วันเวลาปัจจุบัน 21 พ.ค. 2025, 00:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 144 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 6, 7, 8, 9, 10  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2018, 21:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2015, 23:32
โพสต์: 52

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สายน้ำเมย เขียน:
< ตะวัน > เขียน:
สายน้ำเมย เขียน:
แต่มันต่างกันนะ คุณตะวัน

ตะวันเนื้อหาดี แต่ทำไม่ได้อย่างที่พูดเลย สังขารขันธ์และสััญญา ใช้เก่ง

แต่เรา ใช้สังขารขันธ์ปรุงร่วมกันสัญญาไม่เก่ง แต่พูดเข้าใจได้ง่าย

ส่วนผลของการปฎิบัติ เราได้ปฎิเวธ อยู่กับตน แต่ตะวัน ว่าเราเอาๆ แต่ปฎิเวธไม่เคยเกิด เพราะปฎิบัติไม่ดี
.
.
.
มีคำพูดนึง เค้าพูดว่า..คนทำจริงอยู่ยากกว่าคนพูดเก่ง....คำนี้น่าจะจริง

:b34: :b34: :b34: :b34: :b34: :b34: :b34:
ทำจริงที่ไหนกันล่ะนี่...ไม่เคยเห็นยูบอกสักทีว่า...

ฉันเคยพยายามฝึกตัวเองให้เลิกอ่านนิยายดูหนังฟังเพลง
ได้นานที่สุดกี่วันกี่เดือนมาแล้วสักที

แต่คุณตะวัน..มาพูดบ่อยในลานมาก..
จนเขาเบื่อจะฟังกันแล้ว

ว่าฝึกเลิกบ้ากามเลิกดูหนังฟังเพลงได้ 5 วันบ้าง 10 วันบ้าง เดือนนึงบ้าง


ให้พยายามฝึกตัวเองให้เลิกในสิ่งที่ตัวเองติดข้อง
แบบคุณตะวันเขาให้ได้หน่อย...ยายเมยเอ๊ย...


ตะวัน เธอนี่ยุ่งกับชีวิตส่วนตัวของเราจริงๆ..เรานะ จะอ่านนิยายคือเวลาก่อนนอน เพื่อผ่อนจิต ในแต่ละวัน
:b34: :b34: :b34: มาโปรด...ไม่ได้มายุ่ง
ผ่อนจิต....หรือว่า...ทนลงแดง...ที่ไม่ได้เสพความเพลินมาทั้งวันไม่ไหวกันแน่???


เมื่อหัวถึงหมอน เราก็ภาวนาต่อ รุ้สึกตัวเราก็ทำจิตภาวนาต่อ..ก่อนนอนทำสมถะแบบฌาน
อ้อ...พอหายลงแดง...ที่ได้เสพความเพลินจากนิยายแล้วก็ไปทำงานต่อได้เนาะ
เหมือนพวกติดเหล้าหนักๆนั่นแหละ
...ถ้าไม่ได้ก๊งก่อนก็มือสั่น...
ต้องได้ก๊งสักหน่อยค่อยไปทำงานต่อได้



ระหว่างวัน เราทำ สติปัฎฐานสี่ มีเวลาพักส่วนตัวจริงๆคือ ก่อนนอนนี่แหละ

พอผ่อนจิตได้ จะนอน ก็เริ่มทำต่ออีกแล้ว มันเป็นอย่างนี้วนรอบ มาหลายๆปีแล้ว
.
เธอนี่้จุกจิก ยิ่งกว่าญาติโยมของฉันอีก..เราอ่านนิยายทั้งวันไม่เกินสองชั่วโมงก่อนนอน

บอกแล้วว่า....มาโปรดๆๆๆๆๆ...ไม่ได้จุกจิก

แต่เทอหล่ะ ปฎิบัติ กรรมฐาน ไม่ว่าจะกองไหนๆ วันๆหนึ่งกี่ชั่วโมง
:b34: :b34: :b34: ไม่ได้ดูว่ากี่ชั่วโมง...
แต่ให้ดูว่าทำกรรมฐานไปแล้วละกิเลส
ละความติดข้องในการเพลินได้หรือไม่ตะหาก


ยูจะทำกรรมฐานหมดวัน...
แต่ว่า..ละการเพลินละกิเลสในการติดความเพลินจากการอ่านนิยายไม่ได้
แล้วจะ..มีประโยชน์อะไร???

.
.เหตุที่เราไม่พูดถึงกรรมฐานที่เราทำเลย เพราะเราทำเป็ฯปกติ

ในเมื่อมันเป็นปกติ เราจะเอามาพูดทำไม มันแค่เรื่องปกติในชีวิตประจำวัน

่ตอนนี้เข้าใจชัดยัง..เชื่อไม่เชื่อตามใจ แต่อย่างน้อย เราก็ซื่อสัตย์กับใจตัวเอง

ซื่อสัตย์..ที่ได้ตกเป็นทาสของกิเลสความเพลิน
ในการหลงสัญญาสังขารปรุงแต่งจากการอ่านนิยายเหรอ


เราไม่เคยโกหกใจตัวเอง สักที
หัดโกหก...กิเลสตัวมันอยากจะอ่านนิยายบ้างสิ่
โกหกมันว่า...เดี๊ยวจะไปอ่านนะ...แล้วไม่ไปอ่าน
ให้กิเลสตัวอยากอ่านนิยายมันได้ผิดหวังซะบ้าง..คอตก..ซะบ้าง

.
ถ้าเราโกหกตัวเองได้ เราก็โกหกคนอื่นได้เสมอนะ คุณตะวัน
อ้อ...จะยอมตกเป็นทาสความเพลินจากการอ่านนิยาย
..ไม่ยอมทรยศมันหักหลังมัน...
ยอมเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์กับมันไปตลอดแบบนี้เหรอ??


คุยกับตะวันพูดน้อยๆไม่ได้ เพราะคุณตะวันไม่เคยยอมรับคว่ามดีของใครๆเลย
จะยอมรับได้งัย...ไม่งั้นพระพุทธเจ้าท่านจะสอนศีลข้อ7
ไม่ให้ดูหนังฟังเพลงอ่านนิยายหรือ


มีแต่ตัวเองดีคนเดียว ดีนะคือพูดดี พูดเข้าท่า แต่พอถามว่าทำได้ไหม จะตอบชัดเจนว่า ทำยังไม่ได้
ทำยังไม่ได้...แต่ยังพยายามจะฝึกตัวเองให้ละเลิกการติดข้องให้ได้มันดีกว่าพวกที่ไม่คิด..จะฝึกตัวเองให้เลิกติดข้องอยู่ไม่ใช่เหรอ?

คุณตะวันมีข้อดีตรงนี้ ที่ยอมรับตัวเอง ว่า ไม่เคยปฎิบัติได้จริงเลย ดีแต่พูดได้เท่านั้นเอง(ยกนิ้วให้)
ถ้าดีแต่พูด...แล้วจะพยายามฝึกตัวเองให้ถือศีลพรหมจรรย์เลิกบ้ากามให้ได้อยู่แบบนี้เร๊อะ......


แก้ไขล่าสุดโดย < ตะวัน > เมื่อ 28 ส.ค. 2018, 21:36, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2018, 21:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ย่อให้เหลือ ไม่เกินห้าบันทัดนะ จะอ่าน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2018, 21:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่พูด สอนๆคนอื่นเค้ามายาวๆนะ...ตัวเองทำได้ยัง?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2018, 21:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่รู้ว่าสมควรพูดไหม :b8:

การดู รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาน หรือ มองในรูปแบบ รูปจิตเจตสิค :b8:

ต้องอาศัยการดำน้ำ :b8:

ดำน้ำได้ลึก ก็ดูได้ละเอียด มันจะเห็นได้ชัดในแต่ละตัว :b8:

ดำน้ำได้ไม่ลึก ปัญญามันไม่คมและแข็งพอ..ที่จะจับและมองชัดๆในแต่ละตัวได้ :b8:
.
.
.
การดูธรรมมานุสสติปัฎฐาน ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเรื่องดำน้ำ

มันถึงจะจับได้อยู่มือและมองได้ซอด(คล่องแคล่วและเชี่ยวชาญ) :b8:

แต่การดำน้ำ ไม่ใช่การดำน้ำแบบเพ่งอารมณ์ใดอารมนึงเท่านั้นเอง..

ดำโดยใช้สติปัฎฐานเป็นตัวนำแต่เราใช้กำลังของจิตดำลงไปจนถึงจุดลึกสุด มันจึงจะเห็นขึ้นมาได้ :b8:
.
.
.
ที่ครูบาอาจารย์ท่านเคยพูดว่าเหมือนนึกเบาๆ :b8: (ท้ายๆนึกคิดอย่างเดียว)ๆ

แต่จริงๆ เป็นการคิดนึกตามธรรม ด้วยกำลังของฌานสี่ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2018, 12:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2015, 23:32
โพสต์: 52

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สายน้ำเมย เขียน:
ไม่รู้ว่าสมควรพูดไหม :b8:

การดู รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาน หรือ มองในรูปแบบ รูปจิตเจตสิค :b8:

ต้องอาศัยการดำน้ำ :b8:

ดำน้ำได้ลึก ก็ดูได้ละเอียด มันจะเห็นได้ชัดในแต่ละตัว :b8:

ดำน้ำได้ไม่ลึก ปัญญามันไม่คมและแข็งพอ..ที่จะจับและมองชัดๆในแต่ละตัวได้ :b8:
.
.
.
การดูธรรมมานุสสติปัฎฐาน ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเรื่องดำน้ำ

มันถึงจะจับได้อยู่มือและมองได้ซอด(คล่องแคล่วและเชี่ยวชาญ) :b8:

แต่การดำน้ำ ไม่ใช่การดำน้ำแบบเพ่งอารมณ์ใดอารมนึงเท่านั้นเอง..

ดำโดยใช้สติปัฎฐานเป็นตัวนำแต่เราใช้กำลังของจิตดำลงไปจนถึงจุดลึกสุด มันจึงจะเห็นขึ้นมาได้ :b8:
.
.
.
ที่ครูบาอาจารย์ท่านเคยพูดว่าเหมือนนึกเบาๆ :b8: (ท้ายๆนึกคิดอย่างเดียว)ๆ

แต่จริงๆ เป็นการคิดนึกตามธรรม ด้วยกำลังของฌานสี่ :b8:



การดู รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาน หรือ มองในรูปแบบ รูปจิตเจตสิค :b8:
ต้องอาศัยการดำน้ำ

หึหึ...ยูจะดำน้ำดู...มุดน้ำดู....โผล่น้ำมาดู
หรือจะดูยังงัยอะไรแบบไหน...ก็ช่างเรื่องของยูเถอะ..คุณเมย..

แต่ไอ..ข้องใจอยู่อย่าง..อยากถามว่า....
แล้วทำไม..เราต้องไปดู.....รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ......
ให้เห็นได้อย่างละเอียดและชัดเจนล่ะ


ดูให้เห็นอย่างละเอียดชัดเจนไปทำไม......เพื่อจุดประสงค์อะไรกัน...

ก็อาจตอบได้หลายแนวนะ..แต่ขอให้ตอบแบบ...มีเหตุมีผลแล้วกัน...
ตอบแบบมีจุดหมายเป้าหมายว่าดูไปเพื่ออะไร...เกิดประโยชน์ได้อะไรขึ้นมา

ดำน้ำได้ลึก ก็ดูได้ละเอียด มันจะเห็นได้ชัดในแต่ละตัว
ที่ว่าดูได้ละเอียด..เห็นได้ชัด...ยูจะทำยังงัยต่อไปกับการดูได้ละเอียดเห็นได้ชัดนี้ล่ะ
มันต้องคิดต่อเน้อ...ไม่ใช่บอกว่า...ดูได้ละเอียด..เห็นได้ชัด..แล้วก็จบ
มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นต่อไปสิ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2018, 14:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การดู รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาน หรือ มองในรูปแบบ รูปจิตเจตสิค :b8:
ต้องอาศัยการดำน้ำ

หึหึ...ยูจะดำน้ำดู...มุดน้ำดู....โผล่น้ำมาดู
หรือจะดูยังงัยอะไรแบบไหน...ก็ช่างเรื่องของยูเถอะ..คุณเมย..

แต่ไอ..ข้องใจอยู่อย่าง..อยากถามว่า....
แล้วทำไม..เราต้องไปดู.....รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ......
ให้เห็นได้อย่างละเอียดและชัดเจนล่ะ


ดูให้เห็นอย่างละเอียดชัดเจนไปทำไม......เพื่อจุดประสงค์อะไรกัน...

..................................................................


ตอบนะคะ..การดู แยก รุป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาน เป็นการศึกษา เพื่อเห็นการทำงานของแต่ละขันธ์ในการทำหน้าที่ของมัน เพื่อให้จิตมีปัญญา และแจ้งในจิตตน ในการละความยึดมั่นถือมั่นในแต่ละขันธ์ของขันธ์ห้าคะ :b8:
.
.
.
ดำน้ำได้ลึก ก็ดูได้ละเอียด มันจะเห็นได้ชัดในแต่ละตัว
ที่ว่าดูได้ละเอียด..เห็นได้ชัด...ยูจะทำยังงัยต่อไปกับการดูได้ละเอียดเห็นได้ชัดนี้ล่ะ
มันต้องคิดต่อเน้อ...ไม่ใช่บอกว่า...ดูได้ละเอียด..เห็นได้ชัด..แล้วก็จบ
มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นต่อไปสิ่

...............................................................

ตอบนะคะ :b8: ..การดู ในแต่ละตัวของขันธ์ห้า ต้องมีความเชี่ยวชาญในการใช้สมาธิ
หรือที่เรียกว่า วสี..ตัวนี้ จะเป็นตัวผลักดันเองอัตโนมันติ

เมืืื่อเราพิจารณา เวทนาขันธ์ ถ้ากำลังจิตของเราไม่คมไม่กล้าพอ เราจะเห็นเวทนาขันธ์ไม่ชัดว่า

แท้จริงเวทนาขันธ์นั้นเกิดมาจากอะไร อะไรเป็นตัวเหตุปัจจัยให้เกิด สภาวะที่แท้จริงของเวทนาขันธ์เป็นอย่างไร เวทนาขันธ์เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะไปเชื่อมโยงกับขันธ์อื่นๆตรงไหน แล้วมันจะต่อเนื่องไปเชื่อมกับตัณหาอย่างไร ลำดับการเกิดขึ้น และดับไป ของขันธ์ห้าแต่ละตัว ทีต่างเป็ฯเหตุปัจจัยกันและกันนั้น มีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำมห้เวทนาขันธ์เกิดขึ้น เมืื่อเวทนาขันธ์เกิดขึ้น รสของเวทนาขันธ์มีอะไรบ้าง..นี่อย่างย่อ (และยกตัวอย่างมาแค่ขันธ์เดียว) :b8:

กำลังจิตที่คมกล้า และมีกำลังเพียงพอ ในพละห้า รวมตัวกัน..ทำให้เกิดปัญญาญาน ในการตามไปดูการทำงานของขันธ์ห้าในแตะละขันธ์ ที่เกิดดับใจจิตของเราได้ตามความเป็นจริงได้

แรกๆอาจจับได้ไม่กี่ตัว เพราะจิตเราไม่ละเอียดพอ และกำลังสมาธิไม่ละเอียดพอ เมื่อเราทำต่อเนื่อง พละ5 เราสะสมขึ้นเรื่อยๆ มันจะเห็นได้ชัดขึ้นและขยายออก ได้มากขึ้น ทำให้เรามองได้รอบขึ้น มากกว่า ตอนแรกที่เรา ศึกษาขันธ์

เห็นแต่ละตัวแล้ว มันยังไม่จบคะ..เพราะการศึกษาในแต่ละขันธ์ มันเพียงทำให้เราเข้าใจ แจ้งในจิตของการทำงานแต่ละขันธ์ออกไป..ในการลงมือทำจริง มันมีเรื่องละเอียดปลีกย่อยอีกร้อยแปด และไม่สามารถเอามาเล่าเป็นอักษรให้เข้าใจได้หมดได้
.
.
.
ปล.(คำว่าดำน้ำ..เป็นภาษานักปฎิบััติคะ เมื่อพูดว่าดำน้ำ ท่านที่ปฎิบัตจะเข้าใจว่า เป็นการเข้าฌาน หรือใช้กำลังจิตที่มีกำลัง ฌาน1 ฌาน234 ว่ากันไป..)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2018, 15:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2015, 23:32
โพสต์: 52

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สายน้ำเมย เขียน:
การดู รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาน หรือ มองในรูปแบบ รูปจิตเจตสิค :b8:
ต้องอาศัยการดำน้ำ

หึหึ...ยูจะดำน้ำดู...มุดน้ำดู....โผล่น้ำมาดู
หรือจะดูยังงัยอะไรแบบไหน...ก็ช่างเรื่องของยูเถอะ..คุณเมย..

แต่ไอ..ข้องใจอยู่อย่าง..อยากถามว่า....
แล้วทำไม..เราต้องไปดู.....รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ......
ให้เห็นได้อย่างละเอียดและชัดเจนล่ะ


ดูให้เห็นอย่างละเอียดชัดเจนไปทำไม......เพื่อจุดประสงค์อะไรกัน...

..................................................................


ตอบนะคะ..การดู แยก รุป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาน เป็นการศึกษา เพื่อเห็นการทำงานของแต่ละขันธ์ในการทำหน้าที่ของมัน เพื่อให้จิตมีปัญญา และแจ้งในจิตตน ในการละความยึดมั่นถือมั่นในแต่ละขันธ์ของขันธ์ห้าคะ :b8:
.
.
.
ดำน้ำได้ลึก ก็ดูได้ละเอียด มันจะเห็นได้ชัดในแต่ละตัว
ที่ว่าดูได้ละเอียด..เห็นได้ชัด...ยูจะทำยังงัยต่อไปกับการดูได้ละเอียดเห็นได้ชัดนี้ล่ะ
มันต้องคิดต่อเน้อ...ไม่ใช่บอกว่า...ดูได้ละเอียด..เห็นได้ชัด..แล้วก็จบ
มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นต่อไปสิ่

...............................................................

ตอบนะคะ :b8: ..การดู ในแต่ละตัวของขันธ์ห้า ต้องมีความเชี่ยวชาญในการใช้สมาธิ
หรือที่เรียกว่า วสี..ตัวนี้ จะเป็นตัวผลักดันเองอัตโนมันติ

เมืืื่อเราพิจารณา เวทนาขันธ์ ถ้ากำลังจิตของเราไม่คมไม่กล้าพอ เราจะเห็นเวทนาขันธ์ไม่ชัดว่า

แท้จริงเวทนาขันธ์นั้นเกิดมาจากอะไร อะไรเป็นตัวเหตุปัจจัยให้เกิด สภาวะที่แท้จริงของเวทนาขันธ์เป็นอย่างไร เวทนาขันธ์เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะไปเชื่อมโยงกับขันธ์อื่นๆตรงไหน แล้วมันจะต่อเนื่องไปเชื่อมกับตัณหาอย่างไร ลำดับการเกิดขึ้น และดับไป ของขันธ์ห้าแต่ละตัว ทีต่างเป็ฯเหตุปัจจัยกันและกันนั้น มีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำมห้เวทนาขันธ์เกิดขึ้น เมืื่อเวทนาขันธ์เกิดขึ้น รสของเวทนาขันธ์มีอะไรบ้าง..นี่อย่างย่อ (และยกตัวอย่างมาแค่ขันธ์เดียว) :b8:


ไหนล่ะ???...ส่วนไหนคำไหนเป็นคำตอบของคำถามข้างล่างนี้ล่ะนี่???
แล้วทำไม..เราต้องไปดู.....รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ......
ให้เห็นได้อย่างละเอียดและชัดเจนล่ะ
ดูให้เห็นอย่างละเอียดชัดเจนไปทำไม......เพื่อจุดประสงค์อะไรกัน...




กำลังจิตที่คมกล้า และมีกำลังเพียงพอ ในพละห้า รวมตัวกัน..ทำให้เกิดปัญญาญาน ในการตามไปดูการทำงานของขันธ์ห้าในแตะละขันธ์ ที่เกิดดับใจจิตของเราได้ตามความเป็นจริงได้

แรกๆอาจจับได้ไม่กี่ตัว เพราะจิตเราไม่ละเอียดพอ และกำลังสมาธิไม่ละเอียดพอ เมื่อเราทำต่อเนื่อง พละ5 เราสะสมขึ้นเรื่อยๆ มันจะเห็นได้ชัดขึ้นและขยายออก ได้มากขึ้น ทำให้เรามองได้รอบขึ้น มากกว่า ตอนแรกที่เรา ศึกษาขันธ์

เห็นแต่ละตัวแล้ว มันยังไม่จบคะ..เพราะการศึกษาในแต่ละขันธ์ มันเพียงทำให้เราเข้าใจ แจ้งในจิตของการทำงานแต่ละขันธ์ออกไป..ในการลงมือทำจริง มันมีเรื่องละเอียดปลีกย่อยอีกร้อยแปด และไม่สามารถเอามาเล่าเป็นอักษรให้เข้าใจได้หมดได้

ไหนล่ะ???...ส่วนไหนคำไหนเป็นคำตอบของคำถามข้างล่างนี้ล่ะนี่???
แล้วทำไม..เราต้องไปดู.....รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ......
ให้เห็นได้อย่างละเอียดและชัดเจนล่ะ
ดูให้เห็นอย่างละเอียดชัดเจนไปทำไม......เพื่อจุดประสงค์อะไรกัน...


.
.
ปล.(คำว่าดำน้ำ..เป็นภาษานักปฎิบััติคะ เมื่อพูดว่าดำน้ำ ท่านที่ปฎิบัตจะเข้าใจว่า เป็นการเข้าฌาน หรือใช้กำลังจิตที่มีกำลัง ฌาน1 ฌาน234 ว่ากันไป..)
อ้อ...ดำน้ำ...หมายถึงเข้าฌาน..ดูเน๊าะ
แต่จะดูยังงัยแบบไหน..เราก็ไม่ได้สนในจุดนั้นหรอก
สนใจว่า...ดูไปเพื่อให้เกิด...ผล...อะไรขึ้นตะหาก
ภาษาฝรั่งเขาว่า....ยูจะทำยังงัยก็ช่างยู
ขอให้ผลงานยูที่ได้ออกมา..ให้ได้ตามเป้าหมายที่สั่งที่ต้องการ..ให้ได้ก็แล้วกัน
พวกฝรั่งเขาจะไม่ค่อยเน้นวิธีการเท่าไหร่
เขาเน้นผลว่า...ทำแล้วสำเร็จผลไหม...
แต่รู้สึกในคำตอบของคุณเมยนี่...ยังไม่เห็นบอกมาเลยว่า...
ดูขันธ์ห้าให้เห็นชัดเจนเพื่อให้ได้ผลอะไร??..


ตอบมาซะยาวเฟื้อยแต่ไม่เห็นจะมีคำตอบ...ของคำถามที่เราถามเลย...มีแต่บอกว่าเห็นชัดไม่ชัด...เชื่อมโยงกับโน่นนี่นั่น...เป็นปัจจัยยังงั้นยังงี้....ไม่เกี่ยวกับที่ไอถามไปเลยนะนั่น


...คืออยากจะรู้เป้าหมาย...จุดมุ่งหมายของการดูตะหาก...
ว่าทำไมเราจะต้องดูให้เห็นชัดเจน ดูให้เห็นชัดเจนไปเพื่ออะไร
อย่างดูหนังฟังเพลงอ่านนิยาย
ก็ดูเพื่อ..ความเพลิน...
แล้วก็จะส่งผลให้ติดข้อง...เกิดความยึดมั่นถือมั่น...แล้วก็จะเกิด..ภพชาติ..ตามมาใช่ไหม


แล้วการดูขันธ์ห้านี่ล่ะ...เพื่ออะไร???

เมื่อเราดูได้เห็นชัดเจนแล้ว..เพื่อจะทำยังงัยต่อไป..เมื่อเราเห็นได้ชัดเจนแล้วนั่น
ทีนี้เข้าใจคำถามหรือยัง???


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2018, 15:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2015, 23:32
โพสต์: 52

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้อ....โทษทีเน้อ....ลืมเห็นประโยคข้างล่างนี่...ที่คุณเมย..ได้ตอบมา

ตอบนะคะ..การดู แยก รุป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาน เป็นการศึกษา เพื่อเห็นการทำงานของแต่ละขันธ์ในการทำหน้าที่ของมัน เพื่อให้จิตมีปัญญา และแจ้งในจิตตน ในการละความยึดมั่นถือมั่นในแต่ละขันธ์ของขันธ์ห้าคะ :b8:

อันนี้ก็เข้าท่าอยู่...แต่...กว้างไปนะ...
ทำนองมีคนมาถามว่า...เธอเอา..ห่อของ..ไปไว้ที่ไหน
แล้วคนที่เอาห่อของไปไว้ก็บอกว่า....เอาไว้ในบ้าน...นั้นล่ะ

อ้าว...บ้านตั้งกว้าง....บางทีบ้านหลังหนึ่งก็มีตั้งหลายชั้น
แถม...หลายห้อง..อีกตะหาก
บอกให้ละเอียดกว่านี้...อธิบายให้ชัดกว่านี้หน่อยสิ่
บอกได้ระดับว่า...อยู่ชั้นไหน..ห้องไหน...ได้ก็ยังพอได้นะ

แต่ถ้ายิ่งบอกละเอียดถึงระดับว่า..อยู่ในตู้ใบนั้น..ของห้องนั้นได้เลยก็ยิ่งดี

ตอบให้..โฟกัส..กว่านี้หน่อย..คุณเมย...
ที่ตอบแบบข้างบน..มันกว้างไปหน่อย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2018, 15:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตะวัน คนปฎิบัติ และมีสภาวะที่กำลังเพียรอยู่..พูดเท่าที่พูด เขาจะเข้าใจคะ :b8:
.
.
.
แต่ตะวันกำลังพิสูจน์อักษร ให้ความยึดมั่น พยัญชนะ และจะเอาชนะด้วย พยัญชนะ :b8:
.
.
.
สภาวะธรรมเป็นของละเอียด..มันเหนือสมมุติบัญญํัติ ที่จะนำมาสื่อถึงได้ สำหรับผู้ไม่เข้าใจ :b8:
.
.
.
ตะวันต้องทำใจในส่วนนี้แล้วหละคะ ที่ตอบไป เพียงพอ สำหรับคนที่ปฎิบัติได้ ปฎิบัติถึง ในจุดที่พูดถึงแล้ว :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2018, 16:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2015, 23:32
โพสต์: 52

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สายน้ำเมย เขียน:
ตะวัน คนปฎิบัติ และมีสภาวะที่กำลังเพียรอยู่..พูดเท่าที่พูด เขาจะเข้าใจคะ :b8:
.
.
.
แต่ตะวันกำลังพิสูจน์อักษร ให้ความยึดมั่น พยัญชนะ และจะเอาชนะด้วย พยัญชนะ :b8:
.
.
.
สภาวะธรรมเป็นของละเอียด..มันเหนือสมมุติบัญญํัติ ที่จะนำมาสื่อถึงได้ สำหรับผู้ไม่เข้าใจ :b8:
.
.
.
ตะวันต้องทำใจในส่วนนี้แล้วหละคะ ที่ตอบไป เพียงพอ สำหรับคนที่ปฎิบัติได้ ปฎิบัติถึง ในจุดที่พูดถึงแล้ว :b8:



อ้อ....โทษทีเน้อ....ลืมเห็นประโยคข้างล่างนี่...ที่คุณเมย..ได้ตอบมา

ตอบนะคะ..การดู แยก รุป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาน เป็นการศึกษา เพื่อเห็นการทำงานของแต่ละขันธ์ในการทำหน้าที่ของมัน เพื่อให้จิตมีปัญญา และแจ้งในจิตตน ในการละความยึดมั่นถือมั่นในแต่ละขันธ์ของขันธ์ห้าคะ :b8:

อันนี้ก็เข้าท่าอยู่...แต่...กว้างไปนะ...
ทำนองมีคนมาถามว่า...เธอเอา..ห่อของ..ไปไว้ที่ไหน
แล้วคนที่เอาห่อของไปไว้ก็บอกว่า....เอาไว้ในบ้าน...นั้นล่ะ

อ้าว...บ้านตั้งกว้าง....บางทีบ้านหลังหนึ่งก็มีตั้งหลายชั้น
แถม...หลายห้อง..อีกตะหาก
บอกให้ละเอียดกว่านี้...อธิบายให้ชัดกว่านี้หน่อยสิ่
บอกได้ระดับว่า...อยู่ชั้นไหน..ห้องไหน...ได้ก็ยังพอได้นะ

ตะวันต้องทำใจในส่วนนี้แล้วหละคะ ที่ตอบไป เพียงพอ สำหรับคนที่ปฎิบัติได้ ปฎิบัติถึง ในจุดที่พูดถึงแล้ว :b8:


อ้อ...พูดแบบนี้แสดงว่า

ตอบได้แค่ระดับบอกว่า...ห่อของ...อยู่ในบ้านเนาะ

ไม่เป็นไร...เดี๊ยวไอ..จะตอบเพิ่มเอง
มั่นใจตัวเองอยู่บ้างว่าพอจะตอบได้ถึงระดับ
..อยู่ในชั้นไหน..ห้องไหน..ของบ้านพอได้บ้างอยู่

แต่คงไม่เทพ...ถึงระดับ..บอกได้ว่า
...อยู่ในตู้ใบนั้นใบนี้..ของห้องนั้นห้องนี้ล่ะนะ
แต่ยังงัยก็คงตอบได้ละเอียดกว่า..คุณเมย..แหละ

อันนี้ต้องใช้เวลาเรียบเรียงสักหน่อยเน้อ
รออ่านดูนะ...ว่าไอจะอธิบายได้...สมคำคุย..รึเปล่า???
5555555555.....เกทับไว้ก่อนแล้วกัน....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2018, 16:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อืมม...อยากสำเร็จ ต้องเดินเอง ลงมือทำเอง ไม่มีใครป้อนให้เคี้ยวแล้วกลืน แล้วจบกิจได้

ไม่มีทางลัด ไม่มีมโนแล้วถึง ไม่มีคิดตรองแล้วจบกิจ
.
.
.
เส้นทางเดินของคนไปถึงเป้าหมาย มีรายละเอียด ปลีกย่อยของแต่ละคน เป็นร้อยแปด

เพราะแต่ละคนสะสมบุญกรรม กันมา ไม่เหมือนกัน..หัดเดินเองบ้าง ลงมือทำด้วยตัวเองบ้าง
.
.
.
อย่ามัวแต่ตรึกตรอง..และติว่า ชี้ข้อพร่องของคนอื่น

หัดเอา สิ่งที่อ่าน เรียนรู้มา มา ชี้ข้อพร่องตนเอง เอาสัญญาที่อ่านมา สอนใจตัวเอง

เพื่อส่งตัวเองให้ถึงเป้าหมายที่ตนได้วางไว้
.
.
.
เอาตัวเองให้รอดก่อน พอตนรอดแล้ว มีแรงมีกำลัง ปรารถนาจะอุ้มใคร ช่วยใครกี่คนตอนนั้นมันก็ได้

อย่าเพิ่งแสดง..เพราะมันจะกลายเป็นเตี้ยอุ้มค่อม..ตายทั้งคนอุ้มและคนถูกอุ้ม
.
.
.
นี่ไม่ได้ด่า แต่หวัังดี จึงเตือน...หยุดชี้คนอื่น หันมาชี้ตัวเองให้มากๆ นะตะวัน :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2018, 03:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2015, 23:32
โพสต์: 52

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สายน้ำเมย เขียน:
อืมม...อยากสำเร็จ ต้องเดินเอง ลงมือทำเอง ไม่มีใครป้อนให้เคี้ยวแล้วกลืน แล้วจบกิจได้
ไม่มีทางลัด ไม่มีมโนแล้วถึง ไม่มีคิดตรองแล้วจบกิจ
เส้นทางเดินของคนไปถึงเป้าหมาย มีรายละเอียด ปลีกย่อยของแต่ละคน เป็นร้อยแปด
เพราะแต่ละคนสะสมบุญกรรม กันมา ไม่เหมือนกัน..หัดเดินเองบ้าง ลงมือทำด้วยตัวเองบ้าง

ไม่ได้บอกให้..ยู..ไปเดินแทนเขาซะหน่อย..
แต่บอกว่าถามว่า..
ยูสามารถจะอธิบายการพิจารณาขันธ์ห้าให้ละเอียดกว่านี้ได้ไหมตะหาก...
ถ้าอธิบายได้แค่นี้ก็ต้องยอมรับตัวเองว่าตัวเอง..มีความสามารถอธิบายได้แค่นี้สิ่
...หรือ...ถ้าสามารถอธิบายได้มากกว่านี้..ก็อธิบายให้ฟังเพิ่มอีกสิ่..ถ้าทำได้นั่น



อย่ามัวแต่ตรึกตรอง..และติว่า ชี้ข้อพร่องของคนอื่น
หัดเอา สิ่งที่อ่าน เรียนรู้มา มา ชี้ข้อพร่องตนเอง เอาสัญญาที่อ่านมา สอนใจตัวเอง
เพื่อส่งตัวเองให้ถึงเป้าหมายที่ตนได้วางไว้

ไม่ได้บอกว่า..ยู..บกพร่อง..
แต่ถามว่าสามารถอธิบายให้ละเอียดกว่านี้ได้อีกหรือเปล่า
..ถ้าทำไม่ได้..ก็ต้องยอมรับว่า..ทำไม่ได้..
หรือถ้าทำได้..ก็เขียนอธิบายการพิจารณาขันธ์ห้า
เพื่อให้ละถอนความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้าเพิ่มให้..ไอ..ดูอีกสิ่



เอาตัวเองให้รอดก่อน พอตนรอดแล้ว มีแรงมีกำลัง ปรารถนาจะอุ้มใคร ช่วยใครกี่คนตอนนั้นมันก็ได้
อย่าเพิ่งแสดง..เพราะมันจะกลายเป็นเตี้ยอุ้มค่อม..ตายทั้งคนอุ้มและคนถูกอุ้ม

จะตายยังงัย...
อธิบายวิธีพิจารณาขันธ์ห้าให้ละความยึดมั่นในขันธ์ห้า
ให้กันได้อ่านได้พิจารณากันให้ละเอียดเพิ่มเติมยิ่งขึ้น..นั้นไม่ดีเหรอ...
ยิ่งอธิบายได้ละเอียดเท่าไหร่ก็ยิ่งดีสิ่
ถ้า..ยู...อธิบายได้มากกว่านี้...ก็อธิบายต่ออีกก็ได้..เราจะฟังต่อนะ


นี่ไม่ได้ด่า แต่หวัังดี จึงเตือน...หยุดชี้คนอื่น หันมาชี้ตัวเองให้มากๆ นะตะวัน :b53:
จะด่า..ไอ..ก็ไม่ว่าหรอก...
ไอไม่ใช่คนแบบ..ปิดหูปิดตาตัวเอง..
ไม่ยอมรับคำชี้แนะจากใครเหมือนคนบางคนเน้อ..คุณเมยเอ๊ย

ใครจะมา..ชี้ข้อบกพร่องของไอ...
มาแนะนำไอนั่น..ไอรับฟังเสมอ..และตามอ่านเสมอ...

เห็นแต่คนบางคน..นั่นล่ะ..ที่บอกคนอื่นบ่อยๆว่า
...ฉันไม่อ่านข้อความของเธอนะ...
ย่อให้สั้นๆก่อนถึงจะอ่านอะไรแบบนั้น...

การหันมามองตัวเองให้มากๆนี่...ไอ..ก็ทำอยู่แล้ว..
...............ถ้าไอไม่มองตัวเองให้มากๆ....................
...ไอคงไม่สามารถที่จะ...พิจารณาอะไรที่ไอคิดว่าพิจารณาได้ละเอียดกว่ายู...

ตามที่ยูจะได้เห็นในโพสต่อไปนี้ล่ะนะ
...อ่านดูเอานะ..คุณเมยเอ๊ย...
ว่าที่เราบอกว่าเราน่าจะพิจารณาขันธ์ห้าเพื่อละความยึดมั่นถือมั่น....
ได้ละเอียดกว่ายูนั่นจริงหรือเปล่า????




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2018, 04:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2015, 23:32
โพสต์: 52

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แล้วทำไม..เราต้องไปดู.....รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ......
ให้เห็นได้อย่างละเอียดและชัดเจนล่ะ


ดูให้เห็นอย่างละเอียดชัดเจนไปทำไม......เพื่อจุดประสงค์อะไรกัน...

สนใจว่า...ดูไปเพื่อให้เกิด...ผล...อะไรขึ้นตะหาก
แต่รู้สึกในคำตอบของคุณเมยนี่...ยังไม่เห็นบอกมาเลยว่า...
ดูขันธ์ห้าให้เห็นชัดเจนเพื่อให้ได้ผลอะไร??..

ตอบนะคะ..การดู แยก รุป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาน เป็นการศึกษา เพื่อเห็นการทำงานของแต่ละขันธ์ในการทำหน้าที่ของมัน เพื่อให้จิตมีปัญญา และแจ้งในจิตตน ในการละความยึดมั่นถือมั่นในแต่ละขันธ์ของขันธ์ห้าคะ :b8:


อันนี้ก็เข้าท่าอยู่...แต่...กว้างไปนะ...
ทำนองมีคนมาถามว่า...เธอเอา..ห่อของ..ไปไว้ที่ไหน
แล้วคนที่เอาห่อของไปไว้ก็บอกว่า....เอาไว้ในบ้าน...นั้นล่ะ

ตอบได้แค่ระดับบอกว่า...ห่อของ...อยู่ในบ้านเนาะ

ไม่เป็นไร...เดี๊ยวไอ..จะตอบเพิ่มเอง
มั่นใจตัวเองอยู่บ้างว่าพอจะตอบได้ถึงระดับ
..อยู่ในชั้นไหน..ห้องไหน..ของบ้านพอได้บ้างอยู่

แต่คงไม่เทพ...ถึงระดับ..บอกได้ว่า
...อยู่ในตู้ใบนั้นใบนี้..ของห้องนั้นห้องนี้ล่ะนะ
แต่ยังงัยก็คงตอบได้ละเอียดกว่า..คุณเมย..แหละ

ทีนี้มาดูการตอบชอง...คุณตะวัน...กันบ้างแล้วกัน

ที่ยอมรับในคำตอบแบบกว้างๆของคุณเมยว่า...เป้าหมายในการดูขันธ์ห้าพิจารณาขันธ์ห้าก็คือ.....
....เพื่อละความยึดมั่นถือมั่นในแต่ละขันธ์ของขันธ์ห้า....นั้นก็เพราะ
ถ้าไม่ดูขันธ์ห้าเพื่อเป้าหมายอันนี้แล้วจะดูไปเพื่ออะไรล่ะ...

ดูขันธ์ห้าไปเฉยๆอย่างนั้นเหรอ...
วิปัสสนาดูขันธ์ห้าเสร็จแล้ว...ก็ไม่ทำอะไร..ไม่ละการติดข้องในขันธ์ห้าอะไรเลย...

พิจารณาดูขันธ์ห้าทั้งวันเสร็จแล้ว..พอตกกลางคืน..
ก็ไปอ่านนิยายไปดูหนังฟังเพลงอีก..แบบนี้จะพิจารณาขันธ์ห้าไปทำไม...
เพราะพิจารณาไปแล้วก็ยังไปติดไปข้องในขันธ์ห้าอยู่เหมือนเดิม..

คือยังไปหาอ่านนิยายไปดูหนังฟังเพลงอีกเหมือนเดิม...
เหมือนกับตลอดทั้งวันก็ตั้งใจทำความสะอาดบ้านเก็บกวาดบ้านซะดี(คือพิจารณาขันธ์ห้าทั้งวัน)
แต่พอตกเย็นมา...ก็เอาขยะมาเทใส่อีก(ไปติดข้องในขันธ์ห้าด้วยการไปอ่านนิยายดูหนังฟังเพลงอีก)

แบบที่คุณเมยเขาทำประจำเป็นกิจวัตรของเขานั่นแหละ
..นี่งัยใช่แบบคุณตะวันเขาพูดไหมล่ะ..ที่พูดว่า
(คือพิจารณาขันธ์ห้าทั้งวัน)แต่พอตกเย็นมา...ก็เอาขยะมาเทใส่อีก
(ไปติดข้องในขันธ์ห้าด้วยการไปอ่านนิยายดูหนังฟังเพลงอีก)

ระหว่างวัน เราทำ สติปัฎฐานสี่ มีเวลาพักส่วนตัวจริงๆคือ ก่อนนอนนี่แหละ
เรานะ จะอ่านนิยายคือเวลาก่อนนอน เพื่อผ่อนจิต ในแต่ละวัน
พอผ่อนจิตได้
(ก๊าก..เรียกการไปอ่านนิยายซึ่งเหมือนเป็นการเอาขยะมาเทใส่บ้านตัวเอง
ให้สกปรกอีก...ให้จิตไปติดจมในขันธ์ห้าอีกซะไพเราะไปเลยว่า...การผ่อนจิต)
จะนอน ก็เริ่มทำต่ออีกแล้ว มันเป็นอย่างนี้วนรอบ มาหลายๆปีแล้ว

การผ่อนจิต...ที่ครูบาอาจารย์ท่านสอน...
คือการเข้าพักใน..สมาธิ..ตะหาก..
นี่ล่ะคือการผ่อนจิตที่แท้จริงล่ะ

...การไปอ่านนิยายนั่น..มันเป็นการผ่อนจิตที่ไหน...
เป็นการ..ทำความสกปรกให้กับจิต..
ให้จิตไปคลุกเคล้าเกลือกกลั้วกับสัญญาอารมณ์สกปรกตะหากล่ะ...

เห็นไหมแล้วมันผิดไปตรงไหน..กับที่คุณตะวัน..
เขากล่าวถึง..การปฏิบัติของ..คุณเมย..ว่า..เหมือนกับ---->>>
ตั้งใจทำความสะอาดบ้านเก็บกวาดบ้านทั้งวันซะดี(คือพิจารณาขันธ์ห้าทั้งวัน)
แต่พอตกเย็นมา...ก็เอาขยะมาเทใส่อีก(ไปติดข้องในขันธ์ห้าด้วยการไปอ่านนิยายดูหนังฟังเพลงอีก)


การดูขันธ์ห้าหรือพิจารณาขันธ์ห้านี่...
ก็คือการตั้งใจมองสภาวะ..การเกิดดับ...ของเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เกิดดับในจิต..

โดยถ้าจิตดวงไหนมันหลงมากๆ..มันก็จะไปจับเอา..รูป..
ซึ่งกลายเป็นสัญญา(ความจำ)ไปแล้ว(เช่นรูปหญิงชายพระเอกนางเอกต่างๆในนิยายหรือหนัง
ที่เคยอ่านเคยดู)มาคิดมาปรุง(เรียกว่าสังขาร)

ตามปรกติ..เมื่อสัญญามันโผล่ขึ้นมา...ถ้าจิตดวงไหน..ที่ตามไม่ทันเพราะสติปัญญาไม่พอ..
ก็จะไปจับเอาสัญญา(ความจำ)ที่มันโผล่ขึ้นมา...
เกี่ยวกับเรื่องรูปชายหญิงพระเอกนางเอกที่เคยดูเคยอ่านมาเอามาปรุงแต่ง(เรียกว่าสังขาร)

ปรุงแต่งไปยังงั้นยังงี้(เช่นปรุงว่า..ทำไมพระเอกมันโง่อย่างนี้ไม่เข้าใจนางเอกซะที..
ทำไมนางเอกถึงโง่อย่างนี้ไปเข้าใจพระเอกผิดๆ..
ปรุงแต่งบ้าบอคอแตกสารพัดตามที่คนแต่งนิยาย..มันเขียนมันปรุงเอาไว้ก่อนแล้ว
แล้วเราก็จับมาปรุงแต่งบ้าบอคอแตกไปตามเขาอีกที)

พอปรุงแต่งเสร็จแล้ว..ก็จะเกิดวิญณาณ(ความรับรู้)ขึ้นมาเกี่ยวกับเรื่องสังขาร..
ที่ไปปรุงแต่งสัญญาในอดีตของนิยายหรือหนังที่เคยดูเหล่านั้น
ทำให้...จิตผู้รู้...เกิดความยินดียินร้ายขึ้น...

พอยินดียินร้ายเกิดปุ๊ป..ก็เป็นการสร้างภพสร้างชาติขึ้นมาปั๊ปทันที..
นี่แหละคนที่ไม่ได้ภาวนาตั้งใจดูจิตให้ดี..ก็จะเป็นไปตามสภาวะที่ได้พูดมานี้

แต่ส่วนผู้ที่เขาภาวนาตั้งใจดูจิตให้ดีนี่..เขาจะระวังรักษาจิตตัวเองตลอด..
เรื่องการไปอ่านนิยายแบบสัมผัสทางตาโต้งๆจะจะ
หรือไปดูหนังจะจะ..นี่ไม่ต้องไปพูดถึง..เขาจะไม่ไปแตะต้องจะจะแบบนั้นเลย..

ถ้าลงขั้นได้หลงไปดูแบบจะจะแบบนั้น..ทำนองคุณเมยเขาไปอ่านนิยายก่อนนอนนั่น..
แบบนั้นมันไม่มีทาง..แยกจิตออกจากสัญญาสังขารได้แน่นอน..

เพราะคนที่จะไปอ่านนิยายนั่น...จะมีจุดมุ่งหมายการอ่านการดูเพื่อความเพลิน
เพื่อผูกมัดจิตให้เชื่อมติดให้คลุกเคล้ากับสัญญาสังขารต่างๆในนิยายโดยตรงอยู่แล้ว...

มีใครอยู่เหรอที่จะไปอ่านนิยาย...เพื่อแยกจิตออกจากสังขารปรุงแต่งในนิยาย...
ไม่ให้จิตไปจับไปปรุงแต่งสังขารจากการอ่านนิยาย...จะได้อ่านนิยายได้..ไม่สนุก..ได้นั่น
มีแต่มันจะไปอ่านนิยายเพื่อหาความสนุกเพลิดเพลินยึดมั่นหลงเพลินในการอ่านนิยายหรือดูหนังเท่านั้น
แบบที่พูดกันว่า...ถ้าไม่อ่านเพื่อให้สนุกเพลินเพลินแล้วจะอ่านไปทำไม..นั่นแหละ

.คนที่เขาภาวนาดูจิตจริง..เขาจะเผ้าดูจิตตัวเองอยู่ตลอดเวลา
โดยไม่ไปแตะสิ่งที่จะทำให้เกิดความเพลินต่างๆแบบจะจะอย่างนั้น...

เขาจะเฝ้ามองดูจิตเขา..เมื่อสัญญา..เกี่ยวกับ..หนังที่เคยดูนิยายที่เคยอ่าน
หรือเรื่องราวเกี่ยวกับผู้คนต่างๆที่เคยเกิดขึ้นกับเขาในอดีต...โผล่ขึ้นมา...
เขาจะจับได้ว่า..สัญญา..เกี่ยวกับผู้คนหญิงชาย..มันโผล่ขึ้นมาแล้วนะ..

แล้วไม่ไปให้ความหมาย..ไม่ไปปรุงแต่งเป็นสังขาร..ต่อ..
เมื่อไม่ปรุงแต่งเป็นสังขารต่อ...สัญญา..เหล่านั้นมันก็จะดับไป
..ตามหลักธรรมชาติ..ตามกฎอนิจจัง...ที่พระพุทธองค์ท่านสอนเอาไว้..

แต่คนจะทำแบบนี้ได้..สติ..เขาต้องดี..และเร็วพอ..
และต้องไม่ไปทำแบบคุณเมย..คือไปอ่านนิยายหรือดูหนังแบบจะจะโต้งๆโดยตรง
แบบที่คุณเมยเขาทำก่อนนอน...

แต่เขาจะอยู่ตามลำพัง...หลีกเลี่ยงการพูดคุยโดยไม่จำเป็น..
แล้วจ้องมองดูจิตเขาทั้งวัน..ที่มันจะเกิด..สัญญา..ต่างๆ
เกี่ยวกับผู้คนหญิงชายเป็นส่วนมากผุดขึ้นมาสารพัด

...แล้วเขาจะรู้ทัน..เมื่อสัญญาเหล่านั้นเกิดขึ้นมา
..เขาจะไม่ไป..ให้ความหมายกับสัญญา..เหล่านั้น
และไม่ไปจับสัญญาเหล่านั้นมาปรุงเป็นสังขารต่อ...

หรือถ้าปรุง...เขาก็จะปรุงแบบทางปัญญาทางมรรค..
คือพิจารณาเรื่องหญิงชายต่างๆที่มันโผล่ขึ้นมาในจิต...
ให้น้อมไปสู่ไตรลักษณ์ว่า...สิ่งเหล่านั้นมันไม่เที่ยงไม่ได้สุขตลอดไป

..สุขแป๊ปเดียวแล้วมันก็จะดับลง...
พอความสุขทางกามจากหญิงชายเหล่านั้นดับลง..ก็จะเกิดความทุกข์ขึ้นมา...
เพราะจิตเราไม่อยากจะให้ความสุขเหล่านั้นดับไป..
อยากจะให้ความสุขเหล่านั้นเกิดขึ้นสืบเนื่องไปตลอดเวลา...

แต่ความจริงมันเป็นไปไม่ได้...มันเกิดแล้วต้องดับ..ตามหลักธรรมชาติ..
เหมือนธรรมชาติของไฟ..มันต้องร้อน..จะให้ไฟมันเย็นมันเป็นไปไม่ได้..

ธรรมชาติรสของกามจากหญิงชายต่างๆ
..เมื่อมันเกิดขึ้นมันก็ต้องดับไปตามหลักความจริง...
ตอนสุขทางกาม...สุขจากรูปรสกลิ่นเสียงอะไรต่างๆดับไปนี้แหละ
.....จิตมันจะเกิดทุกข์ขึ้นทันที......
(เพราะมันไปคาดหวังไว้ว่าไม่อยากให้สุขดับไป)

ถ้ามันอยากให้สุขเหล่านี้ดับไปมันจะไปสร้างสุขเหล่านี้ขึ้นมาด้วยตัวมันเองหรือ...
มันจะไปหาอ่านนิยายดูหนังฟังเพลงหรือ

ถ้าผู้ที่ดูจิตจริงๆ..ท่านจะเกิดความกลัวในการที่จิตตัวเอง..จะไปจับไปดูดดื่ม
ไปเสพคลุกเคล้ากับอารมณ์สุขพวกนี้....
เพราะเหมือนไปกินยาเสพติดเลยไม่ต่างกัน..

เหมือนคนที่ฉลาดที่มีปัญญา
เขาจะไม่กล้าไป..เสพเฮโลอีน..นั่นเลยไม่ต่างกัน
เพราะกลัวว่า..จะติดรสเพลิน..จึงไม่กล้าไปเสพมัน

แล้วดูเอาคนติดรสเพลินจากขันธ์ห้าพวกนี้...สามารถเลิกติดได้ง่ายๆหรือเปล่า
เห็นไหม..คนติดดูหนัง..ติดฟังเพลง..ติดเล่นเกม..ติดอ่านนิยาย
และที่ติดแบบร้ายแรงที่สุดเลิกได้ยากที่สุด..ก็เสพติดรสกามทางเพศ...
ต้องได้ดิ้นรนหาผัวหาเมีย..มีผัวมีเมีย..แย่งผัวแย่งเมียกันวุ่นวาย...

แล้วพวกที่ติดในขันธ์ห้าไปแล้วพวกนี้...ต่างอะไรกันกับ..คนติดเฮโลอีนล่ะ
แล้วเลิกติดกันได้ง่ายๆไหม?????...ถ้ามันได้ติดไปแล้วนั่น...

ท่านจะระวังจิตของท่านไม่ให้ไปเสพ..ไปสัมปยุตไปรวมตัวไปดูดดื่ม..
กับสัญญาเกี่ยวกับรุปเสียงของผู้คนหญิงชายต่างๆ
ในสัญญาความจำของท่าน...ที่มันโผล่ขึ้นมา...

ไม่ไปปรุงเป็นสังขารต่อ....
ที่ว่าไม่ไปปรุงไปเป็นสังขารต่อนี่คือไม่ไปปรุงให้จิตหลงผิดว่ามันเที่ยง..ว่ามันสุขตลอดไป...
ไม่ไปปรุงว่ามันเป็นตัวเราของเรา....

แต่ถ้ามีปรุงจริงๆท่านก็จะปรุงเป็นทางมรรคทางปัญญา
...ให้จิตเห็นว่า..สัญญา..เกี่ยวกับหญิงชายที่มันโผล่มานี้..มันไม่เที่ยง
ไม่ได้ให้ความสุขเราตลอดไป...มันหลอกให้เราหลงเราโง่

(ไม่โง่ได้ยังงัยแย่งผัวแย่งเมียกันฆ่ากันตายอิจฉาตาร้อนกันสารพัด)
แล้วก็นำไปสู่ความทุกข์...ท่านจะพิจารณาให้เห็นในสิ่งเหล่านั้นว่า..
มันไม่ใช่สิ่งที่ควรไปยึดมั่นถือมั่นมาเป็นตัวเราของเรา

...เหมือนเห็นลูกระเบิด...
ก็จะหลีกหนีให้ห่างไกลจากลูกระเบิด(สัญญาเกี่ยวกับผู้คนหญิงชายต่างๆเทียบได้กับลูกระเบิดนั่นเอง)
หรือไม่ก็ขว้างลูกระเบิดทิ้งไปให้ไกลๆ(พิจารณาให้เห็นว่ามันเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา)

แต่พวกที่ไปอ่านนิยายหรือไปดูหนังโต้งๆนั่น
...แบบนั้นมันเป็นการเอาจิตของตัวเอง..
ไปคลุกเคล้าเกลือกกลั้วกับสัญญาสังขารเหล่านั้น...
เพื่อมีจุดมุ่งหมายให้เกิด..สุขเวทนาความเพลิน..ขึ้นมา....ซึ่งมันก็เป็นการ..ดูจิต..เหมือนกัน..

แต่เป็นการดูจิตแบบกิเลส..แบบผูกมัดจิตตัวเองให้..ยึดมั่นถือมั่น..ในขันธ์ห้า
ที่ท่านเรียกว่า...เป็นสมุทัย...เป็นเหตุแห่งทุกข์...นั่นแหละ

ส่วนผู้ภาวนา..ท่านก็ดูจิต..เช่นกัน..
แต่ดูจิตเฝ้าระวังจิต..ไม่ให้จิตไปคลุกเคล้าไปเกลือกกลั้วไปเสพ
ไปรวมตัวสัมปยุตกับขันธ์ห้ากับสัญญาสังขารต่างๆ..ที่มันโผล่ขึ้นมาในจิต

ถ้าแยกจิตออกจากขันธ์ห้าได้อย่างนี้
...ก็จะเป็นการทำลายวงจร...ของการเกิด...

ที่มันเกิดขึ้นมาได้..ก็เพราะจิตเรามันไปอยากที่จะเกิดเอง..มันไปเกาะขันธ์ห้าเอง

จิตมันมีสภาพรู้เฉยๆ..แต่เมื่อมันไปหลงขันธ์ห้า..ไปเกาะไปยึดขันธ์ห้า..
เพราะหลงในสุขเวทนา..ที่เกิดจากการไปติดข้องไปเกลือกกลั้วกับขันธ์ห้า...
มันก็จะเกิดการสร้าง...อัตตา..สร้างภพชาติขึ้นมา...โดยอัติโนมัติ...

ทำให้เกิดการเกิดแก่เจ็บตาย..ตามมา..
เป็นผลต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ต่อเนื่อง....ตามหลักปฏิจจสมุปบาท


:b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2018, 07:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7513

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


< ตะวัน > เขียน:
Rosarin เขียน:
สายน้ำเมย เขียน:
ยายเมยเอ๊ย :b34: :b34: :b34: :b34: :b34: :b34: :b34:
อย่าเพิ่งเอามากถึง 37 ข้อเลยนะ....แล้วการปฏิบัติถึงจะค่อย...ตรงทาง...นั่น
ตอนนี้ยูเอา 1 ข้อ...ไม่ไปอ่านนิยาย..หรือหาดูคลิปแนวเพลินๆไร้สาระ...
......ให้มันได้ซะก่อนเถอะ......


ต่อนะ..

เราศีลห้า..ไม่มีศีลข้อไหนผิด เรื่องอ่านนิยาย เพราะเราเป็นฆราวาส

และขณะที่เราฝึกปฎิบัติ เราไม่อ่านนิยาย และขณะอ่านนิยาย เราไม่ได้ฝึกปฎิบัติ

อีกข้อ ระหว่าง อ่านนิยายเพื่อความบันเทิง กับ ดูเวปโป๊ เพื่อความกระสันอยาก เพื่อความบันเทิง

คุณตะวันว่า อะไรมันหนักกว่ากัน

(ด่าว่าเราได้ข้อเดียวแหละว๊าาา เรื่องเราพักผ่อนจิตด้วยการอ่านนิยาย ตัวเองทำไม่ได้สักข้อได้แต่โม้)

:b32:
ไม่ว่าจะกำลังทำสิ่งใดถ้ายังติดข้องทางโลกก็ยังมีกิเลสมากค่ะ
กิเลสแปลว่าไม่รู้ความจริงตามคำสอนแปลว่าขาดสติเพราะคิดนอกคำสอน
การดูละครโขนหนังคือการเอาจิตไปเกาะอดีตนิมิตที่ปรากฏคิดตามเรื่องราวนั้นไม่ได้กำลัง
มีกุศลเกิดเพราะขาดสติเวลาที่ไม่ขาดสติต้องเป็นขณะที่เป็นกุศลที่สละความยึดมั่นในตัวตนในการทำ
แต่เป็นการเข้าใจความจริงที่กำลังปรากฏว่าตนกำลังสะสมอะไรตรงปรมัตถสัจจะไม่ใช่นิ่งใบ้ไม่มีปัญญา
แต่เป็นขณะที่ระลึกตามคำสอนได้ตรงสัจจะที่ตนกำลังเป็นไปเดี๋ยวนี้สะสมกุศล/อกุศลด้วยความไม่มีเรา
:b12:
:b17: :b17:


คุณโรสพูดแบบนิ่มๆสำนวนนักวิชาการ
..ยายเมย..ฟังแล้วอาจไม่ค่อยเก็ทเท่าไหร่
เพราะอาจเคยเป็น...เด็กสก๊อยส์...มาก่อน

ต้องให้คุณตะวันขยายความเพิ่มเติม...แบบสำนวนเด็กแว๊น....
..คุณเมย..ฟังแล้วอาจเข้าใจมากขึ้น...555555



ไม่ว่าจะกำลังทำสิ่งใดถ้ายังติดข้องทางโลกก็ยังมีกิเลสมากค่ะ
อย่าอ้างแต่ว่าเป็นฆราวาสเลยคุณเมยมันไม่เกี่ยว...
ที่เกี่ยวคือ...ยูเคยบอกว่าอยากปฏิบัติให้ได้นิพพานเร็วๆไม่ใช่เหรอ
ถ้ายังติดข้องทางโลกคือยังติดนิยายดูหนังฟังเพลงอะไรอยู่ก็คือ...
ยังหลงเพลินติดในสัญญา..สังขาร..อยู่ไม่ใช่เหรอ??
การจะหลุดพ้นไปนิพพาน...ต้องหลุดพ้น..จากการเพลินติดในสัญญาสังขารทั้งหลายไม่ใช่หรือ
ถึงจะไม่ต้องมาเกิดอีกได้....เข้าสู่พระนิพพาน...ได้

กิเลสแปลว่าไม่รู้ความจริงตามคำสอนแปลว่าขาดสติเพราะคิดนอกคำสอน
แม่นแล้ว...คุณโรส...คำสอนพระพุทธเจ้าศีลข้อ 7
ท่านห้ามไม่ให้ไปอ่านนิยาย ดูหนัง ฟังเพลง
ไปดูเพื่อความเพลินเมื่อไหร่...สติก็ดับไป...ขาดหายไปทันที..
เสียสติ...ขาดสติ...ไปทันที

การดูละครโขนหนังคือการเอาจิตไปเกาะอดีตนิมิตที่ปรากฏคิดตามเรื่องราวนั้นไม่ได้กำลัง
สรุปง่ายๆ..การดูหนังฟังเพลงอ่านนิยาย...
คือการเอาจิตไปติดข้องไปยึดมั่นถือมั่นในสัญญาสังขารของอดีตเพื่อมีจุดมุ่งหมายให้
...เกิดความเพลินความสนุกทางกิเลส....เกิดขึ้นในจิตนั่นเอง

มีกุศลเกิดเพราะขาดสติเวลาที่ไม่ขาดสติต้องเป็นขณะที่เป็นกุศลที่สละความยึดมั่นในตัวตนในการทำ
สภาวะ..มีสติที่สละความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนที่เห็นแบบจะจะกับสายตาเลย
โดยไม่ต้องไปใช้ณาณอะไรที่ไหนส่องดูให้ยาก
ก็คือสละหนังสือนิยายทิ้งลุกเดินหนีออกจากจอหนังจอละครนั่นแหละ(เลิกดูหนังฟังเพลงอ่านนิยาย

แต่เป็นการเข้าใจความจริงที่กำลังปรากฏว่าตนกำลังสะสมอะไรตรงปรมัตถสัจจะไม่ใช่นิ่งใบ้ไม่มีปัญญา
เราตีความหมายว่า...สะสมสภาวะไม่ยึดมั่นถือมั่นให้เกิดให้มีขึ้นในจิตให้มากๆนะ...
ฝึกจิตให้อยู่ในสภาวะไม่ยึดมั่นถือมั่นในสัญญาสังขารต่างๆให้ได้มากที่สุด(ไม่ดูหนังฟังเพลงอ่านนิยาย)
ยิ่งได้ตลอดเวลายิ่งดี

แต่เป็นขณะที่ระลึกตามคำสอนได้ตรงสัจจะที่ตนกำลังเป็นไปเดี๋ยวนี้สะสมกุศล/อกุศลด้วยความไม่มีเรา
เห็นด้วยมากๆเลยคุณโรส...ถ้าไปอ่านนิยายดูหนังฟังเพลงแล้วความเพลินเกิดขึ้นมา
ก็มี..อัตตา..มีตัวเราเกิดขึ้นมาแล้ว..มีภพชาติเกิดขึ้นมาแล้ว

เราจะต้องฝึกจิตเรา...รักษาจิตเรา...ให้เขาอยู่ในสภาวะ...ไร้อัตตา..ไม่มีตัวเราของเราให้มากๆตามที่พระพุทธองค์ท่านสอนไว้ว่า
พาวิตา..พหุลีกะตา...ทำให้มากเจริญให้มาก..นั้นเอง

:b12:
แต่การอบรมเจริญปัญญาไม่ใช่การไปนั่งหลับตาขัดสมาธิ
เพราะการเข้าสมาธิแบบหลับตาเป็นการอยู่กับความคิดตนเอง
โดยไม่พึ่งการคิดถูกตามคำสอนตอนลืมตาเห็นแจ้งสิ่งที่กำลังมีจริงๆ
เพราะรู้คือปัญญาตามคำสอนไม่ได้แยกออกจากปกติไปทำแต่เป็นสัจจะ
ที่ตนเข้าถึงตรงๆตามเสียงแล้วรู้แจ้งชัดในอารมณ์ที่จิตกำลังมีตื่นรู้ความจริง
ตามปกติเป็นปกติตรงความจริงที่ไม่มีกิเลสปิดบังเพราะอาศัยคิดตามคำตถาคต
เพื่อเปิดทางกิเลสตนเองให้ปัญญาคิดถูกเข้าใจถูกแทรกเข้าจิตได้ทีละน้อยฟังบ่อยๆ
ไม่ใช่อ่านจำเสร็จปิดหนังสือไปนั่งทำมันปิดทางเห็นแจ้งชัดทางตาเนื้อไม่ได้ต้องตาดีหูดี
ถึงจะสะสมปัญญาตามคำตถาคตได้ตามนี่คือตามฟังตรงจริงเพื่อคิดตามทีละคำตรงสัทบัญญัติ
เข้าใจความหมายตรงคำตรงเสียงนั้นตรงความจริงที่กำลังได้ยินตามรู้เสียงไม่วอกแวกใช้สมาธิลืมตาค่ะ
ถ้าไม่เริ่มฟังพระพุทธพจน์เพื่อรู้จักตนเองตามปกติตามความเป็นจริงไม่มีทางคิดถูกเพราะคิดเองไม่ได้เลย
คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นความจริงตรงปัจจุบันขณะทุกคำที่กำลังปรากฏว่ามีแล้วไม่ต้องทำแต่เพียรฟัง
เพื่อตามรู้ตามเข้าใจความจริงว่าเป็นอย่างนั้นจริงแต่ตนทำได้แค่ฟังเพื่อคิดถูกตามได้เท่านั้นก็ยังมีตัวตน
และไม่ใช่ทศพลญาณจึงคิดเองไม่ได้แม้แต่คำเดียวต้องอาศัยการฟังคำตถาคตตรงสัจจะแล้วเข้าใจที่ตน
ไม่ส่งออกไปกว้านอกุศลภายนอกเข้ามาทับถมกิเลสตนเพิ่มเข้าใจไหมคะกำลังฟังและกำลังคิดตรงคำอยู่
รู้สึกตัวทั่วพร้อมในวิสยรูป7ทุกขณะจึงเป็นสติสัมปชัญญะเป็นปัญญาจากอุชุปะติปัตติมาจากการฟังจริงๆ
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2018, 08:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2018, 00:09
โพสต์: 203

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(มันโพสซ้ำคะ เลยต้องลบโพสนี้ :b8: )


แก้ไขล่าสุดโดย สายน้ำเมย เมื่อ 30 ส.ค. 2018, 08:59, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 144 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 6, 7, 8, 9, 10  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร