วันเวลาปัจจุบัน 24 มิ.ย. 2025, 22:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2018, 13:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระทู้เดิมมันหาย..เริ่มไหม่คะ..เมยอยากพูดอะไร เมยจะมาพูดในนี้

เพราะปกติไม่ค่อยอ่านกระทู้อื่นๆอยู่แล้ว..ที่ไม่ได้ เกี่ยวข้องกับตนเอง.. :b43:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2018, 13:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อายุเราก็เท่านี้....กี่ปีผ่านมาแล้ว

สอนตัวเองไปได้เท่าไหร่...
.
.
.
ถ้าอายุเราผ่านมาเท่านี้ สอนตัวเองให้ดียังไม่ได้ในเส้นทางอริยมรรค

ก็อย่าเพิ่งไปสอนใคร..เจียมตัวเอง เจียมตัวตนไว้
.
.
.
พึ่งบอกตัวเองว่า สอนตนให้รอดได้ก่อน รอดแล้วเราค่อยเผื่อแผ่ออกไป
.
.
.
เหมือนดั่งพระสัมมาฯ :b8: ที่พาตนเองตรัสรู้ก่อน :b8:

แล้วจึงออกเผยแผ่พระศาสนา เพื่อพาคนออกจากวัฏฏะ.. :b42:



หรือ



อยากแบ่งปัน..

ก็แบ่งปันในฐานะ เพื่อนร่วมทาง ที่กำลังเดินอยู่ ไม่ชี้ใครๆ

ชี้ตัวเอง และหาข้อพร่องของตัวเองเป็นหลัก
.
.
.
บอกตนไว้...เรายังสอนตนเองให้ได้ดียังไม่ได้...อย่าเพิ่งไปสอนคนอื่น :b42:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2018, 13:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อเราแผ่เมตตาออกไป..แผ่ไปให้ทุกรูปทุกนามแล้ว

อย่าลืม..แผ่ให้ธาตุขันธ์ตัวเอง ด้วยนะ :b36:

การแผ่เมตตา เราแผ่เมตตาให้ธาตุให้ขันธ์ของตัวเราเอง


ไม่ใช่


แผ่ให้ตัวเราเอง..มันคนละเรื่อง คนละเหตุปัจจัย

แผ่เมตตาให้ธาตุให้ขันธ์เราเอง ให้มันเย็น..ให้มันอยู่สบาย ตามครรลองของมัน ตามเหตุปัจจัยของมัน

โดยเรา ไม่ได้เอาลมหายใจของเรา ไปแทรกแซงในธาตุขันธ์นั้น

ให้มันเป็นไปตามธรรมชาติตามครรลอง อันควร ตามที่มันจะเป็นไป ตามเหตุปัจจัยที่มี
.
.
.
มันถึงว่าได้ว่า...ทุกอย่าง เป็น...ธรรมชาติ... :b53: :b55: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2018, 11:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


...ความสงบ...

เมื่อเราสงบ หรือ ถึงความสงบแล้ว...

ก็ให้อยู่กับความสงบนั้น

เมื่ออยู่ถึงความสงบ เราสงบ มันจะมีคำถามว่า แล้วไงต่อ... ไม่แล้วไงต่อนะ..

อยู่กับความสงบไป จนจิตมันอิ่ม จนมันถอนของมันเอง
.
.
.
การอยู่ในความสงบ เมืื่ออยู่สักพัก สติเราจะบอกว่า แล้วทำอะไรต่อไป..

ให้รู้ตัว และบอกตัวเองไว้เลยว่า เราจะไม่ไปต่อ หรือ ทำอะไรต่อไป..เราจะอยู่กับความสงบนั้น..ไปเรื่อยๆ

...และเรื่อยๆไป...

..จน..
.
.
.
จนมันถอนของมันเอง..ถึงตอนนี้เราก็ไม่จำเป็นต้องฝืนอะไร ปล่อยให้มันถอยออกมา ตามครรลอง

เพราะจิตอิ่มจากความสงบแล้ว
.
.
.
และเมื่อ..เมื่อเราสงบแล้ว และอยู่ในความสงบแล้ว และมันมีคำพูดในจิตว่า แล้วไงต่อ..

ถ้าสติบอกตนเองว่า ให้อยู่กับความสงบนั้นต่อไป..แต่จิตมันดิ้น อยากไปต่อ..

เราลองดัดมันนิดหน่อย ว่าเราคุมมันให้อยู่กับความสงบนั้นต่อได้ไหม

ถ้าได้ ก็อยู่กับความสงบต่อไป...ถ้าไม่ ก็ไม่ต้องฝืน ถอยออกมา ตามที่จิตมันอยากดิ้น
.
.
.
เพราะเมื่อเราอยู่กับความสงบของจิตไม่ได้ เราก็สามารถมาดูจิตตามความเป็นจริงได้

จะดูว่า อ่อ มันดิ้นไปแบบไหน ยังไง เราก็สามารถหยิบ หมวดกายเวทนาจิตธรรม มาดูต่อ ไปต่อไปได้..
.
.
.
การที่จิตอยู่ในความสงบ สมถะ หรือ ในฌาน มันเป็นการเพาะกำลังจิต เพื่อให้จิตมีกำลัง

ในการออกมาดู กายเวทนาจิตธรรมนี่แหละ..ดูตามความเป็นจริงของจิต..ว่า..

จิตเราตอนนี้ ปัจจุบันขณะเป็นอย่างไร..โกรธก็รุ้ตัวอยู่ว่าขณะนี้เราโกรธอยู่

ใจหมองอยู่ก็รู้ตัวว่า ตอนนี้ใจเราหมองอยู่

การรู้ตัว รู้ตัวตนของเราว่า ตอนนี้เราใจหมองอยู่นะ..นี่เป็นการสำเหนียง เป็นการฝึกสัมปชัญญะ

การกำหนดรู้ตัว ว่าตอนนี้ เรารู้อะไรในจิตในกาย ตรงนี้เป็นสติ..ฝึกสติเพื่อไปถึงสัมปชัญญะ
.
.
.
ดังนั้น เมื่อเราอยู่กับสงบไม่ได้ เราก็ออกมาดูจิตตามความเป็นจริงของจิตที่มันเป็น

เพื่อให้จิตเรายอมรับตัวเองว่า จิตเรามีกิเลสตัวนี้ตอนนี้ จิตเรามีอารมณ์อย่างนี้ตอนนี้

การรู้ตามความเป็นจริงในขณะปัจจุบัน มันเป็นการเดินตามกรรมฐานของพระสัมมาฯ

เพื่อสอนเข้าไปในจิตของตัวเอง..ให้จิตมันเกิดความรู้สึกตัว แล้วค่อยๆตื่นและฉลาดขึ้น
.
.
..ทุกอย่างมันต้องใช้เวลา..
.
.
สงบได้สงบ แต่เราจะไม่จมแช่หรือยึดกับความสงบนั้น เพราะการสงบของจิตนานๆ

จะทำให้จิตมีกำลัง มีแรง ที่จะไปดู กายเวทนาจิตธรรม ได้นานและมีสายตาที่คม

และมีกำลังที่จะจับธรรมตัวๆนั้นให้อยู่มือ เพื่อให้เห็นได้ชัดๆทุกแง่ทุกมุม เพื่อให้ปัญญาเกิด
.
.
.
จะเห็นได้ว่า ธรรมทุกธรรมเชื่อมถึงกันได้หมด..ฌานทำให้จิตมีกำลังไปดูสติปัฎฐานสี่

สติปัฎฐานสี่จะมีกำลังปัญญาญานคมกล้า ต้องใช้กำลังจิตที่มีกำลัง ซึ่งก็ได้จากฌานนี่แหละ
.
.
.
ธรรมทุกๆตัวที่เราฝึกเราทำ จึงไม่เสียเปล่า มันสามารถเอื้อนำมา่ใช้ได้หมด

เพียงแค่เราไม่ยึดถือยึดมั่น..ใช้ทุกตัวเป็นเครื่องมือเท่านั้น...

เพื่อให้ไปถึง ในคำว่า..อสังขารธรรม :b8: :b42:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2018, 13:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


...อรูปฌาน...

เมื่อเราเดินอรูปฌานไปเรื่อยๆ จนสุด..เมื่อสุดกำลังอรูปณานจะทะลุ..ทะลุไปเจอสมมุติ :b42:

เมื่อเจอสมมุติ จะอยู่ในสภาวะเอ๋อ..เอ๋อเพราะสภาวะสมมุติ

ให้ตั้งสติ ให้รู้ตัวให้มากในช่วงนี้..อย่าไหลไปกับสภาวะสมมุติ

บอกตนเองให้รู้ระลึกเสมอว่า..ที่เราเจอสภาวะแบบนี้ เพราะเกิดจากสภาวะที่เห็นอรูปเต็มอัตรา
.
.
.
แจ้งในอรูปแล้ว :b55:
.
.
.
เมื่อชัดในอรูป จนไปชัดที่สมมุติ..มันจะวนอยู่อย่างนี้ไม่มีกำลังไปต่อได้
.
.
.
ให้ถอนกำลังอรูปลง เพราะกำลังอรูปไม่มีกำลังผลักดันให้เราเดินไปต่อได้

เมื่อเริ่มวนในสมมุติและหาทางออกไม่ได้

ให้ถอนกำลังลงมารูป ในรูปฌาน ให้วนอยู่ในขันธ์ห้า

ยึดรูปเป็นหลักใหญ่ เพื่อเพาะกำลัง และพิจารณาให้เกิดปัญญา

ปัญญาที่เราพิจารณาในรูป ในขันธ์ห้านี่แหละ จะเป็นตัวส่ง กำลังของปัญญาญานของเรา

ให้มีกำลังให้คมขึ้น :b39:
.
.
.
อย่าสนใจอรูปฌาน..ให้ยึดรูปฌาน ให้วนอยู่ในกายเป็นหลัก

จะพิจารณาในหมวดสติปัฎฐานสี่ก็ได้ แต่ให้อยู่ในหมวดกาย เพราะหมวดกายมี 6 บรรพให้พิจารณา

ที่บอกว่า อย่าสนใจอรูปฌาน เพราะเมืื่อจิตเราเผลอ มันจะไปอรูปฌานได้เอง

แต่พอรู้สึกตัว ให้ถอนอรูปฌานนะ..ลงมาอยู่ที่รูปฌานเสมอ

เพื่อฝึกจิตให้ชินกับรูปฌาน ชินกับการพิจารณาขันธ์ห้า

เพราะในอรูปฌาน ไม่มีรูปขันธ์ให้พิจารณา..และไม่มีกายเวทนาจิตธรรมให้พิจารณา

ให้เกาะรูปขันธ์เข้าไว้..เพื่อพิจารณา กาย เวทนาจิตธรรม ที่มีอยู่ในขันธ์ทั้งห้า
.
.
.
เมื่อเผลอมันจะไปอรูปฌาน พอรู้สึกตัว เราจะถอนลงมารูปฌาน

พอเราทำจนจิตชิน พอนึก มันจะลดกำลังลงมาที่รูปฌานได้เอง

เมื่อนึกบ่อยๆ จนจิตชิน ต่อไปมันจะเพิกรูปฌานได้ เป็นอัตโนมัติ :b43:

เพืยงครั้งแรกๆที่เราต้องฝึกให้จิตเกิดความเคยชิน ให้ลงมาที่รูปฌานเสมอๆแค่นั้นเอง
.
.
.
กลับมาที่อรูปฌาน..เมือจิตเราเผลอ มันจะไปตามความเคยชินไปที่อรูปฌาน

มันจะไต่ไปเรื่อยๆ ตั้งแต่รูปฌานหนึ่งจนไปถึง อรูปฌานหนึ่ง จนไปถึง อรูปฌานสี่

จนทะลุอรูปฌานสี่ ไปเจอ สภาวะสมมุติ ถึงตอนนี้กำลังเราจะเพิ่มขึ้น :b40:

สามารถพิจารณาธรรมในสภาวะสมมุติได้มากขึ้น เทียบรูปกับอรูปในจิต ได้มากขึ้น

เห็นได้รอบขึ้น...กว้างขึ้น...เมื่อตันในสมมติอีก ให้เพิก หรือถอนกำลังลง

ลงมาอยู่ที่รูปฌานหรือในขันธ์ห้าในกายอีก...ทำแบบนี้ซ้ำๆ จนกำลังพอ..
.
.
.
่จนท้ายสุด เมื่อเราถึงสภาวะสมมติ เราสามารถพิจารณาธรรมในสมมุติได้

เห็นรูปและอรูปได้ชัด เทียบกันชัดเจน ปัญญาเราเกิด ในกาย

เห็นชัดว่า อ่อ ขันธ์ห้าเราก็สมมุติ เขาและเราเหมือนกัน..

เหตุใดเราจึงโง่ มีการเปรียบเทียบเกิดขึ้น ว่าเขาดีกว่าเรา เขาเสมอเรา เขาโง่กว่าเรา..
.
.
.
แท้จริงเราโง่เอง.. :b55:

ทั้งๆที่ขันธ์ทั้งห้าทั้งเขาและเราเหมือนกันแท้ๆ แต่เราก็ยังมีการเปรียบเทียบอยู่นั่นแล้ว

เทียบสิ่งสองสิ่ง เทียบเธอและฉันอยู่เสมอ...

พิจารณา ให้รอบให้แจ้งอย่างนี้ ในที่สุดก็จะหลุดภาวะการเอ๋อ ของสภาวะของสมมุติได้
.
.
.
กำลังที่ทำให้หลุดสภาวะสมมุติ หรือการเอ๋อได้ เกิดจากการพิจารณาในกาย

กายในกาย ในขันธ์ทั้งห้า เท่านั้น...มันจึงมีกำลังผลักดันให้เราไปแจ้งในอรูปได้มากขึ้น

ไม่ใช่ อรูปฌานมีกำลัง แล้วจะผลักดันให้หลุดสภาวะสมมุติได้
.
.
.
อรูปฌานสุดแค่ อรูปสี่ แล้วก็นิ่ง นิ่งแล้วก็ถอนกำลัง..

มันไม่ต่างกับ เมื่อเราถึง รูปฌานสี่ และจมแช่อยู่ในสภาวะนั้นจนอิ่ม แล้วถอนกำลังลงมาหรอก

จิตอิ่มแล้วมันก็ถอนของมันเอง อรูปฌานก็เช่นกัน...มันจึงเกิดอาการ..วน..เกิดขึ้น..
.
.
.
วนแล้ววนเล่า ใน รูปฌานหนึ่ง ถึงอรูปฌานสี่..วนอยู่อย่างนี้ตลอดปีตลอดชาติ

ไม่ต่างกับพระอาจารย์ทั้งสองของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย :b8:

กำลังที่ผลักให้ออกจากสมมุติได้ มีทางเดียว คือ ลงมาพิจารณาขันธ์ทั้งห้า

มาอยู่ในรูป...มันเป็นทางเดียวที่ถึงจะทำให้เราเดินต่อ

ทะลุทางตัน ของเราให้เดินไปต่อได้ :b36: :b55: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ต.ค. 2018, 14:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในพุทธศาสนาคำว่า สัมมาและมิจจา สามารถแยกได้จาก..

