วันเวลาปัจจุบัน 31 ต.ค. 2025, 10:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2025, 00:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2217

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมะที่ได้ฟังเรื่องแรก 

เม เคยเล่าประวัติไปหน่อยแระ ว่าเกิดมาก็เจอพระมาสวดมนต์ให้ 
ตั้งแต่วันแรก  อันนี้จำไม่ได้หรอก แต่พ่อกะแม่เล่าให้ฟัง

นานมากแล้ว เมื่อนั้น เม ยังเด็กมากยังประถมต้น 
อันนี้จำได้  เพราะไปที่นั่นหลายครั้ง 

ตอนนั้นก็ได้ไปวัดแห่งนึง กับพ่อและแม่ 
วัดนั้น  อยู่บนเทือกเขาชายแดน 
รอบๆวัดมีสวนผลไม้ปลูกไว้ด้วย
บรรยากาศร่มรื่น ได้มีคุณแม่ชี เดินพาเที่ยว คอยดูแล ในบริเวณวัด 
คงกลัวว่าเม จะซนแล้วโดนตัวอะไรคาบไปกิน 

เมก็เดินเล่น ไปกับคุณแม่ชี แล้วเก็บเอาคราบจักจั่น ไปถามคุณแม่ชี นี่ตัวอะไร 
คุณแม่ชีท่านก็ได้เล่าให้ฟัง 

แล้วได้มีโอกาส ฟังธรรม จากหลวงปู่

เรื่องแรกที่ได้ฟัง และยังจำได้จนวันนี้ 

เป็นเรื่อง  ที่มีชายคนนึง เดินทางไกล
แล้วไปพัก ที่บ้านช่างปั้นหม้อ 
พักค้างคืนที่นั่น จวนเกือบสว่าง
แล้วพระพุทธเจ้า พระองค์ได้เสด็จมา 
ทรงได้แสดงธรรม สนทนาธรรม แก่ชายคนนั้น ทั้งคืน 

หลวงปู่ ท่านก็เล่า ให้เมฟัง แล้วก็ให้พัก ทานนมขนมของว่างอาหารกลางวัน 
อิ่มหนำสำราญเสร็จ 
 หลวงปู่ ท่านก็เล่าต่อ จนเย็น แล้วก็ให้พัก ทานอาหารเสร็จ ไปวิ่งเล่นได้ 
แล้วท่านก็ไปลงโบสถ์  ระหว่างนั้ ก็ให้พัก เม ก็ได้นอนพักหลับไป

พอท่านกลับมา ก็เล่าให้ฟังต่อ จนดึก  จนเมเริ่มง่วง 
ท่านก็ให้คุณแม่ชี พาไปนอน 

พออีกวัน ท่านก็เล่าต่อ แล้วก็ถึงเวลาพัก แล้วท่านก็เล่าต่อ จนดึกเหมือนเคย 
 เมก็ได้อาศัยนอนที่วัด หลับไปเมื่อไร ไม่รู้เรื่อง

ก็ประทับใจ ว่าหลวงปู่ เล่าได้ทั้งวันทั้งคืน เหมือนพระพุทธเจ้าเลย ใช่หรือเปล่าน้อ 
ที่เล่าให้ชายคนนั้นฟังทั้งคืน 

แล้วในคำสอนเล่าเหล่านั้น เม จำได้คำเดียว เท่านั้น 

คือคำว่าธาตุ 

คำว่าธาตุนั้น ก้องอยุ่ในหัว จำได้คำเดียว  ค่ะ

s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2025, 19:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2217

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนนั้น รู้อย่คำเดียว นั่นแหละวิชาปริยัติ ที่เรียนมา 
แล้วเม ก็ได้แวะเวียนไปอีกหลายที่ ตามผู้ปกครองไป วัดต่างๆ 
จนมีวัดนึง 
ก็มีหลวงปู่อีกองค์ ให้หนังสือมาอ่านเล่น 

เป็นนิทาน เรื่อง กามนิต วาสิฐถี
ก็ได้อ่านไปอย่างเพลิดเพลิน แต่ก็มีเอ๊ะ ๆ 

เรื่องนี้ เหมือนในเรื่องบ้านช่างปั้นหม้อ ที่หลวงปู่ท่านเล่าให้ฟังมาแล้ว
ก็เลยกลับไปไล่ไป อ่านใหม่ ทั้งเรื่องในพระสูตร และก็ในนิยาย 
สภาพบ้านเมือง ความเป็นอยู่ สภาพแวดล้อมต่างๆ ศาสนา และความเชื่อต่างๆ
ในยุคนั้น ก็ชัดขึ้น กว่าอ่านแต่ตัวหนังสืออย่างเดียว

็ก็เอ๊ะๆๆ หลายเอ๊ะ พันธ์พืชที่หลวงปู่ได้หย่อนไว้ให้เม ก็เริ่มงอก ตรงโน้นบ้าง ตรงนี้บ้าง
เส้นทางการเดินทาง ของท่านเหล่านั้น ในหนังสือ ในพระไตรปิฎก 
บารมีต่างๆที่สร้างที่สะสม ไม่มีความบังเอิญ น่าจดจำ น่าเดินตาม
น้ำหนัก ที่จำได้คำว่าธาตุ ก็มีความรู้สึกหนา และแน่นขึ้น 

เม อ่านนิทานไป ไม่ได้คิดอยากเป็นตัวละครตัวไหน ไม่ว่าพระเอก นางเอก 
นิทานทูเร นิทานอวิทูเร นิทานสันติเก นิทานรูปแบบต่างๆ 
คงอ่านไม่ไหว ก็อ่านเรื่องเดียวนี่แหละ 
สะกดรอยไปทุกย่างก้าว 
ทุกคำพูด ทุกคำสนทนา ทีละคำ ๆ ทีละก้าว ๆ 
สะกดตามไปเรื่อยๆ

รู้อ่าน รู้จำ รู้จัก แต่ไม่รู้จริง 
ก็อ่านไป จินตนาการบรรเจิด 
ไม่ได้ไปไส่ใจอ่านบทอื่นอีก ค่ะ 

หลังจากนั้น ก็มีโอกาส ไปโน่นไปนี่ แล้วก็ถูกพาไปแวะวัดโน้นนี้ ตามเส้นทางที่ไปเหมือนเคย
แล้วก็เจอหลวงปู่ที่สอนกัมฐาน ท่านก็ทำตัวอย่างให้ดู การนั่ง ท่านถอดแว่นออกวางแล้วก็ขัดสมาธินั่งหลับตา 

ก็นะ ไม่รํ้อิโหน่อิเหน่ แถมซนมือบอน   เรยไปหยิบเอาแว่นหลวงปู่ที่ถอดไว้ 
มาถือแล้วก็ทำท่าตามท่านไป แล้วก็ได้ยินเสียง 
หลวงปู่หาแว่นหายไปไหน  ก็เมถือไว้น่ะเอง
ก็ได้หัดนั่งสมาธิทำกัมฐานตั้งแต่นั้นแหละ ค่ะ 

และก็ได้พบกับครูบาอาจารย์ หลายสำนัก ครูบาอาจารย์อีกหลายท่าน เลย 
เพื่อพื้นฐาน 
แต่ก็อ่านพระสูตรนั้น และนิยายนั้น บ่อย
อ่านที ก็เกิดปิ๊งตรงนั้นที ตรงนี้ที 
อ่านอีกที ก็มีปิ๊งใหม่ ๆ ไปเรื่อยๆ 
เวลาก็ล่วงไปหลายปี 

แล้วก็ได้กลับไป ก็ไปหาหลวงปู่ องค์เดิม ที่สอนเรื่องราวในบ้านช่างปั้นหม้อ 
ที่นี้ ท่านก็ไม่ได้สอนอะไร
 บอกแต่ว่า ความสำเร็จไม่ได้อยู่ในป่าเขา แต่อยู่ที่เธอเอง 
และก็บอกอีกว่า ต่อไปนี้ ไม่ต้องแสวงหาอาจารย์อื่นใดอีก 
ให้หาที่ในตัวเธอเอง  
ท่านก็ไม่ได้พูดไรต่อ ท่านก็ไปทำกิจท่าน จนถึงเวลากลับ ก็ไปลาท่าน 
ท่านก็บอกว่า ถ้าเห็นท่านเป็นอาจารย์ ก็ให้ทำตามที่บอก 

ครั้งนั้นเป็นครั้งสุดท้ายที่เจอหลวงปู่  แล้วท่านก็ละสังขารไปค่ะ

ท่านทิ้งคำพูดไว้ ก็ไม่อาจตีความหมายได้ เที่ยวถามคนโน้นคนนี้ 
แต่ ก็ได้รับคำตอบเยอะแยะ ยิ่งงงไป 

ก็ควานหาคำตอบ จากความรู้ที่มี คือ คำว่าธาตุ และ บทเรียนบทเดียวที่เรียนมา 
มีน้อยนี่คะ และก็คำสอนไม่กี่คำ เอาไว้หาในตัว  และก็มีคำท่านที่คอยเตือนสติ เท่านั้นเอง 

อย่างน้อยๆ ก็ได้คำที่ประทับใจมาอีกหน่อย คือคำที่หลวงปู่บอกครั้งสุดท้ายนั่นแหละ ค่ะ
s004


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2025, 20:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2217

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่ผ่านมานั้น 
เม  ก็ไม่ได้รู้อะไรมากมายหรอกค่ะ 

ในพระสูตร นั้น และในนิยายกามนิต วาสิฎฐี  

กลับมี เรื่องราว ที่ชอบ อยุ่มาก มากๆๆๆๆๆ

แต่ที่ชอบมากที่สุด และเอ๊ะๆๆๆ หนักที่สุด  

คือ  ที่นั้น  ต้องเป็นบ้านช่างปั้นหม้อ  

และช่างปั้นนั้น ท่านนั้นคือ ภควะ 

และอีกช่างปั้นหม้อ  คือ พระสมณโคดม พุทธเจ้า 

ธรรมชาติวิธี  ของการปั้นหม้อ 

ซึ่งต้องเสาะแสวงหา ค้นหาดิน ธาตุต่างๆ   เอามาบด มานวด ผสม ธาตุต่างๆลงไป 
ปราณีตถูกต้องตามสัดส่วน  ผสม สมบูรณ์ด้วย ดินน้ำลมไฟ   

จากเศษดินทรายหินละเอียด  แร่ธาตุต่างๆ เม็ดเล็กๆเป็นปรมาณู  
สารประกอบต่างๆคลุกเคล้ากัน รวมกันอย่างงดงามมาก 
ผสมได้ที่  ขึ้นรูป ไปตามต้องการ  จนสำเร็จ ลุล่วง เป็นหม้อที่สมบูรณ์ และงดงาม 
สุดที่จะพรรณา 

เป็นต้นเหตุของธาตุสูตร 

และเสร็จสมบูรณ์ บริบูรณ์จบด้วย  นิพพานธาตุ 

นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างล้นเลย สำหรับเม 

ฤทธิ์ ก็รู้กันได้ว่าฤทธิ์ ปาฎิหารย์ ก็รู้กันได้ว่าปาฎิหารย์ 

แต่ พระสูตรนึ้น สำหรับเม  มหัศจรรย์ยิ่ง  ยิ่งกว่าปาฎิหารย์และฤทธิ์ใดๆ 

tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2025, 13:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2217

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


คณาจารย์ที่ เม ได้พบ ผ่านๆมา หลายสำนัก หลายแนวทาง

นั่นก็น่าจะพอจริงๆแล้วก็  ไม่ต้องแสวงหาอาจารย์อื่นใดแล้ว ให้เยอะแยะไปกว่านี้  

ถึงเวลาอยู่ที่ตัวเองดีกว่า ฝึกปรือวิทยายุทธไป ตามคำที่หลวงปู่บอก 

พระอาจารย์ องค์ที่หนุ่มที่สุด ที่เจอในเวลานั้น   ก็ถ้าอายุตอนนี้ ท่านก็90 แล้ว

พระอาจารย์องค์อื่นๆ   ถ้านับถึงตอนนี้ แต่ละองค์ ก็อายุก็เป็นร้อยๆปีกันไปแล้วค่ะ 
แต่ถึงเวลาตอนนี้ พวกท่านละสังขารกันไปหมดแล้ว 
แต่วิชาท่านเหล่านั้น ก็ยังมีอยุ่  และในเวปนี้ก็มีจารึกไว้ 

ก็นับว่าเป็นโชควาสนาอันดี ทีเมได้เจอท่านเหล่านั้น ในปลายๆชีวิตท่านกันทั้งหมด 
และก็ส่วนมากเลย เม เจอท่านเหล่านั้น แค่ไม่กี่ปี แล้วท่านก็พากันละสังขารไปเรื่อยๆ ทีละองค์ ๆ

เม ก็มักถามว่า ท่านจะแก้ไขแนะนำเม ตรงไหนบ้าง
เม ต้องเพิ่มตรงไหนบ้าง

ครู ปกติคุยกันนิดหน่อย ก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าเด็กอ่อนวิชาอะไร ต้องติวตรงไหน ควรสอนอะไรเพิ่ม

แต่ท่านเหล่านั้นไม่ใช่ครูธรรมดาๆ 
เม ก็เลยไม่ต้องค้นเอง ให้ท่านๆ ติวให้เลย 

เพราะท่านเหล่านั้น ปฎิบัติมานานแทบทั้งชีวิตท่านอยู่แล้ว   
ชำนาญแต่ละด้านเป็นปรมาจารย์สำนักใหญ่ๆทั้งนั้น เลย

เมื่อในยุทธภพ ช่วงนั้น ก็มีสำนักใหญ่ๆ แบบหนังมังกรหยก นั่นแหละ
เม ก็เลยไปตามสำนักคณาจารย์ เหล่านั้น ไปหัดวิชา 

เหมือนแบบไปเรียนจาก  สำนัก เม้งก่า บู้ตึ้ง เส้าหลิน ง๊อไบ้ หัวซาน คุนลุ้น คงท้ง  และอื่นๆ 
พวกสำนักนอกด่านอีก เยอะแยะ 

เม ก็มองพวกท่านแบบนั้น ที่เป็นปรมาจารย์ที่ชำนาญยุทธด้านต่างๆ 

เหมือน ถ้าเม จะไปตีสุนัข ต้องให้ใครสอน  ต้องวิชาไม้เท้าตีสุนัขใช่มั๊ยคะ แล้วก็ลองไปตีมาแล้วด้วย 

จะบรรลีอสีหนาท ก็ต้อง ศรีมาลาเทวี สีหนาทสูตร มั๊ยน้อ  
ซึ่งพระสูตรนี้ยากๆๆๆๆๆมากๆๆ สำหรับเม  

พวกท่านปรมาจารย์เหล่านั้น มองแป๊ปเดียว ก็เห็นของหยาบๆอย่าง เม ได้ง่ายอยู่แล้ว ว่าควรฝึกยังไง
ก็ทราบอยู่แล้ว ว่า เม มีหน่วยก้านยังไง

ก็เอาที่ท่านเหล่านั้นชี้ทางให้ ไปดู ไปทำ คอยระวังจุดโน้นจุดนี

จากปริยัติที่ได้มาบทนึง ก็ได้มีปฎิบัติเพิ่มขึ้น จากสำนักเหล่านั้น

แล้วก็เรย หาอีกทาง ไปกอบโกยอริยทรัพย์ มาหนุน 

ไปเที่ยวเวปธรรมะ เอาธรรมะไปลง ลอกจากเมนเฟรมที่บ้าน ไปลง ลอกจากหนังสือตำราไปลง
สแกนไปลงมั่ง  นั่งพิมพ์บ้าง ลงหนังสือธรรมะ ไป 

เจอ เปิดเวปใหม่ โล่งๆ ก้อไปช่วย ลงสำนักต่างๆ เมื่อพวกศิษย คณาจารยองค์ต่างๆเปิดเวปธรรม ก็เอาไปลง

บางเวปเปิดมาไม่กี่วัน โล่งมาก เมก็ ขุดไปใส่ให้ เต็มเพียบ จนต้องลดห้องลง เพราะเนื้อที่ไม่พอ 

ข้อมูลแต่ละเวปก็ไม่น้อยกว่าเวปนี้เนาะ   แต่ตอนนี้เวปธรรมะ ก็ค่อยๆหายไป เพราะอนิจจัง
เวปเกิดขึ้น ก็ตั้งอยู่ แล้วดับไป 

แบบเวปลุงคนนึง  ที่เคยเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ในนี้ 
ก็เปิดไปสองสามเวปมั๊งคะ  แล้ว เวปก็ไปนิพพานตามชื่อเวปไป  เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วดับไป 
เพราะไม่ไปจ่ายค่าโดเมน คิคิ 
เมื่อเข้าไปช่วยลงธรรมะมา ก็เรยรู้ไส้พุงลุงคนนั้นหมดเรย huh

ได้ฝึกเป็นนักปราชญ์ สุจิปุลิไปด้วย  ตั้งแต่ยังไม่ได้บัตรประชาชน เป็นนางสาวเรยค่ะ 

นั่นเป็นแนวปฎิบัติ นิดๆหน่อย ของเม ไม่เหมือนคนอื่นๆหรอก ค่ะ
ก็เล่าให้ฟังคร่าวๆ  ให้ฟังพอสมควร ใครสนใจ ที่จะไปเรียนที่ไหน สำนักก็ไปได้ ตามจริต

ความสำเร็จก็อยู่ที่เธอเองกันนะค๊ะ 

tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2025, 01:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2217

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ความสำเร็จ  ช้าเร็วไม่เหมือนกัน 

จึงไม่วิตก วิจาร 
ในพระธรรม ก็ทรงแสดงไว้ชัด ในบัวต่างเหล่า 

แต่ ตลอดพระชมน์ หลายสิบปี ตั้งแต่วันแรก ที่ทรงตรัสรู้ และที่ทรงสอนให้

ความสำเร็จของแต่ละท่าน ก็คนละวัน คนละเดือน คนละปี ต่างๆกันไป 
และก็บรรลุธรรม ระดับต่างๆกัน 
ไม่มีความตายตัว เพราะธาตุผสมดินปั้น  คนเหล่านั้น ที่จะขึ้นรูปแตกต่างกัน 

และแต่ละธาตุที่ผสม วิญญาน รูปธาตุ นามธาตุ 
อายตนะ ผัสสะ การกระทบต่างๆ  ความยึดมั่นถือมั่น สัมภาระ เสบียงต่างๆที่แบกกันไว้
ก็มากน้อยต่างกัน จนถึงขีดอจินไตย

ก็เตรียมความพร้อม รอวันนั้น อยู่อย่างไม่เป็นทุกข์ ในทุกข์
ไม่เป็นสุขในสุข อุเบกขา ทำใจให้เป็นกลาง 

เดินไปถลางถนน สองข้างทาง มีซอยมากมาย
เพียงเดินผ่านไป เห็น  รู้  แล้วเดินจากไป 
ไม่เสียเวลา ข้องแวะหลุดหลงเข้าซอย 

ความรู้สึกตัว ในก้าวเดิน สติ  ที่ไม่ถูกล่อลวงเข้าไปในซอย
ก็จะเดินกลางถนนไป ไมเครียด ไม่กังวล 
ด้วยพระธรรมเป็นสิริ เป็นมงคล เป็นสรณะ ที่พึ่ง และกำลังใจ

เดินไปด้วยความสุขในธรรม ซอยนี้ไปป่าช้า สุสาน น่าเกลียดน่ากลัว
ซอยนี้มีบาร์โฮส สุขสำราญ
ซอยนี้อบายมุขทั้งซอย
ซอยโน้นเป็นวัด เป็นศาลาพัก 
ซอยนี้โรงเจ  โรงเตี๊ยม 
ซอยนี้พรรคการเมือง ซอยนี้มโหรสพ 
ซอยนี้บ้าน ดารา นักร้อง หมอลำ เศรษฐี

ถนนจริง ที่ผ่านไป จะกลับบ้าน เม ก็เช่นนี้ค่ะ  

เมื่อไม่แวะ ไม่ข้อง ไม่หยุดทักทาย ก็เดินไปกลางถนน ไกล้จุดหมายได้เร็ว 
ได้ถึงจุดหมายได้เร็ว 

ความปกติเป็นพื้นฐาน  เดินแบบปกติ ธรรมชาติ เป็นพื้นฐาน 
ไม่ได้เดินแบบหุ่นยนต์ ไม่ได้เดินแบบทีละก้าวๆ ช้าๆ 
ความเป็นธรรมชาติ เดินอย่างธรรมชาติ ไม่ต้องลงน้ำหนักแน่เกิน หรือเบาแบบเขย่ง 

ไม่ได้เดินไป พูดพร่ำ สงสัย พิจารณาไปตลอดทาง ให้เสียพลังงาน
แค่หันซ้าย หันขวา ก็สะดุดพื้นได้ 

หนทางไม่ได้ราบเรียบ เพราะไม่ถึงพุทธเกษตร อันราบเสมอ
เมื่อตั้งใจจะไปที่หมาย ก็จะมีความระมัดระวังเกิด
ไม่ประมาทในทาง  บางครั้งก็วิ่งผ่านซอยต่างๆไปได้เร็ว
บางครั้งก็หันไปในซอย แค่สายตาสะดุด ใจอยาก ก็เกิดหยุดกระทันหัน 
แค่หูกระทบ ใจอยากก็เกิด แค่กลิ่นลูกชิ้นปิง ก็สะดุด 
คอยเตือนตน จะหยุดเสียเวลา หรือจะด่วนไป 

เมื่อชีวิตอายุสั้นนัก จะเดินถึง ก่อนหมดชีวิตหรือเปล่า
ระยะทาง กับเวลาชีวิต จะพอมั๊ย ที่จะเดินถึงบ้าน ถึงจุดหมาย

เหมือนคนไอซียู เดินไปโรงพยาบาลเพื่อต่อชีวิต 
จะเดินถึง หรือสิ้นไปก่อนถึง ก็ควรเร่งรีบ และมีจุดหมาย

ความตั้งใจ ความเพียร มานะ โสรัจจะ ความอ่อนน้อม ก็ต้องพร้อม ต้องมี
เพราะเดินไป เจอเกรียน  ชวนทะเลาะ ก็เสียเวลา 
ตั้งใจจะกลับ การเดินไปจุดหมายแค่ไหน สอบทานที่ตัวเอง 
รู้เองว่าไกลแค่ไหน 
ไม่ได้เดินยืด แบบศักดินาขุนพญา หรือแบบวรรณะ

แม้เดินกลางถนน แต่สังขารคิด ก็จะรบกวน 
คิดไปโน้นไปนี้ สติหลุด ความรู้สึกตัวขาด ศีลธรรมพร่อง ได้ง่ายดาย 
อาศัยจิตกริยา ความคิดจิตสังขารก็ทำอะไรไม่ได้

ไม่ได้เดินทื่อๆ หลับตาไม่รู้อิโหน่อิเหน่ บอกใครไม่ได้ ว่าผ่านซอยอะไรมาบ้าง
เพราะละสำคัญมั่นหมาย แต่ก็ไม่สำคัญมั่นหมาย เพราะร้านในซอยแต่ละร้าน
เดียวเทศกินมาไล่ ก็มั่นใจในนั้นไม่ได้ ว่าจะอยู่เช่นนั้นตลอดไป 
ไม่เที่ยง ร้านนั้นร้านนี้ ก็เปิดปิด ตั้งอยุ่ หรือเลิกไปได้ 

ยึดไป มั่นใจ มันจะปักลงในใจ อย่างน้ำเซาะทราย ก็จะพกความมั่นใจพะรุงพะรัง
ทิ้งสัมภาระรุงรัง ไปพ้นตัว ไม่ใช่ไว้ข้างตัว เหมือนขวดน้ำ ที่เดียวหยิบๆ 
แต่ไม่รู้ว่า สัมภาระนั้นมันหนัก แม้นนิดเดียวก็หนัก 
ไม่อาลัย นิวรณ์ อยากกลับไปซอยโน้นซอยนี้ 
หรือคิดหาของฝากใครๆ 

พื้นฐานที่เม ได้รับ กระบวนท่าต่างๆ จากปรมาจารย์ แต่ละสำนัก 
ได้คำสอนแค่เล็กๆน้อยๆ แบบนั้นเอง 


แค่สอนการเดินกลางถนน อย่างอิสระ ถูกต้อง ปลอดภัย และถึงจุดหมาย 

เม ก็คอยสำรวจตัวเอง ฝึกกระบวนท่า การเดิน เหล่านั้นไป 
ถ้ากำลังพอ ก็กระโดดแผ๊บเดียว ถึงพุทธเกษตร
หรือไม่ก็กระดดดลงบ่อ อย่างฉับพลันไป

จิตสำนึก จะเตือน ออกมาเอง 
ว่า เป็นศิษย์เอาถ่าน หรือเป็นศิษย์ไม่เอาไหนค่ะ 

grin


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2025, 13:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2217

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


การท่องไปในยุทธภพ

ยุทธภพ มี เหล่าผู้กล้ามากมาย
มีทั้งโจรป่า และเหล่าผู้กล้า 
ทั้งยังมีพรรคมาร และพรรคคุณธรรม
รวมทั้งเด็กเล็กประชาชน คนทำมาหากิน 

ต่างก็พกอาวุธประจำกายติดตัว
ทั้งขวาน ทั้งมีด พร้า ทั้งดาบกระบี่ 
กระบองร้อยห่วง กระบี่ กระบอง อีกทั้งไม้เท้า
บางท่านก็เอาผ้า พัด เข็มพิษ กระดูกผี
อีกทั้งเขี้ยวสัตว์แถมยังต้องเป็นเขี้ยวตัน เป็นอาวุธ
ต่างก็มีอาวุธประจำกาย ต่างๆนาๆ

ชาวบ้าน ก็มีอาวุธไว้ทำมาหากิน ทำอาหาร

ในเหล่าจอมยุทธ อาวุธจะไม่มีมาก ไม่พกให้พะรุงพะรัง

บางท่านใช้แต่เสียงคำราม หนักแน่น ก็สยบศัตรู ให้ราบคาบได้ 

บางท่านไม่มีอะไรติดกาย เคลื่อนไหวว่องไว 
ศัตรูตามเหนื่อยล้า
หยุดสักที วิ่งไล่ท่านจนเหน็ดเหนื่อยแล้ว


ไม่ต้องพกอาวุธอะไร 
แต่ มีเพียงธรรมมาวุธ และน้ำเสียงงามสงบ ไม่ต้องตะคอกตะโกน 
แค่คำตอบเบาๆ 

เราตถาคตหยุดแล้ว แต่ท่านยังไม่หยุด

เพียงเท่านี้ ศัตรูก็หมอบราบลงยอมศิโราบ  

มีเพียงธรรมาวุธ เท่านั้น 

ไม่ต้องพกพาอาวุธอื่นใด 
ไม่เหน็บ ไม่ถือ ไม่หยิบ ไม่วาง ท่องเที่ยวไป

มีแต่บาตร และจีวร เพื่ออาหาร ประทังชีวิต 

เมื่อฟังธรรม แยกออกมั๊ย ว่าผู้ใด คือ จอมยุทธที่เลิศ ล้ำ เนื่อจอมยุทธใด

แล้วจะเอาจอมยุทธท่านใด เป็นบรมครู  ใช้วิชา เพื่อปกป้องตน ระหว่างท่องยุทธภพ

เม ก็เรย มีแค่กระเป๋าตัง เกือบว่างๆใบนึง

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2025, 23:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2217

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


เหล่านั้น ก็เป็น เพียง  Ep.  แรกเท่านั้นเองในการปฎิบัติของเม 

ในEp. ที่สอง 

ก็เดินไป ตามทางกลางถนนเหมือนเคย 

ก็เพราะต้องรออุปนิสสยปัจจัย ระหว่างเดินไปตามทาง จะเกิดขนะไหนก็ได้ 
ขอเพียงหนึ่งขนะ เมื่อถึงเวลา 

ก็ เรยเห็น สี  กลิ่น เสียง ลิ้น กาย ใจ สีก็ไม่ใช่สีอะไร เสียงก็ไม่ใช่เสียงอะไร 
ไม่เป็นบัญญัติ อย่างที่เคยจำเคยสร้างเคยรู้ เคยเป็น

แต่เป็นบัญญัติ ที่มีสภาวะปรมัตถ์รองรับ 
สรรพสัมภาระที่แบกไป ระหว่างทาง ที่คิดเองรู้สึกเอง ว่าเบา 
กลับเป็นโกดังสินค้ามากมาย สัมภาระมากมาย หนักหนาสาหัส กว่าคาดคิดไป

เมือ่เป็นสัมภาระไม่มาตรฐาน ก็โละออกจากโกดังไป
เหมือนโกดังสินค้า สัมภาระไร้มาตรฐาน โดนทลายกวาดล้าง 
เพราะเหล่านั้น ไม่มีปรมัตถ์รองรับ เป็นอวิชชาบัญัติ 
ความโล่งเบาสบาย ก็มากกว่าเดิม 
การเดินทางเป็นไป เช่นเดิม  แต่ จิตเจตสิก รูป ปฎิบัติไป เดินไป   ถอยความเป็นเม ห่างออกไป

ความเหน็ดเหนือย ในการเป็นตัวเอง ก็ลดลง
มันก็คือการหลงยึดไปว่าเป็นเรา เป็นเม
เราปฎิบัติ รับรู้ได้ถึงความหนักเหนื่อยที่ผ่านมา ช่างแตกต่างกัน 

แต่จริงแท้ มีแต่จิต เจตสิก รูป ปฎิบัติไป โดยเราไปแทรกแซงไม่ได้ บังคับให้เป็นไป
ตามใจปราถนาก็ไม่ได้ 
ความไม่คงเส้นคงวา ไม่ไปดังใจต้องการ มีเกิดขึ้นตลอดทาง 

แต่ นั้นแหละ สุดยอดแห่งมายาหลอกลวง 

หลอกว่าเป็นเม ขั้นที่หนึ่ง
หลอกว่าเมทำ ขั้นที่สอง 
หลอกว่าจิตเจตสิกรูป เป็นเม ขั้นที่สาม 
หลอกว่าของเมเหล่านั้น ก็ทำไม่ได้้ขั้นที่สี่ 
หลอกว่าควรทำเช่นนั้นเช่นนี้ ขั้นที่ห้า 
และก็ลวงหลอกไปอีกหลายชั้น ขั้นหก ขั้นเจ็ด ขั้นแปด ยิ่งกว่าคอลเซนเตอร์
ที่หลอกซับซ้อน หลายขั้น 

ขั้นแรกให้ได้เงิน ขั้นสอง หลอกลงทุน ขั้นสาม ให้เงินล่อนิดนึง
จนหมดตัวเกลี้ยงบัญชี เอาเงินเรา มาค่อยๆให้เราทีละน้อย
ยิ่งกว่าแก๊งค์ตอลเซนเตอร์

เช่นเดียวกัน 
เพื่อหลอกคนโลภ มากตัณหา นานากิเลส อย่างเม
โลภอยากได้ จิตเจตสิกรูป มา เป็นของเม 
เพราะอยู่กันมานาน โดนหลอกมา หลงว่าเป็นเรา 

ก็เรยพอจะเห็น ปรมาจารย์แห่ง คอลเซนเตอร์ 
สุดที่จะหลอกลวงยิ่งกว่าพวกในข่าว

มันเกิดอยุ่ในตัว ที่เราหลงยึดว่าเป็นเรา 
แสดงซ้ำแล้วซ้ำอีก หลอกลวงสารพัด 
หนักขึ้นๆ อย่างวิจิตรพิศดาร  แสงประกายพฤกษ์ แสงจร้า ฟ้าใส หม่นหมอง ตรอมใจ ได้สาระพัด
มายาต่างๆ หลอกให้สุขใจ สบายใจ ทุกขใจ และกาย

ทั้งหมด เพื่อดูดกำลังไป  แล้วจิตใจก็อ่อนล้า หมดกำลังใจ สติปัญญาที่มี
ก็พังทลายไป
บ้านเราที่เพียรสร้างพังไปแล้ว 

การหลอกลวง พยายามให้เป็นเม เป็นเรา เป็นของเรา
ก็เริ่มก่อเจดีย์ทรายขึ้นใหม่  สร้างบ้านหลังใหม่ 
สร้างให้แกร่งกว่าเดิม แต่ก็ แล้วก็พังทลายลง เกลี้ยงไป ในพริบตาได้ 

ความพยายมของจิตเจตสิก ที่พยายามดึง เม เข้าไปเป็นส่วน เป็นเจ้าของ
พยายามที่จะจองจำเม ไว้ ให้เป็นส่วนหนึง ของการกระทำ 
พยายามให้เม หาพระธรรมหา ความรู้ มาแก้ทาง มาสร้างบ้านกันใหม่

แต่ในเมื่อเม ไม่มีสภาวะรองรับในบัญญัติ ในปรมัตถ์ธรรม 
จะเอาเม ที่ไหน ไปช่วย
วางใจ ก็มิใช่เมทำ  
ใจเห็นใจทำ ใจรุ้ใจละ เป็นเรื่องของใจ 

สุดยอด แห่งมายา คล้ายกับ ได้อ่านข่าว รู้เรื่องราว 
โดนแก๊งค์ คอลเซนเตอร์ ดูดหมดบัญชี 
แต่  ไม่รู้บัญชีใคร  ไม่ใช่ของเม 

ก็เรยสบายใจหาย จึงเอาพระอภิธรรม มาดู
แล้วขุดไป เอาไปลงห้องอภิธรรมในเวปต่างๆ 
ได้อ่านไปด้วย 

smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2025, 12:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2217

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อมา

 ก็เอาพระธรรมไปลง ตามเวป นิกายต่างๆ เช่นเคย
ลงเป้นภาษาต่างๆ หลายพระสูตร

ลงไปลงมา ก็เอาประวัติท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อไปลง
ก็ถึงตอนท่านฮุ่ยค้อ ไปกราบท่านตั๊กม้อ 
พยายามสร้างบ้าน เป็นที่บำเพ็ญ
ครั้งแล้วครั้งเล่าบ้านนั้นก็พังทลาย 
ด้วยเหตุต่างๆ ทั้งฝีมือมนุษย์ และธรรมชาติ
ก็เรยได้ย้อน ไปที่เจดีทราย และบ้านที่เมก่อ สร้าง
ในใจ ที่พังไม่ต่างกัน 

แต่ หิมะไม่แดงฉานแบบท่านฮุ่ยค้อ
เพราะผลกรรมต่างกัน การสำนึก ก้าวล่วง บาปกรรม ต่างกัน 

ลงพระธรรมไป ก็เรยได้อ่านพระธรรม ไปด้วย 
ท่านตั๊กม้อ ฮุ่ยค้อ ซูซุน ฮ่งยิ่ม จนถึง ท่านเว่ยหล่าง และท่านฮวงโป 

จากฮวงโปตวนชิ และฉบับที่แปลไทย
ก็เอ๊ะ ในคำแปล ตั้งแต่บันทัดแรก 

เอ๊ๆ ไม่น่าจะใช่ 

ก็เรยเอา ภาษาจีนอังกฤษ ไทย ไปลงเทียบ การแปล
ที่มีความหมายแตกต่างกัน  
แต่ยังไงก็ไม่ใช่แบบเม หละ 

ไม่ถึงแบบฉับพลัน อย่างกระโดดลงบ่อ 

ไม่ใช่แบบนั่งเช็ดกระจก ปัดเช็ดฝุ่นทุกวัน 
ไม่ใช่ซาโตริ คิดออก 

แล้วก็ไม่ใช่ แนวทางสามแนว แห่งพระโพธิสัตว์ พุทธะ หรือสาวก 
ยังไม่ใช่ ไปแบบนั้น

แค่ละท่านแต่ละแบบ 
แบบนี้พุทธะ แบบนี้อนุพุทธะ
แบบนี้ฉับพลัน แบบนี้เชื่องช้า
แบบนี้ทางตรง แบบนี้ทางลัด 
แบบนี่สายเอก แบบนี้สายโท
แบบนี้ขีปภิญญา แบบนี้ ตามลำดับขั้นตอน

เอ่ แล้วแบบเม จะเป็นแบบใดน้อ 
ที่ไม่ต้องวุ่นวาย ไปกับของคู่ ของตรงข้าม


แต่เม  ก็คอยหาเพชรหาพลอยทองคำจินดารัตนะมณี กองใหญ่ เพื่อให้ช่างปั้น 
ช่างปั้น จะได้ปั้น เม ให้สวยๆ วิจิตรกว่าแบบใดๆ 


ก็พอสมควรนะคะ  เล็กๆน้อยๆ ในเรื่องการปฎิบัติ 
เป็นธรรมทาน แม้นิดเดียว ก็เลิศกว่าทานทังปวงได้ 


เพียง 
ถ่ายทอดจากจิตสู่จิต 

แต่ไม่มีอะไรสักอย่างที่เมถ่ายทอดได้เลย 

แต่ก็เอ๊ ๆ

ถ้าเป็นจิตชนิดนั้น  จะถ่ายทอดอะไร ได้อย่างไร 


tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: เมื่อวานนี้, 13:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2217

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


การปฎิบัติอย่างนึงสำหรับเม 
ที่ครูบาอาจารย์ เม สอนไว้

ก็คือ การละชั่วกลัวบาป  ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง

สองอย่างนี้ เป็นภัยกับตัวเอง ถ้าไม่มีควาซื่อสัตย์  และไม่รู้จักบาปบุญ 
ไม่รู้ว่าดี หรือชั่ว
ปฎิบัติไปก็เสริมสร้างอัตตา มิจฉาทิฎฐิ เห้นผิด เป็นชอบไป 
และก็ยิ่งเพิ่มพูน ซุกซ่อน ความเลวความชั่วไว้ ไม่ให้เห็น 
เมื่อไม่เห้น ก็คิดเออเองว่า ทำดีแล้ว 

ตะก่อน เวลาขมากรรม มักจะกล่าว แบบมาตรฐาน แบบมหาชนนิยมทำกัน 

ข้าพเจ้า ขอขมากรรม ที่ได้ทำ ทั้งกายวาจาใจ  ....

แต่จริงๆ ไม่รู้หรอก ว่า ทำชั่วทำเลวอะไรไว้

คลุมเคลือไปตามแบบมาตรฐานที่ทำตามแบบกันมา 

เม ก็ถามตัวเองว่า แบบนี้ ซื่อสัตย์ต่อตัวเองหรือยัง 
กาย าจา ใจ ที่ทำนั่น รู้มั๊ย ว่า 
ใจคิดอะไรไปบ้าง   วาจาที่ออกไป คำไหนเลว คำไหนชั่ว 
กายล่ะ ทำเลวทำชั่วอะไรไปบ้าง

นี่แหละต้นตอ ไม่รู้ความเลวความชั่วตนเอง 
จะสารภาพ ไปด้วยความซื่อสัตย์ ตรงไป ตรงมา ไม่อ้อมค้อม ไม่ชักแม่น้ำได้ยังไง

สิ่งนี้ จะโยงสัมพันธ์ไปกับ มหาสติปัฎฐาน และวิปัสสนา กัมฐาน และการปฎิบัติทุกรูปแบบด้วย 

บ่อยครั้ง ที่เมได้คุยกับผู้ทรงธรรม สอนธรรม 
แต่ละท่าน เก่งทางด้านดี ต่างโชว์ความดี 

แต่เมื่อถามไป ว่า ท่านเคยทำชั่วอะไรบ้าง ประพฤติชั่วอะไรบ้าง

ก็ตอบกันอย่างมาตรฐาน ว่า เคยมี  ประพฤติชั่ว ทั้งกายวาจาใจ 
แต่แทบนับคนได้ ว่า จะอธิบายรายละเอียด ว่า ทำไม่ดีอะไร ทำชั่ว ทำบาปอะไร 
เพราะเหตุ เพราะปัจจัย อะไร หรือไม่มีอะไร แต่จู่ๆ ความชั่วนั้น ก็แล่นออกมา
เพราะความเลว ความชั่ว ในคลัง มันเปิดออกมา 

รายละเอียดต่างๆ สำคัญ  เพราะ แสดงได้ถึงความซื่อสัตย์ของตนเอง ที่มีต่อใจ ต่อกายตนเอง
ใจทำชั่วอะไร ถ้าเราเป็นคนอื่น จากมัน เราจะฟ้องมันได้มั๊ย  ทำเมื่อไร ที่ไหน อย่างไร เพราะอะไร 
กายทำชั่ว จะเล่าจะฟ้องมันได้มั๊ย ว่า กายไปทำชั่วร้ายอะไรมา 
คำพูดล่ะ วาจา ไปพูดว่าอะไร  ไม่ใช่ แค่ด่าๆๆๆ เท่านั้น 
แต่ ไม่สามารถเล่ารายระเอียด ความเลว ความชั่วนั้น มีแต่เก็บซุกซ่อนไว้ ไม่ให้ใครล่วงรู้ 
ป้าข้างบ้านทำอะไร ส่วนมากเล่ากันได้เป็นตุเป็นตะ เป็นเดือนเป็นปี กะสิ่งที่ป้าข้างบ้านทำ 
แต่ถ้าตัวเองทำ ก็จะอ้อมแอ้ม  เคยทำครับ ทำชั่ว กาย วาจา ใจ เคยทำค่ะ 
สารภาพ ไม่กี่วิ จบ ถ้าเป้นเรื่องตัวเอง
เพราะไม่มีความซื่อสัตย์ ที่จะสารภาพ ไม่ซื่อสัตย์ ที่จะบอกตรงไปตรงมา

อย่างนี้ จะนับว่า เป็นผู้ปฎิบัติได้ยังไง จะปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ ได้ยังไง

ธรรมะ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เป็นความละเอียดอ่อน  ยิ่งแจงรายละเอียดได้มาก ก็เข้าถึงความละเอียดได้เท่านั้น
และก็จะได้รู้ใจ ตัวเอง อย่างตรงไปตรงมา 

สะใจเพราะอย่างนั้น เพราะเหตุอะไร ทำให้สะใจ เพราะความสะใจ ไปทำเลวอะไร ทำชั่วทำบาปอะไร บ้าง

ถ้าเรามีใจที่ซื่อสัตย์  มีหิริโอตตัปปะ มากขึ้นๆๆๆๆๆ
เราก็ต้องฟ้องออกมาได้ ว่ากาย วา จา ใจ มัน กระทำชั่วทำเลว อะไรบ้าง ทุกรายละเอียด 
อย่างตรงไปตรงมา 

ไม่ใช่ ตามคำสารภาพ แบบมาตรฐาน ขอขมานะ ที่ล่วงเดิน ปรามาส ด้วยกายวาจาใจ 
แล้ว แก ก็เอาบุญไปนะ ฉันอุทิศส่วนบุญให้ 

ขอขมาแบบมาตรฐาน แล้วเอาบุญ ฟาดหัวอุทิศโอนไปให้  
หายๆกันนะ เจ้ากรรมนายเวร 

แบบนี้เจ้ากรรมนายเวรคงยินดียิ่งเนาะคะ 
ถ้าซื่อสัตย์ต่อตัวเอง ก็จะเห็นรายละเอียดได้ชัด ความกลัวชั่วอายบาป ก็ปักแน่นขึ้นไป
และก็ไม่ย้อนไปกระทำอีก 

ไม่ใช่แค่ซุกความเลวความชั่ว อกุศลไว้ไต้พรม  โชว์แต่ลวดลายพรมสวยหรู 
ยอมรับความเลวเละเทะความสกปรกตัวเองไม่ได้ ก็เหลว ในการปฎิบัติ
ถ้ารู้เหตุแห่งนั้น ละชั่วกลัวบาป มีความซื่อสัตย์มากขึ้นๆๆๆ

ก็จะกลายเป็น อธิศีล มหาศีลไปเอง 

ก็เล่าสู่กันฟังค่ะ
s005


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: วันนี้, 00:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2217

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ก็มีอีก ที่ครูบาอาจารย์ท่านนึง เตือนเม

ท่านบอกว่า  อาการน้ำซึมบ่อทราย นะ ให้เม อย่าประมาท 
เพราะถ้ามันซึม แลไม่เท่าทัน มันจะรวมเป็นหยดน้ำ และก็จะรวมตัวจนท่วมได้ 
ก็ไม่ได้เป็นภาษาธรรมอะไรเท่าไรหรอก 


ก็ให้ลงลึกไป ดูตรวจตราให้ละเอียด 
อย่าให้เกิด มันจะทำลายบ้านได้ ขึ้นตะไคร่ ขึ้นรา 

และมันก็เกิดกะเมบ่อยๆแหละ
อยู่ดีๆ ก็ปิติ อิ่มใจ สุขใจดีใจ  ใสสว่าง น้ำหยดลงไส่หัวแล้ว
อยู่ดีๆ รู้สึกไปแล้ว หม่นๆยังไงชอบกล
น้ำหยดไส่หัวเปียก
จึงกระดิกสะบัดหัวไปได้ 

ไม่ต้องรอแบบน้ำราดหลังสุนัข ที่สะบัดขนให้ไม่ติด 
มันก็ต้องใช้แรงมากกว่าการสะบัดหัวเนาะคะ 

น้ำที่ซึม ก็มีทั้งดีทั้งน้ำเสีย 
ปรุงไปทางบุญ ไปทางบาป ไปทั้งไม่บุญไม่บาป 
แต่กว่าจะรู้ ว่าก่อเป้นหยดแล้ว หล่นไส่หัว  ก็ช้าไปแล้วหละเม เอ๋ย 

แต่คำสอนก็สะดุ้งยิ่งกว่าสุนัขที่โดนน้ำสาด 

ตะก่อนแรกๆ ก็คิดเองเออเองว่า ไม่เป็นไร 
แบบน้ำกลิ้งบนใบบัว ก็ดีนะ 
แต่ น้ำที่หยด ไม่ได้กลิ้งเช่นนั้น 
ลงหัว ซึมเข้าไปในใจ เละเทะไปเลย

ใจจะบริสุทธิ์สะอาดได้ไง ถ้ายังรั่วยังซึม 
ก็เรยถามท่านว่า จะทำไงคะ 
ท่านก็บอกว่า ต้องอุกฤษ แค่นั้นแหละ

เม ก็ได้แต่รับคำ  ตกลง 

ได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น งานเบาสบายกว่าเดิม 
เพราะไม่ต้องรอวิดน้ำที่หยดท่วมใจ 

น้ำหนักการทำงาน ต่างกันลิบๆ 

จะว่าเช็ดฝุ่นที่เกาะบนกระจก  ก็ไม่ใช่ ไม่อาจเทียบ
แต่ก็ไม่ต่างกันนัก เพราะหมั่นเช็ดถู 
กะหมั่นเช็ดน้ำที่ซึม 

ก็ทำไปสังเกตุไป งานเล้กน้อย เบา คอยซับน้ำไปถ้ามีซึมมา 
ก็ดีค่ะ ไม่ต้องสะดุ้ง จนเป็นแบบสุนัข  โดนน้ำสาด แล้วสะบัดน้ำไป
ไม่ต้องมาวิดน้ำ นี่ความคิดนะ นี่ความรู้สึกนะ กองนี้อารมณ์นะ กองนี้เวทนาๆๆๆ

บางท่านก็เจอหน้า บอกเข้ามาไกล้ๆสิ

เมก็จัดเสื้อผ้าปิดกระดุมคอ แล้วก็คลานเข้าไป 
ท่านก็บอกแค่ว่า มีตัวนะ 

เม ก็ก็สะดุ้งโหยง ได้สติกระแทกมาเรย 
นั่นแหละอาการมีตัว เต็มๆ เป็นอัตตาตัวตน ยึดมั่นถือมั่น มโหฬารเรย
น้ำหนักที่แค่เอามือกลัดกระดุมคอ การกคืบคลาน มันก็ตัวเม เต็มๆ 
ไม่ใช่ธาตุ ไม่ใช่รูป ไม่ใช่นาม 
แค่นั้น ก็คือมีการปฎิบัติ ไป มีตัวตนเข้าไปครอง ไปปฎิบัติ 
ไม่ใช่ จิตปฎิบัติ เจตสิก รูป ปฎิบัติซะแล้ว 

ก็เรยเข้าไปนั่งหัวเราะไกล้ๆท่าน 
ท่านก็บอก ถ้าเป้นผู้ชายนะ ถีบส่งเลย 
ก็พอเช้าใจแระ เม ก็เรยบอกลาท่าน ไป บอกหลวงปู่ถีบแรงเนาะคะ
ท่านก็บอกไปไป ไปนั่งกางแข้งกางขา แบบอยู่ที่บ้านไป

นั่นแหละความกระดิกนิดเดียวของเม 
ถ้าไม่ใช่ครูบาอาจารย์ที่ล้ำเลิศ ท่านจะถีบไส่ให้เปรี้ยงเดียวได้ไง

ในฐานะนึง ตนเป็นที่พี่งแห่งตน ในอีกฐานะนึง ธรรมะทั้งปวงไม่ใช่ตน
สองฐานะ ใช้ในบริบทต่างกัน กาลเวลาต่างกัน ขั้นตอนก็ต่างกัน 

อัตตา ก็เป็นความผิดปกติ ที่ออกมาจากจิต ออกมาจากภาษากาย ให้รู้ได้ง่ายๆ

นายกเดินอย่าง รัฐมนตรีก็เดินอย่าง คนจน ก็เดินอย่าง คนรวยก็เดินอย่าง 
มียศฐาบรรดาศักด์ ก็เดินอยาง ประชาชน คนต่ำต้อย ก็เดินอย่าง
ล้วนแต่ อัตตา ที่เปรียบเทียบ ที่เกิดอยู่ในใจแสดงออกทางกาย
บรรจุไว้แน่นเปรี๊ยะทุกอนู ทั้งในกายในใจ 

น้ำหนักที่ไส่ลง ในกายในจิต เป็นอัตตา แค่นิดเดียว 
ก็หลุดจากพระสูตร พระอภิธรรมไปเลย เทียบเคียงไม่ได้เลย 



ก็เล่าให้ฟัง คร่าวๆ พอสมควร นะคะ 
smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: วันนี้, 01:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2217

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


และแล้ว เมก็มีลูกศิษย์กะเค้าด้วย

วันนึง ก็ได้ไปนั่งกินเสต๊ก ร้านนี้ทำอร่อยมาก เป้นพิชช่าทรัพเฟิล กะสเต๊กโทมาฮอก
เรยไปนั่งกิน บ่อย
วันนึง ก็ได้ยิน เชฟ คุยกะลูกค้า เรื่องการดูจิต การปฎิบัติแบบเซน การทำความรู้สึกตัว ทำจังหวะ 
ก็หูผึ่งไป ได้ยินกะเค้าด้วย 

เชฟนี่ เป้นคนไต้หวัน เมได้อาศัย ให้เค้าสอนภาษาจีนไปด้วย กินไม่ฟรี ได้ลดราคาแต่ เรียนฟรี สบาย
ก็เป้นอาจารย์สอนภาษาจีน เม นะ 

เค้าเคยเป้นนักธุรกิจ ลงโรงงานในไทย แต่ก็ตอนหลังไปไม่รอด 
เคยเจอกันที่สนามกอล์ฟ ก่อน หน้า ก็มารู้ว่าเปิดร้านสเต๊ก เรยแวะมาอุดหนุนเค้า

เชฟนั้นก็อายุมากแล้ว 60ปี 

ก็ไปทานที่ร้านเค้า แล้วได้ยินคำสนทนาธรรมะปฎิบัติ กัน
ชื่นใจ ได้ยินคนสนทนาธรรม เนาะคะ 

แต่ก็เม ก็เอ๊ะๆ ขึ้น มา
จนเค้าจบสนทนากันอีกคนก็ออกไปจากร้านไป  

เมก็เรยถาม ว่าเชฟว่า ศึกษาธรรมะด้วยเหรอ 
เค้าก็เรย สอนเมใหญ่ เป็นภาษาอังกฤษมั่ง ภาษาจีนมั่ง  
ปกติ ก็สื่อสารกันภาษาอังกฤษอยุ่แล้ว เพราะเค้าพูดไทยไม่ได้ 
พูดจีนกะอังกฤษได้ 
ก็ดีนะ ได้ครูสอนธรรมะอีกคน โดยบังเอิญ 

เมก็บอกเค้าไปว่า ที่ได้ยิน ก็เห็นอะไรบางอย่างเนาะ 
อาการที่แมว คอยจ้องหนูหน้ารู แบบนั้น หนูไม่ออกมาหรอก 
แล้วอีกอย่าง เมื่อหนูออกมา กลับวิ่งไล่หนู ไปโดนรถชนตายทั้งแมวทั้งหนู  

แมวก็ตายหนูก็ตาย คาที่เรย

ทางที่ดี ก็คือ ถอยออกมา แค่ชำเลือง ไม่จ้องตรงๆ 
เมื่อหนูออกมา ก็คว้าหมับ 

ไม่ต้องวิ่งไล่กวดกันไป โดนรถชนตายทั้งคู่ 

เชฟนั่นก็สนใจ รับฟัง พยักหน้า

จากนั้นก็ไม่ได้คุยเรื่องธรรมกันอีก 
เพราะเมจดจ่ออยู่ให้เค้าสอนภาษาจีนฟรีเท่านั้นแหละค่ะ

เค้าก็เล่าให้ฟังชีวิตเค้าผ่านลำบากมาเยอะ หกสิบปี
มันเหนื่อยมาก ทำมาหากิน ตั้งแต่ที่ไต้หวัน จนมาอยู่ไทย มาลงทุน ทำส่งออก พืชผลเกษตรไทย ไปจีน ไปไต้หวัน
แล้วก็โดนพิษเศรษฐกิจ ไปต่อไม่รอด เรยปิดกิจการ ออกมา ทำร้านเล้กๆ 
ให้พออยุ่พอกินไป แต่ดูๆก็น่ามีเงินเก็บพอสมควรแหละ 
เพราะปิดร้านก็ไปตีกอล์ฟ ไปเที่ยว
ก็ได้เค้าเป้นไต้ซือสอนภาษาไป

ต่อมาไม่นาน เมไปกินที่ร้านอีก 
เค้าก็รีบวิ่งมาเปิดประตูให้ มานั่งคุกเข่า บอกเม เป็นเหล่าซือๆ 

เม ยังไม่แก่ซะหน่อย เรียกเหล่า ซะแก่ไปเรย
เม ก็ให้เค้าลุกขึ้น ถามเป็นไร เมาหรือเปล่า

เค้าก็บอกไม่เมา เค้าก็เล่าว่า เมื่อคืน ขนะกำลังหั่นเนื้อ 
หนูออกมา  ก็หันขวับไป หนูก็หายแว๊บ เลย มีดยังคามือ 
แต่ ไม่ต้องฟันเลย เค้าบอกว่า ความทุกข์ 60ปี ที่เกิดมา หายไป

เค้าดีใจใหญ่เลยได้พบสิ่งมหัศจรรย์ ก็ดีนะคะ ที่ก้าวหน้าไปได้ 

และดีด้วยสำหรับแนวทางนั้น นับว่ายอดเยี่ยม  

อนุโมทนาไปกะเค้าด้วย 


แล้วเค้าก็เริ่มสอน เม ใหญ่ สภาวะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ปล่อยไป เพราะธรรมกำลังล้นใจ 

ต่อมา อีกไม่นานนัก เมก็ไปกินที่นั่นอีก ถามว่าเป็นไงบ้าง
เค้าก็เล่าอย่างสวยหรู เริ่มสอนเม ต่ออย่างโน้นอย่างนี้ ตามที่เค้าได้ตะปบหนูได้ 

แล้วก็ถามเมว่า ช่วงนี้ไม่ได้มา ไปกินที่ไหนบ้าง

เม ก็เรยบอก ก็อยู่แถวนี้แหละ พอดี ไปจองทาวน์โฮมไว้ มัดจำไว้ แต่ไม่เอาแระ ให้เค้ากินเงินดาวน์ไป 

เค้าก็บอก ไม่เมคเซนต์เลย ทำแบบนี้ นอนเซนต์เลย ต้องไปเอาเงินคืน 


เมก็เรยบอก  ได้กินหนูตัวเดียว  แต่ ยูโดนหนูตัวใหญ่คาบไปกินซะแล้ว  

ไม่ต้องมาเรียกเม ว่าเหล่าซือหรอก ไม่รับศิษย์  แบบนี้หรอก

เพราะเม นอนเซนต์ ไม่มีสติ ที่ไปมัดจำแล้วไม่เอาตึก เสียเงินฟรี 


เงินเป็นหนูตัวใหญ่ ง้างให้ปัญญาอ่อนได้ จริงๆ  

ก็น่าจะพอสมควร เอวังนะบัดนาวนะคะ  

grin


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร