ประมาทมากที่ไม่ฟังพระพุทธพจน์เพื่อดับอวิชชา
พระพุทธเจ้าตรัสรู้จิตเกิดดับคือเกิดแล้วตายคือ
ตรงปัจจุบันมีแค่จิตดวงเดียวเกิดแล้วตายทันที
สมมุติตามภพภูมิคนและสัตว์คือตายตามอายุขัย
เมื่อวิถีจิตก่อนตาย5ขณะสุดท้ายอ่อนกำลังลง
จิตทุกขณะมีอากาศธาตุแทรกคั่นคือภวังคจิต
คือจิตขณะที่ไม่รู้สึกตัวไม่รู้โลก6ทางตามปกติตื่นลืมตา
จิตขณะไม่รู้สึกตัวคือขณะเกิด ขณะหลับสนิท ขณะตาย
เป็นขณะที่ไร้สติไม่รู้อารมณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ
ขณะเกิดและขณะตายจึงเป็นขณะไม่มีนิมิตเตือน
เหมือนเดี๋ยวนี้เลยที่จิตกำลังดับนับแสนโกฏิขณะ
จิต2ดวงที่ตายแล้วเกิดทันทีเร็วแบบอยู่ในพริบตา
เมื่อถึงแก่กรรมให้ผลทำให้สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้
กรรมท้ังหมดที่เคยทำเอาไว้ประมวลผลเป็นวิบากกรรม
ส่งผลที่จุติจิต1ดวงสุดท้ายชาตินี้สืบต่อผ่านภวังคจิต
ไปปฏิสนธิเกิดทันที1ขณะจิตเปลี่ยนภพชาติทันทีเลย
ไม่มีทางรู้ได้เลยขณะนี้กรรมของแสนโกฏิกัปป์ใดส่งผลมา
ขณะนี้กรรมดียังส่งผลทำให้มีตาไม่บอดและหูไม่หนวกอยู่
อาจจะตาบอดหูหนวกเดี๋ยวนี้เลยก็ได้เพราะเลือกวิบากกรรมไม่ได้เลย
รู้แต่ว่าที่เป็นคนมีจิตที่ตาหูจมูกลิ้นกายใจในขณะนี้คือผลของกรรมดีเก่าเท่านั้นเอง
ตราบใดที่ยังมีนิมิตปรากฏให้เกิดแปลว่าเกิดด้วยโลภะมูลจิตไม่มีใครทำให้ทำมาเองคนเดียวทั้งสิ้น
เหมือนเดี๋ยวนี้เพียงกะพริบตาจิตดับไปแล้วแสนโกฏิดวงเอาอะไรก็ไม่ทันเพราะยังมีอาสาวะกิเลสในจิต
เพียงหลังเห็นในขณะนี้1ดวงจิตดับลงเพียง3ขณะจิตอวิชชาไหลไปทางตาหูจมูกลิ้นกายใจทันทีนี่แค่จิต5ดวง
เดี๋ยวนี้ดับแล้วแสนโกฏิดังนั้นจึงเป็นผู้มีปกติมีสมุทัยคือมีโลภะและอุปาทานขันธ์5ทำตามกิเลสตัณหาอวิชชา
โลภะชอบใจเห็นว่าตนทำถูกแล้วถูกกิเลสตัวเองและคนอื่นชักจูงไปให้ทำกรรมตรงตามที่เห็นว่ามีคนสัตว์วัตถุ
https://youtu.be/oqGCn-Qa4Lo