ทางสัมมาจะมุ่งเข้าตรงละสังโยชน์เพื่อเข้าถึงพระนิพพานเพียงอย่างเดียว :b42:

ส่วนมิจฉา คือ ทุกทางที่ทำ แล้วไม่มุ่งตรงสู่ การละสังโยชน์ ..:b55:

ใจความหลักๆของสัมมาและมิจฉา มีแค่นี้เอง
.
.
.
อรูปก็เช่นกัน..อรูปมีสองทางคือ ทางมิจฉา และทางสัมมา
.
.
.
ทางมิจฉาของอรูปคือ อรูปฌาน

จริงๆ อรูปฌาน เป็นเพียงสภาวะๆหนึ่งเท่านั้นนเอง แต่เราไปยึดมั่นถือมั่น

มันจึงกลายเป็นสังโยชน์ไป..

ถ้าเราใช้อรูปฌานเป็นเพียงเครื่องมือ..

อรูปฌานจะ เป็นสภาวะธรรมหนึ่งเท่านั้น เพื่อผ่านไปหาสภาวะธรรมตัวอื่นๆต่อไป.. :b54: :b48:
.
.
.
ส่วนทางสัมมาของอรูป คือ..อรูปที่อยู่ในขันธ์ห้าทั้งหมด

คือ เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาน

จะเห็นได้ว่า ทุกตัวของอรูปจะอยู่ในกายของเราทั้งสิ้น

และเราใช้ อรูปพวกนี้ พิจารณาตามหมวดกรรมฐาน

เพืื่อให้จิตแจ้งในไตรลักษณ์และอริยสัจจ์สี่
.
.
.
เมื่อเห็นแจ้งได้ในทั้งรูปและอรูป..ที่มีในขันธ์ทั้งห้าได้แล้ว...

กิเลส ตัณหา อุปาทานมันจะละออก..

มันถึงจะเห็นแจ้งใน อสังขารธรรมได้ :b8: :b42:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ต.ค. 2018, 18:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบพระคุณค่ะ

เมื่อไร อยากลงมือปฎิบัติ นะคะ
มาบอกเมได้



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ต.ค. 2018, 18:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
ขอบพระคุณค่ะ

เมื่อไร อยากลงมือปฎิบัติ นะคะ
มาบอกเมได้



:b37: :b38: :b36: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2018, 15:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


...ความเท่าทัน...

เราควรให้ความสำคัญกับการเท่าทัน..

เท่าทันความคิดตัวเองในตอนนี้ ว่าคิดนึกอะไรอยู่..

เท่าทันการพูดการโพสของเรา ว่า ตอนนี้ มันเป็นยังไง..

คิดนึก พูดออกไป เบียดเบียนเขาไหม..พูดแล้วจะเกิดผลอะไรตามมา..

ขณะที่นึกคิดในการเบียดเบียนเขานั้น..กิเลสตัวไหนเกิดในจิตเราบ้าง..

มีตัวไหนบ้างทำงานอยู่ 1234..ว่ากันไป..



การเท่าทันความคิดตัวเอง

ทำให้เราได้นึกคิดให้รอบก่อน ก่อนลงมือทำสิ่งใด..

ทำให้เราเห็นตัวเอง ว่า สิ่งที่เกิดในจิต ขณะที่เราคิดนึก มีอะไรบ้าง..

มันทำให้เกิดการทบทวนตัวเอง เกิดการยับยั้งช่างใจ

และสามารถหาหนทางแก้ไขจิตตัวเองได้ทัน ก่อนที่เราจะลงมือสร้างกรรมลงไป.. :b55:

ปัญญาจะค่อยๆเกิดขึ้นมา เมื่อเราเท่าทันความคิดของตัวเอง :b39:


หรือ


เมื่อเราลงมือกระทำกิจใดๆแล้ว

การรู้เท่าทันกิจที่เราได้ลงมือกระทำลงไป

จะทำให้เราเกิดความไม่ยึดถือมั่นในกิจนั้นๆ

ด้วยปัญญาที่เกิดขึ้นทุกขณะๆที่เราลงมือทำกิจ
.
.
.
การเท่าทันความคิดตัวเอง หรือเท่าทันการกระทำของตัวเองที่ขณะทำอยู่นั้น

มันเป็นผลของการฝึกสติ ตามฐานกายเวทนาจิตธรรม ที่พระสัมมาฯได้บอกสอนไว้ :b8:

เมื่อฝึกจนมีสติมีกำลัง ผลจึงเกิดขึ้น ความเท่าทัันเกิดขึ้น
.
.
.
เราจึงสามารถนำมันมาใช้ได้ :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2018, 19:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


สายน้ำเมย เขียน:
...ความเท่าทัน...

เราควรให้ความสำคัญกับการเท่าทัน..

เท่าทันความคิดตัวเองในตอนนี้ ว่าคิดนึกอะไรอยู่..

เท่าทันการพูดการโพสของเรา ว่า ตอนนี้ มันเป็นยังไง..

คิดนึก พูดออกไป เบียดเบียนเขาไหม..พูดแล้วจะเกิดผลอะไรตามมา..

ขณะที่นึกคิดในการเบียดเบียนเขานั้น..กิเลสตัวไหนเกิดในจิตเราบ้าง..

มีตัวไหนบ้างทำงานอยู่ 1234..ว่ากันไป..



การเท่าทันความคิดตัวเอง

ทำให้เราได้นึกคิดให้รอบก่อน ก่อนลงมือทำสิ่งใด..

ทำให้เราเห็นตัวเอง ว่า สิ่งที่เกิดในจิต ขณะที่เราคิดนึก มีอะไรบ้าง..

มันทำให้เกิดการทบทวนตัวเอง เกิดการยับยั้งช่างใจ

และสามารถหาหนทางแก้ไขจิตตัวเองได้ทัน ก่อนที่เราจะลงมือสร้างกรรมลงไป.. :b55:

ปัญญาจะค่อยๆเกิดขึ้นมา เมื่อเราเท่าทันความคิดของตัวเอง :b39:


หรือ


เมื่อเราลงมือกระทำกิจใดๆแล้ว

การรู้เท่าทันกิจที่เราได้ลงมือกระทำลงไป

จะทำให้เราเกิดความไม่ยึดถือมั่นในกิจนั้นๆ

ด้วยปัญญาที่เกิดขึ้นทุกขณะๆที่เราลงมือทำกิจ
.
.
.
การเท่าทันความคิดตัวเอง หรือเท่าทันการกระทำของตัวเองที่ขณะทำอยู่นั้น

มันเป็นผลของการฝึกสติ ตามฐานกายเวทนาจิตธรรม ที่พระสัมมาฯได้บอกสอนไว้ :b8:

เมื่อฝึกจนมีสติมีกำลัง ผลจึงเกิดขึ้น ความเท่าทัันเกิดขึ้น
.
.
.
เราจึงสามารถนำมันมาใช้ได้ :b55:



การเท่าทันความคิดตัวเอง หรือเท่าทันการกระทำของตัวเองที่ขณะทำอยู่นั้น

มันเป็นผลของการฝึกสติ ตามฐานกายเวทนาจิตธรรม ที่พระสัมมาฯได้บอกสอนไว้ :b8:

เมื่อฝึกจนมีสติมีกำลัง ผลจึงเกิดขึ้น ความเท่าทัันเกิดขึ้น



พี่สายน้ำเมยคะ

อันนี้เม งง มากเรยค่ะ

ว่าความเท่าทัน ที่พี่สายน้ำเมยได้พูดมานั้น นั้น คืออะไรกันแน่


เป็นสติ ที่ความคิดออกมาเท่าไร มากเท่าไร นานเท่าไร ก็มีกำลัง ที่จะติดตามไปกะความคิดไป จนเท่ากัน ทันกัน กะความคิด
หรือเปล่าคะ ?





แก้ไขล่าสุดโดย โลกสวย เมื่อ 05 ต.ค. 2018, 19:28, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2018, 19:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


สายน้ำเมย เขียน:
...อรูปฌาน...

เมื่อเราเดินอรูปฌานไปเรื่อยๆ จนสุด..เมื่อสุดกำลังอรูปณานจะทะลุ..ทะลุไปเจอสมมุติ :b42:

เมื่อเจอสมมุติ จะอยู่ในสภาวะเอ๋อ..เอ๋อเพราะสภาวะสมมุติ

ให้ตั้งสติ ให้รู้ตัวให้มากในช่วงนี้..อย่าไหลไปกับสภาวะสมมุติ

บอกตนเองให้รู้ระลึกเสมอว่า..ที่เราเจอสภาวะแบบนี้ เพราะเกิดจากสภาวะที่เห็นอรูปเต็มอัตรา
.
.
.
แจ้งในอรูปแล้ว :b55:
.
.
.
เมื่อชัดในอรูป จนไปชัดที่สมมุติ..มันจะวนอยู่อย่างนี้ไม่มีกำลังไปต่อได้
.
.
.
ให้ถอนกำลังอรูปลง เพราะกำลังอรูปไม่มีกำลังผลักดันให้เราเดินไปต่อได้

เมื่อเริ่มวนในสมมุติและหาทางออกไม่ได้

ให้ถอนกำลังลงมารูป ในรูปฌาน ให้วนอยู่ในขันธ์ห้า

ยึดรูปเป็นหลักใหญ่ เพื่อเพาะกำลัง และพิจารณาให้เกิดปัญญา

ปัญญาที่เราพิจารณาในรูป ในขันธ์ห้านี่แหละ จะเป็นตัวส่ง กำลังของปัญญาญานของเรา

ให้มีกำลังให้คมขึ้น :b39:
.
.
.
อย่าสนใจอรูปฌาน..ให้ยึดรูปฌาน ให้วนอยู่ในกายเป็นหลัก

จะพิจารณาในหมวดสติปัฎฐานสี่ก็ได้ แต่ให้อยู่ในหมวดกาย เพราะหมวดกายมี 6 บรรพให้พิจารณา

ที่บอกว่า อย่าสนใจอรูปฌาน เพราะเมืื่อจิตเราเผลอ มันจะไปอรูปฌานได้เอง

แต่พอรู้สึกตัว ให้ถอนอรูปฌานนะ..ลงมาอยู่ที่รูปฌานเสมอ

เพื่อฝึกจิตให้ชินกับรูปฌาน ชินกับการพิจารณาขันธ์ห้า

เพราะในอรูปฌาน ไม่มีรูปขันธ์ให้พิจารณา..และไม่มีกายเวทนาจิตธรรมให้พิจารณา

ให้เกาะรูปขันธ์เข้าไว้..เพื่อพิจารณา กาย เวทนาจิตธรรม ที่มีอยู่ในขันธ์ทั้งห้า
.
.
.
เมื่อเผลอมันจะไปอรูปฌาน พอรู้สึกตัว เราจะถอนลงมารูปฌาน

พอเราทำจนจิตชิน พอนึก มันจะลดกำลังลงมาที่รูปฌานได้เอง

เมื่อนึกบ่อยๆ จนจิตชิน ต่อไปมันจะเพิกรูปฌานได้ เป็นอัตโนมัติ :b43:

เพืยงครั้งแรกๆที่เราต้องฝึกให้จิตเกิดความเคยชิน ให้ลงมาที่รูปฌานเสมอๆแค่นั้นเอง
.
.
.
กลับมาที่อรูปฌาน..เมือจิตเราเผลอ มันจะไปตามความเคยชินไปที่อรูปฌาน

มันจะไต่ไปเรื่อยๆ ตั้งแต่รูปฌานหนึ่งจนไปถึง อรูปฌานหนึ่ง จนไปถึง อรูปฌานสี่

จนทะลุอรูปฌานสี่ ไปเจอ สภาวะสมมุติ ถึงตอนนี้กำลังเราจะเพิ่มขึ้น :b40:

สามารถพิจารณาธรรมในสภาวะสมมุติได้มากขึ้น เทียบรูปกับอรูปในจิต ได้มากขึ้น

เห็นได้รอบขึ้น...กว้างขึ้น...เมื่อตันในสมมติอีก ให้เพิก หรือถอนกำลังลง

ลงมาอยู่ที่รูปฌานหรือในขันธ์ห้าในกายอีก...ทำแบบนี้ซ้ำๆ จนกำลังพอ..
.
.
.
่จนท้ายสุด เมื่อเราถึงสภาวะสมมติ เราสามารถพิจารณาธรรมในสมมุติได้

เห็นรูปและอรูปได้ชัด เทียบกันชัดเจน ปัญญาเราเกิด ในกาย

เห็นชัดว่า อ่อ ขันธ์ห้าเราก็สมมุติ เขาและเราเหมือนกัน..

เหตุใดเราจึงโง่ มีการเปรียบเทียบเกิดขึ้น ว่าเขาดีกว่าเรา เขาเสมอเรา เขาโง่กว่าเรา..
.
.
.
แท้จริงเราโง่เอง.. :b55:

ทั้งๆที่ขันธ์ทั้งห้าทั้งเขาและเราเหมือนกันแท้ๆ แต่เราก็ยังมีการเปรียบเทียบอยู่นั่นแล้ว

เทียบสิ่งสองสิ่ง เทียบเธอและฉันอยู่เสมอ...

พิจารณา ให้รอบให้แจ้งอย่างนี้ ในที่สุดก็จะหลุดภาวะการเอ๋อ ของสภาวะของสมมุติได้
.
.
.
กำลังที่ทำให้หลุดสภาวะสมมุติ หรือการเอ๋อได้ เกิดจากการพิจารณาในกาย

กายในกาย ในขันธ์ทั้งห้า เท่านั้น...มันจึงมีกำลังผลักดันให้เราไปแจ้งในอรูปได้มากขึ้น

ไม่ใช่ อรูปฌานมีกำลัง แล้วจะผลักดันให้หลุดสภาวะสมมุติได้
.
.
.
อรูปฌานสุดแค่ อรูปสี่ แล้วก็นิ่ง นิ่งแล้วก็ถอนกำลัง..

มันไม่ต่างกับ เมื่อเราถึง รูปฌานสี่ และจมแช่อยู่ในสภาวะนั้นจนอิ่ม แล้วถอนกำลังลงมาหรอก

จิตอิ่มแล้วมันก็ถอนของมันเอง อรูปฌานก็เช่นกัน...มันจึงเกิดอาการ..วน..เกิดขึ้น..
.
.
.
วนแล้ววนเล่า ใน รูปฌานหนึ่ง ถึงอรูปฌานสี่..วนอยู่อย่างนี้ตลอดปีตลอดชาติ

ไม่ต่างกับพระอาจารย์ทั้งสองของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย :b8:

กำลังที่ผลักให้ออกจากสมมุติได้ มีทางเดียว คือ ลงมาพิจารณาขันธ์ทั้งห้า

มาอยู่ในรูป...มันเป็นทางเดียวที่ถึงจะทำให้เราเดินต่อ

ทะลุทางตัน ของเราให้เดินไปต่อได้ :b36: :b55: :b53:




"อรูปฌานสุดแค่ อรูปสี่ แล้วก็นิ่ง นิ่งแล้วก็ถอนกำลัง..

มันไม่ต่างกับ เมื่อเราถึง รูปฌานสี่ และจมแช่อยู่ในสภาวะนั้นจนอิ่ม แล้วถอนกำลังลงมาหรอก

จิตอิ่มแล้วมันก็ถอนของมันเอง อรูปฌานก็เช่นกัน...มันจึงเกิดอาการ..วน..เกิดขึ้น.."


แบบ อันนี้

เมก็ งง มากเรยค่ะ พี่สายน้ำเมย

จิตนั่นอิ่ม หรือกลับยิ่ง หิวโหย โรยแรง

จนต้องออกไป แสวงหาอาหารจากที่อื่นมาเพิ่มเติมอีก หรือเปล่าคะ ?



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2018, 19:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


"มันเป็นผลของการฝึกสติ ตามฐานกายเวทนาจิตธรรม ที่พระสัมมาฯได้บอกสอนไว้"


อันนี้เม ก็ งง มากเรยค่ะ

ว่า "ฐานกายเวทนาจิตธรรม "

คำว่าฐานนี้ อยู่ที่ไหน ลักษณะ ยังไงคะ ?



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2018, 20:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
สายน้ำเมย เขียน:
...ความเท่าทัน...

เราควรให้ความสำคัญกับการเท่าทัน..

เท่าทันความคิดตัวเองในตอนนี้ ว่าคิดนึกอะไรอยู่..

เท่าทันการพูดการโพสของเรา ว่า ตอนนี้ มันเป็นยังไง..

คิดนึก พูดออกไป เบียดเบียนเขาไหม..พูดแล้วจะเกิดผลอะไรตามมา..

ขณะที่นึกคิดในการเบียดเบียนเขานั้น..กิเลสตัวไหนเกิดในจิตเราบ้าง..

มีตัวไหนบ้างทำงานอยู่ 1234..ว่ากันไป..



การเท่าทันความคิดตัวเอง

ทำให้เราได้นึกคิดให้รอบก่อน ก่อนลงมือทำสิ่งใด..

ทำให้เราเห็นตัวเอง ว่า สิ่งที่เกิดในจิต ขณะที่เราคิดนึก มีอะไรบ้าง..

มันทำให้เกิดการทบทวนตัวเอง เกิดการยับยั้งช่างใจ

และสามารถหาหนทางแก้ไขจิตตัวเองได้ทัน ก่อนที่เราจะลงมือสร้างกรรมลงไป.. :b55:

ปัญญาจะค่อยๆเกิดขึ้นมา เมื่อเราเท่าทันความคิดของตัวเอง :b39:


หรือ


เมื่อเราลงมือกระทำกิจใดๆแล้ว

การรู้เท่าทันกิจที่เราได้ลงมือกระทำลงไป

จะทำให้เราเกิดความไม่ยึดถือมั่นในกิจนั้นๆ

ด้วยปัญญาที่เกิดขึ้นทุกขณะๆที่เราลงมือทำกิจ
.
.
.
การเท่าทันความคิดตัวเอง หรือเท่าทันการกระทำของตัวเองที่ขณะทำอยู่นั้น

มันเป็นผลของการฝึกสติ ตามฐานกายเวทนาจิตธรรม ที่พระสัมมาฯได้บอกสอนไว้ :b8:

เมื่อฝึกจนมีสติมีกำลัง ผลจึงเกิดขึ้น ความเท่าทัันเกิดขึ้น
.
.
.
เราจึงสามารถนำมันมาใช้ได้ :b55:



การเท่าทันความคิดตัวเอง หรือเท่าทันการกระทำของตัวเองที่ขณะทำอยู่นั้น

มันเป็นผลของการฝึกสติ ตามฐานกายเวทนาจิตธรรม ที่พระสัมมาฯได้บอกสอนไว้ :b8:

เมื่อฝึกจนมีสติมีกำลัง ผลจึงเกิดขึ้น ความเท่าทัันเกิดขึ้น



พี่สายน้ำเมยคะ

อันนี้เม งง มากเรยค่ะ

ว่าความเท่าทัน ที่พี่สายน้ำเมยได้พูดมานั้น นั้น คืออะไรกันแน่


เป็นสติ ที่ความคิดออกมาเท่าไร มากเท่าไร นานเท่าไร ก็มีกำลัง ที่จะติดตามไปกะความคิดไป จนเท่ากัน ทันกัน กะความคิด
หรือเปล่าคะ ?





ในเวลาปฎิบัติ...กำลังทำอยู่...เราจะนึกบัญญัติไม่ออกหรอกคะ

เพราะเราจะใช้จิต ความรู้สึกในใจเราเป็นใหญ่ตอนพิจารณาธรรม..

เวลาเรานึกออก มันจะเป็นคำบ้านๆเท่านั้น
.
.
เท่าทันกิเลสในจิตเราตอนนั้น เท่าทันสังขารเราที่กำลังทำงานอยู่ตอนนั้น

เท่าทันเวทนา สัญญา เราในตอนนั้น...

ความเท่าทัน มันเกิดจากการรู้รอบแล้ว หรือรู้รอบในขันธ์ทั้งห้าเพียงบางส่วน
.
.
.
การรู้เท่าทัน หรือรู้รอบ...เมื่อเรามาทบทวนเข้ากับบัญญัติ

จะตรงกับคำว่า...สัมปชัญญะ...พอดีคะ

ลักษณะของการเท่าทันของเรา เมื่อเทียบเข้า บัญญัติที่ได้บรรยายไว้

จะตรงกับ..คำว่า สัมปชัญญะ..เป๊ะ...ไม่ขาดไม่เกิน
.
.
.
เวลากำลังปฎิบัติจะใช้อีกคำหนึ่ง

แต่เมื่อเทียบบัญญัติ จะตรงกับอีกอักษรหนึ่งเท่านั้นเอง

ต่างกันแค่อักษรและพยัญชนะ เท่านั้นเองนะคะ :b48: :b53:
.
.
.
ไม่แน่ใจว่าตอบตรงกับคำถามไหมนะคะ.. :b53:

สติคือการระลึกรู้ กำหนดรู้ เจาะจงที่จะไปรู้(สมถะ)

ตัวรู้ตัวทั่วพร้อม พร้อมไปทั้งกายใจว่า..อะไรกำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้..

ตัวนี้ สัมปชัญญะ(ปัญญา หรืออีกชื่อหนึ่งว่า..ปัญญาญาน) :b53:


แก้ไขล่าสุดโดย สายน้ำเมย เมื่อ 05 ต.ค. 2018, 20:49, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2018, 20:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
"มันเป็นผลของการฝึกสติ ตามฐานกายเวทนาจิตธรรม ที่พระสัมมาฯได้บอกสอนไว้"


อันนี้เม ก็ งง มากเรยค่ะ

ว่า "ฐานกายเวทนาจิตธรรม "

คำว่าฐานนี้ อยู่ที่ไหน ลักษณะ ยังไงคะ ?



สติที่อยู่ในฐานกายเวทนาจิตธรรม คือ

การฝึกสติในหมวดต่างๆ ของสติปัฎฐานสี่คะ

คือ หมวดกายา มี หกบรรพย่อย หมวดเวทนา หมวดจิตตา และหมวดธรรมมา
.
.
.
สติปัฎฐานสี่ เมื่อสติเกิดตามฐานต่างๆได้เป็นอัตโนมัติ แรกๆจะเป็นสมถะอยู่

เมื่อจิตเราตั้งมั่นในฐานทั้งสี่ ที่เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยที่เกิดนานๆ

ปัญญาเราจะค่อยๆเกิดขึ้นมาคะ..

มันจะค่อยๆเท่าทัน การทำงานของขันธ์ห้า

มันจะค่อยๆเท่าทันกิเลสตัณหาอุปาทาน ที่เจือมาพร้อมกับการทำงานของขันธ์ห้า

หรือพูดง่ายๆ เราจะพูดว่า

เราจะค่อยๆเห็นกิเลสที่มันเจือมากับอารมณ์ของเรา ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
.
.
เมื่อมันเห็นชัด ด้วย สติ(ปัฏฐาน)...

สติที่ตั้งมั่นในฐานทั้งสี่นานๆ(สมาธิเกิด)...

มันก็ค่อยๆรู้เท่าทันการทำงานของขันธ์ห้าและเท่าทันกิเลส

ที่เจือมากับขันธ์ห้าจึงเกิดขึ้น(ปัญญา)..

ซึ่งมันจะเป็นไปตามลำดับ ของ อินทรีย์ห้าและพละห้าคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2018, 21:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบพระคุณค่ะ พี่สายน้ำเมย

ขออนุโมทนาด้วยนะคะ

ไม่เป็นไรค่ะ ตอบไม่ตรงที่เมถามหรอกค่ะ

แต่เมว่าอย่างนี้ ค่ะ

ฐานของสติ ในสติปัฎฐาน จะเป็นตัวทำให้รู้ ว่าทำอยู่อย่างมีสติ หรือสติขาดหลุดลอยไปนอกฐาน

สติ ที่มีกำลัง คือ สติ ที่มั่น ไม่เอนเอียง ไม่ได้ตามความคิดไป สติไม่ขาด ไม่หลุดลอยไปกับความคิด

อาหารของสติ คือเวลาที่สติรู้ตัว ทั่วพร้อมอยุ่ ว่า ไม่ไหลเข้าใป และขนะหลุดออกจากพันธนาการค่ะ



แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร