วันเวลาปัจจุบัน 22 มิ.ย. 2025, 02:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 102 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2018, 19:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนจะลงบทความต่อ กลับไปที่ความหมายนิพพานอีกที

กรัชกาย เขียน:
นิพพานถ้าพูดแล้วมีนิดเดียว พูดนะนิดเดียว แต่ถ้าทำแล้วละก็นิพพานใหญ่มากกกกกก :b16:

นิพพาน การดับกิเลสและกองทุกข์

นิรฺวาณมฺ ความดับ เป็นคำสันสกฤต เทียบกับภาษาบาลี ก็ได้แก่ศัพท์ว่า นิพพาน นั่นเอง ปัจจุบันนิยมใช้เพียงว่า นิรวาณ กับ นิรวาณะ



นิพพานมีนิดเดียว คือ ภาวะที่จิตใจหมดกิเลสตัณหาอุปาทาน ท่านใช้ศัพท์ ขีณาสพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2018, 19:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ต่อ

การที่ปุถุชนไม่สามารถนึกเห็น ไม่อาจคิดให้เข้าใจภาวะของนิพพานได้นั้น เพราะธรรมดาของมนุษย์ เมื่อยังไม่รู้เห็นประจักษ์เองซึ่งสิ่งใด ก็เรียนรู้สิ่งนั้นด้วยอาศัยความรู้เก่าเป็นพื้นเทียบ คือ เอาสัญญาที่มีอยู่แล้วมากำหนด แล้ววาดภาพขึ้นใหม่จากสัญญาต่างๆ ที่เอามากำหนดเทียบนั้น ได้ภาพตามสัญญาที่เป็นองค์ประกอบ เหมือนอย่างคนไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักช้างเลย เมื่อมีใครพูดขึ้นแก่เขาว่า “ช้าง” เขาจะไม่รู้ ไม่เข้าใจ นึกอะไรไม่ได้เลย อาจจะกำหนดไปตามอาการกิริยา เป็นต้น ของผู้พูด แล้วอาจจะนึกว่า ผู้พูดกล่าวผรุสวาทแก่เขา หรืออาจจะนึกไปว่า ผู้พูดกล่าวภาษาต่างประเทศคำหนึ่ง หรืออาจจะนึกว่า ผู้พูดเสียสติ จึงกล่าวคำไร้ความหมายออกมา หรืออะไรต่างๆ ได้มากมาย แล้วแต่สถานการณ์


ต่อจากข้างบน

แต่ถ้าผู้พูดกล่าวว่า “ฉันเห็นช้าง” ผู้ฟังนั้น จะมีความเข้าใจขึ้นหน่อยหนึ่งว่า ช้างเป็นอะไรอย่างหนึ่งที่เห็นได้ด้วยตา ถ้าผู้พูดอธิบายต่อไปว่า “ช้างเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง” เขาก็เข้าใจขึ้นอีกหน่อยหนึ่ง โดยอาจจะนึกไปถึงสิ่งทั้งหลายที่เรียกว่าสัตว์ ไม่จำกัดชนิด และขนาดตั้งแต่มดถึงไดโนเสา ตั้งแต่ปลากัดถึงปลาวาฬ ตั้งแต่ยุง ถึงนกอินทรีย์ เมื่อผู้พูดกล่าวต่อไปว่า “ช้าง เป็นสัตว์บก” เขาก็เข้าใจชัดขึ้นอีกหน่อยหนึ่ง ครั้นบอกว่า "ช้าง" เป็นสัตว์ตัวโตมาก เขาก็เห็นภาพจำกัดชัดเข้าอีก


จากนั้น ผู้พูดก็อาจบรรยายลักษณะของช้าง เช่น ใบหูโต ตาเล็ก มีงาสองข้าง มีจมูกยาวเป็นงวง เป็นต้น ผู้ฟังก็จะได้ภาพจำเพาะที่ ชัดเจนในใจของเขามากขึ้น ภาพนั้นอาจใกล้ของจริงก็ได้ หรือห่างไกลไปมากมาย ชนิดที่ว่า ถ้าให้เขาวาดภาพที่เขาเห็นในใจเวลานั้นออกมาเป็นรูปวาดบนแผ่นกระดาษ เราอาจได้รูปสัตว์ประหลาดเพิ่มอีกชนิดหนึ่ง สำหรับนิยายโบราณเรื่องใหม่ก็ได้ เพราะผู้ไม่รู้ไม่เห็นจริงนี่แหละ มักใช้สัญญาต่างๆ สร้างภาพได้วิจิตรพิสดารนัก ทั้งนี้ภาพในใจเขาจะเป็นอย่างไร ย่อมขึ้นต่อความแม่นยำของสัญญาเกี่ยวกับลักษณะอาการ ต่างๆที่ผู้เล่ายกขึ้นมาพูดฝ่ายหนึ่ง และสัญญาที่ผู้ฟังเอามาประสานเป็นองค์ประกอบสร้างสัญญาใหม่อีกฝ่ายหนึ่ง


จะเห็นว่า คำว่า “เห็น” ก็ดี “สัตว์” ก็ดี “บก” ก็ดี “ตัวโต” เป็นต้น ก็ดี ล้วนเป็นสัญญาที่ผู้ฟังมีอยู่แล้วทั้งสิ้น แต่ในกรณีที่สิ่งที่นำมาบอกเล่า แตกต่างไปจากสิ่งที่ผู้ฟังเคยรู้เห็นมี สัญญาอยู่ก่อนแล้วโดยสิ้นเชิง ไม่มีลักษณะอาการใดที่จะเทียบกันได้เลย ผู้ฟังจะไม่มีทางนึกเห็นหรือเข้าใจได้ด้วยประการใดทั้งสิ้น



เรียงต่อจากข้างบน


เมื่อมีการสอบถามเทียบเคียงขึ้น คือผู้ฟังขอนำเอาสัญญาของตนออกมาต่อความรู้ใหม่ ก็จะได้อย่างเดียวคือการปฏิเสธ หรือถ้าผู้เล่าขืนพยายามจะชี้แจง ด้วยสัญญาที่ผู้ฟังพอจะเอามาเทียบได้บ้าง ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากต่อการที่ผู้ฟังจะสร้างสัญญาผิดๆ ต่อสิ่งที่นำมาเล่านั้น
ถ้าผู้ฟังไม่สร้างสัญญาผิด ก็อาจไปสู่สุดทางอีกข้างหนึ่ง คือ ปฏิเสธคำบอกของผู้เล่า โดยกล่าวหาว่าผู้เล่ากล่าวเท็จ หลอกลวง สิ่งที่นำเล่านั้นไม่มีจริง


แต่การที่ผู้ฟังจะปฏิเสธกล่าวว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่มีจริง เพียงเพราะเหตุที่ตนไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จัก ไม่เหมือนกับสิ่งที่ตนเคยรู้จัก และตนเอง ไม่อาจนึกเห็น หรือเข้าใจ ย่อมไม่เป็นการถูกต้อง


นิพพาน เป็นภาวะที่พ้นจากสภาพทั้งหลายที่ปุถุชนรู้จัก นอกเหนือออก ไปจากการรับรู้ที่ถูกอวิชชา ตัณหา อุปาทานครอบงำ เป็นภาวะที่เข้าถึงทันที พร้อมกับการละกิเลสที่เคลือบคลุมใจ หรือภาวะลักษณะต่างๆ ที่เป็นวิสัยของปุถุชน เหมือนเลื่อนฉากออกก็มองเห็นท้องฟ้า นิพพานไม่มีลักษณะอาการเหมือนสิ่งใดที่ปุถุชนเคยรู้เคยเห็น ปุถุชนจึงไม่อาจนึกเห็นหรือคิดเข้าใจได้ แต่จะว่านิพพานไม่มีก็ไม่ถูก
มีผู้กล่าวอุปมาบางอย่างไว้ เพื่อให้ปุถุชนพอสำนึกได้ว่า สิ่งที่ตนนึกไม่เห็น คิดไม่เข้าใจ ไม่จำเป็นต้องไม่มี

ข้อเปรียบเทียบที่น่าฟังเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องปลาไม่รู้จักบก มีความย่อของนิทานว่า ปลากับเต่าเป็นเพื่อนสนิทกัน ปลาอยู่แต่ในน้ำรู้จักแต่เรื่องราวความเป็นไปในน้ำ
เต่าเป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก รู้จักทั้งบกและทั้งน้ำ


วันหนึ่ง เต่าไปเที่ยวบกมาแล้ว ลงในน้ำพบปลา ก็เล่าให้ปลาฟัง ถึงความสดชื่นที่ได้ไปเดินเที่ยวบนผืนดินแห้ง ในท้องทุ่งโล่งที่ลมพัดฉิว
ปลาฟังไปได้สักหน่อย ไม่เข้าใจเลย อะไรกันนะที่ว่าเดิน อะไรกันพื้นดินแห้ง อะไรกันทุ่งโล่ง อะไรกันลมพัดฉิว แม้แต่ความสดชื่นอย่างนั้น ปลาก็ไม่รู้จัก ความสุขโดยปราศจากน้ำ จะเป็นไปได้อย่างไร มีแต่จะตายแน่ๆ


ปลาทนไม่ได้ จึงขัดขึ้น และซักถามหาความเข้าใจ
เต่าเล่า และอธิบายด้วยศัพท์บก
ปลาซักถามด้วยศัพท์น้ำ
เต่าก็ได้แต่ปฏิเสธ
ปลาจะให้เต่าอธิบายด้วยศัพท์น้ำ เต่าก็อธิบายไม่ได้ เพราะไม่รู้จะเอาอะไรมาเทียบ


ในที่สุด ปลาก็ลงข้อสรุปว่า เต่าโกหก เรื่องที่เล่าไม่จริงทั้งสิ้น เดินก็ไม่มี ผืนดินแห้งก็ไม่มี ทุ่งโล่งก็ไม่มี ลมพัดฉิวต้องตัวแล้วสดชื่น ก็ไม่มี


ตามเรื่องนี้ ความจริงปลาเป็นฝ่ายผิด สิ่งที่เต่าเล่ามีอยู่จริง แต่พ้นวิสัยแห่งความรู้ของปลา เพราะปลายังไม่เคยขึ้นไปอยู่บก จึงไม่อาจเข้าใจได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2018, 19:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:

นี่คำพูดของพระอัสสชิ

เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา - เตสํ เหตุํ ตถาคโต
เตสญฺจ โย นิโรโธ จ - เอวํ วาที มหาสมโณ.


คุณโรสเข้าใจแล้วลองบอกสิหมายถึงอะไร ว่าไป


ไม่ใช่ภาษาไทยแปลไม่ออกหรอกค่ะคริคริคริ

แปลได้แล้วก็พิจารณาด้วยนะอ่านแล้วยังเฉยๆน่ะปัญญาไม่มีไงคะคริคริคริ

ฟังพระพุทธพจน์คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตค่ะ




คำตถาคต..ตรงตรง....ก็ฟังซิครับ...คุณโรส

คุณโรสฟังไม่เข้าใจ....นั้นเป็นกิเลสมั้ย?..


อ่านแล้วค่ะก็แค่คิดจำตัวอักษรที่ไม่รู้ความหมายอ่ะค่ะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยนี่คะ
เพราะอะไรทราบไหมคะเพราะคำที่อ่านไม่ใช่เหตุปัจจัยตรงสัทบัญญัติตนไง
เหมือนแบบนี้เลยค่ะมีคนเดินมาพูดภาษาที่คุณแปลไม่ออกก็มองเฉยๆไงคะ


อ้างคำพูด:
เหมือนแบบนี้เลยค่ะ มีคนเดินมาพูดภาษาที่คุณแปลไม่ออก ก็มองเฉยๆไงคะ


นี่ชัดเจน คุณโรสขาดพื้นฐานภาษาทางธรรม คือ ภาษาบาลี จึงได้มั่ว เช่น เอาคำว่า สติ มาฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วก็ว่าฟังคำพุทธพจน์ทีละคำ สติ ก็ว่า สะ คำหนึ่ง ติ คำหนึ่ง
นิพพาน ก็ว่า นิพ คำหนึ่ง พาน คำหนึ่ง ว่า ฟังคำพุทธพจน์ทีละคำ นี่ขาดพื้นฐานภาษาทางธรรม

คำอื่นๆที่พูดมานอกจากนี้ ก็ทำนองเดียวกัน พูดได้แต่ไม่เข้าใจ เหมือนนกแก้วนกขุนทองพูดภาษาคนได้ แต่ไม่รู้เขาสื่อถึงอะไร

ฟังดูครับ

https://www.youtube.com/watch?v=p287WRzp9wk

:b32:
เป็นคนไทยคิดตามภาษาไทยที่โรสเขียนอ่านไม่เข้าใจหรือคะ
กำลังเห็นมีแล้วกำลังได้ยินมีแล้วหูหนวกตาบอดลงเดียวนี้
หมดโอกาสสะสมปัญญาเลยน๊าชาตินี้อ่ะค่ะมีครบแล้ว
ตาหูจมูกลิ้นกายใจแต่ปัญญาไม่มีจึงไม่รู้ไงคะว่า
พระพุทธเจ้าตรัสแต่ความจริงตรงคำตรงขณะ
คือทุกคำในพระไตรปิฎกเลยนะคะจิตตนมี
และกำลังรู้อะไรตรงคำไหนที่ตรงจริงที่
ตนกำลังมีเป็นปัญญารู้ชัดตรงปัจจุบัน
มีแค่นั้นค่ะปัญญาตัวเองแต่ถ้าไม่เคย
ไม่เคยคิดตรงเลยแปลว่ามีอวิชชา
ทุกคำที่ทรงตรัสรู้มีแล้วทุกคำ
ตรงจริงที่ทุกคนกำลังมีแล้วค่ะ
คลิปวิดีโอทุกคลิปทุกตอน
ของบ้านธัมมะตรงสัจจะ
ดูความจริงที่ตนกำลังมี
ตรงกับที่กายใจกำลังมี
จริงๆค่ะพิสูจน์ได้จาก
การฟังและไตร่ตรองตามทีละคำ
ฟังทีละคำไม่เข้าใจแปลว่าปัญญายังไม่พอไงคะ


อ้างคำพูด:
เป็นคนไทย คิดตามภาษาไทย ที่โรสเขียนอ่านไม่เข้าใจหรือคะ


คุณโรสศึกษาคำศัพท์บาลีที่นำมาพูดลิงค์นี้ขอรับ

viewtopic.php?f=1&t=55697

ดูตามตัวอักษร เอาคำไหนมาพูด ก็ให้ดูความหมายคือคำแปลเป็นไทยก่อน เช่น สติ หมายถึง (แปลว่า) ... ไม่ใช่อย่างที่คุณโรสทำ คือ ไปเอาคำศัพท์ทางธรรมเขามาแล้วพูดไปเรื่อยเปื่อย ผิดขอรับ ไม่ใช่แล้ว

cool
ชาติหน้าไปเกิดที่ปากีสถานจะจำบัญญัติที่เป็นภาษาไทยในชาตินี้ได้ไหมคะ
อย่างอ้างเลยว่าจำได้ในภาษาบาลี
คริคริคริปาเข้าป่าไปโน่นเลยตำรานั้นน่ะ
ลองนึกสิสมมุติว่าชาตินี้คุณอยู่ปากีสถานจะยึดพระไตรปิฎกก็อปแปะได้ไหม
หรือถ้าได้ไปเกิดเป็นแมวจะมาก็อปแปะแบบที่ทำตอนเป็นคนได้ไหมคุณประมาท
ชื่อว่าคุณประมาทแปลว่าขาดความเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าตรงสัทบัญญัติ
คือไม่เข้าใจความหมายของเสียงตรงคำเพราะต้องมีเสียงปรากฏก่อนจึงตามเสียง
เข้าใจตามเสียงนั้นตรงกับความจริงที่กำลังมีจริงที่ตนกำลังมีตรงกับเสียงนั้นทันที
ไปเกิดเป็นแมวก็รู้ภาษาแมวจะมาสนใจตำราก็แค่มองดูแล้วก็ไม่สนใจหรือมีเสียงแต่ไม่รู้ไงคะ
https://youtu.be/ewClhL_02Ac
:b12:
:b32: :b32:


เอางั้นเลยนะขอรับโผม คิกๆๆ สติ สัมปชัญญะ นิพพาน ภาษาไทยหรือบาลี

นี่ด้วย

เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา - เตสํ เหตุํ ตถาคโต
เตสญฺจ โย นิโรโธ จ - เอวํ วาที มหาสมโณ.


ที่คุณโรสว่าอุปติสสะฟังจากพระอัสสชิปุ๊บเก็ตเลยว่า อิอิ แล้วก็คิดถอยหลังไปว่าเขาสั่งสมสุตะมาเป็นกัปป์ๆกัลป์ๆ :b32: ชาตินี้ก็ต้องฟังแม่สุจินพูดเรื่อยไป จนกว่าจะเก็ต เป็นสุตมยปัญญา มโนเอาทั้งเพ

จบข่าว :b13:

:b12:
เคยมีใครมาบอกแบบนี้ไหมอ.สุจินต์ก็ไม่ได้บอกแบบที่โรสบอก
กะพริบตาไม่ทันครบ6ทางวิสยรูป7แปลว่าไม่รู้ความจริงคริคริคริ
บอกความจริงให้เข้าใจตรงๆไม่ได้เอาภาษาบาลีมาบอกอ้อมด้วยนะ
กะพริบตาดับหมดแล้วไม่รู้ว่ามีความไม่รู้เพราะขาดปัญญาตรงสัทบัญญัติ
สัทบัญญัติคือฟังเสียงเข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้ตรงความหมายตรงจริงทันทีเข้าใจไหม
ฟังเสียงตัวเองอ่านทีละคำก็ได้เช่นตถาคตบอกเห็นสีไม่ใช่เราแต่ตอนนี้เป็นเราเห็นคลาดเคลื่อนไม่ตรงสีจริงๆ
:b32: :b32:



ใครบ้างไม่กระพริบตา นอกจากผี (ฟังเขาเล่ามาว่าผีไม่กระพริบตา) คนก็กระพริบตากันทั้งนั้นแหละ

เรื่องกระพริบตาดับ ลืมตาเกิด กระพริบตาดับ ฯลฯ เนี่ยคุณโรสไปได้มาจากไหน


อ้างคำพูด:
ฟังเสียงตัวเอง อ่านทีละคำก็ได้เช่นตถาคตบอกเห็นสีไม่ใช่เรา แต่ตอนนี้เป็นเราเห็นคลาดเคลื่อนไม่ตรงสีจริงๆ


มาอีกแระอ่านทีละคำ ตถาคตเห็นสี ลองตอบนะขอรับจะถาม เห็นสีอะไร จึงตรงคำตถาคต โดยไม่คลาดเคลื่อน ตอบตรงๆชัด ๆ

cool
โลกทางตาอย่างเดียวไม่มีอะไรปนทั้งสิ้นค่ะ
จิตเห็นสีสันวรรณะแค่1สีพร้อมแสงดับแล้ว
เกิดจิตทางอื่นอีก5ทางในความมืดสลับกัน
ครบ6ทางอายตนะลืมตาเห็นมีแค่เห็นหรือ
เพราะจิตเกิดดับเร็วกว่าคิดมันมืด5ทางค่ะ
มีเห็นที่แจ้งสว่างตาอย่างเดียวต้องลืมตาดู
และต้องตาไม่บอดด้วยถึงจะรู้แจ้งเห็นจริง
กะพริบตาแล้วไม่รู้ทั้งหมดคือกิเลสตนเอง
คิดตามคำสอนตรงทีละคำจึงมีสัมมาตาม
เพราะกำลังคิดตามเสียงตรงความหมาย
เข้าใจความจริงตรงคำตรงทางที่กำลังมี
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2018, 20:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:

นี่คำพูดของพระอัสสชิ

เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา - เตสํ เหตุํ ตถาคโต
เตสญฺจ โย นิโรโธ จ - เอวํ วาที มหาสมโณ.


คุณโรสเข้าใจแล้วลองบอกสิหมายถึงอะไร ว่าไป


ไม่ใช่ภาษาไทยแปลไม่ออกหรอกค่ะคริคริคริ

แปลได้แล้วก็พิจารณาด้วยนะอ่านแล้วยังเฉยๆน่ะปัญญาไม่มีไงคะคริคริคริ

ฟังพระพุทธพจน์คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตค่ะ




คำตถาคต..ตรงตรง....ก็ฟังซิครับ...คุณโรส

คุณโรสฟังไม่เข้าใจ....นั้นเป็นกิเลสมั้ย?
..


Rosarin เขียน:
cool
ชาติหน้าไปเกิดที่ปากีสถานจะจำบัญญัติที่เป็นภาษาไทยในชาตินี้ได้ไหมคะ
อย่างอ้างเลยว่าจำได้ในภาษาบาลีคริคริคริปาเข้าป่าไปโน่นเลยตำรานั้นน่ะ
ลองนึกสิสมมุติว่าชาตินี้คุณอยู่ปากีสถานจะยึดพระไตรปิฎกก็อปแปะได้ไหม
หรือถ้าได้ไปเกิดเป็นแมวจะมาก็อปแปะแบบที่ทำตอนเป็นคนได้ไหมคุณประมาท
ชื่อว่าคุณประมาทแปลว่าขาดความเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าตรงสัทบัญญัติ
คือไม่เข้าใจความหมายของเสียงตรงคำเพราะต้องมีเสียงปรากฏก่อนจึงตามเสียง
เข้าใจตามเสียงนั้นตรงกับความจริงที่กำลังมีจริงที่ตนกำลังมีตรงกับเสียงนั้นทันที
ไปเกิดเป็นแมวก็รู้ภาษาแมวจะมาสนใจตำราก็แค่มองดูแล้วก็ไม่สนใจหรือมีเสียงแต่ไม่รู้ไงคะ
https://youtube/ewClhL_02Ac
:b12:
:b32: :b32:


คุณโรส..ก็จำคำพูดนี้ของตัวเองใว้นะครับ ที่ว่า..

"ชาติหน้าไปเกิดที่ปากีสถานจะจำบัญญัติที่เป็นภาษาไทยในชาตินี้ได้ไหมคะ"

การจำได้หมายรู้ว่าอะไรเป็นอะไร...นี้..เป็นเรื่องของสัญญาขันธ์...
จำไม่ได้..ฟังไม่เข้าใจ..ก็เป็นเรื่องของขันธ์...ไม่ใช่เรื่องของกิเลส....
หรือ..จำได้ ฟังเข้าใจ..ก็เป็นเรื่องของขันธ์..ไม่ใช่เรื่องของการไม่มีกิเลส..ฮะไรที่ไหน...

ดังนั้น..คำกล่าวของคุณโรส..ที่มักกล่าวว่า..
"ฟังไม่เข้าใจ เป็นกิเลสแล้ว"...จึงผิด

เลิกกล่าวผิดผิด..ซะนะครับ


Rosarin เขียน:
cool
กบนี่ไม่รู้จริงๆเหรอว่าปัญญาเกิดตอนกำลังฟังจ้ะ
สัญญาเจตสิกคือสัญญาขันธ์ไม่ดีไม่ชั่ว
อะไรปรุงแต่งจิตให้ดีหรือชั่วจำไม่ได้รึ
ดีหรือชั่วอยู่ที่สังขารขันธ์คือเจตสิกนี่
กรรมดีจากโสภณเจตสิกคือกุสลาธัมมา
กรรมชั่วจากอกุศลเจตสิกคืออกุศลธัมมา
ตอนมีปัญญาคือตอนพึ่งคำตถาคตจากสัทบัญญัติทีละคำ
ตอนคิดเองไม่ฟังคำตถาคตอยู่กิเลสไหลแล้วค่ะคริคริคริ
:b32: :b32: :b32:


ก็ไม่เห็นมันเกิดปัญญาอะไรกับคุณโรสเลยนี้ครับ...ก็เห็นๆอยู่ว่า..คำของพระอัสสซิเถระ..คำนั้น..ทำให้พระสารีบุตรเป็นโสดาบัน..

แล้วคุณโรสก็บอกเอง...ว่า..ไม่เข้าใจ.. :b32: :b32: :b32:

แต่ก็แก้เกี้ยวว่า..สัญญาขันธ์ไม่ดีไม่ชั่ว..

แต่ตอนท้าย..ก็ยังพูดแบบเดิมคือ..."ตอนคิดเองไม่ฟังคำตถาคตอยู่กิเลสไหลแล้วค่ะคริคริคริ"

:b32: :b32: :b32:

ก็เห็นๆอยู่ว่าคุณโรสฟังแล้วก็ยัง..ไม่เข้าใจ :b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2018, 20:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:


เมื่ออวิชชา ตัณหา อุปาทานดับไป นิพพานก็ปรากฏแทนที่พร้อมกัน จะพูดให้มั่นเข้าอีกก็ว่า การดับอวิชชา ตัณหา อุปาทานนั่นแหละ คือนิพพาน

การที่ปุถุชนไม่สามารถนึกเห็น ไม่อาจคิดให้เข้าใจภาวะของนิพพานได้นั้น เพราะธรรมดาของมนุษย์ เมื่อยังไม่รู้เห็นประจักษ์เองซึ่งสิ่งใด ก็เรียนรู้สิ่งนั้นด้วยอาศัยความรู้เก่าเป็นพื้นเทียบ คือ เอาสัญญาที่มีอยู่แล้วมากำหนด แล้ววาดภาพขึ้นใหม่จากสัญญาต่างๆ ที่เอามากำหนดเทียบนั้น ได้ภาพตามสัญญาที่เป็นองค์ประกอบ เหมือนอย่างคนไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักช้างเลย เมื่อมีใครพูดขึ้นแก่เขาว่า “ช้าง” เขาจะไม่รู้ ไม่เข้าใจ นึกอะไรไม่ได้เลย อาจจะกำหนดไปตามอาการกิริยา เป็นต้น ของผู้พูด แล้วอาจจะนึกว่า ผู้พูดกล่าวผรุสวาทแก่เขา หรืออาจจะนึกไปว่า ผู้พูดกล่าวภาษาต่างประเทศคำหนึ่ง หรืออาจจะนึกว่า ผู้พูดเสียสติ จึงกล่าวคำไร้ความหมายออกมา หรืออะไรต่างๆ ได้มากมาย แล้วแต่สถานการณ์


ต่อจากข้างบน

แต่ถ้าผู้พูดกล่าวว่า “ฉันเห็นช้าง” ผู้ฟังนั้น จะมีความเข้าใจขึ้นหน่อยหนึ่งว่า ช้างเป็นอะไรอย่างหนึ่งที่เห็นได้ด้วยตา ถ้าผู้พูดอธิบายต่อไปว่า “ช้างเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง” เขาก็เข้าใจขึ้นอีกหน่อยหนึ่ง โดยอาจจะนึกไปถึงสิ่งทั้งหลายที่เรียกว่าสัตว์ ไม่จำกัดชนิด และขนาดตั้งแต่มดถึงไดโนเสา ตั้งแต่ปลากัดถึงปลาวาฬ ตั้งแต่ยุง ถึงนกอินทรีย์ เมื่อผู้พูดกล่าวต่อไปว่า “ช้าง เป็นสัตว์บก” เขาก็เข้าใจชัดขึ้นอีกหน่อยหนึ่ง ครั้นบอกว่า "ช้าง" เป็นสัตว์ตัวโตมาก เขาก็เห็นภาพจำกัดชัดเข้าอีก


จากนั้น ผู้พูดก็อาจบรรยายลักษณะของช้าง เช่น ใบหูโต ตาเล็ก มีงาสองข้าง มีจมูกยาวเป็นงวง เป็นต้น ผู้ฟังก็จะได้ภาพจำเพาะที่ ชัดเจนในใจของเขามากขึ้น ภาพนั้นอาจใกล้ของจริงก็ได้ หรือห่างไกลไปมากมาย ชนิดที่ว่า ถ้าให้เขาวาดภาพที่เขาเห็นในใจเวลานั้นออกมาเป็นรูปวาดบนแผ่นกระดาษ เราอาจได้รูปสัตว์ประหลาดเพิ่มอีกชนิดหนึ่ง สำหรับนิยายโบราณเรื่องใหม่ก็ได้ เพราะผู้ไม่รู้ไม่เห็นจริงนี่แหละ มักใช้สัญญาต่างๆ สร้างภาพได้วิจิตรพิสดารนัก ทั้งนี้ภาพในใจเขาจะเป็นอย่างไร ย่อมขึ้นต่อความแม่นยำของสัญญาเกี่ยวกับลักษณะอาการ ต่างๆที่ผู้เล่ายกขึ้นมาพูดฝ่ายหนึ่ง และสัญญาที่ผู้ฟังเอามาประสานเป็นองค์ประกอบสร้างสัญญาใหม่อีกฝ่ายหนึ่ง


จะเห็นว่า คำว่า “เห็น” ก็ดี “สัตว์” ก็ดี “บก” ก็ดี “ตัวโต” เป็นต้น ก็ดี ล้วนเป็นสัญญาที่ผู้ฟังมีอยู่แล้วทั้งสิ้น แต่ในกรณีที่สิ่งที่นำมาบอกเล่า แตกต่างไปจากสิ่งที่ผู้ฟังเคยรู้เห็นมี สัญญาอยู่ก่อนแล้วโดยสิ้นเชิง ไม่มีลักษณะอาการใดที่จะเทียบกันได้เลย ผู้ฟังจะไม่มีทางนึกเห็นหรือเข้าใจได้ด้วยประการใดทั้งสิ้น



เรียงต่อจากข้างบน


เมื่อมีการสอบถามเทียบเคียงขึ้น คือผู้ฟังขอนำเอาสัญญาของตนออกมาต่อความรู้ใหม่ ก็จะได้อย่างเดียวคือการปฏิเสธ หรือถ้าผู้เล่าขืนพยายามจะชี้แจง ด้วยสัญญาที่ผู้ฟังพอจะเอามาเทียบได้บ้าง ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากต่อการที่ผู้ฟังจะสร้างสัญญาผิดๆ ต่อสิ่งที่นำมาเล่านั้น
ถ้าผู้ฟังไม่สร้างสัญญาผิด ก็อาจไปสู่สุดทางอีกข้างหนึ่ง คือ ปฏิเสธคำบอกของผู้เล่า โดยกล่าวหาว่าผู้เล่ากล่าวเท็จ หลอกลวง สิ่งที่นำเล่านั้นไม่มีจริง


แต่การที่ผู้ฟังจะปฏิเสธกล่าวว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่มีจริง เพียงเพราะเหตุที่ตนไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จัก ไม่เหมือนกับสิ่งที่ตนเคยรู้จัก และตนเอง ไม่อาจนึกเห็น หรือเข้าใจ ย่อมไม่เป็นการถูกต้อง


นิพพาน เป็นภาวะที่พ้นจากสภาพทั้งหลายที่ปุถุชนรู้จัก นอกเหนือออก ไปจากการรับรู้ที่ถูกอวิชชา ตัณหา อุปาทานครอบงำ เป็นภาวะที่เข้าถึงทันที พร้อมกับการละกิเลสที่เคลือบคลุมใจ หรือภาวะลักษณะต่างๆ ที่เป็นวิสัยของปุถุชน เหมือนเลื่อนฉากออกก็มองเห็นท้องฟ้า นิพพานไม่มีลักษณะอาการเหมือนสิ่งใดที่ปุถุชนเคยรู้เคยเห็น ปุถุชนจึงไม่อาจนึกเห็นหรือคิดเข้าใจได้ แต่จะว่านิพพานไม่มีก็ไม่ถูก
มีผู้กล่าวอุปมาบางอย่างไว้ เพื่อให้ปุถุชนพอสำนึกได้ว่า สิ่งที่ตนนึกไม่เห็น คิดไม่เข้าใจ ไม่จำเป็นต้องไม่มี

ข้อเปรียบเทียบที่น่าฟังเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องปลาไม่รู้จักบก มีความย่อของนิทานว่า ปลากับเต่าเป็นเพื่อนสนิทกัน ปลาอยู่แต่ในน้ำรู้จักแต่เรื่องราวความเป็นไปในน้ำ
เต่าเป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก รู้จักทั้งบกและทั้งน้ำ


วันหนึ่ง เต่าไปเที่ยวบกมาแล้ว ลงในน้ำพบปลา ก็เล่าให้ปลาฟัง ถึงความสดชื่นที่ได้ไปเดินเที่ยวบนผืนดินแห้ง ในท้องทุ่งโล่งที่ลมพัดฉิว
ปลาฟังไปได้สักหน่อย ไม่เข้าใจเลย อะไรกันนะที่ว่าเดิน อะไรกันพื้นดินแห้ง อะไรกันทุ่งโล่ง อะไรกันลมพัดฉิว แม้แต่ความสดชื่นอย่างนั้น ปลาก็ไม่รู้จัก ความสุขโดยปราศจากน้ำ จะเป็นไปได้อย่างไร มีแต่จะตายแน่ๆ


ปลาทนไม่ได้ จึงขัดขึ้น และซักถามหาความเข้าใจ
เต่าเล่า และอธิบายด้วยศัพท์บก
ปลาซักถามด้วยศัพท์น้ำ
เต่าก็ได้แต่ปฏิเสธ
ปลาจะให้เต่าอธิบายด้วยศัพท์น้ำ เต่าก็อธิบายไม่ได้ เพราะไม่รู้จะเอาอะไรมาเทียบ


ในที่สุด ปลาก็ลงข้อสรุปว่า เต่าโกหก เรื่องที่เล่าไม่จริงทั้งสิ้น เดินก็ไม่มี ผืนดินแห้งก็ไม่มี ทุ่งโล่งก็ไม่มี ลมพัดฉิวต้องตัวแล้วสดชื่น ก็ไม่มี


ตามเรื่องนี้ ความจริงปลาเป็นฝ่ายผิด สิ่งที่เต่าเล่ามีอยู่จริง แต่พ้นวิสัยแห่งความรู้ของปลา เพราะปลายังไม่เคยขึ้นไปอยู่บก จึงไม่อาจเข้าใจได้



ต่อกันอีก ทีละนิดทีละหน่อย เทียบคู่กับทีละคำกับของคุณโรส ว่ากันไปครับ ดีกว่าเข้าเวปโป้หน่อย คิกๆๆ


ข้อเทียบอีกอย่างหนึ่ง คือ ความรู้ทางอายตนะที่ต่างกัน ธรรมดาว่า ความรู้ ทางอายตนะคนละอย่าง ย่อมมีลักษณะอาการที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง และไม่อาจเทียบกันได้ รูป กับ เสียง ไม่มีอะไร เทียบกัน ได้ เสียง กับ กลิ่น ไม่มีอะไรเทียบกันได้ ดังนี้ เป็นต้น

สมมุติ ว่า คนผู้หนึ่งตาบอดมาแต่กำเนิด ไม่เคยมีสัญญาเกี่ยว กับ รูป ย่อมไม่มีใครสามารถไปอธิบายสีเขียว สีแดง สีส้ม สีชมพู หรือลักษณะอาการต่างๆ ของรูป ให้เข้าใจได้เลย ด้วยความรู้จากสัญญา ที่เขามีทางอายตนะอื่นๆ ไม่ว่าจะอธิบายว่า รูป นั้น ดัง เบา ทุ้ม แหลม เหม็น หอม เปรี้ยว หวาน อย่างไร หรือ
ถ้าใครไม่มีประสาทจมูกมาแต่กำเนิด ใครจะอธิบายให้เขาเข้าใจ เหม็น หอม กลิ่นกุหลาบ กลิ่นส้ม กลิ่นมะลิ ได้อย่างไร เพราะคงจะต้องปฏิเสธคำว่า เขียว เหลือง แดง น้ำเงิน หนัก เบา อ้วน เบา อ้วน ผอม ดัง เบา ขม เค็ม เป็นต้น ที่เขาใช้ซักถามทั้งหมด

ยิ่งกว่านั้น มนุษย์มีอายตนะขั้นต้นสำหรับรับรู้ลักษณะอาการต่างๆ ของโลกที่เรียกว่า อารมณ์ เพียง 5 อย่าง
ถ้ามีแง่ของความรู้ที่นอกเหนือจากนั้นไป มนุษย์ย่อมไม่อาจรู้ และแม้แต่ 5 อย่างที่รู้ ก็รู้ไปตามลักษณะอาการด้านต่างๆเท่านั้น การไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น หรือนึกไม่เห็น คิดไม่เข้าใจของมนุษย์เพียงอย่างเดียว จึงยังมิใช่เครื่องชี้ขาดว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่มี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2018, 22:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:

นี่คำพูดของพระอัสสชิ

เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา - เตสํ เหตุํ ตถาคโต
เตสญฺจ โย นิโรโธ จ - เอวํ วาที มหาสมโณ.


คุณโรสเข้าใจแล้วลองบอกสิหมายถึงอะไร ว่าไป


ไม่ใช่ภาษาไทยแปลไม่ออกหรอกค่ะคริคริคริ

แปลได้แล้วก็พิจารณาด้วยนะอ่านแล้วยังเฉยๆน่ะปัญญาไม่มีไงคะคริคริคริ

ฟังพระพุทธพจน์คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตค่ะ




คำตถาคต..ตรงตรง....ก็ฟังซิครับ...คุณโรส

คุณโรสฟังไม่เข้าใจ....นั้นเป็นกิเลสมั้ย?
..


Rosarin เขียน:
cool
ชาติหน้าไปเกิดที่ปากีสถานจะจำบัญญัติที่เป็นภาษาไทยในชาตินี้ได้ไหมคะ
อย่างอ้างเลยว่าจำได้ในภาษาบาลีคริคริคริปาเข้าป่าไปโน่นเลยตำรานั้นน่ะ
ลองนึกสิสมมุติว่าชาตินี้คุณอยู่ปากีสถานจะยึดพระไตรปิฎกก็อปแปะได้ไหม
หรือถ้าได้ไปเกิดเป็นแมวจะมาก็อปแปะแบบที่ทำตอนเป็นคนได้ไหมคุณประมาท
ชื่อว่าคุณประมาทแปลว่าขาดความเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าตรงสัทบัญญัติ
คือไม่เข้าใจความหมายของเสียงตรงคำเพราะต้องมีเสียงปรากฏก่อนจึงตามเสียง
เข้าใจตามเสียงนั้นตรงกับความจริงที่กำลังมีจริงที่ตนกำลังมีตรงกับเสียงนั้นทันที
ไปเกิดเป็นแมวก็รู้ภาษาแมวจะมาสนใจตำราก็แค่มองดูแล้วก็ไม่สนใจหรือมีเสียงแต่ไม่รู้ไงคะ
https://youtube/ewClhL_02Ac
:b12:
:b32: :b32:


คุณโรส..ก็จำคำพูดนี้ของตัวเองใว้นะครับ ที่ว่า..

"ชาติหน้าไปเกิดที่ปากีสถานจะจำบัญญัติที่เป็นภาษาไทยในชาตินี้ได้ไหมคะ"

การจำได้หมายรู้ว่าอะไรเป็นอะไร...นี้..เป็นเรื่องของสัญญาขันธ์...
จำไม่ได้..ฟังไม่เข้าใจ..ก็เป็นเรื่องของขันธ์...ไม่ใช่เรื่องของกิเลส....
หรือ..จำได้ ฟังเข้าใจ..ก็เป็นเรื่องของขันธ์..ไม่ใช่เรื่องของการไม่มีกิเลส..ฮะไรที่ไหน...

ดังนั้น..คำกล่าวของคุณโรส..ที่มักกล่าวว่า..
"ฟังไม่เข้าใจ เป็นกิเลสแล้ว"...จึงผิด

เลิกกล่าวผิดผิด..ซะนะครับ


Rosarin เขียน:
cool
กบนี่ไม่รู้จริงๆเหรอว่าปัญญาเกิดตอนกำลังฟังจ้ะ
สัญญาเจตสิกคือสัญญาขันธ์ไม่ดีไม่ชั่ว
อะไรปรุงแต่งจิตให้ดีหรือชั่วจำไม่ได้รึ
ดีหรือชั่วอยู่ที่สังขารขันธ์คือเจตสิกนี่
กรรมดีจากโสภณเจตสิกคือกุสลาธัมมา
กรรมชั่วจากอกุศลเจตสิกคืออกุศลธัมมา
ตอนมีปัญญาคือตอนพึ่งคำตถาคตจากสัทบัญญัติทีละคำ
ตอนคิดเองไม่ฟังคำตถาคตอยู่กิเลสไหลแล้วค่ะคริคริคริ
:b32: :b32: :b32:


ก็ไม่เห็นมันเกิดปัญญาอะไรกับคุณโรสเลยนี้ครับ...ก็เห็นๆอยู่ว่า..คำของพระอัสสซิเถระ..คำนั้น..ทำให้พระสารีบุตรเป็นโสดาบัน..

แล้วคุณโรสก็บอกเอง...ว่า..ไม่เข้าใจ.. :b32: :b32: :b32:

แต่ก็แก้เกี้ยวว่า..สัญญาขันธ์ไม่ดีไม่ชั่ว..

แต่ตอนท้าย..ก็ยังพูดแบบเดิมคือ..."ตอนคิดเองไม่ฟังคำตถาคตอยู่กิเลสไหลแล้วค่ะคริคริคริ"

:b32: :b32: :b32:

ก็เห็นๆอยู่ว่าคุณโรสฟังแล้วก็ยัง..ไม่เข้าใจ :b9: :b9: :b9:

:b12:
555กบหนอกบ...จิตทุกขณะเกิดเวทนาเจตสิกและสัญญาเจตสิกเกิดตลอดเวลากับจิตทุกดวงนะคะกบ
ส่วนสังขารขันธ์แบ่งเป็น2ฝ่ายไม่เกิดพร้อมกันทุกกรณีและสติเจตสิกและปัญญาเจตสิกเกิดเฉพาะกับกุศล
ตรงสังขารขันธ์นี้แหละที่ทำให้เกิดจิตถึง89-121ประเภทความจำมันจำได้ทุกขณะแต่จะจำอะไรจำไปสิ
แต่จำถูกตามคำสอนน่ะถึงจะเป็นสัมมาทิฏฐิไงคะกบถ้าคิดเองตลอดโดยไม่ฟังก็เป็นไปตามเห็นผิดไงคะ
เห็นถูกได้ตอนคิดเรื่องเห็นถูกตามคำสอนค่ะเพราะไม่มีใครเห็นสีได้นอกจากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าน๊า
ตาเนื้อของพระอัครสาวกซ้ายขวาและพระสาวกอรหันต์ทุกๆคนไม่มีใครเห็นสีนอกจากฟังจากตถาคตค่ะ
การมาตรัสรู้ความจริงของพระพุทธเจ้าแต่ละครั้งมีผู้มีปัญญารองจากพระพุทธเจ้าแค่1คนที่เหลือน้อยลง
ยิ่งเกิดปัญญายิ่งน้อยลงไปเพราะกิเลสเพิ่มมากกว่าปัญญาทุกครั้งที่ลืมตาเห็นโดยขาดเหตุสุตมยปัญญา
ถ้าไม่ฟังเพื่อเพิ่มปัญญาแล้วอยู่ดีๆจะให้คิดเองถูกเป็นไปไม่ได้เพราะเป็นสาวกจึงต้องฟังน๊าถึงรู้จิตเห็นสี
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2018, 00:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:

นี่คำพูดของพระอัสสชิ

เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา - เตสํ เหตุํ ตถาคโต
เตสญฺจ โย นิโรโธ จ - เอวํ วาที มหาสมโณ.


คุณโรสเข้าใจแล้วลองบอกสิหมายถึงอะไร ว่าไป


ไม่ใช่ภาษาไทยแปลไม่ออกหรอกค่ะคริคริคริ

แปลได้แล้วก็พิจารณาด้วยนะอ่านแล้วยังเฉยๆน่ะปัญญาไม่มีไงคะคริคริคริ

ฟังพระพุทธพจน์คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตค่ะ




คำตถาคต..ตรงตรง....ก็ฟังซิครับ...คุณโรส

คุณโรสฟังไม่เข้าใจ....นั้นเป็นกิเลสมั้ย?
..


Rosarin เขียน:
cool
ชาติหน้าไปเกิดที่ปากีสถานจะจำบัญญัติที่เป็นภาษาไทยในชาตินี้ได้ไหมคะ
อย่างอ้างเลยว่าจำได้ในภาษาบาลีคริคริคริปาเข้าป่าไปโน่นเลยตำรานั้นน่ะ
ลองนึกสิสมมุติว่าชาตินี้คุณอยู่ปากีสถานจะยึดพระไตรปิฎกก็อปแปะได้ไหม
หรือถ้าได้ไปเกิดเป็นแมวจะมาก็อปแปะแบบที่ทำตอนเป็นคนได้ไหมคุณประมาท
ชื่อว่าคุณประมาทแปลว่าขาดความเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าตรงสัทบัญญัติ
คือไม่เข้าใจความหมายของเสียงตรงคำเพราะต้องมีเสียงปรากฏก่อนจึงตามเสียง
เข้าใจตามเสียงนั้นตรงกับความจริงที่กำลังมีจริงที่ตนกำลังมีตรงกับเสียงนั้นทันที
ไปเกิดเป็นแมวก็รู้ภาษาแมวจะมาสนใจตำราก็แค่มองดูแล้วก็ไม่สนใจหรือมีเสียงแต่ไม่รู้ไงคะ
https://youtube/ewClhL_02Ac
:b12:
:b32: :b32:


คุณโรส..ก็จำคำพูดนี้ของตัวเองใว้นะครับ ที่ว่า..

"ชาติหน้าไปเกิดที่ปากีสถานจะจำบัญญัติที่เป็นภาษาไทยในชาตินี้ได้ไหมคะ"

การจำได้หมายรู้ว่าอะไรเป็นอะไร...นี้..เป็นเรื่องของสัญญาขันธ์...
จำไม่ได้..ฟังไม่เข้าใจ..ก็เป็นเรื่องของขันธ์...ไม่ใช่เรื่องของกิเลส....
หรือ..จำได้ ฟังเข้าใจ..ก็เป็นเรื่องของขันธ์..ไม่ใช่เรื่องของการไม่มีกิเลส..ฮะไรที่ไหน...

ดังนั้น..คำกล่าวของคุณโรส..ที่มักกล่าวว่า..
"ฟังไม่เข้าใจ เป็นกิเลสแล้ว"...จึงผิด

เลิกกล่าวผิดผิด..ซะนะครับ


Rosarin เขียน:
cool
กบนี่ไม่รู้จริงๆเหรอว่าปัญญาเกิดตอนกำลังฟังจ้ะ
สัญญาเจตสิกคือสัญญาขันธ์ไม่ดีไม่ชั่ว
อะไรปรุงแต่งจิตให้ดีหรือชั่วจำไม่ได้รึ
ดีหรือชั่วอยู่ที่สังขารขันธ์คือเจตสิกนี่
กรรมดีจากโสภณเจตสิกคือกุสลาธัมมา
กรรมชั่วจากอกุศลเจตสิกคืออกุศลธัมมา
ตอนมีปัญญาคือตอนพึ่งคำตถาคตจากสัทบัญญัติทีละคำ
ตอนคิดเองไม่ฟังคำตถาคตอยู่กิเลสไหลแล้วค่ะคริคริคริ
:b32: :b32: :b32:


ก็ไม่เห็นมันเกิดปัญญาอะไรกับคุณโรสเลยนี้ครับ...ก็เห็นๆอยู่ว่า..คำของพระอัสสซิเถระ..คำนั้น..ทำให้พระสารีบุตรเป็นโสดาบัน..

แล้วคุณโรสก็บอกเอง...ว่า..ไม่เข้าใจ.. :b32: :b32: :b32:

แต่ก็แก้เกี้ยวว่า..สัญญาขันธ์ไม่ดีไม่ชั่ว..

แต่ตอนท้าย..ก็ยังพูดแบบเดิมคือ..."ตอนคิดเองไม่ฟังคำตถาคตอยู่กิเลสไหลแล้วค่ะคริคริคริ"

:b32: :b32: :b32:

ก็เห็นๆอยู่ว่าคุณโรสฟังแล้วก็ยัง..ไม่เข้าใจ :b9: :b9: :b9:

:b12:
555กบหนอกบ...จิตทุกขณะเกิดเวทนาเจตสิกและสัญญาเจตสิกเกิดตลอดเวลากับจิตทุกดวงนะคะกบ
ส่วนสังขารขันธ์แบ่งเป็น2ฝ่ายไม่เกิดพร้อมกันทุกกรณีและสติเจตสิกและปัญญาเจตสิกเกิดเฉพาะกับกุศล
ตรงสังขารขันธ์นี้แหละที่ทำให้เกิดจิตถึง89-121ประเภทความจำมันจำได้ทุกขณะแต่จะจำอะไรจำไปสิ
แต่จำถูกตามคำสอนน่ะถึงจะเป็นสัมมาทิฏฐิไงคะกบถ้าคิดเองตลอดโดยไม่ฟังก็เป็นไปตามเห็นผิดไงคะ
เห็นถูกได้ตอนคิดเรื่องเห็นถูกตามคำสอนค่ะเพราะไม่มีใครเห็นสีได้นอกจากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าน๊า
ตาเนื้อของพระอัครสาวกซ้ายขวาและพระสาวกอรหันต์ทุกๆคนไม่มีใครเห็นสีนอกจากฟังจากตถาคตค่ะ
การมาตรัสรู้ความจริงของพระพุทธเจ้าแต่ละครั้งมีผู้มีปัญญารองจากพระพุทธเจ้าแค่1คนที่เหลือน้อยลง
ยิ่งเกิดปัญญายิ่งน้อยลงไปเพราะกิเลสเพิ่มมากกว่าปัญญาทุกครั้งที่ลืมตาเห็นโดยขาดเหตุสุตมยปัญญา
ถ้าไม่ฟังเพื่อเพิ่มปัญญาแล้วอยู่ดีๆจะให้คิดเองถูกเป็นไปไม่ได้เพราะเป็นสาวกจึงต้องฟังน๊าถึงรู้จิตเห็นสี
:b32: :b32:

:b32:
อีกอย่างนึงนะคะกบ...ถ้าไม่เพียรฟังคำสอนแปลว่า...สะสมกิเลสตามที่ตนคิดเห็นผิดเยอะกว่าเดิม
:b32:
ถ้าเข้าใจคำตถาคตนะดูตาเนื้อที่ลืมตาดูโลกของตนตามปกติตามเป็นจริงจะเห็นความประพฤติต่างๆ
เป็นพฤติกรรมที่ทำตามความเห็นผิดชัดเจนนะคะเพราะกิเลสมีเมื่อลืมตาเห็นและขาดฟังคำตถาคต
พฤติกรรมต่างๆตามการคิดพูดทำที่แต่ละคนทำมันเป็นคิดไปตามปกติของปุถุชนที่คิดไม่ตรงสัจจะ
เพราะไม่ได้กำลังสะสมสุตะคือไม่คิดตามคำตถาคตทีละคำไงกบเพราะมัวหลงผิดตามการทำของตน
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงเพื่อตรัสความจริงจากพระโอษฐ์ให้สาวกฟังค่ะกบเคยทำสุตมยปัญญาไหม
รู้หรือเปล่าว่าไม่มีใครเลยสักคนมีแต่เหตุปัจจัยที่ปรากฏนิมิตเหมือนมีคนมาเตือนให้ฟังพระพุทธพจน์แต่
เป็นกุศลวิบากกรรมของตนที่เคยทำไว้จัดสรรเหตุปัจจัยต่างๆมาบอกให้เริ่มฟังก่อนหมดโอกาสฟังนะจ๊ะ
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2018, 01:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
จิต1ขณะมีครบธาตุ4ขันธ์5รู้ผ่านอายตนะ6ทีละ1คำ1ทางพร้อมกัน6ทางไม่ได้
เพราะต้องคิดตามตรงคำตรงขณะตามเสียงจริงๆที่ตรงความจริงที่กายใจตนด้วย
ตามพระอภิธรรมจิตแต่ละ1ขณะมีครบ4ชาติเลยนะคะทั้งวิบากกิริยากุศลและอกุศล
ถ้าแต่ละ1ขณะไม่ทันความจริงที่ตนมีตรง1คำวาจาสัจจะของตนแปลว่าไม่เกิดสติเลย
เพราะการตรงจริงต้องระลึกได้ตรง1สัจจะที่ตนกำลังมีตรงปัจจุบันขณะถ้าไม่เคยตรงคือไม่รู้แน่ๆ
จิต เจตสิก รูป นิพพาน ตนตรงสภาพธรรมไหน1คำใน4ประเภทนั้นต้องรู้ความจริงที่กายใจตนเดี๋ยวนี้
ไม่รู้เดี๋ยวนี้แสดงว่าเป็นปุถุชนที่ไม่เคยระลึกตามคำสอนและไม่เคยคิดได้ตรงปรมัตถสัจจะมีกิเลสหนาแน่น
เหมือนจอกแหนแน่นปิดหน้าผิวน้ำตรง1คำหยิบออก1คำไม่เห็นผิวน้ำเลยคริคริคริต้องตรงทีละคำทุกขณะ
ถึงจะเริ่มเห็นผิวน้ำได้น๊าไม่เชื่อลองลืมตาดูสิ่งที่อยู่ตรงหน้าสิจำได้หมดเลยยังไม่ต้องเอ่ยชื่อแยกออกหมด
ว่ามีอะไรเยอะแยะมากมายหลับตาลงแล้วลืมตาใหม่ดูสิมีเหมือนเดิมมันเป็นแค่สีหรือยังถ้ายังต้องทำฟังน๊า
เพราะลืมตาดูมีกิเลสใหม่เพิ่มตลอดเวลาไม่มีปัญญาเจตสิกจากสัทบัญญัติทีละคำมาคั่นกิเลสที่ไหลไปเลย
https://youtu.be/R5fc0itOmAc
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2018, 08:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
จิต1ขณะมีครบธาตุ4ขันธ์5รู้ผ่านอายตนะ6ทีละ1คำ1ทางพร้อมกัน6ทางไม่ได้
เพราะต้องคิดตามตรงคำตรงขณะตามเสียงจริงๆที่ตรงความจริงที่กายใจตนด้วย
ตามพระอภิธรรมจิตแต่ละ1ขณะมีครบ4ชาติเลยนะคะทั้งวิบากกิริยากุศลและอกุศล
ถ้าแต่ละ1ขณะไม่ทันความจริงที่ตนมีตรง1คำวาจาสัจจะของตนแปลว่าไม่เกิดสติเลย
เพราะการตรงจริงต้องระลึกได้ตรง1สัจจะที่ตนกำลังมีตรงปัจจุบันขณะถ้าไม่เคยตรงคือไม่รู้แน่ๆ
จิต เจตสิก รูป นิพพาน ตนตรงสภาพธรรมไหน1คำใน4ประเภทนั้นต้องรู้ความจริงที่กายใจตนเดี๋ยวนี้
ไม่รู้เดี๋ยวนี้แสดงว่าเป็นปุถุชนที่ไม่เคยระลึกตามคำสอนและไม่เคยคิดได้ตรงปรมัตถสัจจะมีกิเลสหนาแน่น
เหมือนจอกแหนแน่นปิดหน้าผิวน้ำตรง1คำหยิบออก1คำไม่เห็นผิวน้ำเลยคริคริคริต้องตรงทีละคำทุกขณะ
ถึงจะเริ่มเห็นผิวน้ำได้น๊าไม่เชื่อลองลืมตาดูสิ่งที่อยู่ตรงหน้าสิจำได้หมดเลยยังไม่ต้องเอ่ยชื่อแยกออกหมด
ว่ามีอะไรเยอะแยะมากมายหลับตาลงแล้วลืมตาใหม่ดูสิมีเหมือนเดิมมันเป็นแค่สีหรือยังถ้ายังต้องทำฟังน๊า
เพราะลืมตาดูมีกิเลสใหม่เพิ่มตลอดเวลาไม่มีปัญญาเจตสิกจากสัทบัญญัติทีละคำมาคั่นกิเลสที่ไหลไปเลย
https://youtu.be/R5fc0itOmAc
:b12:
:b4: :b4:


ฟุ้งล้วนๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2018, 15:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จับมาเรียงต่อกันทั้งหมดแล้ว

ภาวะแห่งนิพพาน

เมื่ออวิชชา ตัณหา อุปาทานดับไป นิพพานก็ปรากฏแทนที่พร้อมกัน จะพูดให้มั่นเข้าอีกก็ว่า การดับอวิชชา ตัณหา อุปาทานนั่นแหละ คือนิพพาน

การที่ปุถุชนไม่สามารถนึกเห็น ไม่อาจคิดให้เข้าใจภาวะของนิพพานได้นั้น เพราะธรรมดาของมนุษย์ เมื่อยังไม่รู้เห็นประจักษ์เองซึ่งสิ่งใด ก็เรียนรู้สิ่งนั้นด้วยอาศัยความรู้เก่าเป็นพื้นเทียบ คือ เอาสัญญาที่มีอยู่แล้วมากำหนด แล้ววาดภาพขึ้นใหม่จากสัญญาต่างๆ ที่เอามากำหนดเทียบนั้น ได้ภาพตามสัญญาที่เป็นองค์ประกอบ เหมือนอย่างคนไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักช้างเลย เมื่อมีใครพูดขึ้นแก่เขาว่า “ช้าง” เขาจะไม่รู้ ไม่เข้าใจ นึกอะไรไม่ได้เลย อาจจะกำหนดไปตามอาการกิริยา เป็นต้น ของผู้พูด แล้วอาจจะนึกว่า ผู้พูดกล่าวผรุสวาทแก่เขา หรืออาจจะนึกไปว่า ผู้พูดกล่าวภาษาต่างประเทศคำหนึ่ง หรืออาจจะนึกว่า ผู้พูดเสียสติ จึงกล่าวคำไร้ความหมายออกมา หรืออะไรต่างๆ ได้มากมาย แล้วแต่สถานการณ์


แต่ถ้าผู้พูดกล่าวว่า “ฉันเห็นช้าง” ผู้ฟังนั้น จะมีความเข้าใจขึ้นหน่อยหนึ่งว่า ช้างเป็นอะไรอย่างหนึ่งที่เห็นได้ด้วยตา ถ้าผู้พูดอธิบายต่อไปว่า “ช้างเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง” เขาก็เข้าใจขึ้นอีกหน่อยหนึ่ง โดยอาจจะนึกไปถึงสิ่งทั้งหลายที่เรียกว่าสัตว์ ไม่จำกัดชนิด และขนาดตั้งแต่มดถึงไดโนเสา ตั้งแต่ปลากัดถึงปลาวาฬ ตั้งแต่ยุง ถึงนกอินทรีย์ เมื่อผู้พูดกล่าวต่อไปว่า “ช้าง เป็นสัตว์บก” เขาก็เข้าใจชัดขึ้นอีกหน่อยหนึ่ง ครั้นบอกว่า "ช้าง" เป็นสัตว์ตัวโตมาก เขาก็เห็นภาพจำกัดชัดเข้าอีก


จากนั้น ผู้พูดก็อาจบรรยายลักษณะของช้าง เช่น ใบหูโต ตาเล็ก มีงาสองข้าง มีจมูกยาวเป็นงวง เป็นต้น ผู้ฟังก็จะได้ภาพจำเพาะที่ ชัดเจนในใจของเขามากขึ้น ภาพนั้นอาจใกล้ของจริงก็ได้ หรือห่างไกลไปมากมาย ชนิดที่ว่า ถ้าให้เขาวาดภาพที่เขาเห็นในใจเวลานั้นออกมาเป็นรูปวาดบนแผ่นกระดาษ เราอาจได้รูปสัตว์ประหลาดเพิ่มอีกชนิดหนึ่ง สำหรับนิยายโบราณเรื่องใหม่ก็ได้ เพราะผู้ไม่รู้ไม่เห็นจริงนี่แหละ มักใช้สัญญาต่างๆ สร้างภาพได้วิจิตรพิสดารนัก ทั้งนี้ภาพในใจเขาจะเป็นอย่างไร ย่อมขึ้นต่อความแม่นยำของสัญญาเกี่ยวกับลักษณะอาการ ต่างๆที่ผู้เล่ายกขึ้นมาพูดฝ่ายหนึ่ง และสัญญาที่ผู้ฟังเอามาประสานเป็นองค์ประกอบสร้างสัญญาใหม่อีกฝ่ายหนึ่ง


จะเห็นว่า คำว่า “เห็น” ก็ดี “สัตว์” ก็ดี “บก” ก็ดี “ตัวโต” เป็นต้น ก็ดี ล้วนเป็นสัญญาที่ผู้ฟังมีอยู่แล้วทั้งสิ้น แต่ในกรณีที่สิ่งที่นำมาบอกเล่า แตกต่างไปจากสิ่งที่ผู้ฟังเคยรู้เห็นมี สัญญาอยู่ก่อนแล้วโดยสิ้นเชิง ไม่มีลักษณะอาการใดที่จะเทียบกันได้เลย ผู้ฟังจะไม่มีทางนึกเห็นหรือเข้าใจได้ด้วยประการใดทั้งสิ้น



เมื่อมีการสอบถามเทียบเคียงขึ้น คือผู้ฟังขอนำเอาสัญญาของตนออกมาต่อความรู้ใหม่ ก็จะได้อย่างเดียวคือการปฏิเสธ หรือถ้าผู้เล่าขืนพยายามจะชี้แจง ด้วยสัญญาที่ผู้ฟังพอจะเอามาเทียบได้บ้าง ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากต่อการที่ผู้ฟังจะสร้างสัญญาผิดๆ ต่อสิ่งที่นำมาเล่านั้น
ถ้าผู้ฟังไม่สร้างสัญญาผิด ก็อาจไปสู่สุดทางอีกข้างหนึ่ง คือ ปฏิเสธคำบอกของผู้เล่า โดยกล่าวหาว่าผู้เล่ากล่าวเท็จ หลอกลวง สิ่งที่นำเล่านั้นไม่มีจริง


แต่การที่ผู้ฟังจะปฏิเสธกล่าวว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่มีจริง เพียงเพราะเหตุที่ตนไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จัก ไม่เหมือนกับสิ่งที่ตนเคยรู้จัก และตนเอง ไม่อาจนึกเห็น หรือเข้าใจ ย่อมไม่เป็นการถูกต้อง


นิพพาน เป็นภาวะที่พ้นจากสภาพทั้งหลายที่ปุถุชนรู้จัก นอกเหนือออก ไปจากการรับรู้ที่ถูกอวิชชา ตัณหา อุปาทานครอบงำ เป็นภาวะที่เข้าถึงทันที พร้อมกับการละกิเลสที่เคลือบคลุมใจ หรือภาวะลักษณะต่างๆ ที่เป็นวิสัยของปุถุชน เหมือนเลื่อนฉากออกก็มองเห็นท้องฟ้า นิพพานไม่มีลักษณะอาการเหมือนสิ่งใดที่ปุถุชนเคยรู้เคยเห็น ปุถุชนจึงไม่อาจนึกเห็นหรือคิดเข้าใจได้ แต่จะว่านิพพานไม่มีก็ไม่ถูก
มีผู้กล่าวอุปมาบางอย่างไว้ เพื่อให้ปุถุชนพอสำนึกได้ว่า สิ่งที่ตนนึกไม่เห็น คิดไม่เข้าใจ ไม่จำเป็นต้องไม่มี

ข้อเปรียบเทียบที่น่าฟังเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องปลาไม่รู้จักบก มีความย่อของนิทานว่า ปลากับเต่าเป็นเพื่อนสนิทกัน ปลาอยู่แต่ในน้ำรู้จักแต่เรื่องราวความเป็นไปในน้ำ
เต่าเป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก รู้จักทั้งบกและทั้งน้ำ


วันหนึ่ง เต่าไปเที่ยวบกมาแล้ว ลงในน้ำพบปลา ก็เล่าให้ปลาฟัง ถึงความสดชื่นที่ได้ไปเดินเที่ยวบนผืนดินแห้ง ในท้องทุ่งโล่งที่ลมพัดฉิว
ปลาฟังไปได้สักหน่อย ไม่เข้าใจเลย อะไรกันนะที่ว่าเดิน อะไรกันพื้นดินแห้ง อะไรกันทุ่งโล่ง อะไรกันลมพัดฉิว แม้แต่ความสดชื่นอย่างนั้น ปลาก็ไม่รู้จัก ความสุขโดยปราศจากน้ำ จะเป็นไปได้อย่างไร มีแต่จะตายแน่ๆ


ปลาทนไม่ได้ จึงขัดขึ้น และซักถามหาความเข้าใจ
เต่าเล่า และอธิบายด้วยศัพท์บก
ปลาซักถามด้วยศัพท์น้ำ
เต่าก็ได้แต่ปฏิเสธ
ปลาจะให้เต่าอธิบายด้วยศัพท์น้ำ เต่าก็อธิบายไม่ได้ เพราะไม่รู้จะเอาอะไรมาเทียบ


ในที่สุด ปลาก็ลงข้อสรุปว่า เต่าโกหก เรื่องที่เล่าไม่จริงทั้งสิ้น เดินก็ไม่มี ผืนดินแห้งก็ไม่มี ทุ่งโล่งก็ไม่มี ลมพัดฉิวต้องตัวแล้วสดชื่น ก็ไม่มี


ตามเรื่องนี้ ความจริงปลาเป็นฝ่ายผิด สิ่งที่เต่าเล่ามีอยู่จริง แต่พ้นวิสัยแห่งความรู้ของปลา เพราะปลายังไม่เคยขึ้นไปอยู่บก จึงไม่อาจเข้าใจได้



ข้อเทียบอีกอย่างหนึ่ง คือ ความรู้ทางอายตนะที่ต่างกัน ธรรมดาว่า ความรู้ ทางอายตนะคนละอย่าง ย่อมมีลักษณะอาการที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง และไม่อาจเทียบกันได้ รูป กับ เสียง ไม่มีอะไร เทียบกัน ได้ เสียง กับ กลิ่น ไม่มีอะไรเทียบกันได้ ดังนี้ เป็นต้น

สมมุติ ว่า คนผู้หนึ่งตาบอดมาแต่กำเนิด ไม่เคยมีสัญญาเกี่ยว กับ รูป ย่อมไม่มีใครสามารถไปอธิบายสีเขียว สีแดง สีส้ม สีชมพู หรือลักษณะอาการต่างๆ ของรูป ให้เข้าใจได้เลย ด้วยความรู้จากสัญญา ที่เขามีทางอายตนะอื่นๆ ไม่ว่าจะอธิบายว่า รูป นั้น ดัง เบา ทุ้ม แหลม เหม็น หอม เปรี้ยว หวาน อย่างไร หรือ
ถ้าใครไม่มีประสาทจมูกมาแต่กำเนิด ใครจะอธิบายให้เขาเข้าใจ เหม็น หอม กลิ่นกุหลาบ กลิ่นส้ม กลิ่นมะลิ ได้อย่างไร เพราะคงจะต้องปฏิเสธคำว่า เขียว เหลือง แดง น้ำเงิน หนัก เบา อ้วน เบา อ้วน ผอม ดัง เบา ขม เค็ม เป็นต้น ที่เขาใช้ซักถามทั้งหมด

ยิ่งกว่านั้น มนุษย์มีอายตนะขั้นต้นสำหรับรับรู้ลักษณะอาการต่างๆ ของโลกที่เรียกว่า อารมณ์ เพียง 5 อย่าง
ถ้ามีแง่ของความรู้ที่นอกเหนือจากนั้นไป มนุษย์ย่อมไม่อาจรู้ และแม้แต่ 5 อย่างที่รู้ ก็รู้ไปตามลักษณะอาการด้านต่างๆเท่านั้น การไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น หรือนึกไม่เห็น คิดไม่เข้าใจของมนุษย์เพียงอย่างเดียว จึงยังมิใช่เครื่องชี้ขาดว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่มี


เมื่อพระพุทธเจ้า ตรัสรู้ใหม่ๆ ก่อนที่จะทรงประกาศธรรม ได้ทรงมีพุทธดำริว่า

ธรรมที่เราเข้าถึงแล้วนี้ ลึกซึ้ง เห็นยาก หยั่งรู้ตามยาก สงบ ประณีต ตรรกะหยั่งไม่ถึง ละเอียดอ่อน เป็นวิสัยของบัณฑิตจะพึงทราบ” (วินย.4/7/8, ม.มู.12/321/323)


และมีข้อความเป็นคาถาต่อไปว่า

ธรรม เราลุถึงโดยยาก เวลานี้ ไม่ควรประกาศ ธรรมนี้ มิใช่สิ่งที่สัตว์ผู้ถูกราคะ โทสะ ครอบงำ จะรู้เข้าใจง่าย สัตว์ทั้งหลาย ผู้ถูกราคะย้อมไว้ ถูกกองความมืดคืออวิชชาห่อหุ้ม จักไม่เห็นภาวะที่ทวนกระแส ละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง เห็นยาก ละเอียดยิ่งนัก” (วินย.4/7/8, ม.มู.12/321/323)


คำว่า "ธรรม" ในที่นี้ หมายถึงปฏิจจสมุปบาท และนิพพาน (จะว่าอริยสัจจ์ 4 ก็ได้ใจความเท่ากัน)
แต่ถึงแม้จะยากอย่างนี้ ก็ปรากฏว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงพยายามสั่งสอนชี้แจงอธิบายอย่างมากมาย ดังนั้น คำว่า นิพพานเป็นสิ่งที่ปุถุชนนึกไม่เห็น คิดไม่เข้าใจ จึงควรมุ่งให้เป็นคำเตือนเสียมากว่า คือ เตือนว่า ไม่ควรเอาแต่คิดสร้างภาพ และถกเถียงชักเหตุผลมาแสดงกันอยู่ จะเป็นเหตุให้สร้างสัญญาผิดๆ ขึ้นเสียเปล่า
ทางที่ดีหรือทางที่ถูก ควรจะลงมือปฏิบัติให้เข้าถึงเพื่อรู้เห็นประจักษ์ชัดกับตนเอง เพราะถึงแม้ว่านิพพานนั้น เมื่อยังไม่รู้ไม่เห็น ก็นึกไม่เห็นคิดไม่เข้าใจ
แต่ก็เป็นสิ่งที่รู้ได้เข้าถึงได้ เพียงแต่ว่ายากเท่านั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 27 ส.ค. 2018, 16:01, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2018, 16:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
จิต1ขณะมีครบธาตุ4ขันธ์5รู้ผ่านอายตนะ6ทีละ1คำ1ทางพร้อมกัน6ทางไม่ได้
เพราะต้องคิดตามตรงคำตรงขณะตามเสียงจริงๆที่ตรงความจริงที่กายใจตนด้วย
ตามพระอภิธรรมจิตแต่ละ1ขณะมีครบ4ชาติเลยนะคะทั้งวิบากกิริยากุศลและอกุศล
ถ้าแต่ละ1ขณะไม่ทันความจริงที่ตนมีตรง1คำวาจาสัจจะของตนแปลว่าไม่เกิดสติเลย
เพราะการตรงจริงต้องระลึกได้ตรง1สัจจะที่ตนกำลังมีตรงปัจจุบันขณะถ้าไม่เคยตรงคือไม่รู้แน่ๆ
จิต เจตสิก รูป นิพพาน ตนตรงสภาพธรรมไหน1คำใน4ประเภทนั้นต้องรู้ความจริงที่กายใจตนเดี๋ยวนี้
ไม่รู้เดี๋ยวนี้แสดงว่าเป็นปุถุชนที่ไม่เคยระลึกตามคำสอนและไม่เคยคิดได้ตรงปรมัตถสัจจะมีกิเลสหนาแน่น
เหมือนจอกแหนแน่นปิดหน้าผิวน้ำตรง1คำหยิบออก1คำไม่เห็นผิวน้ำเลยคริคริคริต้องตรงทีละคำทุกขณะ
ถึงจะเริ่มเห็นผิวน้ำได้น๊าไม่เชื่อลองลืมตาดูสิ่งที่อยู่ตรงหน้าสิจำได้หมดเลยยังไม่ต้องเอ่ยชื่อแยกออกหมด
ว่ามีอะไรเยอะแยะมากมายหลับตาลงแล้วลืมตาใหม่ดูสิมีเหมือนเดิมมันเป็นแค่สีหรือยังถ้ายังต้องทำฟังน๊า
เพราะลืมตาดูมีกิเลสใหม่เพิ่มตลอดเวลาไม่มีปัญญาเจตสิกจากสัทบัญญัติทีละคำมาคั่นกิเลสที่ไหลไปเลย
https://youtu.be/R5fc0itOmAc
:b12:
:b4: :b4:


ฟุ้งล้วนๆ

:b12:
รู้คิดถูกตามคำตถาคตตรงจริงที่ตนมี
ตามความสามารถตนที่จะระลึกได้ทีละคำ
ตรงวิสยรูป7จนกว่าจะรู้ทั่วตัวครบ6ทางอายตนะ
ครบตามวิสยรูป7รูปอื่นๆที่ไม่ปรากฏก็ดับไปพร้อมกันตั้งแต่จิตเกิดดับนั้นแล้วค่ะ
หลงงมอะไรในมหาสมุทรความเข้าใจถูกตามได้เปรียบเหมือนจงอยปากยุงจุ่มลงในมหาสมุทร
ปัญญาตนมีเท่าจงอยปากยุ่งจุ่มลงในมหาสมุทรคือรู้เท่าที่จุ่มถูกแค่นั้นส่วนทั้งมหาสมุทรคือปัญญาตถาคต
นึกออกไหมคะว่ารู้จักตถาคตได้เท่าที่ตนจุ่มลงถูกตรงทีละคำจนกว่าจะชำนาญจนรู้ทั่วตัวขาดฟังไม่ได้น๊า
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2018, 16:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตรรก - , ตรรกะ (ตักกะ) (แบบ) น. ความตรึก, ความคิด. (ส. ตรฺก; ป. ตกฺก)


ตณฺหกฺขโย ความสิ้นไปแห่งตัณหา เป็นไวพจน์อย่างหนึ่งแห่ง วิราคะ และนิพพาน

ไวพจน์ คำที่มีรูปต่างกัน แต่มีความหมายคล้ายกัน, คำสำหรับเรียกแทนกัน เช่น คำว่า มทนิมฺมทโน เป็นต้น เป็นไวพจน์ของ วิราคะ คำว่า วิมุตติ วิสุทธิ สันติ อสังขตะ วิวัฏฏ์ เป็นต้น เป็นไวพจน์ของ นิพพาน ดังนี้เป็นต้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2018, 01:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ตรรก - , ตรรกะ (ตักกะ) (แบบ) น. ความตรึก, ความคิด. (ส. ตรฺก; ป. ตกฺก)


ตณฺหกฺขโย ความสิ้นไปแห่งตัณหา เป็นไวพจน์อย่างหนึ่งแห่ง วิราคะ และนิพพาน

ไวพจน์ คำที่มีรูปต่างกัน แต่มีความหมายคล้ายกัน, คำสำหรับเรียกแทนกัน เช่น คำว่า มทนิมฺมทโน เป็นต้น เป็นไวพจน์ของ วิราคะ คำว่า วิมุตติ วิสุทธิ สันติ อสังขตะ วิวัฏฏ์ เป็นต้น เป็นไวพจน์ของ นิพพาน ดังนี้เป็นต้น

:b12:
วิตรรก วิจาร วิปัสสนา
วิคือแยกแยะ วิจัย
วิเคราะห์ธัมมะ
แยกแยะตรง
สิ่งที่กำลังมี
ตามปกติ
ตามเป็นจริง
ที่กำลังเกิดดับ
ตามเหตุตามปัจจัย
คือมีแล้วไม่ต้องทำเพิ่มเข้าใจไหม
:b32:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2018, 05:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ตรรก - , ตรรกะ (ตักกะ) (แบบ) น. ความตรึก, ความคิด. (ส. ตรฺก; ป. ตกฺก)


ตณฺหกฺขโย ความสิ้นไปแห่งตัณหา เป็นไวพจน์อย่างหนึ่งแห่ง วิราคะ และนิพพาน

ไวพจน์ คำที่มีรูปต่างกัน แต่มีความหมายคล้ายกัน, คำสำหรับเรียกแทนกัน เช่น คำว่า มทนิมฺมทโน เป็นต้น เป็นไวพจน์ของ วิราคะ คำว่า วิมุตติ วิสุทธิ สันติ อสังขตะ วิวัฏฏ์ เป็นต้น เป็นไวพจน์ของ นิพพาน ดังนี้เป็นต้น

:b12:
วิตรรก วิจาร วิปัสสนา
วิคือแยกแยะ วิจัย
วิเคราะห์ธัมมะ
แยกแยะตรง
สิ่งที่กำลังมี
ตามปกติ
ตามเป็นจริง
ที่กำลังเกิดดับ
ตามเหตุตามปัจจัย
คือมีแล้วไม่ต้องทำเพิ่มเข้าใจไหม


เอาเท่าที่สบายเถอะขอรับ อยากพูดอยากทำอะไรก็ทำไป สุตะไปนะขอรับ คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2018, 05:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:

ภาวะแห่งนิพพาน

เมื่ออวิชชา ตัณหา อุปาทานดับไป นิพพานก็ปรากฏแทนที่พร้อมกัน จะพูดให้มั่นเข้าอีกก็ว่า การดับอวิชชา ตัณหา อุปาทานนั่นแหละ คือนิพพาน

การที่ปุถุชนไม่สามารถนึกเห็น ไม่อาจคิดให้เข้าใจภาวะของนิพพานได้นั้น เพราะธรรมดาของมนุษย์ เมื่อยังไม่รู้เห็นประจักษ์เองซึ่งสิ่งใด ก็เรียนรู้สิ่งนั้นด้วยอาศัยความรู้เก่าเป็นพื้นเทียบ คือ เอาสัญญาที่มีอยู่แล้วมากำหนด แล้ววาดภาพขึ้นใหม่จากสัญญาต่างๆ ที่เอามากำหนดเทียบนั้น ได้ภาพตามสัญญาที่เป็นองค์ประกอบ เหมือนอย่างคนไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักช้างเลย เมื่อมีใครพูดขึ้นแก่เขาว่า “ช้าง” เขาจะไม่รู้ ไม่เข้าใจ นึกอะไรไม่ได้เลย อาจจะกำหนดไปตามอาการกิริยา เป็นต้น ของผู้พูด แล้วอาจจะนึกว่า ผู้พูดกล่าวผรุสวาทแก่เขา หรืออาจจะนึกไปว่า ผู้พูดกล่าวภาษาต่างประเทศคำหนึ่ง หรืออาจจะนึกว่า ผู้พูดเสียสติ จึงกล่าวคำไร้ความหมายออกมา หรืออะไรต่างๆ ได้มากมาย แล้วแต่สถานการณ์


แต่ถ้าผู้พูดกล่าวว่า “ฉันเห็นช้าง” ผู้ฟังนั้น จะมีความเข้าใจขึ้นหน่อยหนึ่งว่า ช้างเป็นอะไรอย่างหนึ่งที่เห็นได้ด้วยตา ถ้าผู้พูดอธิบายต่อไปว่า “ช้างเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง” เขาก็เข้าใจขึ้นอีกหน่อยหนึ่ง โดยอาจจะนึกไปถึงสิ่งทั้งหลายที่เรียกว่าสัตว์ ไม่จำกัดชนิด และขนาดตั้งแต่มดถึงไดโนเสา ตั้งแต่ปลากัดถึงปลาวาฬ ตั้งแต่ยุง ถึงนกอินทรีย์ เมื่อผู้พูดกล่าวต่อไปว่า “ช้าง เป็นสัตว์บก” เขาก็เข้าใจชัดขึ้นอีกหน่อยหนึ่ง ครั้นบอกว่า "ช้าง" เป็นสัตว์ตัวโตมาก เขาก็เห็นภาพจำกัดชัดเข้าอีก


จากนั้น ผู้พูดก็อาจบรรยายลักษณะของช้าง เช่น ใบหูโต ตาเล็ก มีงาสองข้าง มีจมูกยาวเป็นงวง เป็นต้น ผู้ฟังก็จะได้ภาพจำเพาะที่ ชัดเจนในใจของเขามากขึ้น ภาพนั้นอาจใกล้ของจริงก็ได้ หรือห่างไกลไปมากมาย ชนิดที่ว่า ถ้าให้เขาวาดภาพที่เขาเห็นในใจเวลานั้นออกมาเป็นรูปวาดบนแผ่นกระดาษ เราอาจได้รูปสัตว์ประหลาดเพิ่มอีกชนิดหนึ่ง สำหรับนิยายโบราณเรื่องใหม่ก็ได้ เพราะผู้ไม่รู้ไม่เห็นจริงนี่แหละ มักใช้สัญญาต่างๆ สร้างภาพได้วิจิตรพิสดารนัก ทั้งนี้ภาพในใจเขาจะเป็นอย่างไร ย่อมขึ้นต่อความแม่นยำของสัญญาเกี่ยวกับลักษณะอาการ ต่างๆที่ผู้เล่ายกขึ้นมาพูดฝ่ายหนึ่ง และสัญญาที่ผู้ฟังเอามาประสานเป็นองค์ประกอบสร้างสัญญาใหม่อีกฝ่ายหนึ่ง


จะเห็นว่า คำว่า “เห็น” ก็ดี “สัตว์” ก็ดี “บก” ก็ดี “ตัวโต” เป็นต้น ก็ดี ล้วนเป็นสัญญาที่ผู้ฟังมีอยู่แล้วทั้งสิ้น แต่ในกรณีที่สิ่งที่นำมาบอกเล่า แตกต่างไปจากสิ่งที่ผู้ฟังเคยรู้เห็นมี สัญญาอยู่ก่อนแล้วโดยสิ้นเชิง ไม่มีลักษณะอาการใดที่จะเทียบกันได้เลย ผู้ฟังจะไม่มีทางนึกเห็นหรือเข้าใจได้ด้วยประการใดทั้งสิ้น



เมื่อมีการสอบถามเทียบเคียงขึ้น คือผู้ฟังขอนำเอาสัญญาของตนออกมาต่อความรู้ใหม่ ก็จะได้อย่างเดียวคือการปฏิเสธ หรือถ้าผู้เล่าขืนพยายามจะชี้แจง ด้วยสัญญาที่ผู้ฟังพอจะเอามาเทียบได้บ้าง ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากต่อการที่ผู้ฟังจะสร้างสัญญาผิดๆ ต่อสิ่งที่นำมาเล่านั้น
ถ้าผู้ฟังไม่สร้างสัญญาผิด ก็อาจไปสู่สุดทางอีกข้างหนึ่ง คือ ปฏิเสธคำบอกของผู้เล่า โดยกล่าวหาว่าผู้เล่ากล่าวเท็จ หลอกลวง สิ่งที่นำเล่านั้นไม่มีจริง


แต่การที่ผู้ฟังจะปฏิเสธกล่าวว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่มีจริง เพียงเพราะเหตุที่ตนไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จัก ไม่เหมือนกับสิ่งที่ตนเคยรู้จัก และตนเอง ไม่อาจนึกเห็น หรือเข้าใจ ย่อมไม่เป็นการถูกต้อง


นิพพาน เป็นภาวะที่พ้นจากสภาพทั้งหลายที่ปุถุชนรู้จัก นอกเหนือออก ไปจากการรับรู้ที่ถูกอวิชชา ตัณหา อุปาทานครอบงำ เป็นภาวะที่เข้าถึงทันที พร้อมกับการละกิเลสที่เคลือบคลุมใจ หรือภาวะลักษณะต่างๆ ที่เป็นวิสัยของปุถุชน เหมือนเลื่อนฉากออกก็มองเห็นท้องฟ้า นิพพานไม่มีลักษณะอาการเหมือนสิ่งใดที่ปุถุชนเคยรู้เคยเห็น ปุถุชนจึงไม่อาจนึกเห็นหรือคิดเข้าใจได้ แต่จะว่านิพพานไม่มีก็ไม่ถูก
มีผู้กล่าวอุปมาบางอย่างไว้ เพื่อให้ปุถุชนพอสำนึกได้ว่า สิ่งที่ตนนึกไม่เห็น คิดไม่เข้าใจ ไม่จำเป็นต้องไม่มี

ข้อเปรียบเทียบที่น่าฟังเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องปลาไม่รู้จักบก มีความย่อของนิทานว่า ปลากับเต่าเป็นเพื่อนสนิทกัน ปลาอยู่แต่ในน้ำรู้จักแต่เรื่องราวความเป็นไปในน้ำ
เต่าเป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก รู้จักทั้งบกและทั้งน้ำ


วันหนึ่ง เต่าไปเที่ยวบกมาแล้ว ลงในน้ำพบปลา ก็เล่าให้ปลาฟัง ถึงความสดชื่นที่ได้ไปเดินเที่ยวบนผืนดินแห้ง ในท้องทุ่งโล่งที่ลมพัดฉิว
ปลาฟังไปได้สักหน่อย ไม่เข้าใจเลย อะไรกันนะที่ว่าเดิน อะไรกันพื้นดินแห้ง อะไรกันทุ่งโล่ง อะไรกันลมพัดฉิว แม้แต่ความสดชื่นอย่างนั้น ปลาก็ไม่รู้จัก ความสุขโดยปราศจากน้ำ จะเป็นไปได้อย่างไร มีแต่จะตายแน่ๆ


ปลาทนไม่ได้ จึงขัดขึ้น และซักถามหาความเข้าใจ
เต่าเล่า และอธิบายด้วยศัพท์บก
ปลาซักถามด้วยศัพท์น้ำ
เต่าก็ได้แต่ปฏิเสธ
ปลาจะให้เต่าอธิบายด้วยศัพท์น้ำ เต่าก็อธิบายไม่ได้ เพราะไม่รู้จะเอาอะไรมาเทียบ


ในที่สุด ปลาก็ลงข้อสรุปว่า เต่าโกหก เรื่องที่เล่าไม่จริงทั้งสิ้น เดินก็ไม่มี ผืนดินแห้งก็ไม่มี ทุ่งโล่งก็ไม่มี ลมพัดฉิวต้องตัวแล้วสดชื่น ก็ไม่มี


ตามเรื่องนี้ ความจริงปลาเป็นฝ่ายผิด สิ่งที่เต่าเล่ามีอยู่จริง แต่พ้นวิสัยแห่งความรู้ของปลา เพราะปลายังไม่เคยขึ้นไปอยู่บก จึงไม่อาจเข้าใจได้



ข้อเทียบอีกอย่างหนึ่ง คือ ความรู้ทางอายตนะที่ต่างกัน ธรรมดาว่า ความรู้ ทางอายตนะคนละอย่าง ย่อมมีลักษณะอาการที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง และไม่อาจเทียบกันได้ รูป กับ เสียง ไม่มีอะไร เทียบกัน ได้ เสียง กับ กลิ่น ไม่มีอะไรเทียบกันได้ ดังนี้ เป็นต้น

สมมุติ ว่า คนผู้หนึ่งตาบอดมาแต่กำเนิด ไม่เคยมีสัญญาเกี่ยว กับ รูป ย่อมไม่มีใครสามารถไปอธิบายสีเขียว สีแดง สีส้ม สีชมพู หรือลักษณะอาการต่างๆ ของรูป ให้เข้าใจได้เลย ด้วยความรู้จากสัญญา ที่เขามีทางอายตนะอื่นๆ ไม่ว่าจะอธิบายว่า รูป นั้น ดัง เบา ทุ้ม แหลม เหม็น หอม เปรี้ยว หวาน อย่างไร หรือ
ถ้าใครไม่มีประสาทจมูกมาแต่กำเนิด ใครจะอธิบายให้เขาเข้าใจ เหม็น หอม กลิ่นกุหลาบ กลิ่นส้ม กลิ่นมะลิ ได้อย่างไร เพราะคงจะต้องปฏิเสธคำว่า เขียว เหลือง แดง น้ำเงิน หนัก เบา อ้วน เบา อ้วน ผอม ดัง เบา ขม เค็ม เป็นต้น ที่เขาใช้ซักถามทั้งหมด

ยิ่งกว่านั้น มนุษย์มีอายตนะขั้นต้นสำหรับรับรู้ลักษณะอาการต่างๆ ของโลกที่เรียกว่า อารมณ์ เพียง 5 อย่าง
ถ้ามีแง่ของความรู้ที่นอกเหนือจากนั้นไป มนุษย์ย่อมไม่อาจรู้ และแม้แต่ 5 อย่างที่รู้ ก็รู้ไปตามลักษณะอาการด้านต่างๆเท่านั้น การไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น หรือนึกไม่เห็น คิดไม่เข้าใจของมนุษย์เพียงอย่างเดียว จึงยังมิใช่เครื่องชี้ขาดว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่มี


เมื่อพระพุทธเจ้า ตรัสรู้ใหม่ๆ ก่อนที่จะทรงประกาศธรรม ได้ทรงมีพุทธดำริว่า

ธรรมที่เราเข้าถึงแล้วนี้ ลึกซึ้ง เห็นยาก หยั่งรู้ตามยาก สงบ ประณีต ตรรกะหยั่งไม่ถึง ละเอียดอ่อน เป็นวิสัยของบัณฑิตจะพึงทราบ” (วินย.4/7/8, ม.มู.12/321/323)


และมีข้อความเป็นคาถาต่อไปว่า

ธรรม เราลุถึงโดยยาก เวลานี้ ไม่ควรประกาศ ธรรมนี้ มิใช่สิ่งที่สัตว์ผู้ถูกราคะ โทสะ ครอบงำ จะรู้เข้าใจง่าย สัตว์ทั้งหลาย ผู้ถูกราคะย้อมไว้ ถูกกองความมืดคืออวิชชาห่อหุ้ม จักไม่เห็นภาวะที่ทวนกระแส ละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง เห็นยาก ละเอียดยิ่งนัก (วินย.4/7/8, ม.มู.12/321/323)


คำว่า "ธรรม" ในที่นี้ หมายถึงปฏิจจสมุปบาท และนิพพาน (จะว่าอริยสัจจ์ 4 ก็ได้ใจความเท่ากัน)
แต่ถึงแม้จะยากอย่างนี้ ก็ปรากฏว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงพยายามสั่งสอนชี้แจงอธิบายอย่างมากมาย ดังนั้น คำว่า นิพพานเป็นสิ่งที่ปุถุชนนึกไม่เห็น คิดไม่เข้าใจ จึงควรมุ่งให้เป็นคำเตือนเสียมากว่า คือ เตือนว่า ไม่ควรเอาแต่คิดสร้างภาพ และถกเถียงชักเหตุผลมาแสดงกันอยู่ จะเป็นเหตุให้สร้างสัญญาผิดๆ ขึ้นเสียเปล่า
ทางที่ดีหรือทางที่ถูก ควรจะลงมือปฏิบัติให้เข้าถึงเพื่อรู้เห็นประจักษ์ชัดกับตนเอง เพราะถึงแม้ว่านิพพานนั้น เมื่อยังไม่รู้ไม่เห็น ก็นึกไม่เห็นคิดไม่เข้าใจ
แต่ก็เป็นสิ่งที่รู้ได้เข้าถึงได้ เพียงแต่ว่ายากเท่านั้น


ต่อ ภาวะแห่งนิพพาน ที่

viewtopic.php?f=1&t=56450

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 102 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร