วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 06:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 24 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2016, 08:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b7:
อ้างคำพูด:
กรัชกาย มาอีกแระตะบอย ตะงอย :b1:


ท่านอโศกชี้ลงไปสิ ตรงไหนอัตตา อย่าตอบน้ำท่วมทุ่งนะ ชี้สิชี้ไปตรงไหนอัตตา



ที่สั่งในใจให้กรัชกายเขียน พูด หรือถามคำถามดังอ้างมาข้างบนนี้ไง คือตัวอัตตาของกรัชกาย สั่งใจกรัชกายให้ทำมโนกรรม วจีกรรม กายกรรมตอบ ถามในกระทู้อยู่ สังเกตเห็นบ้างไหม หรือไม่กระดิกหูเลย ธรรมะภาคปฏิบัติ การสังเกตจิต กาย ใจ ของตนเอง



อ้างคำพูด:
ที่สั่งในใจให้กรัชกายเขียน พูด หรือถามคำถามดังอ้างมาข้างบนนี้ไง คือตัวอัตตาของกรัชกาย

ฮ้า ถ้ายังไงั้น พระอรหันต์มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ก็ไม่ต้องขีดต้องเขียนอะไรแล้วสิงั้น นั่งนิ่งๆไม่พูดไม่จา :b32:

ชิๆ.....กรัชกาย....ยังบังอาจไปกล่าวอ้างพระพุทธเจ้า พระอรหันต์มาเทียบกับความคิดเห็นของปุถุชนคนสามัญเช่นตนเองอีกแล้ว......นี่ศัพท์สมัยใหม่เขาเรียกว่า...."โหน"
มาอ้างเพื่อยกตนไปทำสิ่งต่างๆ

มีในพระสูตรไหนบ้างที่กล่าวว่าพระพุทธเจ้าทรงนั่งเขียนหนังสือแต่งตำหรับตำรา หรือพระอรหันต์องค์ไหนที่เป็นนักเขียนชื่อดัง แม้แต่พระอานนท์ผู้มีความจำอันยอดเยี่ยม ไปค้นมาให้อ่านเร็วๆเข้านะ กรัชกาย

พระพุทธเจ้า พระอรหันตเจ้าทั้งหลายท่านหมดกิเลสตัณหาอัตตา มานะทิฏฐิทั้งสิ้นแล้ว ท่านอยู่ด้วยเมตตา พรหมวิหารธรรม อยู่ด้วยกิริยาจิต ไม่คิดไม่นึกทะยานอยากในสิ่งใด โปรดสัตว์โลกไปตามกำลังแห่งเหตุและปัจจัย ไม่ใช่แส่ไปดิ้นรนไปอย่างที่กรัชกายทำหรอกนะ ท่านบริสุทธิ์หมดจดแล้วจากอามิสทั้งปวง กรัชกายจงอย่าโหนหรืออย่าดึงท่านมาเทียบเพื่อยกตนอยู่เลย จักเป็นภัยใหญ่หลวงในการประพฤติปฏิบัติธรรมของกรัชกายเองนะ จะบอกให้


ท่านอโศกเอ้ย พระมหาโมคคัลลานะ ยังทำงานก่อสร้าง ดูแลนวกรรมนะ เออ :b32:

มิใช่หมดกิเลสแล้วนอนยิ้มทั้งวันงานการไม่ทำ ไม่ใช่อย่างที่ท่านอโศกมโนนะ เมืองไทยคิดแบบนี้เยอะพอสมควร :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2016, 18:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b7:
อ้างคำพูด:
กรัชกาย มาอีกแระตะบอย ตะงอย :b1:

ท่านอโศกชี้ลงไปสิ ตรงไหนอัตตา อย่าตอบน้ำท่วมทุ่งนะ ชี้สิชี้ไปตรงไหนอัตตา

ที่สั่งในใจให้กรัชกายเขียน พูด หรือถามคำถามดังอ้างมาข้างบนนี้ไง คือตัวอัตตาของกรัชกาย สั่งใจกรัชกายให้ทำมโนกรรม วจีกรรม กายกรรมตอบ ถามในกระทู้อยู่ สังเกตเห็นบ้างไหม หรือไม่กระดิกหูเลย ธรรมะภาคปฏิบัติ การสังเกตจิต กาย ใจ ของตนเอง





อ้างคำพูด:
ที่สั่งในใจให้กรัชกายเขียน พูด หรือถามคำถามดังอ้างมาข้างบนนี้ไง คือตัวอัตตา...สั่งใจกรัชกายให้ทำมโนกรรม วจีกรรม กายกรรมตอบ ถามในกระทู้อยู่ สังเกตเห็นบ้างไหม


เพ่ิ่งสังเกตเห็นความคิดท่านอโศกนี่ ชัดเลย

นี่แหละความคิดแบบพราหมณ์ที่คิดว่ากายใจนี่มีอาตมันซ่อนซ้อนคอยบังคับบัญชาชีวิตให้เป็นไป ชัดแจ๋วเลย คิกๆๆ

ท่านอโศกค้นหาอัตตา (บาลี) อาตมัน (สันสกฤต) ตัวนี้แหละมิจฉาทฺิฏฐิเต็มๆ :b32:

มันจบแล้วครับนาย :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2016, 18:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จริงๆนะ ด้วยความปรารถนาดี :b8: เพื่อไม่ให้ท่านอโศกหลงผิดไปมากกว่านี้ ถอยเถอะครับ มันลึกไป ถอยออกมาก่อน แล้วเริ่มต้นใหม่ คือทำบุญแบบเห็นๆ สัมผัสได้ เช่น ตักบาตรพระตอนเช้าๆ ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ถวายสังฆทาน ปิดทองฝังลูกนิมิต ปิดทองพระ ๙ วัด ปล่อยปลา ปล่อยนก ปล่อยเต่า ฯลฯ เถอะขอรับ :b27:

ฤดูทอดกฐินแล้ว ได้ซองมั่งยัง :b13:

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2016, 03:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
"...สัญญา กับ ปัญญา..."

พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ถาม : เวลาโลกธรรมทั้ง ๘ อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ผู้ที่ได้สดับแล้วเช่นข้าพเจ้าก็จำได้ว่า โลกธรรมทั้ง ๘ นี้ ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา แต่ทำไมในเวลาโลกธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ใจข้าพเจ้าจึงยินดียินร้ายไปตามโลกธรรมทั้ง ๘ นั้น

ท่านพระอาจารยมั่น ภูริทัตโต ตอบ : ผู้ที่สดับฟังที่จำทรงปริยัติธรรมไว้ได้มากนั้น เป็นแต่จำเรื่องราวในพระพุทธศาสนาที่จะนำมาประพฤติปฏิบัติ แต่ยังไม่ได้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติอย่างพระอริยสาวก จึงละความยินดียินร้าย ในธรรมทั้ง ๘ ไม่ได้

พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ถาม : ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติอยู่ คือเป็นผู้มีศีล มีธรรม และรู้เรื่องราวเข้าใจในคำสอนทั้งหลาย แต่ทำไมจึงละความยินดียินร้ายในโลกธรรมไม่ได้

ท่านพระอาจารยมั่น ภูริทัตโต ตอบ : ท่านรู้แต่ชั้นสัญญา ไม่รู้เห็นในชั้นปัญญา แต่สำคัญตนว่ารู้แล้ว เพราะนึกถึงธรรมเหล่าใดที่ได้จำทรงไว้ ก็ได้ความแจ่มแจ้งในชั้นสัญญา ไม่ใช่รู้เห็นตามความเป็นจริงซึ่งเป็นชั้นปัญญาเหมือนอย่างพระอริยสาวกที่ท่านได้เห็นความจริงคือ ไตรลักษณ์หรืออริยสัจ และได้ทำกิจตามหน้าที่ของอริยสัจทั้ง ๔ ด้วย จึงละความยินดียินร้ายในโลกธรรมทั้ง ๘ ไม่ได้

พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ถาม : ไตรลักษณ์และอริยสัจจ์นั้นข้าพเจ้าเข้าใจดี และอธิบายให้คนอื่นฟังอีกก็ได้ ทำไมจึงว่าข้าพเจ้าไม่รู้ หรือจะให้ข้าพเจ้าเทศน์ไตรลักษณ์และอริยสัจจ์ ๔ ให้ท่านฟังสักกัณฑ์ใหญ่ก็ได้

ท่านพระอาจารยมั่น ภูริทัตโต ตอบ : ข้าพเจ้าพูดถึงชั้นปัญญาของพระอริยสาวก ท่านก็พูดแต่ชั้นสัญญาอีกร่ำไป ท่านจงใคร่ครวญพิจารณาดูเองเถิด ถ้าความรู้ความเห็นของท่านไม่ใช่ชั้นสัญญา เป็นชั้นปัญญาแล้ว ก็คงละความยินดียินร้ายในโลกธรรมทั้ง ๘ ได้เหมือนอริยสาวก ที่ไหนจะเป็นปุถุชน

พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ถาม : ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่า ความรู้ชนิดไหนเป็นชั้นปัญญา เพราะข้าพเจ้านึกถึงธรรมทั้งหลายที่จำทรงไว้นั้น ก็ได้ความในคำสอนทั้งหลายอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง จึงสำคัญว่าเป็นชั้นปัญญา

ท่านพระอาจารยมั่น ภูริทัตโต ตอบ : ความจำทรงทั้งหลายไว้ได้มาก นี่เรียกว่าชั้นปริยัติ และนำคำสอนมาประพฤติปฏิบัติเจริญจรณะ ๑๕ จนแก่กล้าบริบูรณ์ขึ้นอีกแล้ว นี่เรียกว่าชั้นปฏิบัติ เมื่อวิชชาและวิมุตติเกิดขึ้น นี่เรียกว่าชั้นปฏิเวธ

พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ถาม : ข้าพเจ้าเข้าใจผิด และเป็นผู้ประมาทมาก ไม่ได้เจริญจรณะทั้ง ๑๕ ให้บริบูรณ์ ขึ้นในตน จึงไม่ถึงวิชชาและวิมุตติ ความศึกษาของข้าพเจ้า นั้นคงเป็นหมันเสียแล้ว

ท่านพระอาจารยมั่น ภูริทัตโต ตอบ : เมื่อท่านรู้ตัวได้เช่นนี้เป็นความดีสำคัญทีเดียว จะได้ตั้งใจเจริญจรณะ ๑๕ ให้แก่กล้าบริบูรณ์ จะได้ถึงซึ่งวิชชาและวิมุตติ

พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ถาม : จะทำในใจแยบคายได้อย่างไร จึงจะไม่ประมาทและมีความเพียรตั้งใจเจริญจรณะ ๑๕ ให้บริบูรณ์ขึ้น

ท่านพระอาจารยมั่น ภูริทัตโต ตอบ : ความไม่ประมาทก็มีอยู่ในจรณะ ๑๕ คือ ศรัทธา ศีล วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ก็พอครบสิกขา ๓ อยู่แล้ว แต่ท่านไม่เจริญให้มากขึ้น จึงไม่มีบริบูรณ์ในตน

พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ถาม : ข้อนั้นจริงอยู่ แต่ข้าพเจ้าคิดว่าจะต้องทำในใจให้แยบคายอย่างไรอีก เพื่อให้มีกำลังใจแข็งแรงและพากเพียรให้ยิ่งขึ้น ขอท่านจงแนะนำให้ข้าพเจ้ายินดีในความไม่ประมาท และเห็นภัยในความประมาท

ท่านพระอาจารยมั่น ภูริทัตโต ตอบ : ต้องพิจารณาให้เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ หรือพิจารณาเห็นภัยในทุคติและกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานว่า
ผู้ที่ประมาทแล้วนั้นต้องเวียนเกิดในวัฏฏะ ๓ เป็นเขตแดนแห่งมัจจุราชคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ตายแล้วไปเกิดๆ แล้วแก่เจ็บตาย ไม่มีที่สุดเวียนอยู่ใน ๓ ภพ ๓ ภพนั้นลำบากมาก เพราะประกอบด้วยชาติ ชรา มรณะ สมัยใดเสพสัตบุรุษและฟังธรรมก็ทำกรรมเป็นบุญ จึงได้เกิดสุคติ สมัยใดเสพอสัตบุรุษก็ทำกรรมเป็นบาปเพราะผู้ที่ยังละอาสวะไม่ได้ก็ทำกรรมเป็นบาป ต้องไปเกิดในทุคติและกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน เสวยทุกขเวทนาหยาบกล้าเผ็ดร้อน เหลือที่จะพรรณนา เพราะยังไม่ปิดประตูอบาย คือยังไม่บรรลุโสดาปัตติผล เราจะประพฤติปฏิบัติได้ในเวลายังมีชีวิตอยู่เท่านั้น ถ้าความตายมาถึงเข้าก็ไม่มีโอกาสที่จะทำความดีได้ และลมหายใจก็ไม่ได้นัดกับเราว่า จะหยุดลงวันใด เพราะฉะนั้นเราจึงควรพากเพียรให้ถึงซึ่งมรรคและผล จะได้พ้นภัยในอบายและภัยในสงสารวัฏฏ์ ดังพระพุทธสุภาษิตในภัทเทกรัตตสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ หน้า ๓๔๙ ว่า..

อชฺเชว กิจฺมาตปฺปํ ควรรีบทำความเพียรในวันนี้ทีเดียว
โก ชญฺญา มรณํ สุเว ใครเล่าจะรู้ว่าความตายจะมีมาในวันพรุ่งนี้
น หิ โน สงฺครนฺเตน ความผัดเพี้ยนด้วยพญามัจจุราช
มหาเสเนน มจฺจุนา ผู้มีเสนาใหญ่นั้น ย่อมไม่ได้เลยทีเดียว

พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ถาม : ข้าพเจ้าฟังท่านบรรยายภัยในสังสารวัฏและภัยในอบายทำให้ข้าพเจ้าสะดุ้งกลัวและตั้งใจละความประมาท เจริญความไม่ประมาทให้สมบูรณ์ขึ้นในตน เพื่อถึงซึ่ง มรรคและผล

ท่านพระอาจารยมั่น ภูริทัตโต ตอบ : สาธุ ข้าพเจ้าขออนุโมทนาความตั้งใจชอบเช่นนั้นของท่านด้วย...

ที่มา : จากหนังสือ ธัมมานุธัมมปฏิบัติ ปฏิปัตติวิภาค
พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ถาม
ท่านพระอาจารยมั่น ภูริทัตโต ตอบ

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2016, 08:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จะตั้งโจทก์ให้ท่านอโศกทำนะขอรับ :b14: เอ้า

ถ้าไฟไหม้บ้านตัวเองอยู่ ท่านอโศกจะดับเลย หรือรอให้ถึงพรุ่งนี้มะรืนนี้มะเรื่องก่อนจึงค่อยดับ จึงค่อยโทรแจ้งหน่วยดับเพลิงขอรับ :b10:


ลองตอบสิขอรับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2016, 18:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านอโศกตอบคำถามข้างบนหน่อยสิครับ แล้วจะบอกว่า บทความที่นำมาลงนั่นน่า ผิดหลักธรรมปฏิบัติตรงไหน :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2016, 07:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ท่านอโศกตอบคำถามข้างบนหน่อยสิครับ แล้วจะบอกว่า บทความที่นำมาลงนั่นน่า ผิดหลักธรรมปฏิบัติตรงไหน :b1:

ตอบแล้วไง กรัชกายจะจับประเด็นเห็นคำตอบในเรื่องที่บอกหรือเปล่าเท่านั้นเอง


อ้างคำพูด:
ดีแล้ว ๆ ที่กรัชกายยกคำถามนี้มาถาม อันเป็นเหตุปัจจัยให้ได้แสดงธรรม

ปุถุชนทั้งหลายเปรียบเหมือนคนที่ไฟทุกข์ ไฟกิเลสตัณหา อัตตา กำลังลุกไหม้อยู่บนศีรษะของตนเองอยู่เลย ไม่ใช่ไฟไหม้บ้านอย่างที่กรัชกายเปรียบเทียบ

มีบุคคลอยู่ 2-3 กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

กลุ่มที่ 1 คือพวกที่ถูกโมหะอวิชชาปิดบังตามืดบอดจนไม่รู้ตัวว่ากำลังมีไฟไหม้อยู่บนหัวของตัวเอง

กลุ่มที่ 2 ได้เรียนรู้ปริยัติคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วรู้โดยทฤษฎีว่า มีไฟลุกไหม้อยู่บนหัวของปุถุชนทุกคน รวมทั้งตัวเองด้วยแต่ไม่รู้ตัวไม่เจ็บแสบร้อนเพราะพิษไฟเนื่องจากหลงภูมิใจ ดีใจว่าตนได้รู้เรื่องดีๆอย่างนี้ จึงเที่ยววิ่งแล่นไปบอกกล่าวคนโน้นคนนี้ถึงวิธีดับไฟบนหัวตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ตั้ง 21,000 วิธีตามมีในพระสูตร จากนั้นก็มอมเมาตนเองให้ลืมเรื่องไฟไหม้หัว ด้วยความสำคัญผิดคิดว่าตัวเองได้สร้างมหากุศลอันยิ่งใหญ่ด้วยการก้อปปี้คำสอนของพระพุทธเจ้าในคัมภีร์มาบอกกล่าวผู้คน ตนต้องพ้นจากพิษไฟที่ไหม้ลามอยู่บนหัวนี้แน่ๆ

กลุ่มที่ 3 คือกลุ่มคนที่ฉลาดได้เรียนรู้ข้อธรรมแม้เพียงไม่กี่ข้อจากพระบรมศาสดาจนสามารถจับประเด็นธรรม แก่นคำสอน หลักการปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าได้จึงรีบนำมาใส่ใจลงมือปฏิบัติดัดกายใจตนเองจนไฟที่ลุกไหม้อยู่บนหัวของตัวเองดับไปมอดไป ทุกวี่วันก็มีงานถอนฟืน 1,500 ท่อน ดับไฟ 108 กองให้หมดไป สิ้นไป ลดน้อยถอยลงไปตลอดเวลา ที่ละ 1% 2% 3% ไปจนถึง 25% ก็ได้นั่งแท่นทางธรรม บรรเทาความร้อนจากพิษไฟ ได้พักจิตพักใจรวมพลังดับไฟถอนฟืนต่อไปอีกจนกว่าจะดับได้ 50% 75% และ 100% ในที่สุดคือถึงที่ที่ไฟและเชื้อไฟบนหัวหมดสิ้นดับสนิทไม่ลุกได้อีก

บุคคลกลุ่มที่ 3 นี้ยังต้องมีชีวิตเกี่ยวข้องกับเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ได้เห็นเพื่อนมนุษย์ที่กำลังมีไฟไหม้อยู่เต็มหัวลุกโชนอยู่ไม่รู้ตัว ไม่รู้จักวิธีดับไฟ จึงมีเมตตา กรุณา นำเอาประสบการณ์จริงวิธีการจริงๆที่ตนดับไฟถอนพิษไฟให้เบาบางจางลงได้ มาบอกกล่าวแบ่งปันแก่เพื่อนมนุษย์ผู้จมอยู่ในทุกข์ห้วงเดือดร้อนทั้งให้รู้ตัว รู้วิธีแล้วลงมือดับไฟบนหัวของตัวเองทันที สังเกตง่ายๆคนที่ดับไฟบนหัวตัวเองให้เบาบางได้บ้างหรือดับหมดไปแล้วท่านจะพูดสอนใช้บัญญัติตามภาษาพื้นฐานง่ายๆของชุมชนเชื้อชาตินั้นถ่ายทอดธรรมและวิธีดับไฟไปอาจไม่เหมือนสมมุติบัญญัติในคัมภีร์ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน แต่เนื้อหาปรมัตถ์นั่นเป็นอันเดียวกัน
ช่างน่าอัศจรรย์ในธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ว่าเป็นสากล
สามารถสื่อออกได้ทุกภาษาและบัญญัติของโลกปัจจุบัน ไม่มีขีดขั้นใดๆจากใจคนที่ถึงธรรมแล้ว

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2016, 08:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ท่านอโศกตอบคำถามข้างบนหน่อยสิครับ แล้วจะบอกว่า บทความที่นำมาลงนั่นน่า ผิดหลักธรรมปฏิบัติตรงไหน :b1:

ตอบแล้วไง กรัชกายจะจับประเด็นเห็นคำตอบในเรื่องที่บอกหรือเปล่าเท่านั้นเอง


อ้างคำพูด:
ดีแล้ว ๆ ที่กรัชกายยกคำถามนี้มาถาม อันเป็นเหตุปัจจัยให้ได้แสดงธรรม

ปุถุชนทั้งหลายเปรียบเหมือนคนที่ไฟทุกข์ ไฟกิเลสตัณหา อัตตา กำลังลุกไหม้อยู่บนศีรษะของตนเองอยู่เลย ไม่ใช่ไฟไหม้บ้านอย่างที่กรัชกายเปรียบเทียบ

มีบุคคลอยู่ 2-3 กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

กลุ่มที่ 1 คือพวกที่ถูกโมหะอวิชชาปิดบังตามืดบอดจนไม่รู้ตัวว่ากำลังมีไฟไหม้อยู่บนหัวของตัวเอง

กลุ่มที่ 2 ได้เรียนรู้ปริยัติคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วรู้โดยทฤษฎีว่า มีไฟลุกไหม้อยู่บนหัวของปุถุชนทุกคน รวมทั้งตัวเองด้วยแต่ไม่รู้ตัวไม่เจ็บแสบร้อนเพราะพิษไฟเนื่องจากหลงภูมิใจ ดีใจว่าตนได้รู้เรื่องดีๆอย่างนี้ จึงเที่ยววิ่งแล่นไปบอกกล่าวคนโน้นคนนี้ถึงวิธีดับไฟบนหัวตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ตั้ง 21,000 วิธีตามมีในพระสูตร จากนั้นก็มอมเมาตนเองให้ลืมเรื่องไฟไหม้หัว ด้วยความสำคัญผิดคิดว่าตัวเองได้สร้างมหากุศลอันยิ่งใหญ่ด้วยการก้อปปี้คำสอนของพระพุทธเจ้าในคัมภีร์มาบอกกล่าวผู้คน ตนต้องพ้นจากพิษไฟที่ไหม้ลามอยู่บนหัวนี้แน่ๆ

กลุ่มที่ 3 คือกลุ่มคนที่ฉลาดได้เรียนรู้ข้อธรรมแม้เพียงไม่กี่ข้อจากพระบรมศาสดาจนสามารถจับประเด็นธรรม แก่นคำสอน หลักการปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าได้จึงรีบนำมาใส่ใจลงมือปฏิบัติดัดกายใจตนเองจนไฟที่ลุกไหม้อยู่บนหัวของตัวเองดับไปมอดไป ทุกวี่วันก็มีงานถอนฟืน 1,500 ท่อน ดับไฟ 108 กองให้หมดไป สิ้นไป ลดน้อยถอยลงไปตลอดเวลา ที่ละ 1% 2% 3% ไปจนถึง 25% ก็ได้นั่งแท่นทางธรรม บรรเทาความร้อนจากพิษไฟ ได้พักจิตพักใจรวมพลังดับไฟถอนฟืนต่อไปอีกจนกว่าจะดับได้ 50% 75% และ 100% ในที่สุดคือถึงที่ที่ไฟและเชื้อไฟบนหัวหมดสิ้นดับสนิทไม่ลุกได้อีก

บุคคลกลุ่มที่ 3 นี้ยังต้องมีชีวิตเกี่ยวข้องกับเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ได้เห็นเพื่อนมนุษย์ที่กำลังมีไฟไหม้อยู่เต็มหัวลุกโชนอยู่ไม่รู้ตัว ไม่รู้จักวิธีดับไฟ จึงมีเมตตา กรุณา นำเอาประสบการณ์จริงวิธีการจริงๆที่ตนดับไฟถอนพิษไฟให้เบาบางจางลงได้ มาบอกกล่าวแบ่งปันแก่เพื่อนมนุษย์ผู้จมอยู่ในทุกข์ห้วงเดือดร้อนทั้งให้รู้ตัว รู้วิธีแล้วลงมือดับไฟบนหัวของตัวเองทันที สังเกตง่ายๆคนที่ดับไฟบนหัวตัวเองให้เบาบางได้บ้างหรือดับหมดไปแล้วท่านจะพูดสอนใช้บัญญัติตามภาษาพื้นฐานง่ายๆของชุมชนเชื้อชาตินั้นถ่ายทอดธรรมและวิธีดับไฟไปอาจไม่เหมือนสมมุติบัญญัติในคัมภีร์ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน แต่เนื้อหาปรมัตถ์นั่นเป็นอันเดียวกัน
ช่างน่าอัศจรรย์ในธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ว่าเป็นสากล
สามารถสื่อออกได้ทุกภาษาและบัญญัติของโลกปัจจุบัน ไม่มีขีดขั้นใดๆจากใจคนที่ถึงธรรมแล้ว

onion


เอาสั้นๆตรงประเด็น ไม่น้ำท่วมทุ่ง ถ้าไฟไหม้บ้านจะดับทันทีหรือรอพรุ่งนี้จึงค่อยแจ้งรถดับเพลิง

1. ดับทันที

2. พรุ่งนี้มะรืนนี้ค่อยโทรแจ้ง

ข้อไหน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2016, 13:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ปัญญาเกิดจากการฟัง...ลองฟังดูสักตั้งว่า...ปัญญาเกิดโดยความเป็นอนัตตาเมื่อเริ่มเข้าใจเป็นอย่างไร
https://www.youtube.com/watch?v=VeIirj-KzqM
:b4: :b4:
onion onion onion


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 24 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร