็มี ผล แล้ว
ก็มีผลแล้ว
....

.....................................................
"เป็นผู้เคารพยิ่งนักต่อพระสัทธรรมของสมเด็จพระผู้มีพระภาค"
ขอข้าพเจ้าพึงเป็นอติธัมมครุคือ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2009, 07:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 462

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


๒.

นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล
นี้เป็นโทษ นี้ไม่มีโทษ ..(นี้มีคุณ)
นี้พึงเสพ นี้ไม่พึงเสพ

นี้เลว นี้ประนีต
นี้ดำ นี้ขาว มีส่วนคล้ายกัน...
....................................

ใดฤๅเรียกว่า กุศล อกุศล? ....ในการเสวนา

ตอบว่า...ถ้าหาก เรา เสวนา กับ นายดำ แล้ว พิจารณา แล้ว ปรากฎ ว่า อกุศลจิต ของเรา มันเกิดขึ้น ทีละน้อยๆ จนแก่กล้ารุนแรงขึ้น อย่างนี้ ไม่ควรเสพ...ไม่ควรเสวนา..

เช่น พอเราเจอ นายดำ(นาม สมมติ) แล้ว จิตเรา เกิด อิจฉาเขา เหม็นหน้า เขา รังเกียจเขา โกรธแค้นเขา จนถึง อาฆาตเขา แบบนี้ เรียกว่า การเสวนา กับ นายดำ เป็น เหตุล้วนๆ ให้เกิด อกุศลจิต ซึ่งแน่นอน อกุศลจิตเหล่านี้ มีโทษมาก มันเกิดขึ้นทีละน้อยๆ ถ้าเราไม่รู้เท่าทัน ปล่อยให้มันได้ อาหาร คือความโกรธ ความชัง ไปเรื่อย ....เราก็จะ จากจิตร้าย กลายเป็นพูดร้าย ต่อมา ก็ กายร้าย...ซึ่งมีแต่โทษ.

...................................
แต่กลับกัน
นายขาว พอเราเสวนากับเขา
เราได้ฟังเรื่องที่ไม่เคยฟังมาก่อน
ได้เคยเข้าใจเรื่องที่ไม่เข้าใจมาก่อน
ได้เชื่อ และเห็นแต่ ในสิ่งที่ มีประโยชน์
ได้กลับความคิดเห็น เราเดิมที่เคยผิด ให้เป็นถูก

.......และจิตของ เรา ก็ มีความยินดีในการกับนายขาว ได้ฟังเรื่องของนายขาว ไปทำดีอะไรมา ก็มีจิตร่าเริง ยินดีไปกับเขา ได้ข่าวว่า นายขาวได้ขึ้นเงินเดือน ได้โบนัส ก็ยินดีกับเขา เป็นต้น...
อย่างนี้เรียกว่า การเสวนากับนายขาว เป็นเหตุให้ เกิด กุศลจิต ควรเสพ มีคุณ
...................................

กุศลจิตทางตา เห็นเขาทำบุญใส่บาตร เห็นเขาไหว้พระเจดีย์ เห็นเขาเวียนเทียนรอบอุโบสถ
กุศลจิตทางหู ได้ยิน เสียงพระเทศ เสียงระฆัง
กุศลจิตทางจมูก ได้กลิ่น ดอกไม้ที่เขามาไหว้พระ
....
เป็นต้น ถ้าหากรับรู้แล้ว จิตอิ่มเอิบ เกิดกุศลจิต = ควรเสพ..
เพระฉะนั้น เราควรรู้เท่าทัน มุ่งหาสิ่งที่เป็นกุศล
และหลีกให้ไกลสิ่งที่เป็นอกุศล

.....................................................
"เป็นผู้เคารพยิ่งนักต่อพระสัทธรรมของสมเด็จพระผู้มีพระภาค"
ขอข้าพเจ้าพึงเป็นอติธัมมครุคือ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2009, 00:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b17: :b17: :b17:

เป็นอย่างนี้แหละๆ ขอบคุณ จขกท. แมวเลือกเสวนากะ กัลยาณมิตร(ตัวน้อย)
ไม่อยากเสวนากะพวกพาล.. :b2:

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2009, 05:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 462

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คนพาล
โทษของตัว 10000 เหมือน มีแค่ 1
โทษของคนอื่น 1 เหมือน 10000

คุณของตัว 1 เหมือน 10000
คุณของผู้อื่น 10000 เหมือน 1


บัญฑิต
พิจารณาแต่โทษของตัว ไม่เพ่งโทษผู้อื่น

.....................................................
"เป็นผู้เคารพยิ่งนักต่อพระสัทธรรมของสมเด็จพระผู้มีพระภาค"
ขอข้าพเจ้าพึงเป็นอติธัมมครุคือ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2009, 08:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2008, 09:39
โพสต์: 219


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณครับ มีหลายท่านที่มาร่วมแสดงความคิดเห็น

"อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา"

เป็นมงคลหนึ่งใน มงคล ๓๘ ครับ
เจริญธรรม

:b8: :b12:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร