วันเวลาปัจจุบัน 09 มิ.ย. 2025, 20:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 144 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 6, 7, 8, 9, 10  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2018, 08:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รู้ไหมตะวัน ทำไมเราไม่เคยอ่านโพสของเธอเลย...

เพราะเธอไม่ได้ปฎิเวธตรงนั้น สิ่งที่เธอพูด ออกจากการตรอง การตรึก

การคาดคะเน จากการอนุมานเท่านั้น..มันไม่ใช่เกิดขึ้นจริงด้วยจิตของเธอ



อ่านแล้ว ใจมันบอกว่าของปลอม...ใจมันก็เพิก ไม่อ่านต่อ

ไม่ใช่เราปิดหูปิดตาไม่รับความเห็นของเธอ แต่ปัญญาญานในตัวเรา

มันกรองของมันเอง และมันตัดของมันเอง..เลยอ่านแล้วไม่อิน

อ่านแล้วไม่รู้เรื่อง

เมื่อเอาใจผัสสะไปที่ตัวอักษรขณะอ่าน ใจจะบอกว่า มันมั่ว มันมั่ว มันไม่ได้จริง

นี่มันหลวม นี่ขั้นตอนหยาบ เจอจริงไม่ท่องคล่องมาแบบนี้หรอก



ความแจ้งในสุตมยปัญญา มันหยาบมากถ้าเทียบกับการที่จิตตกผลึกแล้วด้วยจิตมยปัญญา

และจิตมยปัญญา มันหยาบมาก ห่างกันเป็นโยชน์เป็นกัป กับภาวนามยปัญญา

เราไม่จำเป็นต้องเขียนแจกแจงอะไร เพื่อให้นักปราชญ์อย่างเธอ มายืนยัน ว่าเราใช่ไม่ใช่

เธอด่าเรา ในเมื่อมันไม่จริง ด่ามากๆเราก็รำคาญนะสิ เราก็ด่าคืน

เราอดเราทนกับกิเลสและความยึดมั่นของตัวเองก็พอ เราไม่คิดทนกับกิเลสคนอื่นที่แฝงมากับคำสวยหรูแต่เจตนา สอดเสียด ประชดประชัน กดคนอื่นยกตัวเองให้สูง หรอก(เจตนาเจืออกุศล แม้พูดธรรมยังไง มันก็เป็นอกุศลอยู่ดี)

คำพูดเธอตอนพูดธรรมแบบตรองมาหรือตกผลึกมาแล้วมันดูดี แต่เมื่อไหร่เธอแสดงสันดานแท้ๆของเธอออกมาที่แฝงมาในตัวอักษร เราว่ามันใช้ไม่ได้

มันสวนทางกับคำพุดที่เธอพุดธรรมออกมา

เธอมันนักปราชญ์ ส่วนเรามันนักปฎิบัติ ในเมื่อเราเป็นคนละประเภทกัน เราย่อมคุยกันไม่รู้เรื่อง

ไม่ใช่เราไม่เปิดใจให้เธอ แต่เธอท่องมา...มันก็จบแล้ว นกแก้ว ไม่เคยเป็นของจริงได้เลย ในเมื่อไม่ลงมือกระทำ แล้ว ส่งเสียง แผดเสียงดังลั่นตลอดเวลา กุนี่เก่ง กุนี่เก่ง นี่ไงจะท่องให้ฟัง แก้วจ๋า แก้วจ๋า
.
.
.
.
เราสามารถพูดละเอียดยิบได้...ถ้าเธอมีสภาวะทำได้ทำถึง แล้วมาถาม เราจะแจกแจงเชื่อมโยง ขยาย หรือย่อ ให้ง่ายเข้า ให้เธอได้เข้าใจ และจะช่วยทุกทาง เพื่อให้เธอถึงฝันที่เธอปรารถนาไว้ :b8:

แต่อยู่ๆจะพูดออกมากับคนที่แม้โสดามรรคยังไม่ได้ ระดับจิตโสดามรรคยังวางไม่ได้ ซึ่งดูจาก กรรมบทสิบ ที่เป็นศีลประจำใจของพระโสดาผล :b8: ตรงนี้เธอยังไม่มีเลย

แล้วเธอก็ไม่เจียมตัว ไปพูดเรื่องของ กิจของพระอรหันต์มรรค :b8: ที่ต้องทำกิจละอุปาทานเพื่อจบกิจไป

ตัวเองเป็นมด แต่ตะโกนก้องฟ้า เพื่อไปคุยกับนกเขา นก เขาคงจะคุยด้วยหรอก..ตะวัน

เราว่าเธอหาเพื่อนที่ถูกจริต คุยไปในทางเดียวกับเธอ ถกธรรมเพื่อความเพลินจิต เธอเข้าหาเพื่อนที่เหมือนเธอดีกว่า

เราไม่ได้ถกธรรมเพื่อความเพลิน ทุกคำที่เราพูดออกมา มันต้องเป็นประโยชน์ และคำนึงถึงว่า ควรหรือไม่ควรพูดในธรรมนั้น...ธรรมที่เราจะพูด เราดูคนที่สนทนาด้วย เราถึงพูดในระดับเดียวกับคู่สนทนา

สำหรับตะวัน เราที่คุยด้วยส่วนใหญ่เป็นธรรมที่ปรับสัมมาทิษฐิให้ตรงทางเพื่อเข้าสู่ทางแห่งอริยมรรคเท่านั้น(ที่พิมพ์ๆมาอยู่นี่ ใช่หมด)

ซึ่งมันเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของนักปฎิบัติธรรมที่ดี ธรรมที่สูงกว่านี้ ไม่ควรพูดกับตะวัน เพราะตะวันจะจับคำเรานั้นไปถกธรรมเพื่อความเพลิดเพลินของตัวเอง

เราคุยกันในลานหนึ่งมานาน นานเพียงพอที่จะรู้ใส้ของกันและกัน เราถึงพูดเสมอ เธอไปไกลๆ อย่ามาคุยกับเรา

ไม่ใช่เราหยิ่งหรือเรารังเกียจเธอ แต่ธรรมเราไม่เสมอกัน คุยกันทีเราด่ากันทุกที เธอก็รู้ตัว แต่ดันทุรัง

เห็นเราโผล่มาหน้าลาน กระหือลือ วิ่งเข้าหา เพื่อถก ถลก เรา..เธอรู้ตัวบ้างไหม ว่าเธอโรคจิต ไปรับยาช่องสามบ้างนะตะวัน มันจะได้ดีขึ้นมาบ้าง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2018, 14:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2015, 23:32
โพสต์: 52

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เนื้อหาส่วนมาก..ของโพสข้างบนของยู.......
ที่ยูวิจารณ์การปฏิบัติของไอ...ซะเละเทะ...ไปเลยนั่น
เดี๊ยวไอ..ค่อยจะมาวิสัชชนา...แก้ข้อกล่าวหา..มั่วๆ
ที่ยูวิจารณ์การปฏิบัติของไอ
ว่าไอปฏิบัติแบบ...มโน...เอาเอง
...เป็นช็อตๆ..อีกทีก็แล้วกัน
ตอนนี้ยังขี้เกียจอยู่....เลยมาพูดอะไรแค่นี้ก่อน


.................มาว่าเรื่องข้อความข้างล่างนี่...ของยู...ก่อนก็แล้วกัน..............
....ไม่งั้นเดี๊ยวจะมีคนเข้าใจผิด...ว่าไอ...มาตามตื้อ..หรือมาตามก่อกวนอะไรยู...........


เราคุยกันในลานหนึ่งมานาน นานเพียงพอที่จะรู้ใส้ของกันและกัน
เราถึงพูดเสมอ เธอไปไกลๆ
อย่ามาคุยกับเรา
ไม่ใช่เราหยิ่งหรือเรารังเกียจเธอ แต่ธรรมเราไม่เสมอกัน คุยกันทีเราด่ากันทุกที เธอก็รู้ตัว แต่ดันทุรัง
เห็นเราโผล่มาหน้าลาน กระหือลือ วิ่งเข้าหา เพื่อถก ถลก เรา..
เธอรู้ตัวบ้างไหม ว่าเธอโรคจิต ไปรับยาช่องสามบ้างนะตะวัน มันจะได้ดีขึ้นมาบ้าง


...............มันไม่เกี่ยวหรอก...............
ที่ยูจะอยากพูดหรือไม่อยากพูดกะ..ไอ..นี่


แต่ถ้ายูมา...สะแล๊น..อยู่แถวๆนี้
ในลานธรรมจักรนี่...ไม่ว่าจะในลานสนทนา
หรือในหน้าเว็บบอร์ดกระทู้นี่

ถ้าไอเห็น...ไอ..ก็จะมาอ่านสิ่งที่ยูโพส
ถ้ายูโพสดี..โพสเข้าท่า...ไอจะมาชื่นชม..กดไลท์..ให้

แต่ถ้าโพสแบบไม่ได้เรื่อง...
ทำให้คนเข้าใจธรรมะผิดๆ

ไอก็จะมา...ปรับทัศนะคติ...ให้ยูซะใหม่
ให้ยู...มีความเห็นถูกต้อง...
และไม่ให้คนอื่นๆ...เขาเข้าใจธรรมะผิดๆตามยูไป

แล้วเห็นไหมในเฟส ของยู..นั่น
ไอเคยไป..ตามขอแอดฯเป็นเพื่อนกะยูบ้างเปล่าล่ะนั่น
อย่าหลงตัว..ว่าไอจะ..ตามตื้อยู..มันไม่ใช่


ใครก็ตามในลานนี้...ถ้าโพสธรรมะ..พูดธรรมะ
ที่ไอฟังแล้ว..เห็นว่าไม่ถูกต้อง.
ไม่ถูกตามคำสอน...ไอก็มี..นโยบาย..จะไป
.....ปรับทัศนะคติ....ให้เขาใหม่ทุกคนนั่นล่ะ

ไม่ใช่จะมาปรับให้เฉพาะยูนั่นหรอก
เพื่อให้เห็นถูกต้องตามคำสอนพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์

แต่ตอนนี้..ไอยังขี้เกียจอยู่...ยังไม่ได้ไปตระเวน
สำรวจดู...ว่าใครในนี้..พูดธรรมะอะไร..มั่วๆ..ไปบ้าง
เลยมา..เช็คบิลยู...คนเดียว..ไปก่อนงัย

นี่ลองอ่านดู...กระทู้ที่ไอ..เคยไปปรับทัศนะคติ
ให้นายโฮฮับ....เป็นกระทู้ระดับ...มาสเตอร์พิซ...
ของเราเลยล่ะ
viewtopic.php?f=1&t=42980
42980.ธรรมะความจริงกับความจำ(ตะวัน VS โฮฮับ)
................(ฮามากนะงั๊บขอบอก)................



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2018, 02:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2015, 23:32
โพสต์: 52

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สายน้ำเมย เขียน:
รู้ไหมตะวัน ทำไมเราไม่เคยอ่านโพสของเธอเลย...
ทำไม..จะไม่รู้ล่ะยายเมยเอ๊ย...คนแบบยูน่ะ..ถ้าเปรียบไปแล้ว
ก็เหมือนกับคนไปเหยียบตะปูสนิม...
แล้วพิษสนิมคือเชื้อบาดทะยัก(ติดหลงเพลินในการอ่านนิยาย)
..ก็ซึมเข้าไปในเลือดจนทั่วตัวของยูแล้ว

พอดีเรา...ผ่านมาเห็น..ก็เลยมาบอกว่า
ยูต้องไปฉีดยากันบาดทะยัก...เพื่อทำลายเชื้อบาดทะยัก(ติดเพลินอ่านนิยาย)นะ

แต่ยู..กลับคิดโง่ๆกลัวว่า..ตัวเองจะต้องเจ็บปวดจากการโดนฉีดยากันบาดทะยัก
(การจะฝึกเลิกอ่านนิยายให้ได้ก็เป็นธรรมดาที่เราจะต้องเจอกับความทุกข์อย่างทุรนทุรายเหมือนจะลงแดง

ในการฝืนใจที่ต้องได้อดใจห้ามใจไม่ให้ไปอ่านนิยายตามความอยากที่ติดนิยายมานาน...
ก็เทียบได้เหมือนกับต้องทนเจ็บจากการโดนฉีดยากันบาดทะยักให้ได้นั่นเอง)

เมื่อยูเห็นไอบอกว่า...จะพาไปฉีดยากันบาดทะยักนะ...
ยูก็เลยวิ่งหนี(เท่ากับที่ยูบอกว่า..ไม่เคยสนใจจะอ่านโพสของไอนั่นแหละ)

เพราะยูกลัวความเจ็บปวดจากการรักษา
(ยูไม่กล้าเผชิญหน้ากับการที่จะต้องยอมรับกับความทุรนทุรายเหมือนจะลงแดง
ในการฝึกใจอดใจฝืนต่อสู้กับความอยาก..เพื่อห้ามใจตัวเองไม่ให้ไปอ่านนิยายหรือดูหนังฟังเพลง
ซึ่งต้องทุกข์มากเหมือนกับโดนฉีดยากันบาดทะยักหลายๆเข็มจนกว่าจะหาย)

.....ยูยอมรับ...ความเจ็บปวดจากการรักษา..
เพื่อให้หายให้รอดตายจากเชื้อบาดทะยักไม่ได้
.....แต่ยอมรับ...ให้พิษของเชื้อบาดทะยัก(ติดเพลินดูหนังอ่านนิยาย)
ให้กำเริบร้ายแรงหนักขึ้นๆเรื่อยๆให้มันฆ่ายูได้

ยูน่าจะเป็นคนแบบนี้แหละ...ถึงกลัวและไม่กล้าอ่านโพสของเรา...
ที่เหมือนกับบอกให้ยู...ต้องยอมเจ็บถ้าอยากจะหาย



เพราะเธอไม่ได้ปฎิเวธตรงนั้น สิ่งที่เธอพูด ออกจากการตรอง การตรึก
การคาดคะเน จากการอนุมานเท่านั้น..มันไม่ใช่เกิดขึ้นจริงด้วยจิตของเธอ

คนที่ปฏิบัติแบบคิดเองเออเองนั่นน่าจะเป็นยูมากกว่านะ
ตัวเองยังติดอ่านนิยาย..ระงับกิเลสตัวเพลินอ่านนิยายไม่ได้..
ก็ไม่ยอมรับว่าเป็นข้อบกพร่องของตัวเอง...

อ่านนิยายมันผิดศีลข้อ 7 ..ก็มาอ้างหน้าตาเฉยว่าฉันถือศีลห้า..ไม่ผิด....
มันไม่ผิดศีลห้า..แต่มันผิดศีลระดับสูงงัย...

ยูปฏิบัติแบบไม่ได้มีบรรทัดฐานเอาศีลมาเป็นเครื่องวัดระดับของตัวเองเลย
..คิดเอาเองหมด...หลอกตัวเองตลอดเวลา..

ตัวเองยังภาวนาต้านอำนาจกิเลสกามไม่ได้ก็ไม่ยอมรับ
...แล้วอ้าง..แบบโง่ๆเพื่อให้ตัวเองสบายใจ...ว่าฉันถือศีลห้า...
แล้วศีลห้า..ที่ยังหาความสุขจากกามอยุ่นี่...
มันใช้ละใช้ปล่อยวางขันธ์ห้าเพื่อให้พ้นจากการเกิดได้อยุ่เหรอ???

แต่ไอนี่...แม้จะรักษาศีลระดับสูงได้บ้างไม่ได้บ้าง...
แต่ก็ยอมรับความจริงตามหลักธรรมท่านนะว่า

...ถ้าจะละอัตตาตัวตนให้ได้นี่...แค่ศีลห้า...ยังไม่พอ...

เพราะยังไปติดรสกามรสอัตตาตัวตนอยุ่โต้งๆไม่ว่าจะดูหนังฟังเพลงอ่านนิยาย..
ไล่ไปจนถึงหาความสุขจาก...รสกามทางเพศ...เลยโน่น
แล้วแบบนี้มันจะไปละ..อัตตา..ตัวตนได้ที่ไหนกัน


อ่านแล้ว ใจมันบอกว่าของปลอม...ใจมันก็เพิก ไม่อ่านต่อ
ใครปลอมใครจริงกว่ากันก็ดูที่ว่า...
ใครจะต้านกิเลสกามได้มากกว่ากันนั่นแหละ
แต่ที่แน่ๆช่วงนี้ไอไม่ได้ดูหนังฟังเพลงอ่านนิยายเหมือน..ยู..แล้วกัน


ไม่ใช่เราปิดหูปิดตาไม่รับความเห็นของเธอ แต่ปัญญาญานในตัวเรา
มันกรองของมันเอง และมันตัดของมันเอง..เลยอ่านแล้วไม่อิน
อ่านแล้วไม่รู้เรื่อง

คนหน้ามืดที่ติดนิยายหัวปักหัวปำแบบ..ยู..จะมาฟัง
คนที่ห้าม..ยู..ไม่ให้อ่านนิยายแบบไอนี่เหรอ
เหมือนพวกติดเหล้าติดบุหรี่..มันจะยอมฟังหมอแนะนำที่ไหนกันแบบนั้นแหละ..


เมื่อเอาใจผัสสะไปที่ตัวอักษรขณะอ่าน
ใจจะบอกว่า มันมั่ว มันมั่ว มันไม่ได้จริง
นี่มันหลวม นี่ขั้นตอนหยาบ เจอจริงไม่ท่องคล่องมาแบบนี้หรอก

ใครกันแน่หยาบกว่ากัน
ไอ..ไม่ได้ดูหนังฟังเพลงอ่านนิยายเหมือนยูเน้อ


ความแจ้งในสุตมยปัญญา มันหยาบมากถ้าเทียบกับการที่จิตตกผลึกแล้วด้วยจิตมยปัญญา
และจิตมยปัญญา มันหยาบมาก ห่างกันเป็นโยชน์เป็นกัป กับภาวนามยปัญญา
เราไม่จำเป็นต้องเขียนแจกแจงอะไร เพื่อให้นักปราชญ์อย่างเธอ มายืนยัน ว่าเราใช่ไม่ใช่

ยูยังติดยังเลิกอ่านนิยายไม่ได้
จะให้ไอยอมรับยูได้เหรอ..ว่ายูภาวนาเก่ง..ได้นั่น


เธอด่าเรา ในเมื่อมันไม่จริง ด่ามากๆเราก็รำคาญนะสิ เราก็ด่าคืน
ด่ายังงัย...เราเตือนยูให้เลิกติดนิยายให้ได้ซะทีตะหาก
หมอเตือนคนไข้..ให้เลิกเหล้าเลิกบุหรี่ให้ได้นี่...มันใช่หมอไปด่าคนไข้อยู่เหรอ?


เราอดเราทนกับกิเลสและความยึดมั่นของตัวเองก็พอ
ใช่เลย..ยู..ทนรับสภาพกับการ..ติดนิยายหัวปักหัวปำโดยไม่คิดจะเลิกเลย

เราไม่คิดทนกับกิเลสคนอื่นที่แฝงมากับคำสวยหรูแต่เจตนา สอดเสียด ประชดประชัน
คนติดเหล้าติดยา...มันจะชอบฟังคำเตือนที่มีประโยชน์ของคุณหมอท่านเหรอ

กดคนอื่นยกตัวเองให้สูง หรอก(เจตนาเจืออกุศล แม้พูดธรรมยังไง มันก็เป็นอกุศลอยู่ดี)
ถ้ายูเลิกอ่านนิยายได้นี่..ยูจะได้ประโยชน์หรือไอจะได้ประโยชน์กันแน่
ถ้ายูเลิกติดนิยายได้แบบไอเตือนยูไปนี่..ระดับจิตของยูจะสูงขึ้นหรือจะต่ำลง


คำพูดเธอตอนพูดธรรมแบบตรองมาหรือตกผลึกมาแล้วมันดูดี
คำพูดเตือนผู้คนให้ละเลิกกิเลส..ยังงัยก็ดูดีอยู่วันยังค่ำนั่นแหละ
แต่เมื่อไหร่เธอแสดงสันดานแท้ๆของเธอออกมาที่แฝงมาในตัวอักษร เราว่ามันใช้ไม่ได้
ตัวอักษรไหนเหรอ...ที่ไอได้..แสดงสันดานแท้ๆ..ออกมานี่
ช่วยก๊อปมาให้ดูชัดๆหน่อยสิ่...อย่ามั่วนิ่ม....


มันสวนทางกับคำพุดที่เธอพุดธรรมออกมา
เธอมันนักปราชญ์ ส่วนเรามันนักปฎิบัติ ในเมื่อเราเป็นคนละประเภทกัน เราย่อมคุยกันไม่รู้เรื่อง
ก็อย่างที่ว่านั่นแหละ..จะมีพวกขี้เหล้าขี้ยาคนไหนกัน
ที่จะยอมรับคำแนะนำดีๆของคุณหมอได้นั่น


ไม่ใช่เราไม่เปิดใจให้เธอ แต่เธอท่องมา...มันก็จบแล้ว นกแก้ว ไม่เคยเป็นของจริงได้เลย ในเมื่อไม่ลงมือกระทำ แล้ว ส่งเสียง แผดเสียงดังลั่นตลอดเวลา กุนี่เก่ง กุนี่เก่ง นี่ไงจะท่องให้ฟัง แก้วจ๋า แก้วจ๋า
..พูดธรรมะได้น้ำไหลไฟดับ...
แต่ยังเลิกดูหนังฟังเพลงอ่านนิยาย..ยังไม่ได้นี่..
ก็น่าจะเป็นพวกนกแก้วนกขุนทองล่ะนะ

.
.
.
เราสามารถพูดละเอียดยิบได้...ถ้าเธอมีสภาวะทำได้ทำถึง แล้วมาถาม เราจะแจกแจงเชื่อมโยง ขยาย หรือย่อ ให้ง่ายเข้า ให้เธอได้เข้าใจ และจะช่วยทุกทาง เพื่อให้เธอถึงฝันที่เธอปรารถนาไว้ :b8:
ถ้าเธอเลิกอ่านนิยายดูหนังฟังเพลงได้เมื่อไหร่
ถึงค่อยคิดจะมา...โปรดไอ...ก็แล้วกันนะ


แต่อยู่ๆจะพูดออกมากับคนที่แม้โสดามรรคยังไม่ได้ ระดับจิตโสดามรรคยังวางไม่ได้ ซึ่งดูจาก กรรมบทสิบ ที่เป็นศีลประจำใจของพระโสดาผล :b8: ตรงนี้เธอยังไม่มีเลย
โห..ยังติดอ่านนิยายดูหนังฟังเพลงอยู่..แล้วยังคิดจะ
เปิดคอร์ส...สอนอบรมถึงระดับ..โสดาบัน..เลยเร๊อะ
เอาเปิดคอร์ส..สอนให้เลิกอ่านนิยายให้ได้ก่อนดีไหม???



แล้วเธอก็ไม่เจียมตัว ไปพูดเรื่องของ กิจของพระอรหันต์มรรค :b8: ที่ต้องทำกิจละอุปาทานเพื่อจบกิจไป
ยูไม่อยากเป็นเหรอ..พระอรหันต์นั่น
ใครๆก็อยากเป็นทั้งนั้น..ไม่เฉพาะแต่ไอหรอก
นอกจากพวกที่ยังติดหนังติดนิยายหรือบ้ากามอยู่
มันถึงไม่สน


ตัวเองเป็นมด แต่ตะโกนก้องฟ้า เพื่อไปคุยกับนกเขา นก เขาคงจะคุยด้วยหรอก..ตะวัน

มดกับนก..มันจะคุยกันรู้เรื่องได้ยังงัยล่ะนี่
ไม่แปลกหรอก..ที่นกมันจะไม่มาคุยกับมดนั่น


เราว่าเธอหาเพื่อนที่ถูกจริต คุยไปในทางเดียวกับเธอ ถกธรรมเพื่อความเพลินจิต เธอเข้าหาเพื่อนที่เหมือนเธอดีกว่า
ไอ..เข้าหาหมดทุกคนล่ะนะโดยเฉพาะพวกที่พูดไม่ค่อยจะเข้าหูไอนี่
ไอยิ่งชอบเข้าหา...เพื่อจะพาไป..ปรับทัศนะคติ...ทางธรรมให้ถูกต้อง


เราไม่ได้ถกธรรมเพื่อความเพลิน ทุกคำที่เราพูดออกมา มันต้องเป็นประโยชน์ และคำนึงถึงว่า ควรหรือไม่ควรพูดในธรรมนั้น...ธรรมที่เราจะพูด เราดูคนที่สนทนาด้วย เราถึงพูดในระดับเดียวกับคู่สนทนา
พูดให้เกินระดับคู่สนทนาหน่อยสิ่
จะได้..โปรด..เขาได้งัย
ถ้าระดับเท่ากันมันจะโปรดกันได้เหรอ


สำหรับตะวัน เราที่คุยด้วยส่วนใหญ่เป็นธรรมที่ปรับสัมมาทิษฐิให้ตรงทางเพื่อเข้าสู่ทางแห่งอริยมรรคเท่านั้น(ที่พิมพ์ๆมาอยู่นี่ ใช่หมด)
ยูจะปรับไอยังงัยก็เรื่องของยูล่ะนะ
แต่ที่แน่ๆไอจะปรับยู...ให้เลิกอ่านนิยายล่ะ


ซึ่งมันเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของนักปฎิบัติธรรมที่ดี ธรรมที่สูงกว่านี้ ไม่ควรพูดกับตะวัน เพราะตะวันจะจับคำเรานั้นไปถกธรรมเพื่อความเพลิดเพลินของตัวเอง
เพลิดเพลินในการพิจารณาธรรมนี่ไม่ดีเร๊อะ

เราคุยกันในลานหนึ่งมานาน นานเพียงพอที่จะรู้ใส้ของกันและกัน เราถึงพูดเสมอ เธอไปไกลๆ อย่ามาคุยกับเรา
บอกแล้วงัย..พวกที่พูดขัดหูไอนี่
ไอ..ยิ่งจะมาปรับทัศนะคติ..ให้ใหม่


ไม่ใช่เราหยิ่งหรือเรารังเกียจเธอ แต่ธรรมเราไม่เสมอกัน คุยกันทีเราด่ากันทุกที เธอก็รู้ตัว แต่ดันทุรัง
การตักเตือนซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่ดีนะคุณเมย

เห็นเราโผล่มาหน้าลาน กระหือลือ วิ่งเข้าหา เพื่อถก ถลก เรา..เธอรู้ตัวบ้างไหม ว่าเธอโรคจิต ไปรับยาช่องสามบ้างนะตะวัน มันจะได้ดีขึ้นมาบ้าง
ไอใช้...ธรรมโอสถ...ไม่กินยาโรงพยาบาลเว๊ย
ยาโรงบาลมันไม่ดี...มีแต่สารเคมีทั้งนั้น
กินนานๆเยอะๆมีผลข้างเคียงทำให้ตับเสียไตเสีย
ให้จำเอาไว้เน้อ...55555




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2018, 17:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2015, 23:32
โพสต์: 52

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อุส่าห์โปรดคุณเมยเขาเต็มที่เลยซะขนาดนี้

บรรยายธรรมแบบละเอียดลึกซึ้งพิศดาร
ให้เห็นโทษของการอ่านนิยาย....
หลงติดในความเพลินของสัญญาสังขาร
จากนิยาย..ละเอียดยิบขนาดนี้

ถ้ายังไม่คิดจะฝึกตัวเองให้...เลิกติดนิยาย..ให้ได้แล้ว..
ก็ไม่รู้จะว่ายังงัยแล้วล่ะนะ...คุณเมยเอ๊ย...

อย่ามัวแต่มุดอยู่...ใต้โคลนตมอีกเลย...
ที่บอกว่าเอาแต่มุดอยุ่ใต้โคลนตม...

เพราะเห็นคุณเมย....พูดประโยคนี้เอาไว้งัย--->>...ไม่ใช่เราไม่เปิดใจให้เธอ...
และอีกหลายคำในโพสข้างบน...ที่มีความหมายแนวไม่ยอมเปิดใจรับ..แสงสว่าง...
ที่คุณตะวัน................เขาฉายแสงส่องมาโปรด.........................

โผล่ออกมาจากโคลนตม...มายอมรับแสงสว่าง...จากคุณตะวัน...ได้แล้ว
หายากอยู่นะนี่...คนที่จะพูดถึงพิษโทษภัยอันตราย...ของการหลงเพลิน
ติดในสัญญาสังขาร...ของนิยาย...ได้ละเอียดยิบแบบ..คุณตะวัน..เขานี่..หุหุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2018, 18:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2015, 23:32
โพสต์: 52

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
< ตะวัน > เขียน:
Rosarin เขียน:
สายน้ำเมย เขียน:
ยายเมยเอ๊ย :b34: :b34: :b34: :b34: :b34: :b34: :b34:
อย่าเพิ่งเอามากถึง 37 ข้อเลยนะ....แล้วการปฏิบัติถึงจะค่อย...ตรงทาง...นั่น
ตอนนี้ยูเอา 1 ข้อ...ไม่ไปอ่านนิยาย..หรือหาดูคลิปแนวเพลินๆไร้สาระ...
......ให้มันได้ซะก่อนเถอะ......


ต่อนะ..

เราศีลห้า..ไม่มีศีลข้อไหนผิด เรื่องอ่านนิยาย เพราะเราเป็นฆราวาส

และขณะที่เราฝึกปฎิบัติ เราไม่อ่านนิยาย และขณะอ่านนิยาย เราไม่ได้ฝึกปฎิบัติ

อีกข้อ ระหว่าง อ่านนิยายเพื่อความบันเทิง กับ ดูเวปโป๊ เพื่อความกระสันอยาก เพื่อความบันเทิง

คุณตะวันว่า อะไรมันหนักกว่ากัน

(ด่าว่าเราได้ข้อเดียวแหละว๊าาา เรื่องเราพักผ่อนจิตด้วยการอ่านนิยาย ตัวเองทำไม่ได้สักข้อได้แต่โม้)

:b32:
ไม่ว่าจะกำลังทำสิ่งใดถ้ายังติดข้องทางโลกก็ยังมีกิเลสมากค่ะ
กิเลสแปลว่าไม่รู้ความจริงตามคำสอนแปลว่าขาดสติเพราะคิดนอกคำสอน
การดูละครโขนหนังคือการเอาจิตไปเกาะอดีตนิมิตที่ปรากฏคิดตามเรื่องราวนั้นไม่ได้กำลัง
มีกุศลเกิดเพราะขาดสติเวลาที่ไม่ขาดสติต้องเป็นขณะที่เป็นกุศลที่สละความยึดมั่นในตัวตนในการทำ
แต่เป็นการเข้าใจความจริงที่กำลังปรากฏว่าตนกำลังสะสมอะไรตรงปรมัตถสัจจะไม่ใช่นิ่งใบ้ไม่มีปัญญา
แต่เป็นขณะที่ระลึกตามคำสอนได้ตรงสัจจะที่ตนกำลังเป็นไปเดี๋ยวนี้สะสมกุศล/อกุศลด้วยความไม่มีเรา
:b12:
:b17: :b17:


คุณโรสพูดแบบนิ่มๆสำนวนนักวิชาการ
..ยายเมย..ฟังแล้วอาจไม่ค่อยเก็ทเท่าไหร่
เพราะอาจเคยเป็น...เด็กสก๊อยส์...มาก่อน

ต้องให้คุณตะวันขยายความเพิ่มเติม...แบบสำนวนเด็กแว๊น....
..คุณเมย..ฟังแล้วอาจเข้าใจมากขึ้น...555555



ไม่ว่าจะกำลังทำสิ่งใดถ้ายังติดข้องทางโลกก็ยังมีกิเลสมากค่ะ
อย่าอ้างแต่ว่าเป็นฆราวาสเลยคุณเมยมันไม่เกี่ยว...
ที่เกี่ยวคือ...ยูเคยบอกว่าอยากปฏิบัติให้ได้นิพพานเร็วๆไม่ใช่เหรอ
ถ้ายังติดข้องทางโลกคือยังติดนิยายดูหนังฟังเพลงอะไรอยู่ก็คือ...
ยังหลงเพลินติดในสัญญา..สังขาร..อยู่ไม่ใช่เหรอ??
การจะหลุดพ้นไปนิพพาน...ต้องหลุดพ้น..จากการเพลินติดในสัญญาสังขารทั้งหลายไม่ใช่หรือ
ถึงจะไม่ต้องมาเกิดอีกได้....เข้าสู่พระนิพพาน...ได้

กิเลสแปลว่าไม่รู้ความจริงตามคำสอนแปลว่าขาดสติเพราะคิดนอกคำสอน
แม่นแล้ว...คุณโรส...คำสอนพระพุทธเจ้าศีลข้อ 7
ท่านห้ามไม่ให้ไปอ่านนิยาย ดูหนัง ฟังเพลง
ไปดูเพื่อความเพลินเมื่อไหร่...สติก็ดับไป...ขาดหายไปทันที..
เสียสติ...ขาดสติ...ไปทันที

การดูละครโขนหนังคือการเอาจิตไปเกาะอดีตนิมิตที่ปรากฏคิดตามเรื่องราวนั้นไม่ได้กำลัง
สรุปง่ายๆ..การดูหนังฟังเพลงอ่านนิยาย...
คือการเอาจิตไปติดข้องไปยึดมั่นถือมั่นในสัญญาสังขารของอดีตเพื่อมีจุดมุ่งหมายให้
...เกิดความเพลินความสนุกทางกิเลส....เกิดขึ้นในจิตนั่นเอง

มีกุศลเกิดเพราะขาดสติเวลาที่ไม่ขาดสติต้องเป็นขณะที่เป็นกุศลที่สละความยึดมั่นในตัวตนในการทำ
สภาวะ..มีสติที่สละความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนที่เห็นแบบจะจะกับสายตาเลย
โดยไม่ต้องไปใช้ณาณอะไรที่ไหนส่องดูให้ยาก
ก็คือสละหนังสือนิยายทิ้งลุกเดินหนีออกจากจอหนังจอละครนั่นแหละ(เลิกดูหนังฟังเพลงอ่านนิยาย

แต่เป็นการเข้าใจความจริงที่กำลังปรากฏว่าตนกำลังสะสมอะไรตรงปรมัตถสัจจะไม่ใช่นิ่งใบ้ไม่มีปัญญา
เราตีความหมายว่า...สะสมสภาวะไม่ยึดมั่นถือมั่นให้เกิดให้มีขึ้นในจิตให้มากๆนะ...
ฝึกจิตให้อยู่ในสภาวะไม่ยึดมั่นถือมั่นในสัญญาสังขารต่างๆให้ได้มากที่สุด(ไม่ดูหนังฟังเพลงอ่านนิยาย)
ยิ่งได้ตลอดเวลายิ่งดี

แต่เป็นขณะที่ระลึกตามคำสอนได้ตรงสัจจะที่ตนกำลังเป็นไปเดี๋ยวนี้สะสมกุศล/อกุศลด้วยความไม่มีเรา
เห็นด้วยมากๆเลยคุณโรส...ถ้าไปอ่านนิยายดูหนังฟังเพลงแล้วความเพลินเกิดขึ้นมา
ก็มี..อัตตา..มีตัวเราเกิดขึ้นมาแล้ว..มีภพชาติเกิดขึ้นมาแล้ว

เราจะต้องฝึกจิตเรา...รักษาจิตเรา...ให้เขาอยู่ในสภาวะ...ไร้อัตตา..ไม่มีตัวเราของเราให้มากๆตามที่พระพุทธองค์ท่านสอนไว้ว่า
พาวิตา..พหุลีกะตา...ทำให้มากเจริญให้มาก..นั้นเอง

:b12:
แต่การอบรมเจริญปัญญาไม่ใช่การไปนั่งหลับตาขัดสมาธิ
เพราะการเข้าสมาธิแบบหลับตาเป็นการอยู่กับความคิดตนเอง
โดยไม่พึ่งการคิดถูกตามคำสอนตอนลืมตาเห็นแจ้งสิ่งที่กำลังมีจริงๆ
เพราะรู้คือปัญญาตามคำสอนไม่ได้แยกออกจากปกติไปทำแต่เป็นสัจจะ
ที่ตนเข้าถึงตรงๆตามเสียงแล้วรู้แจ้งชัดในอารมณ์ที่จิตกำลังมีตื่นรู้ความจริง
ตามปกติเป็นปกติตรงความจริงที่ไม่มีกิเลสปิดบังเพราะอาศัยคิดตามคำตถาคต
เพื่อเปิดทางกิเลสตนเองให้ปัญญาคิดถูกเข้าใจถูกแทรกเข้าจิตได้ทีละน้อยฟังบ่อยๆ
ไม่ใช่อ่านจำเสร็จปิดหนังสือไปนั่งทำมันปิดทางเห็นแจ้งชัดทางตาเนื้อไม่ได้ต้องตาดีหูดี
ถึงจะสะสมปัญญาตามคำตถาคตได้ตามนี่คือตามฟังตรงจริงเพื่อคิดตามทีละคำตรงสัทบัญญัติ
เข้าใจความหมายตรงคำตรงเสียงนั้นตรงความจริงที่กำลังได้ยินตามรู้เสียงไม่วอกแวกใช้สมาธิลืมตาค่ะ
ถ้าไม่เริ่มฟังพระพุทธพจน์เพื่อรู้จักตนเองตามปกติตามความเป็นจริงไม่มีทางคิดถูกเพราะคิดเองไม่ได้เลย
คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นความจริงตรงปัจจุบันขณะทุกคำที่กำลังปรากฏว่ามีแล้วไม่ต้องทำแต่เพียรฟัง
เพื่อตามรู้ตามเข้าใจความจริงว่าเป็นอย่างนั้นจริงแต่ตนทำได้แค่ฟังเพื่อคิดถูกตามได้เท่านั้นก็ยังมีตัวตน
และไม่ใช่ทศพลญาณจึงคิดเองไม่ได้แม้แต่คำเดียวต้องอาศัยการฟังคำตถาคตตรงสัจจะแล้วเข้าใจที่ตน
ไม่ส่งออกไปกว้านอกุศลภายนอกเข้ามาทับถมกิเลสตนเพิ่มเข้าใจไหมคะกำลังฟังและกำลังคิดตรงคำอยู่
รู้สึกตัวทั่วพร้อมในวิสยรูป7ทุกขณะจึงเป็นสติสัมปชัญญะเป็นปัญญาจากอุชุปะติปัตติมาจากการฟังจริงๆ
:b4: :b4:


อันนี้ขอแสดงความเห็น...กับโพสของ...คุณโรส...สักหน่อยแล้วกัน

แต่การอบรมเจริญปัญญาไม่ใช่การไปนั่งหลับตาขัดสมาธิ

มีข้อจำกัดแบบนี้อยู่เหรอ??...เราว่าจะเจริญปัญญา..ด้วยการหลับตานั่งสมาธิ..ก็ได้
หรือจะเจริญปัญญา..ด้วยการ..ออกจากอิริยาบถการนั่งสมาธิแล้ว..ก็ได้นะ
ทำได้..เจริญปัญญาได้ทั้งสองแบบนั่นแหละ...

แต่ว่าข้อสำคัญ...ก่อนจะไปเจริญปัญญา..ที่ว่านี่...
เราจะต้องทำสมาธิให้จิตมีกำลังให้มากๆซะก่อน..
การพิจารณาอะไรหรือเจริญปัญญาอะไรต่างๆ..
ถึงจะสามารถทำให้กิเลสมันสะเทือนได้..
หรือพูดง่ายๆสามารถกำจัดกิเลสออกจากใจได้นั่นแหละ...

ถ้าจิตไม่มีกำลังสมาธิอะไรแล้ว...พิจารณาไปก็ไม่เป็นปัญญาให้หรอก...
เป็นได้แค่..สัญญาสังขาร..ความคิดปรุงแต่งธรรมดาเท่านั้น
...ไปจัดการถอดถอนกิเลสอะไรไม่ได้...


เพราะการเข้าสมาธิแบบหลับตาเป็นการอยู่กับความคิดตนเอง
โดยไม่พึ่งการคิดถูกตามคำสอนตอนลืมตาเห็นแจ้งสิ่งที่กำลังมีจริงๆ


แบบที่คุณโรส..ว่าไปนี่...อันนี้ไม่ใช่การทำสมถะเหรอ???
และการทำสมถะก็ไม่ได้จำกัดแบบเดียวให้แต่นั่งหลับตาหรอก...

ลืมตาทำก็ได้..เช่นไปเดินจงกรม..หรือทำการทำงานบ้านต่างๆ
ที่ไม่ต้องใช้ความคิดปรุงอะไรมาก
ก็สามารถทำสมถะความสงบให้ใจมีกำลังได้เช่นกัน

การทำสมถะที่ว่านี้คือการบริกรรม..พุทโธๆๆๆ...ไปเรื่อยๆ
หรือจะกำหนดลมหายใจเข้าพุท ออกโธ ก็ได้

แล้วแต่ว่าใครจะชอบแบบไหน พอทำสมถะให้ใจสงบเย็น
มีกำลังพอสมควรแล้วก็ออกมาพิจารณาทางปัญญา
..แบบที่ว่าเอาไว้ข้างบนนั่นแหละ..
ซึ่งจะนั่งหลับตาเจริญปัญญา..หรือลืมตาเจริญปัญญาก็ได้ทั้งนั้น


ก็มาออกความเห็นเพิ่มเติมในส่วนที่...คิดต่าง..จากคุณโรส..เท่านี้ล่ะนะ
คือจากที่เราศึกษาเทศน์คำสอน..ของพระอรหันต์(หลวงตามหาบัว)..ท่านมา
และเอามาพิจารณาร่วมกับธรรมะในพระไตรปิฎก..ที่เห็นในพระสูตร...
ก็เลยได้ความเห็นไปแบบข้างบนนั่นแหละ

.................หลวงตามหาบัวท่านนำพระคาถานี้มาเทศน์บ่อยมาก.................
เรื่อง...ใช้สมาธิหนุนช่วยปัญญา..ตามคาถานี้....เราก็เข้าใจได้จากการฟังเทศน์ของท่านนี้เอง)

คือมีธรรมะในพระไตรปิฎกที่ยืนยันในสิ่งที่เราว่าไปข้างบนนั้นดังนี้
............... สมาธิปริภาวิตา ปัญญา มหัปผลาโหติ มหานิสังสา...............
..................เมื่อเจริญสมาธิดีแล้วปัญญาเป็นอานิสงส์ใหญ่....................

คือทำสมาธิ..จนมีกำลังมาก(ซึ่งจะนั่งหลับตาทำหรือลืมตาทำสมาธิสมถะก็ได้ทั้งนั้น)
ที่ว่าเจริญสมาธิดี..ก็คือทำสมาธิให้มีกำลังมาก..สงบเย็นใจมาก..นั่นแหละ
แล้วก็นำ..กำลังของสมาธิ..ที่ได้ไปหนุนช่วยในการพิจารณาธรรมะต่างๆ
เช่นขันธ์ห้า หรือ ไตรลักษณ์เป็นต้น
ซึ่งเรียกว่า...เป็นการเจริญปัญญา...

ที่ว่า...ปัญญาเป็นอานิสงส์ใหญ่..ก็คือปัญญาที่มีสมาธิเป็นกำลังหนุนนี้
จะมีพลังมากมีประสิทธิภาพมาก..สามารถตัดทำลายกำจัดกิเลสในใจของเรา..
....ให้หมดสิ้นหรือขาดออกจากใจของเราได้....เปรียบเหมือนกับมีดที่คมกล้านั้นเอง...

สมาธิ..เทียบอีกอย่างได้ก็เหมือนเราไปลับมีดให้..คมกล้า..นั้นแหละ
พอมีดคม(ปัญญาคมกล้า)ก็สามารถนำไปตัดไปทำลายถอดถอนกิเลสในใจได้

หรือจะเทียบว่า...สมาธิ..คือการที่เราไปกินข้าวกินน้ำให้มีกำลังมีพลัง
แล้วก็จะสามาถ..ไปทำการงานต่างๆ(เจริญปัญญา)ให้เสร็จเรียบร้อยได้อย่างง่ายดาย

..เช่นไปขัดเช็ดถูรอยเปื้อนอะไรต่างๆออกให้หมด
จากสิ่งที่เราต้องการทำความสะอาดแบบนี้...ก็ได้เหมือนกัน

ถ้าไม่กินข้าวกินน้ำ(ไม่ทำสมาธิ)ก็ไม่มีกำลัง
ที่จะไปทำการงานต่างๆ(เจริญปัญญา)ให้เสร็จได้
ไม่สามารถถอดถอนกิเลสได้...เพราะไม่มีเรี่ยวแรง
ที่จะไปขัดไปถู(ใช้ปัญญา)รอยเปื้อนต่างๆ(กิเลส)
ให้ออกจากตัวบ้าน(ใจ)ของเราได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2018, 19:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2015, 23:32
โพสต์: 52

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.....................“สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสา” .......................
ปัญญาที่สมาธิอบรมดีแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก” คือ สมาธิเป็นเครื่องสนับสนุนปัญญาได้ดี แต่ไม่ใช่มีสมาธิแล้วจะเกิดเป็นปัญญาขึ้นมาเองโดยเจ้าของไม่ต้องพิจารณา อย่างนี้เป็นไปไม่ได้
............................หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน............................


ตามหลักปฏิบัติแล้วต้องพิจารณา พิจารณาตรงไหน จุดใดอาการใด ให้มีความรู้สึกสัมผัสพันธ์ มีสติ มีความรับทราบ มีความจงใจอยู่ในจุดนั้น ในอาการนั้น ในธาตุนั้น หรือขันธ์ นั้น ๆ จึงชื่อว่า “ปัญญา ”

เมื่อพิจารณาเข้าใจแล้ว ปัญญาจะค่อยซึมซาบไปใน ขันธ์ และธาตุอื่น ๆ โดยลำดับลำดา เป็นความเพลิดเพลินในการพิจารณา ไม่ใช่จะพิจารณาด้วยการบังคับเสมอไป

เมื่อจิตได้เห็นคุณค่าของการถอดถอนกิเลสด้วยปัญญามากน้อยเพียงไร ย่อมมีความดูดดื่มต่องานของตนไปเองโดยลำดับ เพื่อถอดถอนกิเลสที่ยังมีอยู่ กระทั่งไม่มีอันใดเหลืออยู่ภายในจิตใจนั้นเลย จิตย่อมมีความเพลินเพราะมีต้นทุน คือสมาธิไว้แล้ว เป็นความสุขสบาย..

บางส่วนจากพระธรรมเทศนา หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน - สร้างเรือนสามชั้นให้จิต ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๙
http://www.luangta.com/thamma/thamma_ta ... 67&CatID=1
https://www.youtube.com/watch?v=MVyUS4PG81w


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2018, 13:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกธรรม ๘

ธรรมที่ครอบงำสัตว์โลกอยู่ และสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามธรรมนั้น เรียกว่า โลกธรรม โลกธรรม นั้น ๘ อย่างคือ
มีลาภ / เสื่อมลาภ
มียศ / เสื่อมยศ
สรรเสริญ/นินทา
สุข / ทุกข์

ในโลกธรรม ๘ ประการนี้ อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ควรพิจารณาว่า สิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็แต่ว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรรู้ตามเป็นจริง อย่าให้ครอบงำจิตได้ คืออย่ายินดีในส่วนที่ปรารถนา อย่ายินร้ายในส่วนที่ไม่ปรารถนา (องฺ.อฏฺฐก.23/151)

(โลกธรรม ๘ นี้ ท่านจัดเป็นคู่ๆ มี ๔ คู่)



อนิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา, สิ่งที่คนไม่อยากได้ไม่อยากพบ แสดงในแง่ตรงข้ามกับกามคุณ ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่ไม่น่ารักใคร่ ไม่น่าชอบใจ แสดงในแง่โลกธรรม ได้แก่ ความเสื่อมลาภ ความเสื่อมยศ การนินทา และความทุกข์ ตรงข้ามกับอิฏฐารมณ์


อิฏฐารมณ์ "อารมณ์ที่น่าปรารถนา" สิ่งที่คนอยากได้อยากพบ แสดงในแง่กามคุณ ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่ารักใคร่ น่าชอบใจ แสดงในแง่โลกธรรม ได้แก่ ลาภ ยศ สรรเสริญ และความสุข

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2018, 05:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


< ตะวัน > เขียน:
Rosarin เขียน:
< ตะวัน > เขียน:
Rosarin เขียน:
สายน้ำเมย เขียน:
ยายเมยเอ๊ย :b34: :b34: :b34: :b34: :b34: :b34: :b34:
อย่าเพิ่งเอามากถึง 37 ข้อเลยนะ....แล้วการปฏิบัติถึงจะค่อย...ตรงทาง...นั่น
ตอนนี้ยูเอา 1 ข้อ...ไม่ไปอ่านนิยาย..หรือหาดูคลิปแนวเพลินๆไร้สาระ...
......ให้มันได้ซะก่อนเถอะ......


ต่อนะ..

เราศีลห้า..ไม่มีศีลข้อไหนผิด เรื่องอ่านนิยาย เพราะเราเป็นฆราวาส

และขณะที่เราฝึกปฎิบัติ เราไม่อ่านนิยาย และขณะอ่านนิยาย เราไม่ได้ฝึกปฎิบัติ

อีกข้อ ระหว่าง อ่านนิยายเพื่อความบันเทิง กับ ดูเวปโป๊ เพื่อความกระสันอยาก เพื่อความบันเทิง

คุณตะวันว่า อะไรมันหนักกว่ากัน

(ด่าว่าเราได้ข้อเดียวแหละว๊าาา เรื่องเราพักผ่อนจิตด้วยการอ่านนิยาย ตัวเองทำไม่ได้สักข้อได้แต่โม้)

:b32:
ไม่ว่าจะกำลังทำสิ่งใดถ้ายังติดข้องทางโลกก็ยังมีกิเลสมากค่ะ
กิเลสแปลว่าไม่รู้ความจริงตามคำสอนแปลว่าขาดสติเพราะคิดนอกคำสอน
การดูละครโขนหนังคือการเอาจิตไปเกาะอดีตนิมิตที่ปรากฏคิดตามเรื่องราวนั้นไม่ได้กำลัง
มีกุศลเกิดเพราะขาดสติเวลาที่ไม่ขาดสติต้องเป็นขณะที่เป็นกุศลที่สละความยึดมั่นในตัวตนในการทำ
แต่เป็นการเข้าใจความจริงที่กำลังปรากฏว่าตนกำลังสะสมอะไรตรงปรมัตถสัจจะไม่ใช่นิ่งใบ้ไม่มีปัญญา
แต่เป็นขณะที่ระลึกตามคำสอนได้ตรงสัจจะที่ตนกำลังเป็นไปเดี๋ยวนี้สะสมกุศล/อกุศลด้วยความไม่มีเรา
:b12:
:b17: :b17:


คุณโรสพูดแบบนิ่มๆสำนวนนักวิชาการ
..ยายเมย..ฟังแล้วอาจไม่ค่อยเก็ทเท่าไหร่
เพราะอาจเคยเป็น...เด็กสก๊อยส์...มาก่อน

ต้องให้คุณตะวันขยายความเพิ่มเติม...แบบสำนวนเด็กแว๊น....
..คุณเมย..ฟังแล้วอาจเข้าใจมากขึ้น...555555



ไม่ว่าจะกำลังทำสิ่งใดถ้ายังติดข้องทางโลกก็ยังมีกิเลสมากค่ะ
อย่าอ้างแต่ว่าเป็นฆราวาสเลยคุณเมยมันไม่เกี่ยว...
ที่เกี่ยวคือ...ยูเคยบอกว่าอยากปฏิบัติให้ได้นิพพานเร็วๆไม่ใช่เหรอ
ถ้ายังติดข้องทางโลกคือยังติดนิยายดูหนังฟังเพลงอะไรอยู่ก็คือ...
ยังหลงเพลินติดในสัญญา..สังขาร..อยู่ไม่ใช่เหรอ??
การจะหลุดพ้นไปนิพพาน...ต้องหลุดพ้น..จากการเพลินติดในสัญญาสังขารทั้งหลายไม่ใช่หรือ
ถึงจะไม่ต้องมาเกิดอีกได้....เข้าสู่พระนิพพาน...ได้

กิเลสแปลว่าไม่รู้ความจริงตามคำสอนแปลว่าขาดสติเพราะคิดนอกคำสอน
แม่นแล้ว...คุณโรส...คำสอนพระพุทธเจ้าศีลข้อ 7
ท่านห้ามไม่ให้ไปอ่านนิยาย ดูหนัง ฟังเพลง
ไปดูเพื่อความเพลินเมื่อไหร่...สติก็ดับไป...ขาดหายไปทันที..
เสียสติ...ขาดสติ...ไปทันที

การดูละครโขนหนังคือการเอาจิตไปเกาะอดีตนิมิตที่ปรากฏคิดตามเรื่องราวนั้นไม่ได้กำลัง
สรุปง่ายๆ..การดูหนังฟังเพลงอ่านนิยาย...
คือการเอาจิตไปติดข้องไปยึดมั่นถือมั่นในสัญญาสังขารของอดีตเพื่อมีจุดมุ่งหมายให้
...เกิดความเพลินความสนุกทางกิเลส....เกิดขึ้นในจิตนั่นเอง

มีกุศลเกิดเพราะขาดสติเวลาที่ไม่ขาดสติต้องเป็นขณะที่เป็นกุศลที่สละความยึดมั่นในตัวตนในการทำ
สภาวะ..มีสติที่สละความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนที่เห็นแบบจะจะกับสายตาเลย
โดยไม่ต้องไปใช้ณาณอะไรที่ไหนส่องดูให้ยาก
ก็คือสละหนังสือนิยายทิ้งลุกเดินหนีออกจากจอหนังจอละครนั่นแหละ(เลิกดูหนังฟังเพลงอ่านนิยาย

แต่เป็นการเข้าใจความจริงที่กำลังปรากฏว่าตนกำลังสะสมอะไรตรงปรมัตถสัจจะไม่ใช่นิ่งใบ้ไม่มีปัญญา
เราตีความหมายว่า...สะสมสภาวะไม่ยึดมั่นถือมั่นให้เกิดให้มีขึ้นในจิตให้มากๆนะ...
ฝึกจิตให้อยู่ในสภาวะไม่ยึดมั่นถือมั่นในสัญญาสังขารต่างๆให้ได้มากที่สุด(ไม่ดูหนังฟังเพลงอ่านนิยาย)
ยิ่งได้ตลอดเวลายิ่งดี

แต่เป็นขณะที่ระลึกตามคำสอนได้ตรงสัจจะที่ตนกำลังเป็นไปเดี๋ยวนี้สะสมกุศล/อกุศลด้วยความไม่มีเรา
เห็นด้วยมากๆเลยคุณโรส...ถ้าไปอ่านนิยายดูหนังฟังเพลงแล้วความเพลินเกิดขึ้นมา
ก็มี..อัตตา..มีตัวเราเกิดขึ้นมาแล้ว..มีภพชาติเกิดขึ้นมาแล้ว

เราจะต้องฝึกจิตเรา...รักษาจิตเรา...ให้เขาอยู่ในสภาวะ...ไร้อัตตา..ไม่มีตัวเราของเราให้มากๆตามที่พระพุทธองค์ท่านสอนไว้ว่า
พาวิตา..พหุลีกะตา...ทำให้มากเจริญให้มาก..นั้นเอง

:b12:
แต่การอบรมเจริญปัญญาไม่ใช่การไปนั่งหลับตาขัดสมาธิ
เพราะการเข้าสมาธิแบบหลับตาเป็นการอยู่กับความคิดตนเอง
โดยไม่พึ่งการคิดถูกตามคำสอนตอนลืมตาเห็นแจ้งสิ่งที่กำลังมีจริงๆ
เพราะรู้คือปัญญาตามคำสอนไม่ได้แยกออกจากปกติไปทำแต่เป็นสัจจะ
ที่ตนเข้าถึงตรงๆตามเสียงแล้วรู้แจ้งชัดในอารมณ์ที่จิตกำลังมีตื่นรู้ความจริง
ตามปกติเป็นปกติตรงความจริงที่ไม่มีกิเลสปิดบังเพราะอาศัยคิดตามคำตถาคต
เพื่อเปิดทางกิเลสตนเองให้ปัญญาคิดถูกเข้าใจถูกแทรกเข้าจิตได้ทีละน้อยฟังบ่อยๆ
ไม่ใช่อ่านจำเสร็จปิดหนังสือไปนั่งทำมันปิดทางเห็นแจ้งชัดทางตาเนื้อไม่ได้ต้องตาดีหูดี
ถึงจะสะสมปัญญาตามคำตถาคตได้ตามนี่คือตามฟังตรงจริงเพื่อคิดตามทีละคำตรงสัทบัญญัติ
เข้าใจความหมายตรงคำตรงเสียงนั้นตรงความจริงที่กำลังได้ยินตามรู้เสียงไม่วอกแวกใช้สมาธิลืมตาค่ะ
ถ้าไม่เริ่มฟังพระพุทธพจน์เพื่อรู้จักตนเองตามปกติตามความเป็นจริงไม่มีทางคิดถูกเพราะคิดเองไม่ได้เลย
คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นความจริงตรงปัจจุบันขณะทุกคำที่กำลังปรากฏว่ามีแล้วไม่ต้องทำแต่เพียรฟัง
เพื่อตามรู้ตามเข้าใจความจริงว่าเป็นอย่างนั้นจริงแต่ตนทำได้แค่ฟังเพื่อคิดถูกตามได้เท่านั้นก็ยังมีตัวตน
และไม่ใช่ทศพลญาณจึงคิดเองไม่ได้แม้แต่คำเดียวต้องอาศัยการฟังคำตถาคตตรงสัจจะแล้วเข้าใจที่ตน
ไม่ส่งออกไปกว้านอกุศลภายนอกเข้ามาทับถมกิเลสตนเพิ่มเข้าใจไหมคะกำลังฟังและกำลังคิดตรงคำอยู่
รู้สึกตัวทั่วพร้อมในวิสยรูป7ทุกขณะจึงเป็นสติสัมปชัญญะเป็นปัญญาจากอุชุปะติปัตติมาจากการฟังจริงๆ
:b4: :b4:


อันนี้ขอแสดงความเห็น...กับโพสของ...คุณโรส...สักหน่อยแล้วกัน

แต่การอบรมเจริญปัญญาไม่ใช่การไปนั่งหลับตาขัดสมาธิ

มีข้อจำกัดแบบนี้อยู่เหรอ??...เราว่าจะเจริญปัญญา..ด้วยการหลับตานั่งสมาธิ..ก็ได้
หรือจะเจริญปัญญา..ด้วยการ..ออกจากอิริยาบถการนั่งสมาธิแล้ว..ก็ได้นะ
ทำได้..เจริญปัญญาได้ทั้งสองแบบนั่นแหละ...

แต่ว่าข้อสำคัญ...ก่อนจะไปเจริญปัญญา..ที่ว่านี่...
เราจะต้องทำสมาธิให้จิตมีกำลังให้มากๆซะก่อน..
การพิจารณาอะไรหรือเจริญปัญญาอะไรต่างๆ..
ถึงจะสามารถทำให้กิเลสมันสะเทือนได้..
หรือพูดง่ายๆสามารถกำจัดกิเลสออกจากใจได้นั่นแหละ...

ถ้าจิตไม่มีกำลังสมาธิอะไรแล้ว...พิจารณาไปก็ไม่เป็นปัญญาให้หรอก...
เป็นได้แค่..สัญญาสังขาร..ความคิดปรุงแต่งธรรมดาเท่านั้น
...ไปจัดการถอดถอนกิเลสอะไรไม่ได้...


เพราะการเข้าสมาธิแบบหลับตาเป็นการอยู่กับความคิดตนเอง
โดยไม่พึ่งการคิดถูกตามคำสอนตอนลืมตาเห็นแจ้งสิ่งที่กำลังมีจริงๆ


แบบที่คุณโรส..ว่าไปนี่...อันนี้ไม่ใช่การทำสมถะเหรอ???
และการทำสมถะก็ไม่ได้จำกัดแบบเดียวให้แต่นั่งหลับตาหรอก...

ลืมตาทำก็ได้..เช่นไปเดินจงกรม..หรือทำการทำงานบ้านต่างๆ
ที่ไม่ต้องใช้ความคิดปรุงอะไรมาก
ก็สามารถทำสมถะความสงบให้ใจมีกำลังได้เช่นกัน

การทำสมถะที่ว่านี้คือการบริกรรม..พุทโธๆๆๆ...ไปเรื่อยๆ
หรือจะกำหนดลมหายใจเข้าพุท ออกโธ ก็ได้

แล้วแต่ว่าใครจะชอบแบบไหน พอทำสมถะให้ใจสงบเย็น
มีกำลังพอสมควรแล้วก็ออกมาพิจารณาทางปัญญา
..แบบที่ว่าเอาไว้ข้างบนนั่นแหละ..
ซึ่งจะนั่งหลับตาเจริญปัญญา..หรือลืมตาเจริญปัญญาก็ได้ทั้งนั้น


ก็มาออกความเห็นเพิ่มเติมในส่วนที่...คิดต่าง..จากคุณโรส..เท่านี้ล่ะนะ
คือจากที่เราศึกษาเทศน์คำสอน..ของพระอรหันต์(หลวงตามหาบัว)..ท่านมา
และเอามาพิจารณาร่วมกับธรรมะในพระไตรปิฎก..ที่เห็นในพระสูตร...
ก็เลยได้ความเห็นไปแบบข้างบนนั่นแหละ

.................หลวงตามหาบัวท่านนำพระคาถานี้มาเทศน์บ่อยมาก.................
เรื่อง...ใช้สมาธิหนุนช่วยปัญญา..ตามคาถานี้....เราก็เข้าใจได้จากการฟังเทศน์ของท่านนี้เอง)

คือมีธรรมะในพระไตรปิฎกที่ยืนยันในสิ่งที่เราว่าไปข้างบนนั้นดังนี้
............... สมาธิปริภาวิตา ปัญญา มหัปผลาโหติ มหานิสังสา...............
..................เมื่อเจริญสมาธิดีแล้วปัญญาเป็นอานิสงส์ใหญ่....................

คือทำสมาธิ..จนมีกำลังมาก(ซึ่งจะนั่งหลับตาทำหรือลืมตาทำสมาธิสมถะก็ได้ทั้งนั้น)
ที่ว่าเจริญสมาธิดี..ก็คือทำสมาธิให้มีกำลังมาก..สงบเย็นใจมาก..นั่นแหละ
แล้วก็นำ..กำลังของสมาธิ..ที่ได้ไปหนุนช่วยในการพิจารณาธรรมะต่างๆ
เช่นขันธ์ห้า หรือ ไตรลักษณ์เป็นต้น
ซึ่งเรียกว่า...เป็นการเจริญปัญญา...

ที่ว่า...ปัญญาเป็นอานิสงส์ใหญ่..ก็คือปัญญาที่มีสมาธิเป็นกำลังหนุนนี้
จะมีพลังมากมีประสิทธิภาพมาก..สามารถตัดทำลายกำจัดกิเลสในใจของเรา..
....ให้หมดสิ้นหรือขาดออกจากใจของเราได้....เปรียบเหมือนกับมีดที่คมกล้านั้นเอง...

สมาธิ..เทียบอีกอย่างได้ก็เหมือนเราไปลับมีดให้..คมกล้า..นั้นแหละ
พอมีดคม(ปัญญาคมกล้า)ก็สามารถนำไปตัดไปทำลายถอดถอนกิเลสในใจได้

หรือจะเทียบว่า...สมาธิ..คือการที่เราไปกินข้าวกินน้ำให้มีกำลังมีพลัง
แล้วก็จะสามาถ..ไปทำการงานต่างๆ(เจริญปัญญา)ให้เสร็จเรียบร้อยได้อย่างง่ายดาย

..เช่นไปขัดเช็ดถูรอยเปื้อนอะไรต่างๆออกให้หมด
จากสิ่งที่เราต้องการทำความสะอาดแบบนี้...ก็ได้เหมือนกัน

ถ้าไม่กินข้าวกินน้ำ(ไม่ทำสมาธิ)ก็ไม่มีกำลัง
ที่จะไปทำการงานต่างๆ(เจริญปัญญา)ให้เสร็จได้
ไม่สามารถถอดถอนกิเลสได้...เพราะไม่มีเรี่ยวแรง
ที่จะไปขัดไปถู(ใช้ปัญญา)รอยเปื้อนต่างๆ(กิเลส)
ให้ออกจากตัวบ้าน(ใจ)ของเราได้

:b12:
ที่เกิดอยู่นี่ค่ะมีมิจฉาทิฏฐิไงคะ
ถ้าไม่เริ่มต้นฟังคำสอนก็เป็นมิจฉาไปเรื่อยๆเพราะปัญญาคือเข้าใจถูก
สมถภาวนาคือการสะสมสมาธิอย่างเดียวไม่มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย
แปลว่าที่อยู่กับความคิดของตนเองแล้วรู้ตัวตนทำตามคิดเองไม่คิดตามเป็นมิจฉาสมาธิตลอดเวลาไงคะ
สุตมยปัญญาถ้าไม่ทำฟังไม่มีทางรู้ความจริงถูกตามคำสอนได้เพราะต้องรู้คิดถูกตามตัวจริงของปรมัตถ์
ทีละ1คำตรงตัวจริงธัมมะตามเสียงที่ตรงกับทางเกิดตัวธัมมะที่กายตอนกำลังฟังเข้าใจถูกตามได้ทีละนิด
:b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2018, 21:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปล่อยให้คุณโรสฟุ้งอยู่คนเดียว :b16: จขกท.หายไปไหนอ่ะ เมโลกสวยซึ่งมีบารมีสมน้ำสมเนื้อกับคุณโรสก็ไปแล้ว :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 144 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 6, 7, 8, 9, 10

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร