วันเวลาปัจจุบัน 03 ส.ค. 2025, 23:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 45 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2018, 08:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นี่ก็คำถามปราบเซียน หนูเมว่าไง ไหนลองว่าไปซิ ให้ดูทั้งหมดจากลิงค์นั้น


อ้างคำพูด:
คคห.6 จขกท. ใช้ชื่อ modran

http://topicstock.pantip.com/religious/ ... 85609.html

ตอนแรกดิฉันมีอาการผิดปกติทางกายแล้วไปถามผู้สอน
แล้วได้คำตอบที่ไม่สมเหตุผลมากเลย จึงขาดความไว้ใจในตัวผู้สอน
คราวนี้พอเกิดอย่างอื่นตามมาก็ไม่ได้ถามอีก
ต่อมาทั้งตาฝาด หูแว่ว ได้ยินอะไรแบบพิเศษจากปกติ ก็คิดว่าตัวเองวิเศษ ไม่ไปถามผู้ฝึกสอนอีก เพราะขาดความไว้วางใจ แถมหลงในสิ่งลวงนั้นแล้วด้วย เป็นหนักจนต้องไปอยู่โรงพยาบาล และก็รักษาจนรู้ตัวและเข้าใจแล้วว่าเป็นเรื่องไม่จริง
แต่ยังมีอาการอย่างนึงที่ยังไม่หายคือใจแว่ว (ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดีค่ะ เพราะมันคล้ายหูแว่ว แต่เสียงเหมือนมีคนอื่นพูดมาจากใจเรา)
กินยาตามหมอสั่งมาก็หลายเดือนก็ยังไม่หาย ยังงงอยู่ว่าเป็นไปได้อย่างไร
เสียงที่ได้ยินบอกว่า ไม่หายหรอกต้องเป็นคนจิตผิดปกติไปตลอดบ้างละ ต้องไปฝึกสมาธิต่อให้หายบ้างละ
ฟังไปก็งงไปเรื่อยค่ะ เข้าใจว่ามันเป็นอาการจิตเภทแบบที่หมอบอก
แต่ไม่รู้ว่าต้องเดินทางไปสุดวิธีรักษาแบบคนเป็นโรคจิต หรือควรกลับมาทางทำสมาธิแทน
แต่กลัวตอนที่ร่างกายผิดปกติ กลัวเป็นอีกแล้วจะไม่หายคราวนี้


.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2018, 08:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาปัญหาพื้นๆบ้าง หนูเมว่ากรัชกายตื้นเขินอ่อนอ่อนปริยัติ...ส่วนตัวหนูเมเองเก่งชำนิชำนาญใน ปลิยัด ปติเวด โรกุตตะละ นู๋ว่าใช้บทสวดบทไหนดี ว่าไปสิครับ :b14: :b14:

อ้างคำพูด:
เราจะสวดมนต์ แผ่เมตตาให้ผู้ป่วยซึมเศร้า เข้มแข็ง ขึ้นได้อย่างไรคะ

ด่วนมากค่ะ
เพื่อนป่วยค่ะ เริ่มจากป่วยร่างกาย ต่อมาซึมเศร้า แนวโน้มคิดสั้น
พบแพทย์ ทานยาแล้ว แต่ เค้าไม่มีกำลังใจ หมดแรง


นอกจากเราจะอยู่เป็นเพื่อน คอยให้กำลังใจ พาออกไปทำกิจกรรมต่างๆบ้าง นั่งรถ นั่งเรือไปเที่ยวไกล้ๆรวมทั้งไปวัดทำบุญ
แต่อาการไม่น่าไว้ใจเลย เค้าอยู่ห่างจากครอบครัวมากค่ะ ทำงานเลี้ยงชีพอยู่คนเดียวในเมืองใหญ่

เราอยากขอคำแนะนำท่านที่สวดมนต์เป็นประจำ คือเค้าสวดเองไม่ค่อยไหว อย่างที่บอก ป่วยกายและใจไปไม่ไหวแล้ว
ถ้าเราสวดมนต์ เราก็สวดไม่ค่อยเป็นค่ะ
ทีนี้ถ้าเราสวด แล้วตั้งจิตตอนแผ่เมตตาหรืออุทิศบุญกุศลให้เพื่อนคนนี้มีร่างกายแข็งแรง หายป่วย มีจิตใจที่เข้มแข็งขึ้นในเร็ววัน
พอจะช่วยเค้าให้ดีขึ้นได้ม้ยคะ ควรสวดบทไหน แนะนำด้วยค่ะ


จาก 1000 ทิพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2018, 21:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณกรัชกาย อ่อนทั้งปริยัติ และปฎิบัติไม่เอาไหน

แถมไม่มีความละอายใจที่ไม่ได้เรียนปริยัติ เรยไม่สามารถปฎิบัติให้เป็นสัมมาปฎิบัติ ตามพุทธวิชชา ที่พระบรมศาสดาทรงสอนได้


หนูจะตอบให้ทั้งหมด ที่คุณพยายามดิ้นรน ไปสรรหาเอาตามเวปต่างๆมาแปะ
แถมเอาการปฎิบัติแบบเด็กก่อนวัยเรียนอนุบาล ไปประดับประดา ให้รกบอร์ดทั้งบอร์ดนี้ และของตนเอง

โดยไม่ได้สนใจ ไส่ใจต่อพระปริยัติธรรม

และเพราะคุณเองไม่รู้ ว่า นั่นไม่ใช่การปฎิบัติ เป็นพวกเด็กๆก่อนอนุบาลหัดเดินต้วมเตี้ยม ลัมลุกคุกคลานเท่านั้น

ที่ยังไม่ได้เรียน ไม่ได้ศึกษา ทั้งปริยัติ และยังไม่ได้ปฎิบัติอะไรเรย

แค่กล่าวถึงวิญญาน ก็ผิดเพี้ยน ไม่ตรงตามพระไตรปฎิฎก คิดเองเออเอง เข้าใจเอาเอง
และทำสำคัญ ดันคิดว่าพูดถูกเสียอีก
น่าอนาถค่ะ


ซึ่งก็มีสภาพเหมือน เหมือนคุณน่ะแหละค่ะ

เป็นพวกเด็กก่อนวัยเรียนอนุบาล


หนูจะตอบคำถามที่ไปคุณลอกมาโดยรวม ให้ทั้งหมด

ตามพระปริยัติ พระไตรปิฎก ไม่กี่คำ

ที่ไปทำกันผิดๆๆ แบบนั้น ว่า

ไม่รู้ว่า นี้เป็นทุกข์
ไม่รู้ว่า นี่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์

ฉิบหายเสียแล้ว จากพระธรรม พุทธธรรม พุทธวิชชา


และเด็กก่อนวัยเรียนเหล่านี้ รวมทั้งคุณกรัชกายเอง

ก็ไม่รู้ว่า อะไร เป็นหนทางดำเนินเพื่อดับทุกข์ให้ไม่มีเหลือ
อันได้แก่ เจตสิก องค์มรรค8 ที่ประกอบด้วยมรรคจิต 20 และเจตสิก 36
เพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรม พระปริยัติธรรม


และคงสิ้นสุดการสนทนาด้วยเด็ดขาดค่ะ

เพราะคุณยังเป็นเด็ก ก่อนวัยเรียนมากเกินไป ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าสู่พื้นฐานในปริยัติ และสัมมาปฎิบัติ ตามพุทธวิชชาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้สอนค่ะ

คุณกรัชกายทั้งตื้นเขินไม่ได้เรียน ไม่ได้ศึกษาปริยัติ และ ไม่มีความละอายแก่ใจ
ที่ไม่ได้เรียนปริยัติ แล้วคิดว่า ตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ จากการโพสต์กระทู้มากๆๆ
ฉลาดซะเต็มประดา


อีกอย่างถึงกะดูถูก พระปริยัติธรรม โดยกล่าวอย่างไม่มีความละอายใจ

ว่า ว่าปริยัด ปติเวด โรกุตตะละ

คุณกรัชกายบ่ายหน้าไปสู่ความฉิบหายนะ แน่นอนค่ะ

บ๊ายบายค่ะ

เม










โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2018, 05:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
คุณกรัชกาย อ่อนทั้งปริยัติ และปฎิบัติไม่เอาไหน

แถมไม่มีความละอายใจที่ไม่ได้เรียนปริยัติ เรยไม่สามารถปฎิบัติให้เป็นสัมมาปฎิบัติ ตามพุทธวิชชา ที่พระบรมศาสดาทรงสอนได้


หนูจะตอบให้ทั้งหมด ที่คุณพยายามดิ้นรน ไปสรรหาเอาตามเวปต่างๆมาแปะ
แถมเอาการปฎิบัติแบบเด็กก่อนวัยเรียนอนุบาล ไปประดับประดา ให้รกบอร์ดทั้งบอร์ดนี้ และของตนเอง

โดยไม่ได้สนใจ ไส่ใจต่อพระปริยัติธรรม

และเพราะคุณเองไม่รู้ ว่า นั่นไม่ใช่การปฎิบัติ เป็นพวกเด็กๆก่อนอนุบาลหัดเดินต้วมเตี้ยม ลัมลุกคุกคลานเท่านั้น

ที่ยังไม่ได้เรียน ไม่ได้ศึกษา ทั้งปริยัติ และยังไม่ได้ปฎิบัติอะไรเรย

แค่กล่าวถึงวิญญาน ก็ผิดเพี้ยน ไม่ตรงตามพระไตรปฎิฎก คิดเองเออเอง เข้าใจเอาเอง
และทำสำคัญ ดันคิดว่าพูดถูกเสียอีก
น่าอนาถค่ะ


ซึ่งก็มีสภาพเหมือน เหมือนคุณน่ะแหละค่ะ

เป็นพวกเด็กก่อนวัยเรียนอนุบาล


หนูจะตอบคำถามที่ไปคุณลอกมาโดยรวม ให้ทั้งหมด

ตามพระปริยัติ พระไตรปิฎก ไม่กี่คำ

ที่ไปทำกันผิดๆๆ แบบนั้น ว่า

ไม่รู้ว่า นี้เป็นทุกข์
ไม่รู้ว่า นี่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์

ฉิบหายเสียแล้ว จากพระธรรม พุทธธรรม พุทธวิชชา


และเด็กก่อนวัยเรียนเหล่านี้ รวมทั้งคุณกรัชกายเอง

ก็ไม่รู้ว่า อะไร เป็นหนทางดำเนินเพื่อดับทุกข์ให้ไม่มีเหลือ
อันได้แก่ เจตสิก องค์มรรค8 ที่ประกอบด้วยมรรคจิต 20 และเจตสิก 36
เพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรม พระปริยัติธรรม


และคงสิ้นสุดการสนทนาด้วยเด็ดขาดค่ะ

เพราะคุณยังเป็นเด็ก ก่อนวัยเรียนมากเกินไป ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าสู่พื้นฐานในปริยัติ และสัมมาปฎิบัติ ตามพุทธวิชชาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้สอนค่ะ

คุณกรัชกายทั้งตื้นเขินไม่ได้เรียน ไม่ได้ศึกษาปริยัติ และ ไม่มีความละอายแก่ใจ
ที่ไม่ได้เรียนปริยัติ แล้วคิดว่า ตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ จากการโพสต์กระทู้มากๆๆ
ฉลาดซะเต็มประดา


อีกอย่างถึงกะดูถูก พระปริยัติธรรม โดยกล่าวอย่างไม่มีความละอายใจ

ว่า ว่าปริยัด ปติเวด โรกุตตะละ

คุณกรัชกายบ่ายหน้าไปสู่ความฉิบหายนะ แน่นอนค่ะ

บ๊ายบายค่ะ

เม





อ้างคำพูด:
หนูจะตอบคำถามที่ไปคุณลอกมาโดยรวม ให้ทั้งหมด

ตามพระปริยัติ พระไตรปิฎก ไม่กี่คำ

ที่ไปทำกันผิดๆๆ แบบนั้น ว่า

ไม่รู้ว่า นี้เป็นทุกข์
ไม่รู้ว่า นี่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์


เด็กวัยก่อนเรียนอนุบาลน่ารักดีออก :b32: เขาเป็นวัยที่บริสุทธิ์ผ่องใสปราศจากผงชูรสปราศจากสารปนเปื้อน

นู๋เมหาเข้าใจชีวิตแม้แต่น้อยไม่ คือ เข้าใจไปตามนั่นแหละ ตามที่ว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ (เขียนยังงี้ถูก) แต่ที่กรัชกายเขียนยังงั้นเพื่อบ่งบอกว่า คุณเข้าใจผิด จึงเขียนให้มันผิด คิกๆๆ

ที่ไปหาไปลอกมาแปะเพื่อมาปราบเซียนตามชื่อกระทู้ นั่นแหละชีวิตที่ภาษาพระเรียกว่ารูปนาม,ขันธ์ห้า มันมีมันเป็นของมันอย่างนั้นเอง ไม่ได้พูดถึงคนนะ พูดตามภาษาทางธรรมว่ารูปนามว่าขันธ์ห้า มันเป็นไตรลักษณ์ (อนิจจตา ทุกขตา อนัตตตา) จึงบอกว่าเขาปฏิบัติถูก อิอิ แต่คน (เขา) เข้าใจผิด งงไหม คนเข้าใจธรรมะผิด คือเข้าใจว่าธรรมะนั่นเป็นบุคคล ตัวตน เรา เขา

ท่านจึงบอกว่า ถ้าพูดถึงคนต้องมองอีกชั้นหนึ่งจึงจะเห็นธรรม (มันซ้อนกันอยู่) แต่ถ้าพูดว่ารูปนาม,ขันธ์ห้า นี่ธรรมะตรงๆเลย พูดแล้วก็ไม่ต้องคิดฟุ้งซ่านไปหาธรรมะที่ไหนอีก นั่นแหละธรรมะ :b16:

เมื่อเขาปฏิบัติไปๆ มันก็เป็นของมันอย่างนั้น หน้าที่ผู้ปฏิบัติคือต้องกำหนดรู้มันทุกๆขณะ (ทุกขัง อริยสัจจัง. ต้องกำหนดรู้) กำหนดรู้ทุกๆครั้งจนมันเห็นธรรมะ ไม่ใช่ไปทำตามที่คนหรือตนเองอยากหรือไม่อยากให้มันเป็น

อย่าไปเลยครับ อยู่คุยกันก่อน วันไหนว่างจากการเรียนก็เข้ามาสนทนากันอีกนะครับ คิดถึงนู๋เมนะ :b1: :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2018, 08:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "คน" นาย ก. นาง ข. เป็นต้น ส่วนภาษาทางธรรมเรียก "สภาวะ" "สภาวธรรม" ว่า "ขันธ์" เมื่อจำแนกสภาวะนั่นโดยความเป็นขันธ์ (กอง) แล้ว ได้/มี ๕ ขันธ์ ซึ่งไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เป็นต้น มันเป็นแต่ธรรมไหลเนื่องสืบต่อกัน

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2018, 09:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นู๋เมช่วยตรวจบทความนี้ทีมีตรงไหนผิดไม่ตรงตามหลักธรรมบ้าง


ส่วนประกอบห้าอย่างของชีวิต

ตัวสภาวะ

พุทธธรรมมองเห็นสิ่งทั้งหลายเป็นธาตุ เป็นธรรม เป็นสภาวะ อันมีอยู่เป็นอยู่ตามภาวะของมัน ที่เป็นของมันอย่างนั้น เช่นนั้น ตามธรรมดาของมัน มิใช่มีเป็นสัตว์ บุคคล อัตตา ตัวตน เราเขา ที่จะยึดถือเอาเป็นเจ้าของ ครอบครอง บังคับบัญชาให้เป็นไปตามปรารถนาอย่างไรๆ ได้

บรรดาสิ่งทั้งหลายที่รู้จักเข้าใจกันอยู่โดยทั่วไปนั้น มีอยู่เป็นอยู่เป็นไปในรูปของส่วนประกอบต่างๆ ที่มาประชุมกัน ตัวตนแท้ๆ ของสิ่งทั้งหลายไม่มี
เมื่อแยกส่วนต่างๆ ที่มาประกอบกันเข้านั้นออกไป ให้หมด ก็จะไม่พบตัวตนของสิ่งนั้นเหลืออยู่ ตัวอย่างง่ายๆ ที่ยกขึ้นอ้างกันบ่อยๆ คือ "รถ" เมื่อนำส่วนประกอบต่างๆมาประกอบเข้าด้วยกันตามแบบที่กำหนด ก็บัญญัติเรียกกันว่า "รถ"
แต่ถ้าแยกส่วนประกอบทั้งหมดออกจากกัน ก็จะหาตัวตนของรถไม่ได้ มีแต่ส่วนประกอบทั้งหลาย ซึ่งมีชื่อเรียกต่างๆกัน จำเพาะแต่ละอย่างอยู่แล้ว คือตัวตนของรถมิได้มีอยู่ต่างหากจากส่วนประกอบเหล่า
นั้น มีแต่เพียงคำบัญญัติว่า "รถ"
สำหรับสภาพที่มารวมตัวกันเข้าของส่วนประกอบเหล่านั้น แม้ส่วนประกอบแต่ละอย่างๆนั้นเอง ก็ปรากฏขึ้นโดยการรวมกันเข้าของส่วนประกอบย่อยๆ ต่อๆไปอีก และหาตัวตนที่แท้ไม่พบเช่นเดียวกัน

เมื่อจะพูดว่าสิ่งทั้งหลายมีอยู่ ก็ต้องเข้าใจในความหมายว่า มีอยู่ในฐานะมีส่วนประกอบต่างๆ มาประชุมเข้าด้วยกัน

เมื่อมองเห็นสภาพของสิ่งทั้งหลายในรูปของการประชุมส่วนประกอบเช่นนี้ พุทธธรรมจึงต้องแสดงต่อไปว่า ส่วนประกอบต่างๆ เหล่านั้นเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง อย่างน้อยก็พอเป็นตัวอย่าง และโดยที่พุทธธรรมมีความเกี่ยวข้องเป็นพิเศษกับเรื่องชีวิต โดยเฉพาะด้านจิตใจ การแสดงส่วนประกอบต่างๆ จึงต้องครอบคลุมทั้งวัตถุและจิตใจ หรือทั้งรูปธรรมและนามธรรม และมักแยกเป็นพิเศษในด้านจิตใจ

การแสดงส่วนประกอบต่างๆนั้น ย่อมทำได้หลายแบบ สุดแต่วัตถุประสงค์จำเพาะของการแสดงแบบนั้นๆแต่ในที่นี้ แสดงแบบขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นแบบที่นิยมในพระสูตร

โดยวิธีแบ่งแบบขันธ์ ๕ พุทธธรรมแยกแยะชีวิตพร้อมทั้งองคาพยพทั้งหมดที่บัญญัติเรียกว่า "สัตว์" "บุคคล" ฯลฯ ออกเป็นส่วนประกอบต่างๆ ๕ ประเภท หรือ ๕ หมวด เรียกทางธรรมว่า เบญจขันธ์ คือ

๑. รูป ได้แก่ ส่วนประกอบฝ่ายรูปธรรมทั้งหมด ร่างกาย และพฤติกรรมทั้งหมดของร่างกาย หรือสสารและพลังงานฝ่ายวัตถุ พร้อมทั้งคุณสมบัติ และพฤติกรรมต่างๆ ของสสารพลังงานเหล่านั้น

๒. เวทนา ได้แก่ ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ ซึ่งเกิดจากผัสสะทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ

๓. สัญญา ได้แก่ ความกำหนดได้ หรือหมายรู้ คือ กำหนดรู้อาการเครื่องหมายลักษณะต่างๆ อันเป็นเหตุให้จำอารมณ์ (object) นั้นๆได้

๔. สังขาร ได้แก่ องค์ประกอบหรือคุณสมบัติต่างๆของจิต มีเจตนาเป็นตัวนำ ซึ่งแต่งจิตให้ดีหรือชั่วหรือเป็นกลางๆ ปรุงแปรการตริตรึกนึกคิดในใจ และการแสดงออกทางกาย วาจา ให้เป็นไปต่างๆ เป็นที่มาของกรรม เช่น ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ปัญญา โมหะ โลภะ โทสะ มานะ ทิฏฐิ อิสสา มัจฉริยะ เป็นต้น เรียกรวมอย่างง่ายๆว่า เครื่องปรุงของจิต เครื่องปรุงของความคิด หรือเครื่องปรุงของกรรม

๕. วิญญาณ ได้แก่ ความรู้แจ้งอารมณ์ทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ คือ การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรู้รส การรู้สัมผัสทางกาย และการรู้อารมณ์ทางใจ

ข้อ ๑ เป็นรูปขันธ์ ๔ ข้อหลังเป็นนามขันธ์ เรียกสั้นๆว่า รูปนาม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2018, 01:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
นู๋เมช่วยตรวจบทความนี้ทีมีตรงไหนผิดไม่ตรงตามหลักธรรมบ้าง


ส่วนประกอบห้าอย่างของชีวิต

ตัวสภาวะ

พุทธธรรมมองเห็นสิ่งทั้งหลายเป็นธาตุ เป็นธรรม เป็นสภาวะ อันมีอยู่เป็นอยู่ตามภาวะของมัน ที่เป็นของมันอย่างนั้น เช่นนั้น ตามธรรมดาของมัน มิใช่มีเป็นสัตว์ บุคคล อัตตา ตัวตน เราเขา ที่จะยึดถือเอาเป็นเจ้าของ ครอบครอง บังคับบัญชาให้เป็นไปตามปรารถนาอย่างไรๆ ได้

บรรดาสิ่งทั้งหลายที่รู้จักเข้าใจกันอยู่โดยทั่วไปนั้น มีอยู่เป็นอยู่เป็นไปในรูปของส่วนประกอบต่างๆ ที่มาประชุมกัน ตัวตนแท้ๆ ของสิ่งทั้งหลายไม่มี
เมื่อแยกส่วนต่างๆ ที่มาประกอบกันเข้านั้นออกไป ให้หมด ก็จะไม่พบตัวตนของสิ่งนั้นเหลืออยู่ ตัวอย่างง่ายๆ ที่ยกขึ้นอ้างกันบ่อยๆ คือ "รถ" เมื่อนำส่วนประกอบต่างๆมาประกอบเข้าด้วยกันตามแบบที่กำหนด ก็บัญญัติเรียกกันว่า "รถ"
แต่ถ้าแยกส่วนประกอบทั้งหมดออกจากกัน ก็จะหาตัวตนของรถไม่ได้ มีแต่ส่วนประกอบทั้งหลาย ซึ่งมีชื่อเรียกต่างๆกัน จำเพาะแต่ละอย่างอยู่แล้ว คือตัวตนของรถมิได้มีอยู่ต่างหากจากส่วนประกอบเหล่า
นั้น มีแต่เพียงคำบัญญัติว่า "รถ"
สำหรับสภาพที่มารวมตัวกันเข้าของส่วนประกอบเหล่านั้น แม้ส่วนประกอบแต่ละอย่างๆนั้นเอง ก็ปรากฏขึ้นโดยการรวมกันเข้าของส่วนประกอบย่อยๆ ต่อๆไปอีก และหาตัวตนที่แท้ไม่พบเช่นเดียวกัน

เมื่อจะพูดว่าสิ่งทั้งหลายมีอยู่ ก็ต้องเข้าใจในความหมายว่า มีอยู่ในฐานะมีส่วนประกอบต่างๆ มาประชุมเข้าด้วยกัน

เมื่อมองเห็นสภาพของสิ่งทั้งหลายในรูปของการประชุมส่วนประกอบเช่นนี้ พุทธธรรมจึงต้องแสดงต่อไปว่า ส่วนประกอบต่างๆ เหล่านั้นเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง อย่างน้อยก็พอเป็นตัวอย่าง และโดยที่พุทธธรรมมีความเกี่ยวข้องเป็นพิเศษกับเรื่องชีวิต โดยเฉพาะด้านจิตใจ การแสดงส่วนประกอบต่างๆ จึงต้องครอบคลุมทั้งวัตถุและจิตใจ หรือทั้งรูปธรรมและนามธรรม และมักแยกเป็นพิเศษในด้านจิตใจ

การแสดงส่วนประกอบต่างๆนั้น ย่อมทำได้หลายแบบ สุดแต่วัตถุประสงค์จำเพาะของการแสดงแบบนั้นๆแต่ในที่นี้ แสดงแบบขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นแบบที่นิยมในพระสูตร

โดยวิธีแบ่งแบบขันธ์ ๕ พุทธธรรมแยกแยะชีวิตพร้อมทั้งองคาพยพทั้งหมดที่บัญญัติเรียกว่า "สัตว์" "บุคคล" ฯลฯ ออกเป็นส่วนประกอบต่างๆ ๕ ประเภท หรือ ๕ หมวด เรียกทางธรรมว่า เบญจขันธ์ คือ

๑. รูป ได้แก่ ส่วนประกอบฝ่ายรูปธรรมทั้งหมด ร่างกาย และพฤติกรรมทั้งหมดของร่างกาย หรือสสารและพลังงานฝ่ายวัตถุ พร้อมทั้งคุณสมบัติ และพฤติกรรมต่างๆ ของสสารพลังงานเหล่านั้น

๒. เวทนา ได้แก่ ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ ซึ่งเกิดจากผัสสะทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ

๓. สัญญา ได้แก่ ความกำหนดได้ หรือหมายรู้ คือ กำหนดรู้อาการเครื่องหมายลักษณะต่างๆ อันเป็นเหตุให้จำอารมณ์ (object) นั้นๆได้

๔. สังขาร ได้แก่ องค์ประกอบหรือคุณสมบัติต่างๆของจิต มีเจตนาเป็นตัวนำ ซึ่งแต่งจิตให้ดีหรือชั่วหรือเป็นกลางๆ ปรุงแปรการตริตรึกนึกคิดในใจ และการแสดงออกทางกาย วาจา ให้เป็นไปต่างๆ เป็นที่มาของกรรม เช่น ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ปัญญา โมหะ โลภะ โทสะ มานะ ทิฏฐิ อิสสา มัจฉริยะ เป็นต้น เรียกรวมอย่างง่ายๆว่า เครื่องปรุงของจิต เครื่องปรุงของความคิด หรือเครื่องปรุงของกรรม

๕. วิญญาณ ได้แก่ ความรู้แจ้งอารมณ์ทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ คือ การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรู้รส การรู้สัมผัสทางกาย และการรู้อารมณ์ทางใจ

ข้อ ๑ เป็นรูปขันธ์ ๔ ข้อหลังเป็นนามขันธ์ เรียกสั้นๆว่า รูปนาม



บอกตงๆ

บทความเหล่านี้ จากการที่หนูเคยเห็น เคยศึกษาค้นคว้าเล่าเรียนมา

ไม่เคยเห็นจะถอดองค์ธรรม ตามพระอภิธรรมได้เรยค่ะ

และไม่เห็นเขียนถึง คนต้นเหตุสำคัญที่แอบหลบหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์
ก่อนเกิดวันมหาวิปโยค 6 ตุลา

มีแต่ กรณีธรรมกาย

และ ไม่เห็นพุทธรรมที่แสดงออกได้ ตามข้อเขียนในพารากราฟแรก ค่ะ





แก้ไขล่าสุดโดย โลกสวย เมื่อ 24 พ.ค. 2018, 03:02, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2018, 02:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


เด็กวัยก่อนเรียนอนุบาลน่ารักดีออก :b32: เขาเป็นวัยที่บริสุทธิ์ผ่องใสปราศจากผงชูรสปราศจากสารปนเปื้อน

ใครสอนธรรมะ ให้คุณมามั่วๆ แบบนั้น คะ

ว่า อย่างนั้น คือวัยบริสุทธิ์ผุดผ่อง ปราศจากผงชูรสปราสจากสารปนเปื้อน

ถ้าครูบาอาจารย์คุณสอนมาแบบนั้น บริสุทธิ์แบบนั้น ก็รีบไปตายพร้อมความบริสุทธิ์นั้นเหอะค่ะ



ตายไปตอนบริสุทธิ์แบบนั้น ก็ไปเวียนว่ายตายเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก


เพราะคุณตื้นเขิน ไม่ได้เรียนพระพุทธวิชชา ไม่ได้เรียนปริยัติ ปฎิบัติไม่เอาไหน
เลยปล่อยความรู้มั่วๆๆๆ ออกมา

รู้มาผิดๆๆๆๆๆ เข้าใจผิดๆๆๆๆๆ จำมาผิดๆๆๆๆๆ ครูบาอาจารย์คุณสอนมาผิดๆๆๆๆๆ

ไม่ตรงตามพระไตรปิฎก


เรยไม่รู้ว่า พระอรหันต์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่เรียกได้ว่า บริสุทธิ์ค่ะ



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2018, 07:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
นู๋เมช่วยตรวจบทความนี้ทีมีตรงไหนผิดไม่ตรงตามหลักธรรมบ้าง


ส่วนประกอบห้าอย่างของชีวิต

ตัวสภาวะ

พุทธธรรมมองเห็นสิ่งทั้งหลายเป็นธาตุ เป็นธรรม เป็นสภาวะ อันมีอยู่เป็นอยู่ตามภาวะของมัน ที่เป็นของมันอย่างนั้น เช่นนั้น ตามธรรมดาของมัน มิใช่มีเป็นสัตว์ บุคคล อัตตา ตัวตน เราเขา ที่จะยึดถือเอาเป็นเจ้าของ ครอบครอง บังคับบัญชาให้เป็นไปตามปรารถนาอย่างไรๆ ได้

บรรดาสิ่งทั้งหลายที่รู้จักเข้าใจกันอยู่โดยทั่วไปนั้น มีอยู่เป็นอยู่เป็นไปในรูปของส่วนประกอบต่างๆ ที่มาประชุมกัน ตัวตนแท้ๆ ของสิ่งทั้งหลายไม่มี
เมื่อแยกส่วนต่างๆ ที่มาประกอบกันเข้านั้นออกไป ให้หมด ก็จะไม่พบตัวตนของสิ่งนั้นเหลืออยู่ ตัวอย่างง่ายๆ ที่ยกขึ้นอ้างกันบ่อยๆ คือ "รถ" เมื่อนำส่วนประกอบต่างๆมาประกอบเข้าด้วยกันตามแบบที่กำหนด ก็บัญญัติเรียกกันว่า "รถ"
แต่ถ้าแยกส่วนประกอบทั้งหมดออกจากกัน ก็จะหาตัวตนของรถไม่ได้ มีแต่ส่วนประกอบทั้งหลาย ซึ่งมีชื่อเรียกต่างๆกัน จำเพาะแต่ละอย่างอยู่แล้ว คือตัวตนของรถมิได้มีอยู่ต่างหากจากส่วนประกอบเหล่า
นั้น มีแต่เพียงคำบัญญัติว่า "รถ"
สำหรับสภาพที่มารวมตัวกันเข้าของส่วนประกอบเหล่านั้น แม้ส่วนประกอบแต่ละอย่างๆนั้นเอง ก็ปรากฏขึ้นโดยการรวมกันเข้าของส่วนประกอบย่อยๆ ต่อๆไปอีก และหาตัวตนที่แท้ไม่พบเช่นเดียวกัน

เมื่อจะพูดว่าสิ่งทั้งหลายมีอยู่ ก็ต้องเข้าใจในความหมายว่า มีอยู่ในฐานะมีส่วนประกอบต่างๆ มาประชุมเข้าด้วยกัน

เมื่อมองเห็นสภาพของสิ่งทั้งหลายในรูปของการประชุมส่วนประกอบเช่นนี้ พุทธธรรมจึงต้องแสดงต่อไปว่า ส่วนประกอบต่างๆ เหล่านั้นเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง อย่างน้อยก็พอเป็นตัวอย่าง และโดยที่พุทธธรรมมีความเกี่ยวข้องเป็นพิเศษกับเรื่องชีวิต โดยเฉพาะด้านจิตใจ การแสดงส่วนประกอบต่างๆ จึงต้องครอบคลุมทั้งวัตถุและจิตใจ หรือทั้งรูปธรรมและนามธรรม และมักแยกเป็นพิเศษในด้านจิตใจ

การแสดงส่วนประกอบต่างๆนั้น ย่อมทำได้หลายแบบ สุดแต่วัตถุประสงค์จำเพาะของการแสดงแบบนั้นๆแต่ในที่นี้ แสดงแบบขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นแบบที่นิยมในพระสูตร

โดยวิธีแบ่งแบบขันธ์ ๕ พุทธธรรมแยกแยะชีวิตพร้อมทั้งองคาพยพทั้งหมดที่บัญญัติเรียกว่า "สัตว์" "บุคคล" ฯลฯ ออกเป็นส่วนประกอบต่างๆ ๕ ประเภท หรือ ๕ หมวด เรียกทางธรรมว่า เบญจขันธ์ คือ

๑. รูป ได้แก่ ส่วนประกอบฝ่ายรูปธรรมทั้งหมด ร่างกาย และพฤติกรรมทั้งหมดของร่างกาย หรือสสารและพลังงานฝ่ายวัตถุ พร้อมทั้งคุณสมบัติ และพฤติกรรมต่างๆ ของสสารพลังงานเหล่านั้น

๒. เวทนา ได้แก่ ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ ซึ่งเกิดจากผัสสะทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ

๓. สัญญา ได้แก่ ความกำหนดได้ หรือหมายรู้ คือ กำหนดรู้อาการเครื่องหมายลักษณะต่างๆ อันเป็นเหตุให้จำอารมณ์ (object) นั้นๆได้

๔. สังขาร ได้แก่ องค์ประกอบหรือคุณสมบัติต่างๆของจิต มีเจตนาเป็นตัวนำ ซึ่งแต่งจิตให้ดีหรือชั่วหรือเป็นกลางๆ ปรุงแปรการตริตรึกนึกคิดในใจ และการแสดงออกทางกาย วาจา ให้เป็นไปต่างๆ เป็นที่มาของกรรม เช่น ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ปัญญา โมหะ โลภะ โทสะ มานะ ทิฏฐิ อิสสา มัจฉริยะ เป็นต้น เรียกรวมอย่างง่ายๆว่า เครื่องปรุงของจิต เครื่องปรุงของความคิด หรือเครื่องปรุงของกรรม

๕. วิญญาณ ได้แก่ ความรู้แจ้งอารมณ์ทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ คือ การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรู้รส การรู้สัมผัสทางกาย และการรู้อารมณ์ทางใจ

ข้อ ๑ เป็นรูปขันธ์ ๔ ข้อหลังเป็นนามขันธ์ เรียกสั้นๆว่า รูปนาม



บอกตงๆ

บทความเหล่านี้ จากการที่หนูเคยเห็น เคยศึกษาค้นคว้าเล่าเรียนมา

ไม่เคยเห็นจะถอดองค์ธรรม ตามพระอภิธรรมได้เรยค่ะ

และไม่เห็นเขียนถึง คนต้นเหตุสำคัญที่แอบหลบหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์
ก่อนเกิดวันมหาวิปโยค 6 ตุลา

มีแต่ กรณีธรรมกาย

และ ไม่เห็นพุทธรรมที่แสดงออกได้ ตามข้อเขียนในพารากราฟแรก ค่ะ



อ้างคำพูด:
บทความเหล่านี้ จากการที่หนูเคยเห็น เคยศึกษาค้นคว้าเล่าเรียนมา ไม่เคยเห็นจะถอดองค์ธรรม ตามพระอภิธรรมได้เรยค่ะ


จะถอดนั่นถอดนี่ นู๋เมคิดเห็นว่าพระอภิธรรมเป็นเสื้อผ้าหรือยังไง ถึงจะถอดได้ ป๊าดติเถเถนา :b12:

เอางี้สั้นๆ คนนี่เป็นอภิธรรมไหม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2018, 07:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
เด็กวัยก่อนเรียนอนุบาลน่ารักดีออก :b32: เขาเป็นวัยที่บริสุทธิ์ผ่องใสปราศจากผงชูรสปราศจากสารปนเปื้อน

ใครสอนธรรมะ ให้คุณมามั่วๆ แบบนั้น คะ

ว่า อย่างนั้น คือวัยบริสุทธิ์ผุดผ่อง ปราศจากผงชูรสปราสจากสารปนเปื้อน

ถ้าครูบาอาจารย์คุณสอนมาแบบนั้น บริสุทธิ์แบบนั้น ก็รีบไปตายพร้อมความบริสุทธิ์นั้นเหอะค่ะ



ตายไปตอนบริสุทธิ์แบบนั้น ก็ไปเวียนว่ายตายเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก


เพราะคุณตื้นเขิน ไม่ได้เรียนพระพุทธวิชชา ไม่ได้เรียนปริยัติ ปฎิบัติไม่เอาไหน
เลยปล่อยความรู้มั่วๆๆๆ ออกมา

รู้มาผิดๆๆๆๆๆ เข้าใจผิดๆๆๆๆๆ จำมาผิดๆๆๆๆๆ ครูบาอาจารย์คุณสอนมาผิดๆๆๆๆๆ

ไม่ตรงตามพระไตรปิฎก


เรยไม่รู้ว่า พระอรหันต์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่เรียกได้ว่า บริสุทธิ์ค่ะ




ถ้านู่เมโลกสวย นับถือศาสนาพระเจ้านะจะรุ่ง คือ จินตนาการได้ดี แต่สำหรับพุทธศาสนาไม่เหมาะกับนู่เม จริงๆนะ ไม่ใช่พูดเล่น :b32:

พุทธวิชชาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อะไรพุทธวิชชา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2018, 13:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
เด็กวัยก่อนเรียนอนุบาลน่ารักดีออก :b32: เขาเป็นวัยที่บริสุทธิ์ผ่องใสปราศจากผงชูรสปราศจากสารปนเปื้อน

ใครสอนธรรมะ ให้คุณมามั่วๆ แบบนั้น คะ

ว่า อย่างนั้น คือวัยบริสุทธิ์ผุดผ่อง ปราศจากผงชูรสปราสจากสารปนเปื้อน

ถ้าครูบาอาจารย์คุณสอนมาแบบนั้น บริสุทธิ์แบบนั้น ก็รีบไปตายพร้อมความบริสุทธิ์นั้นเหอะค่ะ



ตายไปตอนบริสุทธิ์แบบนั้น ก็ไปเวียนว่ายตายเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก


เพราะคุณตื้นเขิน ไม่ได้เรียนพระพุทธวิชชา ไม่ได้เรียนปริยัติ ปฎิบัติไม่เอาไหน
เลยปล่อยความรู้มั่วๆๆๆ ออกมา

รู้มาผิดๆๆๆๆๆ เข้าใจผิดๆๆๆๆๆ จำมาผิดๆๆๆๆๆ ครูบาอาจารย์คุณสอนมาผิดๆๆๆๆๆ

ไม่ตรงตามพระไตรปิฎก


เรยไม่รู้ว่า พระอรหันต์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่เรียกได้ว่า บริสุทธิ์ค่ะ




ถ้านู่เมโลกสวย นับถือศาสนาพระเจ้านะจะรุ่ง คือ จินตนาการได้ดี แต่สำหรับพุทธศาสนาไม่เหมาะกับนู่เม จริงๆนะ ไม่ใช่พูดเล่น :b32:

พุทธวิชชาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อะไรพุทธวิชชา


พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ทรงเคารพพระธรรม

หนู ก็เคารพพระธรรม ไม่ว่าจะของศาสนาใดๆที่เป็นไปเพื่อกุศลจิต

แต่คนไม่มีธรรม อย่างคุณกรัชกาย จะเคี่ยวเข็ญด้วยชีวิต หรือ จ้างให้หนูนับถือ หนูก็ไม่นับถือหรอกค่ะ




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2018, 13:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
นู๋เมช่วยตรวจบทความนี้ทีมีตรงไหนผิดไม่ตรงตามหลักธรรมบ้าง


ส่วนประกอบห้าอย่างของชีวิต

ตัวสภาวะ

พุทธธรรมมองเห็นสิ่งทั้งหลายเป็นธาตุ เป็นธรรม เป็นสภาวะ อันมีอยู่เป็นอยู่ตามภาวะของมัน ที่เป็นของมันอย่างนั้น เช่นนั้น ตามธรรมดาของมัน มิใช่มีเป็นสัตว์ บุคคล อัตตา ตัวตน เราเขา ที่จะยึดถือเอาเป็นเจ้าของ ครอบครอง บังคับบัญชาให้เป็นไปตามปรารถนาอย่างไรๆ ได้

บรรดาสิ่งทั้งหลายที่รู้จักเข้าใจกันอยู่โดยทั่วไปนั้น มีอยู่เป็นอยู่เป็นไปในรูปของส่วนประกอบต่างๆ ที่มาประชุมกัน ตัวตนแท้ๆ ของสิ่งทั้งหลายไม่มี
เมื่อแยกส่วนต่างๆ ที่มาประกอบกันเข้านั้นออกไป ให้หมด ก็จะไม่พบตัวตนของสิ่งนั้นเหลืออยู่ ตัวอย่างง่ายๆ ที่ยกขึ้นอ้างกันบ่อยๆ คือ "รถ" เมื่อนำส่วนประกอบต่างๆมาประกอบเข้าด้วยกันตามแบบที่กำหนด ก็บัญญัติเรียกกันว่า "รถ"
แต่ถ้าแยกส่วนประกอบทั้งหมดออกจากกัน ก็จะหาตัวตนของรถไม่ได้ มีแต่ส่วนประกอบทั้งหลาย ซึ่งมีชื่อเรียกต่างๆกัน จำเพาะแต่ละอย่างอยู่แล้ว คือตัวตนของรถมิได้มีอยู่ต่างหากจากส่วนประกอบเหล่า
นั้น มีแต่เพียงคำบัญญัติว่า "รถ"
สำหรับสภาพที่มารวมตัวกันเข้าของส่วนประกอบเหล่านั้น แม้ส่วนประกอบแต่ละอย่างๆนั้นเอง ก็ปรากฏขึ้นโดยการรวมกันเข้าของส่วนประกอบย่อยๆ ต่อๆไปอีก และหาตัวตนที่แท้ไม่พบเช่นเดียวกัน

เมื่อจะพูดว่าสิ่งทั้งหลายมีอยู่ ก็ต้องเข้าใจในความหมายว่า มีอยู่ในฐานะมีส่วนประกอบต่างๆ มาประชุมเข้าด้วยกัน

เมื่อมองเห็นสภาพของสิ่งทั้งหลายในรูปของการประชุมส่วนประกอบเช่นนี้ พุทธธรรมจึงต้องแสดงต่อไปว่า ส่วนประกอบต่างๆ เหล่านั้นเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง อย่างน้อยก็พอเป็นตัวอย่าง และโดยที่พุทธธรรมมีความเกี่ยวข้องเป็นพิเศษกับเรื่องชีวิต โดยเฉพาะด้านจิตใจ การแสดงส่วนประกอบต่างๆ จึงต้องครอบคลุมทั้งวัตถุและจิตใจ หรือทั้งรูปธรรมและนามธรรม และมักแยกเป็นพิเศษในด้านจิตใจ

การแสดงส่วนประกอบต่างๆนั้น ย่อมทำได้หลายแบบ สุดแต่วัตถุประสงค์จำเพาะของการแสดงแบบนั้นๆแต่ในที่นี้ แสดงแบบขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นแบบที่นิยมในพระสูตร

โดยวิธีแบ่งแบบขันธ์ ๕ พุทธธรรมแยกแยะชีวิตพร้อมทั้งองคาพยพทั้งหมดที่บัญญัติเรียกว่า "สัตว์" "บุคคล" ฯลฯ ออกเป็นส่วนประกอบต่างๆ ๕ ประเภท หรือ ๕ หมวด เรียกทางธรรมว่า เบญจขันธ์ คือ

๑. รูป ได้แก่ ส่วนประกอบฝ่ายรูปธรรมทั้งหมด ร่างกาย และพฤติกรรมทั้งหมดของร่างกาย หรือสสารและพลังงานฝ่ายวัตถุ พร้อมทั้งคุณสมบัติ และพฤติกรรมต่างๆ ของสสารพลังงานเหล่านั้น

๒. เวทนา ได้แก่ ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ ซึ่งเกิดจากผัสสะทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ

๓. สัญญา ได้แก่ ความกำหนดได้ หรือหมายรู้ คือ กำหนดรู้อาการเครื่องหมายลักษณะต่างๆ อันเป็นเหตุให้จำอารมณ์ (object) นั้นๆได้

๔. สังขาร ได้แก่ องค์ประกอบหรือคุณสมบัติต่างๆของจิต มีเจตนาเป็นตัวนำ ซึ่งแต่งจิตให้ดีหรือชั่วหรือเป็นกลางๆ ปรุงแปรการตริตรึกนึกคิดในใจ และการแสดงออกทางกาย วาจา ให้เป็นไปต่างๆ เป็นที่มาของกรรม เช่น ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ปัญญา โมหะ โลภะ โทสะ มานะ ทิฏฐิ อิสสา มัจฉริยะ เป็นต้น เรียกรวมอย่างง่ายๆว่า เครื่องปรุงของจิต เครื่องปรุงของความคิด หรือเครื่องปรุงของกรรม

๕. วิญญาณ ได้แก่ ความรู้แจ้งอารมณ์ทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ คือ การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรู้รส การรู้สัมผัสทางกาย และการรู้อารมณ์ทางใจ

ข้อ ๑ เป็นรูปขันธ์ ๔ ข้อหลังเป็นนามขันธ์ เรียกสั้นๆว่า รูปนาม



บอกตงๆ

บทความเหล่านี้ จากการที่หนูเคยเห็น เคยศึกษาค้นคว้าเล่าเรียนมา

ไม่เคยเห็นจะถอดองค์ธรรม ตามพระอภิธรรมได้เรยค่ะ

และไม่เห็นเขียนถึง คนต้นเหตุสำคัญที่แอบหลบหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์
ก่อนเกิดวันมหาวิปโยค 6 ตุลา

มีแต่ กรณีธรรมกาย

และ ไม่เห็นพุทธรรมที่แสดงออกได้ ตามข้อเขียนในพารากราฟแรก ค่ะ



อ้างคำพูด:
บทความเหล่านี้ จากการที่หนูเคยเห็น เคยศึกษาค้นคว้าเล่าเรียนมา ไม่เคยเห็นจะถอดองค์ธรรม ตามพระอภิธรรมได้เรยค่ะ


จะถอดนั่นถอดนี่ นู๋เมคิดเห็นว่าพระอภิธรรมเป็นเสื้อผ้าหรือยังไง ถึงจะถอดได้ ป๊าดติเถเถนา :b12:

เอางี้สั้นๆ คนนี่เป็นอภิธรรมไหม


อยากได้สั้นๆ ก็ตอบให้สั้นๆค่ะ

คนๆนี้ เหมือนกูเกิล ที่แปลภาษาได้ ฮามากค่ะ

เหมือนดิคชันนารี ที่แปลภาษาทีละคำๆ

แต่ ตัวเองไม่เข้าใจ

ตัวอย่างเหมือนว่าการทำอนันตริยกรรมทำสงฆ์แตกแยก ได้แต่แปล แปลได้ แต่ไม่รู้รสชาดการลงนรกค่ะ

ไปนอนก่อนแระค่ะ ง่วงแล้ว

บ๊ายบาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2018, 19:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
นู๋เมช่วยตรวจบทความนี้ทีมีตรงไหนผิดไม่ตรงตามหลักธรรมบ้าง


ส่วนประกอบห้าอย่างของชีวิต

ตัวสภาวะ

พุทธธรรมมองเห็นสิ่งทั้งหลายเป็นธาตุ เป็นธรรม เป็นสภาวะ อันมีอยู่เป็นอยู่ตามภาวะของมัน ที่เป็นของมันอย่างนั้น เช่นนั้น ตามธรรมดาของมัน มิใช่มีเป็นสัตว์ บุคคล อัตตา ตัวตน เราเขา ที่จะยึดถือเอาเป็นเจ้าของ ครอบครอง บังคับบัญชาให้เป็นไปตามปรารถนาอย่างไรๆ ได้

บรรดาสิ่งทั้งหลายที่รู้จักเข้าใจกันอยู่โดยทั่วไปนั้น มีอยู่เป็นอยู่เป็นไปในรูปของส่วนประกอบต่างๆ ที่มาประชุมกัน ตัวตนแท้ๆ ของสิ่งทั้งหลายไม่มี
เมื่อแยกส่วนต่างๆ ที่มาประกอบกันเข้านั้นออกไป ให้หมด ก็จะไม่พบตัวตนของสิ่งนั้นเหลืออยู่ ตัวอย่างง่ายๆ ที่ยกขึ้นอ้างกันบ่อยๆ คือ "รถ" เมื่อนำส่วนประกอบต่างๆมาประกอบเข้าด้วยกันตามแบบที่กำหนด ก็บัญญัติเรียกกันว่า "รถ"
แต่ถ้าแยกส่วนประกอบทั้งหมดออกจากกัน ก็จะหาตัวตนของรถไม่ได้ มีแต่ส่วนประกอบทั้งหลาย ซึ่งมีชื่อเรียกต่างๆกัน จำเพาะแต่ละอย่างอยู่แล้ว คือตัวตนของรถมิได้มีอยู่ต่างหากจากส่วนประกอบเหล่า
นั้น มีแต่เพียงคำบัญญัติว่า "รถ"
สำหรับสภาพที่มารวมตัวกันเข้าของส่วนประกอบเหล่านั้น แม้ส่วนประกอบแต่ละอย่างๆนั้นเอง ก็ปรากฏขึ้นโดยการรวมกันเข้าของส่วนประกอบย่อยๆ ต่อๆไปอีก และหาตัวตนที่แท้ไม่พบเช่นเดียวกัน

เมื่อจะพูดว่าสิ่งทั้งหลายมีอยู่ ก็ต้องเข้าใจในความหมายว่า มีอยู่ในฐานะมีส่วนประกอบต่างๆ มาประชุมเข้าด้วยกัน

เมื่อมองเห็นสภาพของสิ่งทั้งหลายในรูปของการประชุมส่วนประกอบเช่นนี้ พุทธธรรมจึงต้องแสดงต่อไปว่า ส่วนประกอบต่างๆ เหล่านั้นเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง อย่างน้อยก็พอเป็นตัวอย่าง และโดยที่พุทธธรรมมีความเกี่ยวข้องเป็นพิเศษกับเรื่องชีวิต โดยเฉพาะด้านจิตใจ การแสดงส่วนประกอบต่างๆ จึงต้องครอบคลุมทั้งวัตถุและจิตใจ หรือทั้งรูปธรรมและนามธรรม และมักแยกเป็นพิเศษในด้านจิตใจ

การแสดงส่วนประกอบต่างๆนั้น ย่อมทำได้หลายแบบ สุดแต่วัตถุประสงค์จำเพาะของการแสดงแบบนั้นๆแต่ในที่นี้ แสดงแบบขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นแบบที่นิยมในพระสูตร

โดยวิธีแบ่งแบบขันธ์ ๕ พุทธธรรมแยกแยะชีวิตพร้อมทั้งองคาพยพทั้งหมดที่บัญญัติเรียกว่า "สัตว์" "บุคคล" ฯลฯ ออกเป็นส่วนประกอบต่างๆ ๕ ประเภท หรือ ๕ หมวด เรียกทางธรรมว่า เบญจขันธ์ คือ

๑. รูป ได้แก่ ส่วนประกอบฝ่ายรูปธรรมทั้งหมด ร่างกาย และพฤติกรรมทั้งหมดของร่างกาย หรือสสารและพลังงานฝ่ายวัตถุ พร้อมทั้งคุณสมบัติ และพฤติกรรมต่างๆ ของสสารพลังงานเหล่านั้น

๒. เวทนา ได้แก่ ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ ซึ่งเกิดจากผัสสะทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ

๓. สัญญา ได้แก่ ความกำหนดได้ หรือหมายรู้ คือ กำหนดรู้อาการเครื่องหมายลักษณะต่างๆ อันเป็นเหตุให้จำอารมณ์ (object) นั้นๆได้

๔. สังขาร ได้แก่ องค์ประกอบหรือคุณสมบัติต่างๆของจิต มีเจตนาเป็นตัวนำ ซึ่งแต่งจิตให้ดีหรือชั่วหรือเป็นกลางๆ ปรุงแปรการตริตรึกนึกคิดในใจ และการแสดงออกทางกาย วาจา ให้เป็นไปต่างๆ เป็นที่มาของกรรม เช่น ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ปัญญา โมหะ โลภะ โทสะ มานะ ทิฏฐิ อิสสา มัจฉริยะ เป็นต้น เรียกรวมอย่างง่ายๆว่า เครื่องปรุงของจิต เครื่องปรุงของความคิด หรือเครื่องปรุงของกรรม

๕. วิญญาณ ได้แก่ ความรู้แจ้งอารมณ์ทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ คือ การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรู้รส การรู้สัมผัสทางกาย และการรู้อารมณ์ทางใจ

ข้อ ๑ เป็นรูปขันธ์ ๔ ข้อหลังเป็นนามขันธ์ เรียกสั้นๆว่า รูปนาม



บอกตงๆ

บทความเหล่านี้ จากการที่หนูเคยเห็น เคยศึกษาค้นคว้าเล่าเรียนมา

ไม่เคยเห็นจะถอดองค์ธรรม ตามพระอภิธรรมได้เรยค่ะ

และไม่เห็นเขียนถึง คนต้นเหตุสำคัญที่แอบหลบหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์
ก่อนเกิดวันมหาวิปโยค 6 ตุลา

มีแต่ กรณีธรรมกาย

และ ไม่เห็นพุทธรรมที่แสดงออกได้ ตามข้อเขียนในพารากราฟแรก ค่ะ



อ้างคำพูด:
บทความเหล่านี้ จากการที่หนูเคยเห็น เคยศึกษาค้นคว้าเล่าเรียนมา ไม่เคยเห็นจะถอดองค์ธรรม ตามพระอภิธรรมได้เรยค่ะ


จะถอดนั่นถอดนี่ นู๋เมคิดเห็นว่าพระอภิธรรมเป็นเสื้อผ้าหรือยังไง ถึงจะถอดได้ ป๊าดติเถเถนา :b12:

เอางี้สั้นๆ คนนี่เป็นอภิธรรมไหม


อยากได้สั้นๆ ก็ตอบให้สั้นๆค่ะ

คนๆนี้ เหมือนกูเกิล ที่แปลภาษาได้ ฮามากค่ะ

เหมือนดิคชันนารี ที่แปลภาษาทีละคำๆ

แต่ ตัวเองไม่เข้าใจ

ตัวอย่างเหมือนว่าการทำอนันตริยกรรมทำสงฆ์แตกแยก ได้แต่แปล แปลได้ แต่ไม่รู้รสชาดการลงนรกค่ะ

ไปนอนก่อนแระค่ะ ง่วงแล้ว

บ๊ายบาย



โดยรวมนู๋เมไม่เข้าใจพุทธธรรมเลย

ตอนนี้อยากจะบอกนู๋เมว่า เซตซีโร่หน่วยความจำเรื่องหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่จำๆไว้แต่เก่าก่อนออกให้หมดแล้วมาเริ่มศึกษาใหม่ตั้งต้นจาก 0 คือทำบุญพื้นๆมองๆเห็นได้ไปก่อน เช่น ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ถวายสังฆทาน ฯลฯ ปล่อยสัตว์น้ำสัตว์บกไปก่อนสัก 40 ปี (ถึงตอนนั้นนู๋เมอายุ 60 เศษๆ) หลังจากนั้นค่อยมาว่ากันอีกที :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2018, 00:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
นู๋เมช่วยตรวจบทความนี้ทีมีตรงไหนผิดไม่ตรงตามหลักธรรมบ้าง


ส่วนประกอบห้าอย่างของชีวิต

ตัวสภาวะ

พุทธธรรมมองเห็นสิ่งทั้งหลายเป็นธาตุ เป็นธรรม เป็นสภาวะ อันมีอยู่เป็นอยู่ตามภาวะของมัน ที่เป็นของมันอย่างนั้น เช่นนั้น ตามธรรมดาของมัน มิใช่มีเป็นสัตว์ บุคคล อัตตา ตัวตน เราเขา ที่จะยึดถือเอาเป็นเจ้าของ ครอบครอง บังคับบัญชาให้เป็นไปตามปรารถนาอย่างไรๆ ได้

บรรดาสิ่งทั้งหลายที่รู้จักเข้าใจกันอยู่โดยทั่วไปนั้น มีอยู่เป็นอยู่เป็นไปในรูปของส่วนประกอบต่างๆ ที่มาประชุมกัน ตัวตนแท้ๆ ของสิ่งทั้งหลายไม่มี
เมื่อแยกส่วนต่างๆ ที่มาประกอบกันเข้านั้นออกไป ให้หมด ก็จะไม่พบตัวตนของสิ่งนั้นเหลืออยู่ ตัวอย่างง่ายๆ ที่ยกขึ้นอ้างกันบ่อยๆ คือ "รถ" เมื่อนำส่วนประกอบต่างๆมาประกอบเข้าด้วยกันตามแบบที่กำหนด ก็บัญญัติเรียกกันว่า "รถ"
แต่ถ้าแยกส่วนประกอบทั้งหมดออกจากกัน ก็จะหาตัวตนของรถไม่ได้ มีแต่ส่วนประกอบทั้งหลาย ซึ่งมีชื่อเรียกต่างๆกัน จำเพาะแต่ละอย่างอยู่แล้ว คือตัวตนของรถมิได้มีอยู่ต่างหากจากส่วนประกอบเหล่า
นั้น มีแต่เพียงคำบัญญัติว่า "รถ"
สำหรับสภาพที่มารวมตัวกันเข้าของส่วนประกอบเหล่านั้น แม้ส่วนประกอบแต่ละอย่างๆนั้นเอง ก็ปรากฏขึ้นโดยการรวมกันเข้าของส่วนประกอบย่อยๆ ต่อๆไปอีก และหาตัวตนที่แท้ไม่พบเช่นเดียวกัน

เมื่อจะพูดว่าสิ่งทั้งหลายมีอยู่ ก็ต้องเข้าใจในความหมายว่า มีอยู่ในฐานะมีส่วนประกอบต่างๆ มาประชุมเข้าด้วยกัน

เมื่อมองเห็นสภาพของสิ่งทั้งหลายในรูปของการประชุมส่วนประกอบเช่นนี้ พุทธธรรมจึงต้องแสดงต่อไปว่า ส่วนประกอบต่างๆ เหล่านั้นเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง อย่างน้อยก็พอเป็นตัวอย่าง และโดยที่พุทธธรรมมีความเกี่ยวข้องเป็นพิเศษกับเรื่องชีวิต โดยเฉพาะด้านจิตใจ การแสดงส่วนประกอบต่างๆ จึงต้องครอบคลุมทั้งวัตถุและจิตใจ หรือทั้งรูปธรรมและนามธรรม และมักแยกเป็นพิเศษในด้านจิตใจ

การแสดงส่วนประกอบต่างๆนั้น ย่อมทำได้หลายแบบ สุดแต่วัตถุประสงค์จำเพาะของการแสดงแบบนั้นๆแต่ในที่นี้ แสดงแบบขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นแบบที่นิยมในพระสูตร

โดยวิธีแบ่งแบบขันธ์ ๕ พุทธธรรมแยกแยะชีวิตพร้อมทั้งองคาพยพทั้งหมดที่บัญญัติเรียกว่า "สัตว์" "บุคคล" ฯลฯ ออกเป็นส่วนประกอบต่างๆ ๕ ประเภท หรือ ๕ หมวด เรียกทางธรรมว่า เบญจขันธ์ คือ

๑. รูป ได้แก่ ส่วนประกอบฝ่ายรูปธรรมทั้งหมด ร่างกาย และพฤติกรรมทั้งหมดของร่างกาย หรือสสารและพลังงานฝ่ายวัตถุ พร้อมทั้งคุณสมบัติ และพฤติกรรมต่างๆ ของสสารพลังงานเหล่านั้น

๒. เวทนา ได้แก่ ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ ซึ่งเกิดจากผัสสะทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ

๓. สัญญา ได้แก่ ความกำหนดได้ หรือหมายรู้ คือ กำหนดรู้อาการเครื่องหมายลักษณะต่างๆ อันเป็นเหตุให้จำอารมณ์ (object) นั้นๆได้

๔. สังขาร ได้แก่ องค์ประกอบหรือคุณสมบัติต่างๆของจิต มีเจตนาเป็นตัวนำ ซึ่งแต่งจิตให้ดีหรือชั่วหรือเป็นกลางๆ ปรุงแปรการตริตรึกนึกคิดในใจ และการแสดงออกทางกาย วาจา ให้เป็นไปต่างๆ เป็นที่มาของกรรม เช่น ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ปัญญา โมหะ โลภะ โทสะ มานะ ทิฏฐิ อิสสา มัจฉริยะ เป็นต้น เรียกรวมอย่างง่ายๆว่า เครื่องปรุงของจิต เครื่องปรุงของความคิด หรือเครื่องปรุงของกรรม

๕. วิญญาณ ได้แก่ ความรู้แจ้งอารมณ์ทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ คือ การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรู้รส การรู้สัมผัสทางกาย และการรู้อารมณ์ทางใจ

ข้อ ๑ เป็นรูปขันธ์ ๔ ข้อหลังเป็นนามขันธ์ เรียกสั้นๆว่า รูปนาม



บอกตงๆ

บทความเหล่านี้ จากการที่หนูเคยเห็น เคยศึกษาค้นคว้าเล่าเรียนมา

ไม่เคยเห็นจะถอดองค์ธรรม ตามพระอภิธรรมได้เรยค่ะ

และไม่เห็นเขียนถึง คนต้นเหตุสำคัญที่แอบหลบหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์
ก่อนเกิดวันมหาวิปโยค 6 ตุลา

มีแต่ กรณีธรรมกาย

และ ไม่เห็นพุทธรรมที่แสดงออกได้ ตามข้อเขียนในพารากราฟแรก ค่ะ



อ้างคำพูด:
บทความเหล่านี้ จากการที่หนูเคยเห็น เคยศึกษาค้นคว้าเล่าเรียนมา ไม่เคยเห็นจะถอดองค์ธรรม ตามพระอภิธรรมได้เรยค่ะ


จะถอดนั่นถอดนี่ นู๋เมคิดเห็นว่าพระอภิธรรมเป็นเสื้อผ้าหรือยังไง ถึงจะถอดได้ ป๊าดติเถเถนา :b12:

เอางี้สั้นๆ คนนี่เป็นอภิธรรมไหม


อยากได้สั้นๆ ก็ตอบให้สั้นๆค่ะ

คนๆนี้ เหมือนกูเกิล ที่แปลภาษาได้ ฮามากค่ะ

เหมือนดิคชันนารี ที่แปลภาษาทีละคำๆ

แต่ ตัวเองไม่เข้าใจ

ตัวอย่างเหมือนว่าการทำอนันตริยกรรมทำสงฆ์แตกแยก ได้แต่แปล แปลได้ แต่ไม่รู้รสชาดการลงนรกค่ะ

ไปนอนก่อนแระค่ะ ง่วงแล้ว

บ๊ายบาย



โดยรวมนู๋เมไม่เข้าใจพุทธธรรมเลย

ตอนนี้อยากจะบอกนู๋เมว่า เซตซีโร่หน่วยความจำเรื่องหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่จำๆไว้แต่เก่าก่อนออกให้หมดแล้วมาเริ่มศึกษาใหม่ตั้งต้นจาก 0 คือทำบุญพื้นๆมองๆเห็นได้ไปก่อน เช่น ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ถวายสังฆทาน ฯลฯ ปล่อยสัตว์น้ำสัตว์บกไปก่อนสัก 40 ปี (ถึงตอนนั้นนู๋เมอายุ 60 เศษๆ) หลังจากนั้นค่อยมาว่ากันอีกที :b13:


หนูไม่ใช่คนที่จะไหลไปตามลมปากใครง่ายๆหรอกค่ะ
ใครจะบอกว่าหนูไม่เข้าใจพุทธธรรม นั่นมันแค่เสียงจากปากคน

เสียงของคุณ คำพูดคุณไม่ทำให้หนูเลว ไม่ทำให้หนูไม่รู้เรื่อง ไปตามปากคุณได้หรอกค่ะ

แต่หนูมีความซื่อสัตย์ กะตัวเอง รู้ว่า หนูรู้ หรือไม่รู้
เรียนมาหรือไม่เรียนมาค่ะ และปฎิบัติได้แบบไหน

หนูถึง รู้ถึงไส้พุงคนนั่นว่า แปลได้แต่บาลีเหมือนที่กูเกิลแปลนั่นแหละ
ที่แปลตามตัวหนังสือ

ดังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า

เหมือนทัพพี ไม่รู้รสแกงนั่นแหละค่ะ
แม้จะจุ่มแช่อยู่ในน้ำแกงมานาน ก็ไม่รู้รสแกง

และยังมีอื่นๆอีกมาก ที่เจ้าตัวพยายามปกปิดกลบเกลื่อน
คุณคงรู้จักกันดี ก็นำความนี้ไปบอกเจ้าตัวเค้าได้เรยค่ะ
ฝากถามว่า รู้รสชาดแกงได้ดีแล้วหรือ รู้ท่วมหัวเอาตัวรอดหรือยัง
แล้วฝากไปบอกอีกด้วยว่า ถ้าเค้าไม่ตายเสียก่อน ต่อไปหนูจะไปสอนธรรมะให้นะคะ

คนนั้น ก็เช่นเดียวกับคุณกรัชกายค่ะ

ที่ไม่เคยมีความซื่อสัตย์ แม้นแต่ตัวเอง

แค่ยอมรับว่า อย่างไม่อายว่า ผมไม่ได้เรียนปริยัติ ไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้ปฎิบัติอะไร
ผมเพียงไปลอกเอาเวปต่างๆ มาตัดแปะ แสดงความรู้ท่วมหัว แต่เอาตัวไม่รอด ขอรับกระผม

นี่ง่ายๆ ที่แสดงความซื่อสัตย์ต่อตนเอง

นีหนูเมตตา สอนให้นะคะ ถึงความซื่อสัตย์ พื้นๆ สำหรับผู้ทรงคุณวุฒิแบบคุณค่ะ





โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2018, 07:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
นู๋เมช่วยตรวจบทความนี้ทีมีตรงไหนผิดไม่ตรงตามหลักธรรมบ้าง


ส่วนประกอบห้าอย่างของชีวิต

ตัวสภาวะ

พุทธธรรมมองเห็นสิ่งทั้งหลายเป็นธาตุ เป็นธรรม เป็นสภาวะ อันมีอยู่เป็นอยู่ตามภาวะของมัน ที่เป็นของมันอย่างนั้น เช่นนั้น ตามธรรมดาของมัน มิใช่มีเป็นสัตว์ บุคคล อัตตา ตัวตน เราเขา ที่จะยึดถือเอาเป็นเจ้าของ ครอบครอง บังคับบัญชาให้เป็นไปตามปรารถนาอย่างไรๆ ได้

บรรดาสิ่งทั้งหลายที่รู้จักเข้าใจกันอยู่โดยทั่วไปนั้น มีอยู่เป็นอยู่เป็นไปในรูปของส่วนประกอบต่างๆ ที่มาประชุมกัน ตัวตนแท้ๆ ของสิ่งทั้งหลายไม่มี
เมื่อแยกส่วนต่างๆ ที่มาประกอบกันเข้านั้นออกไป ให้หมด ก็จะไม่พบตัวตนของสิ่งนั้นเหลืออยู่ ตัวอย่างง่ายๆ ที่ยกขึ้นอ้างกันบ่อยๆ คือ "รถ" เมื่อนำส่วนประกอบต่างๆมาประกอบเข้าด้วยกันตามแบบที่กำหนด ก็บัญญัติเรียกกันว่า "รถ"
แต่ถ้าแยกส่วนประกอบทั้งหมดออกจากกัน ก็จะหาตัวตนของรถไม่ได้ มีแต่ส่วนประกอบทั้งหลาย ซึ่งมีชื่อเรียกต่างๆกัน จำเพาะแต่ละอย่างอยู่แล้ว คือตัวตนของรถมิได้มีอยู่ต่างหากจากส่วนประกอบเหล่า
นั้น มีแต่เพียงคำบัญญัติว่า "รถ"
สำหรับสภาพที่มารวมตัวกันเข้าของส่วนประกอบเหล่านั้น แม้ส่วนประกอบแต่ละอย่างๆนั้นเอง ก็ปรากฏขึ้นโดยการรวมกันเข้าของส่วนประกอบย่อยๆ ต่อๆไปอีก และหาตัวตนที่แท้ไม่พบเช่นเดียวกัน

เมื่อจะพูดว่าสิ่งทั้งหลายมีอยู่ ก็ต้องเข้าใจในความหมายว่า มีอยู่ในฐานะมีส่วนประกอบต่างๆ มาประชุมเข้าด้วยกัน

เมื่อมองเห็นสภาพของสิ่งทั้งหลายในรูปของการประชุมส่วนประกอบเช่นนี้ พุทธธรรมจึงต้องแสดงต่อไปว่า ส่วนประกอบต่างๆ เหล่านั้นเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง อย่างน้อยก็พอเป็นตัวอย่าง และโดยที่พุทธธรรมมีความเกี่ยวข้องเป็นพิเศษกับเรื่องชีวิต โดยเฉพาะด้านจิตใจ การแสดงส่วนประกอบต่างๆ จึงต้องครอบคลุมทั้งวัตถุและจิตใจ หรือทั้งรูปธรรมและนามธรรม และมักแยกเป็นพิเศษในด้านจิตใจ

การแสดงส่วนประกอบต่างๆนั้น ย่อมทำได้หลายแบบ สุดแต่วัตถุประสงค์จำเพาะของการแสดงแบบนั้นๆแต่ในที่นี้ แสดงแบบขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นแบบที่นิยมในพระสูตร

โดยวิธีแบ่งแบบขันธ์ ๕ พุทธธรรมแยกแยะชีวิตพร้อมทั้งองคาพยพทั้งหมดที่บัญญัติเรียกว่า "สัตว์" "บุคคล" ฯลฯ ออกเป็นส่วนประกอบต่างๆ ๕ ประเภท หรือ ๕ หมวด เรียกทางธรรมว่า เบญจขันธ์ คือ

๑. รูป ได้แก่ ส่วนประกอบฝ่ายรูปธรรมทั้งหมด ร่างกาย และพฤติกรรมทั้งหมดของร่างกาย หรือสสารและพลังงานฝ่ายวัตถุ พร้อมทั้งคุณสมบัติ และพฤติกรรมต่างๆ ของสสารพลังงานเหล่านั้น

๒. เวทนา ได้แก่ ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ ซึ่งเกิดจากผัสสะทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ

๓. สัญญา ได้แก่ ความกำหนดได้ หรือหมายรู้ คือ กำหนดรู้อาการเครื่องหมายลักษณะต่างๆ อันเป็นเหตุให้จำอารมณ์ (object) นั้นๆได้

๔. สังขาร ได้แก่ องค์ประกอบหรือคุณสมบัติต่างๆของจิต มีเจตนาเป็นตัวนำ ซึ่งแต่งจิตให้ดีหรือชั่วหรือเป็นกลางๆ ปรุงแปรการตริตรึกนึกคิดในใจ และการแสดงออกทางกาย วาจา ให้เป็นไปต่างๆ เป็นที่มาของกรรม เช่น ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ปัญญา โมหะ โลภะ โทสะ มานะ ทิฏฐิ อิสสา มัจฉริยะ เป็นต้น เรียกรวมอย่างง่ายๆว่า เครื่องปรุงของจิต เครื่องปรุงของความคิด หรือเครื่องปรุงของกรรม

๕. วิญญาณ ได้แก่ ความรู้แจ้งอารมณ์ทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ คือ การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรู้รส การรู้สัมผัสทางกาย และการรู้อารมณ์ทางใจ

ข้อ ๑ เป็นรูปขันธ์ ๔ ข้อหลังเป็นนามขันธ์ เรียกสั้นๆว่า รูปนาม



บอกตงๆ

บทความเหล่านี้ จากการที่หนูเคยเห็น เคยศึกษาค้นคว้าเล่าเรียนมา

ไม่เคยเห็นจะถอดองค์ธรรม ตามพระอภิธรรมได้เรยค่ะ

และไม่เห็นเขียนถึง คนต้นเหตุสำคัญที่แอบหลบหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์
ก่อนเกิดวันมหาวิปโยค 6 ตุลา

มีแต่ กรณีธรรมกาย

และ ไม่เห็นพุทธรรมที่แสดงออกได้ ตามข้อเขียนในพารากราฟแรก ค่ะ



อ้างคำพูด:
บทความเหล่านี้ จากการที่หนูเคยเห็น เคยศึกษาค้นคว้าเล่าเรียนมา ไม่เคยเห็นจะถอดองค์ธรรม ตามพระอภิธรรมได้เรยค่ะ


จะถอดนั่นถอดนี่ นู๋เมคิดเห็นว่าพระอภิธรรมเป็นเสื้อผ้าหรือยังไง ถึงจะถอดได้ ป๊าดติเถเถนา :b12:

เอางี้สั้นๆ คนนี่เป็นอภิธรรมไหม


อยากได้สั้นๆ ก็ตอบให้สั้นๆค่ะ

คนๆนี้ เหมือนกูเกิล ที่แปลภาษาได้ ฮามากค่ะ

เหมือนดิคชันนารี ที่แปลภาษาทีละคำๆ

แต่ ตัวเองไม่เข้าใจ

ตัวอย่างเหมือนว่าการทำอนันตริยกรรมทำสงฆ์แตกแยก ได้แต่แปล แปลได้ แต่ไม่รู้รสชาดการลงนรกค่ะ

ไปนอนก่อนแระค่ะ ง่วงแล้ว

บ๊ายบาย



โดยรวมนู๋เมไม่เข้าใจพุทธธรรมเลย

ตอนนี้อยากจะบอกนู๋เมว่า เซตซีโร่หน่วยความจำเรื่องหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่จำๆไว้แต่เก่าก่อนออกให้หมดแล้วมาเริ่มศึกษาใหม่ตั้งต้นจาก 0 คือทำบุญพื้นๆมองๆเห็นได้ไปก่อน เช่น ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ถวายสังฆทาน ฯลฯ ปล่อยสัตว์น้ำสัตว์บกไปก่อนสัก 40 ปี (ถึงตอนนั้นนู๋เมอายุ 60 เศษๆ) หลังจากนั้นค่อยมาว่ากันอีกที :b13:


หนูไม่ใช่คนที่จะไหลไปตามลมปากใครง่ายๆหรอกค่ะ
ใครจะบอกว่าหนูไม่เข้าใจพุทธธรรม นั่นมันแค่เสียงจากปากคน

เสียงของคุณ คำพูดคุณไม่ทำให้หนูเลว ไม่ทำให้หนูไม่รู้เรื่อง ไปตามปากคุณได้หรอกค่ะ

แต่หนูมีความซื่อสัตย์ กะตัวเอง รู้ว่า หนูรู้ หรือไม่รู้
เรียนมาหรือไม่เรียนมาค่ะ และปฎิบัติได้แบบไหน

หนูถึง รู้ถึงไส้พุงคนนั่นว่า แปลได้แต่บาลีเหมือนที่กูเกิลแปลนั่นแหละ
ที่แปลตามตัวหนังสือ

ดังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า

เหมือนทัพพี ไม่รู้รสแกงนั่นแหละค่ะ
แม้จะจุ่มแช่อยู่ในน้ำแกงมานาน ก็ไม่รู้รสแกง

และยังมีอื่นๆอีกมาก ที่เจ้าตัวพยายามปกปิดกลบเกลื่อน
คุณคงรู้จักกันดี ก็นำความนี้ไปบอกเจ้าตัวเค้าได้เรยค่ะ
ฝากถามว่า รู้รสชาดแกงได้ดีแล้วหรือ รู้ท่วมหัวเอาตัวรอดหรือยัง
แล้วฝากไปบอกอีกด้วยว่า ถ้าเค้าไม่ตายเสียก่อน ต่อไปหนูจะไปสอนธรรมะให้นะคะ

คนนั้น ก็เช่นเดียวกับคุณกรัชกายค่ะ

ที่ไม่เคยมีความซื่อสัตย์ แม้นแต่ตัวเอง

แค่ยอมรับว่า อย่างไม่อายว่า ผมไม่ได้เรียนปริยัติ ไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้ปฎิบัติอะไร
ผมเพียงไปลอกเอาเวปต่างๆ มาตัดแปะ แสดงความรู้ท่วมหัว แต่เอาตัวไม่รอด ขอรับกระผม

นี่ง่ายๆ ที่แสดงความซื่อสัตย์ต่อตนเอง

นีหนูเมตตา สอนให้นะคะ ถึงความซื่อสัตย์ พื้นๆ สำหรับผู้ทรงคุณวุฒิแบบคุณค่ะ





อ้าวบอกไม่เชื่อ :b32:
เด็กสมัยนี้นี่ดื้อจริงดื้อจัง ผู้หลักผู้ใหญ่บอกอะไรสอนอะไรไม่ฟังดอก โน่นหัวร้างข้างแตกแขนหักมานั่นแหละจึงนึกถึงคำบอกคำเตือนได้ พอรู้สึกสำนึกได้ ผู้มีพระคุณก็ไม่อยู่ให้ขอโทษขออภัยแล้ว ไม่อยู่แล้ว จึงได้แต่นึกเสียใจไม่น่าเลย ถ้าย้อนเวลาได้จะไม่ทำอย่างนี้อีกว่า :b1:

ทำนองนี้

https://www.youtube.com/watch?v=DTnX0IgZZ-g

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 45 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร