วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 19:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 51 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2016, 18:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
บาลี จักขุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย มโน แปลเป็นไทย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

มหาเปรียญแปลไทยได้มั่วมาก คำว่ากาย(บาลี) ดันแปลเป็นไทยว่า กาย
แบบนี้เขาเรียกว่าแปลหรือ
คำว่ามโนก็เหมือนกัน ดันไปแปลว่าใจ....ถามหน่อยใจมันคิดได้หรือเปล่า

คำว่า "กาย"ในบาลี มันหมายถึง.... ผิวหนัง
คำว่า"มโน"ในบาลี มันหมายถึง.....สมอง
แบบนี้เขาถึงจะรู้เรื่อง


กรัชกาย เขียน:
สิ่งที่เห็นด้วยจักษุ (ตา) ภาษาธรรมเรียกรูป (รูปารมณ์ = รูป+อารมณ์) ทั้งหมด :b9:


สิ่งที่เห็นด้วยตาในทางโลกเขาเรียกว่าภาพ แสง สี

ถ้าเป็นทางธรรม ท่านว่า สิ่งที่มากระทบกับจักขุคือ....วัตถุธรรม

รูปารมณ์ = รูป+อารมณ์ ....แบบนี้ผิด เพราะรูปารมณ์ ไม่ใช่ รูป+อารมณ์

แต่รูปารมณ์หมายถึง จักขายตนะ+รูปายตนะ

คนไม่รู้ภาษา จะพูดอย่างโฮฮับ
ภาษา มีพยัญชนะ และอรรถ
การพูดแบบนกแก้วนกขุนทอง คือจับเอาแต่พยัญชนะ ไม่รู้อรรถของพยัญชนะ

จึงด้นเอาเอง ว่ามหาเปรียญมั่ว
โฮฮับ....
รูปารมณ์ คือพยัญชนะ มีการสมาสสนธิของอักษร
อรรถ คือเนื้อหาที่ต้องเรียนรู้ว่าในพยัญชนะนั้นๆ หมายถึงอะไร
อรรถเป็นสมมติเพื่อการรับรู้ร่วมกันของพยัญชนะนั้นๆ
โฮฮับ......
หากจะมั่วถ้อยคำ ก็ควรจะอยู่ในร่องในรอยของภาษา


เลอะเทอะ! ไอ้ที่คุณมั่วอ้างว่าเป็นพยัญชนะแล้วก็บลาๆๆ
ก็ต้องสอนกันอีกแล้วละว่า ใช่มันเป็นพยัญชนะ แต่ความสำคัญมันไม่ได้อยู่ที่พยัญชนะ
พยัญชนะเป็นเพียงสื่อทางเลือก ตัวธรรมแท้ๆมันอยู่ที่ การออกเสียงหรือสำเนียงให้ตรงกับ
มุขปาฐะที่สาวกได้ทำสังคายนาในครั้งแรก


ไม่เกี่ยวเลยกับเรื่องที่เช่นนั้นเอามั่วพูด พุทธพจน์แรกเริ่มมาอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น
จะมาสมาสสนธิอะไรเลอะเทอะไม่ได้ พุทธพจน์ไม่ใช่วิชาภาษาไทยของเด็กประถมจำไว้

คำว่า "รูปารมณ์" ไม่ใช่คำสมาสหรือสนธิบ้าบอคอแตกอย่างที่เช่นนั้นมั่ว
รูปารมณ์เป็นคำหนึ่งคำไม่มีคำผสมใดๆทั้งนั้น
รูปารมณ์เป็นคำเดียว มีความหมายว่า อารมณ์อันเกิดจากผัสสะหรือจักษุสัมผัส


โมฆะบุรุษจงสำเหนียกไว้ว่า ....
พุทธพจน์ท่านให้ความสำคัญที่สำเนียง การออกเสียงต้องตรงกับสำเนียงบาลี
ไม่ใช่ตัวหนังหรือพยัญชนะตามที่โมฆะบุรุษเข้าใจ


อ้างคำพูด:
คำว่า "รูปารมณ์" ไม่ใช่คำสมาสหรือสนธิบ้าบอคอแตกอย่างที่เช่นนั้นมั่ว
รูปารมณ์เป็นคำหนึ่งคำไม่มีคำผสมใดๆทั้งนั้น
รูปารมณ์เป็นคำเดียว มีความหมายว่า อารมณ์อันเกิดจากผัสสะหรือจักษุสัมผัส


เคยพยากรณ์ไว้ว่า ศาสนาโฮฮับ อุบัติขึ้นแล้วในลานแห่งนี้ คิกๆๆ ไม่ผิดหรอกเห็นชัดๆ ว่าเขาบัญญัตินั่นนี่ขึ้นเองแล้ว

กำลังคลั่งขนาดหนัก :b32: เกินเยียวยาแล้วครับท่าน :b13:

อ้างคำพูด:
"รูปารมณ์" ไม่ใช่คำสมาสหรือสนธิบ้าบอคอแตกอย่างที่เช่นนั้นมั่ว
รูปารมณ์เป็นคำหนึ่ง คำไม่มีคำผสมใดๆทั้งนั้น



รูปารมณ์ (รูป+อารมณ์) สัททารมณ์ (สัทท+อารมณ์) คันธารมณ์ (คันธ+อารมณ์) รสารมณ์ (รส+อารมณ์) โผฏฐัพพารมณ์ (โผฏฐัพพ+อารมณ์) ธัมมารมณ์ (ธัมม+อารมณ์)

ไม่ไหวเละครับ ไร้สาระ ไปห้องสัพเพเหระเถอะนะ เสียเวลา เกินแก้แล้ว :b32:


ไปไม่เป็นแล้วเช่นนั้น :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2016, 18:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ทุกข์ ของอเสขบุคคลดับสิ้นเชิงด้วยประการทั้งปวง
ในขณะที่วิบากขันธ์ยังไม่หมดอายุขัย


ในความเป็นธรรมฐิติหรือกายใจของอรหันต์ที่ตั้งอยู่ ท่านดับเหตุแห่งทุกข์(สมุทัย)แล้ว
แต่ตัวทุกข์ในชาติปัจจุบันยังคงอยู่ เพียงแต่ตัวทุกข์ในชาติที่เป็นอนาคตไม่มีแล้ว
นั้นเพราะอเสขะดับเหตุแห่งทุกข์(สมุทัย)ในชาติปัจจุบันแล้ว

โดยสรุปก็คือ โมฆะบุรุษเช่นนั้นไม่รู้อริยสัจจฯนั้นเอง

เช่นนั้น เขียน:
ทุกข์ คือโสกะปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส


มั่ว! ทุกข์หมายถึงอริยสัจจฯ โสกะปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส(ปฏิจจฯ) หมายถึง ผลขันธ์หรือกองขันธ์๕

เช่นนั้น เขียน:
ทุกข์ คือ ความประสบสิ่งที่ไม่สมปราถนา


โวหารเขาพูดอย่างไร ก็ไม่แยกแยะ
ความไม่สมปรารถนาท่านเรียกว่า....... อนิจจัง

เช่นนั้น เขียน:
ทุกข์คือ ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก

ความพลัดจากสิ่งที่รักท่านเรียก ตัณหาและรูปราคะ

เช่นนั้น เขียน:
ทุกข์คือ อุปาทานความยึดมั่นถือมั่นต่อขันธ์ 5
ทุกข์เหล่านี้ ดับลง

ความยึดมั่นไม่ใช่ต่อขันธ์ห้า ขันธ์ห้าเกิดหลังจากการยึดมั่นแล้ว
และการยึดมั่นไม่ใช่ทุกข์ แต่เป็นอัตตา
เช่นนั้น เขียน:
ทุกข์คือ ความ เกิด ความชรา ความตาย ก็ดับลงด้วยเหตุว่า
เมื่อขันธวิบากสิ้นอายุขัย จิตของท่านไม่มีเหตุที่จะทำให้ท่านกลับมาเกิด มาชรา มาตายอีก

ทั้งสิ้นทุกข์ทั้งปวงนี้จึงเป็นความดับทุกข์โดยประการทั้งปวงครับ


ทุกข์ก็คือวัฏฏสงสาร วัฏฏะของอรหันต์จะดับต่อเมื่อ สิ้นสุดวัฏฏะก็คือตายหรือปรินิพพานนั้นเอง


Quote Tipitaka:
[๑๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขอริยสัจ คือ
ความเกิดก็เป็นทุกข์
ความแก่ก็เป็นทุกข์
ความเจ็บไข้ก็เป็นทุกข์
ความตายก็เป็นทุกข์
ความประจวบด้วยสิ่งที่ไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์
ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักก็เป็นทุกข์
ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์
โดยย่นย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์


พระสูตรท่านกล่าวถึงใคร ใช่กล่าวถึงอรหันต์หรือ :b32:

ในพระสูตรท่านกล่าวถึงทุกข์ของปุถุชน
บุคคลเกิดมาทุกอย่างล้วนเป็นทุกข์ เป็นเพราะอวิชชา ความไม่รู้ในอริยสัจจสี่

ท่านสรุปตอนท้ายว่า อุปาทานขันธ์ห้าเป็นทุกข์
เช่นนั้นถามหน่อยรู้จักคำว่า "อุปาทาน"มั้ย

เห็นอยู่ทนโท่ว่า อุปาทาน มันเป็นเรื่องของปุถุชนยังทลึ่งเอามาอ้าง :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2016, 18:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ทุกข์ ของอเสขบุคคลดับสิ้นเชิงด้วยประการทั้งปวง
ในขณะที่วิบากขันธ์ยังไม่หมดอายุขัย


ในความเป็นธรรมฐิติหรือกายใจของอรหันต์ที่ตั้งอยู่ ท่านดับเหตุแห่งทุกข์(สมุทัย)แล้ว
แต่ตัวทุกข์ในชาติปัจจุบันยังคงอยู่ เพียงแต่ตัวทุกข์ในชาติที่เป็นอนาคตไม่มีแล้ว
นั้นเพราะอเสขะดับเหตุแห่งทุกข์(สมุทัย)ในชาติปัจจุบันแล้ว

โดยสรุปก็คือ โมฆะบุรุษเช่นนั้นไม่รู้อริยสัจจฯนั้นเอง

เช่นนั้น เขียน:
ทุกข์ คือโสกะปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส


มั่ว! ทุกข์หมายถึงอริยสัจจฯ โสกะปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส(ปฏิจจฯ) หมายถึง ผลขันธ์หรือกองขันธ์๕

เช่นนั้น เขียน:
ทุกข์ คือ ความประสบสิ่งที่ไม่สมปราถนา


โวหารเขาพูดอย่างไร ก็ไม่แยกแยะ
ความไม่สมปรารถนาท่านเรียกว่า....... อนิจจัง

เช่นนั้น เขียน:
ทุกข์คือ ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก

ความพลัดจากสิ่งที่รักท่านเรียก ตัณหาและรูปราคะ

เช่นนั้น เขียน:
ทุกข์คือ อุปาทานความยึดมั่นถือมั่นต่อขันธ์ 5
ทุกข์เหล่านี้ ดับลง

ความยึดมั่นไม่ใช่ต่อขันธ์ห้า ขันธ์ห้าเกิดหลังจากการยึดมั่นแล้ว
และการยึดมั่นไม่ใช่ทุกข์ แต่เป็นอัตตา
เช่นนั้น เขียน:
ทุกข์คือ ความ เกิด ความชรา ความตาย ก็ดับลงด้วยเหตุว่า
เมื่อขันธวิบากสิ้นอายุขัย จิตของท่านไม่มีเหตุที่จะทำให้ท่านกลับมาเกิด มาชรา มาตายอีก

ทั้งสิ้นทุกข์ทั้งปวงนี้จึงเป็นความดับทุกข์โดยประการทั้งปวงครับ


ทุกข์ก็คือวัฏฏสงสาร วัฏฏะของอรหันต์จะดับต่อเมื่อ สิ้นสุดวัฏฏะก็คือตายหรือปรินิพพานนั้นเอง


Quote Tipitaka:
[๑๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขอริยสัจ คือ
ความเกิดก็เป็นทุกข์
ความแก่ก็เป็นทุกข์
ความเจ็บไข้ก็เป็นทุกข์
ความตายก็เป็นทุกข์
ความประจวบด้วยสิ่งที่ไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์
ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักก็เป็นทุกข์
ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์
โดยย่นย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์


พระสูตรท่านกล่าวถึงใคร ใช่กล่าวถึงอรหันต์หรือ :b32:

ในพระสูตรท่านกล่าวถึงทุกข์ของปุถุชน
บุคคลเกิดมาทุกอย่างล้วนเป็นทุกข์ เป็นเพราะอวิชชา ความไม่รู้ในอริยสัจจสี่

ท่านสรุปตอนท้ายว่า อุปาทานขันธ์ห้าเป็นทุกข์
เช่นนั้นถามหน่อยรู้จักคำว่า "อุปาทาน"มั้ย

เห็นอยู่ทนโท่ว่า อุปาทาน มันเป็นเรื่องของปุถุชนยังทลึ่งเอามาอ้าง :b32:


แถไปได้อีก โฮฮับ :b32: :b32: :b32:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2016, 18:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ทุกข์ ของอเสขบุคคลดับสิ้นเชิงด้วยประการทั้งปวง
ในขณะที่วิบากขันธ์ยังไม่หมดอายุขัย


ในความเป็นธรรมฐิติหรือกายใจของอรหันต์ที่ตั้งอยู่ ท่านดับเหตุแห่งทุกข์(สมุทัย)แล้ว
แต่ตัวทุกข์ในชาติปัจจุบันยังคงอยู่ เพียงแต่ตัวทุกข์ในชาติที่เป็นอนาคตไม่มีแล้ว
นั้นเพราะอเสขะดับเหตุแห่งทุกข์(สมุทัย)ในชาติปัจจุบันแล้ว

โดยสรุปก็คือ โมฆะบุรุษเช่นนั้นไม่รู้อริยสัจจฯนั้นเอง

เช่นนั้น เขียน:
ทุกข์ คือโสกะปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส


มั่ว! ทุกข์หมายถึงอริยสัจจฯ โสกะปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส(ปฏิจจฯ) หมายถึง ผลขันธ์หรือกองขันธ์๕

เช่นนั้น เขียน:
ทุกข์ คือ ความประสบสิ่งที่ไม่สมปราถนา


โวหารเขาพูดอย่างไร ก็ไม่แยกแยะ
ความไม่สมปรารถนาท่านเรียกว่า....... อนิจจัง

เช่นนั้น เขียน:
ทุกข์คือ ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก

ความพลัดจากสิ่งที่รักท่านเรียก ตัณหาและรูปราคะ

เช่นนั้น เขียน:
ทุกข์คือ อุปาทานความยึดมั่นถือมั่นต่อขันธ์ 5
ทุกข์เหล่านี้ ดับลง

ความยึดมั่นไม่ใช่ต่อขันธ์ห้า ขันธ์ห้าเกิดหลังจากการยึดมั่นแล้ว
และการยึดมั่นไม่ใช่ทุกข์ แต่เป็นอัตตา
เช่นนั้น เขียน:
ทุกข์คือ ความ เกิด ความชรา ความตาย ก็ดับลงด้วยเหตุว่า
เมื่อขันธวิบากสิ้นอายุขัย จิตของท่านไม่มีเหตุที่จะทำให้ท่านกลับมาเกิด มาชรา มาตายอีก

ทั้งสิ้นทุกข์ทั้งปวงนี้จึงเป็นความดับทุกข์โดยประการทั้งปวงครับ


ทุกข์ก็คือวัฏฏสงสาร วัฏฏะของอรหันต์จะดับต่อเมื่อ สิ้นสุดวัฏฏะก็คือตายหรือปรินิพพานนั้นเอง


Quote Tipitaka:
[๑๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขอริยสัจ คือ
ความเกิดก็เป็นทุกข์
ความแก่ก็เป็นทุกข์
ความเจ็บไข้ก็เป็นทุกข์
ความตายก็เป็นทุกข์
ความประจวบด้วยสิ่งที่ไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์
ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักก็เป็นทุกข์
ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์
โดยย่นย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์


พระสูตรท่านกล่าวถึงใคร ใช่กล่าวถึงอรหันต์หรือ :b32:

ในพระสูตรท่านกล่าวถึงทุกข์ของปุถุชน
บุคคลเกิดมาทุกอย่างล้วนเป็นทุกข์ เป็นเพราะอวิชชา ความไม่รู้ในอริยสัจจสี่

ท่านสรุปตอนท้ายว่า อุปาทานขันธ์ห้าเป็นทุกข์
เช่นนั้นถามหน่อยรู้จักคำว่า "อุปาทาน"มั้ย

เห็นอยู่ทนโท่ว่า อุปาทาน มันเป็นเรื่องของปุถุชนยังทลึ่งเอามาอ้าง :b32:


แถไปได้อีก โฮฮับ :b32: :b32: :b32:


อุปาทานในพระสูตรนี้คือ ความไม่รู้ทุกข์ ๑. ไม่รู้สมุทัย ๑. ไม่รู้อริยมรรค ๑ ไม่รู้นิโรธ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2016, 19:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
อุปาทานในพระสูตรนี้คือ ความไม่รู้ทุกข์ ๑. ไม่รู้สมุทัย ๑. ไม่รู้อริยมรรค ๑ ไม่รู้นิโรธ

5555
จัดไปโฮฮับ...
เอาที่สบายใจๆ นะโฮฮับ :b32: :b32:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2016, 01:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ยังขาดความเห็นอีกหลายท่าน

คุณวไลพร, กบ, ลุงหมาน, เอกอน,

อยากจะฟังความเห็นเรื่องจิตพระอรหันต์อีกที

คำว่าจิตพระอรหันต์ กำลังพูดถึงจิตอะไร?

ถ้าขันธ์5 ถ้าสัตว์โลกไม่เข้าใจหรือวิชชายังไม่เกิดเรียกอุปทานขันธ์5


แล้วผู้มีวิชชาบรรลุ ที่มีชีวิตอยู่เข้าใจขันธ5แล้ว เรียกขันธ์5ว่าอะไร?

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2016, 08:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
ยังขาดความเห็นอีกหลายท่าน
คุณวไลพร, กบ, ลุงหมาน, เอกอน,
อยากจะฟังความเห็นเรื่องจิตพระอรหันต์อีกที


คนที่คุณเอยนามมานี้ พอเขาเห็นชื่อผมยิ่งเห็นผมเป็นจขกทด้วยแล้ว.......ไม่กล้าเข้ามาหรอกครับ
อย่างดีก็แค่เขามายียวนป่วนอารมณ์ชาวบ้านเล่น แล้วก็เผ่นแหน่บ หาสาระไม่ได้
อย่างเช่นป้ากบ ก็เข้ามาแล้ว มาพูดจาเหมือนแม่ยกแซวพระเอกลิเกก็เท่านั้น
student เขียน:
คำว่าจิตพระอรหันต์ กำลังพูดถึงจิตอะไร?

คำว่า "จิตพระอรหันต์" เป็นคำพูดที่ผิดจากความเป็นจริง แสดงให้เห็นว่า
ผู้พูดๆด้วยความเป็นสักกายทิฐิและวิจิกิจฉา

ไม่ใช่แต่เฉพาะคำพูดนี้ เป็นคำพูดอื่นก็ตามแต่ เช่นบอกว่า คนเรามีจิต สัตว์มีจิต
เหล่านี้ล้วนเกิดจากกิเลสสังกายทิฐิบ่งการให้คิดไปเช่นนั้น
แล้วทำไมผมถึงพูดเหมือนบอกว่า บุคคลไม่มีจิต นั้นก็เพราะ.....

จิตเป็นเพียง"ชื่อ" ที่ใช้เรียกกระบวนการที่เกิดดับภายในกายใจ
สิ่งที่เกิดดับนั้นมันไม่ใช่ตัวตน ที่เราหลงคิดว่ามีจิตนั้นก็เพราะ
มันมีเหตุก็คือ มีวัตถุภายนอกมากระทบกายใจของเรา(ทวาร)
เมื่อไม่มีอะไรมากระทบและไม่คิด.....กายใจเราก็จะว่างเปล่า เพราะยังไม่เกิดกระบวนการเกิดดับ


student เขียน:
ถ้าขันธ์5 ถ้าสัตว์โลกไม่เข้าใจหรือวิชชายังไม่เกิดเรียกอุปทานขันธ์5
แล้วผู้มีวิชชาบรรลุ ที่มีชีวิตอยู่เข้าใจขันธ5แล้ว เรียกขันธ์5ว่าอะไร?


อย่าเข้าใจว่า "อุปาทานขันธ์๕" เป็นคำเดีนวกัน อุปาทานก็คำหนึ่ง ขันธ์๕ก็คำหนึ่ง
เมื่อเอามาเขียนติดกัน อย่าไปเข้าใจแบบภาษาไทย เพราะมันคนละเรื่อง
คำว่าอุปาทานขันธ์๕ที่ติดกันนั้น หมายความว่า ....อุปาทานเป็นเหตุให้เกิดขันธ์๕

ผู้ที่บรรลุเกิด วิชชาแล้ว จะเรียกขันธ์ของตน(เน้นว่าของตน)ว่า.....ขันธ์ในอดีต
ที่เรียกเช่นนี้ก็เพราะให้รู้ว่า ปัจจุบันท่านดับขันธ์๕ได้แล้ว ก็คือขันธ์๕ในอดีตนั้นเอง

โดยสภาพความเป็นจริงแล้ว ผู้บรรลุหรือพระอรหันต์จะไม่มีขันธ์๕
แนวพุทธถือเอาความเป็นปัจจุบัน จึงต้องเรียกสิ่งที่เป็นปัจจุบัน
เมื่อปัจจุบันไม่มีก็ไม่ต้องเรียก และจะเรียกอะไร ก็คือ นิพพานนั้นเอง

อย่าหลงว่านิพพานคือตายแล้วนะครับ นิพพานคือยังมีชีวิต
ส่วนคำที่ตายแล้วใช้...ปรินิพพานครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2016, 09:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2014, 11:29
โพสต์: 64

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:

รูป ที่บาลีเรียก"รูปัง"นั้น ไม่ใช่กาย แต่เป็นองค์ธรรมในสังขตธรรม(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน)
รูป เป็นเหตุให้เกิด....มหาภูติรูป๔
ส่วนกายก็คือ.....ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ




คุณโฮ คะ นิดนึงไม่เข้าใจตรงที่วา
รูป เป็นเหตุให้เกิด....มหาภูติรูป๔

มหาภูติรูป๔ ไม่ใช่ ธรรมแท้ ที่ไม่ได้เกิดจากการปรุงแต่ง เหรอ?
ทำไมว่า ว่ามีเหตุเกิดจาก รูปล่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2016, 11:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
ยังขาดความเห็นอีกหลายท่าน

คุณวไลพร, กบ, ลุงหมาน, เอกอน,

อยากจะฟังความเห็นเรื่องจิตพระอรหันต์อีกที

คำว่าจิตพระอรหันต์ กำลังพูดถึงจิตอะไร?

ถ้าขันธ์5 ถ้าสัตว์โลกไม่เข้าใจหรือวิชชายังไม่เกิดเรียกอุปทานขันธ์5


แล้วผู้มีวิชชาบรรลุ ที่มีชีวิตอยู่เข้าใจขันธ5แล้ว เรียกขันธ์5ว่าอะไร?



อ้างคำพูด:
คำว่าจิตพระอรหันต์ กำลังพูดถึงจิตอะไร?


พูดให้คิดนะ มิได้พูดให้เข้าใจ :b13:

พระอรหันต์เป็นคนมั้ย ถ้าจิตหมดกิเลสแล้ว เรียก จิตบริสุทธิ์จากกิเลส ได้ ไม่ได้ :b1:


อ้างคำพูด:
ถ้าขันธ์5 ถ้าสัตว์โลกไม่เข้าใจหรือวิชชายังไม่เกิดเรียกอุปทานขันธ์5


เป้าประสงค์ที่จำแนกชีวิตโดยความเป็นขันธ์ เป็นกอง ได้ ๕ ขันธ์ ๕ กอง เพื่อให้คนทั่วๆไป ซึ่งยึดติดคิดว่า ชีวิต นี้เป็นเรา เป็นเขา เป็นสัตว์ บุคคล เป็นตัวเป็นตน ให้คิดมองแบบใหม่ว่าเป็นเพียงขันธ์ เป็นกอง เป็นธรรมชาติ

แต่พวกเราไปติดที่ท่านจำแนกแยกแยะเข้าไปอีก ใช่ ไม่ใช่


อ้างคำพูด:
แล้วผู้มีวิชชาบรรลุ ที่มีชีวิตอยู่เข้าใจขันธ5แล้ว เรียกขันธ์5ว่าอะไร?


เวลาพระอรหันต์สอนพระบวชใหม่ ท่านก็สอนว่าชีวิตนี้ แยกเป็น ๕ ส่วน ๕ กองนะท่าน (๑-๕) ท่านก็บอกต่อว่า เมื่อพูดโดยปรมัตถ์แล้วชีวิตเราๆท่านๆเนี่ยนะ แยกแยะแจกแจงแล้วเป็นขันธ์ เป็นอายตนะ เป็นธาตุ เป็นอินทรีย์ ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัว ตน เรา เขา นะ

แต่ในใจของท่านเอง ไม่ยึดแล้วว่าเป็นอะไร จะเรียกชื่อยังไง อุปมาเหมือนพระอรหันต์มี "รถ" อยู่คันหนึ่ง โดยปรมัตถ์คำว่า "รถ" ไม่มี เป็นคำบัญญัติเรียกกันเพื่อสื่อสารกันเข้าใจ .... แต่ถึงวันไปต่อทะเบียน จนท. ว่ามาทำอะไรคะ/ครับ ก็บอกเขาว่า มาต่อทะเบียน รถ ค่ะ/ครับ :b1: :b32:

อย่ายืนส่ายหน้า อึ อึ จะเรียก รถ ก็กลัวเป็นโลกียะ เดี๋ยวเขาก็ชี้ไปห้องน้ำทำธุระส่วนตัวก่อน :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2016, 13:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Duangrat เขียน:
โฮฮับ เขียน:

รูป ที่บาลีเรียก"รูปัง"นั้น ไม่ใช่กาย แต่เป็นองค์ธรรมในสังขตธรรม(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน)
รูป เป็นเหตุให้เกิด....มหาภูติรูป๔
ส่วนกายก็คือ.....ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ



คุณโฮ คะ นิดนึงไม่เข้าใจตรงที่วา
รูป เป็นเหตุให้เกิด....มหาภูติรูป๔

มหาภูติรูป๔ ไม่ใช่ ธรรมแท้ ที่ไม่ได้เกิดจากการปรุงแต่ง เหรอ?
ทำไมว่า ว่ามีเหตุเกิดจาก รูปล่ะ


มหาภูติรูป เป็นธรรมแท้ ที่ไม่ใช่การปรุงแต่งครับ

ที่ว่ารูป(รูปัง) เป็นเหตุให้เกิดมหาภูติรูป๔ เป็นเพราะเราไม่สามารถรู้ความเป็นสังขตธรรมได้โดยตรง
การจะรู้สังขตธรรมได้นั้น....เราก็ต้องอาศัยดูที่กายใจของตนเองครับ

เมื่อกายใจเราเกิดการกระทบ สังขตธรรมจะเกิดทันที แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า
เกิดสังขตธรรมที่ไหนอย่างไร เราก็ต้องไปดูที่กายใจของเรา

ก่อนที่จะพิจารณาเราต้องระลึกไว้เสมอว่า....แม้จะกล่าวเพียงองค์ธรรมตัวหนึ่งตัวใด
นั้นหมายถึงมีองค์ธรรมตัวอื่นประกอบอยู่ด้วยเสมอ เช่นกล่าวรูปอย่างเดียวก็หมายถึง
ยังมี เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน ประกอบด้วย กายก็เช่นกันต้องมีใจประกอบด้วย
การกล่าวเพียงอย่างเดียวท่านเรียก การวิปัสสนา(แยกรูปนาม)


เราจะรู้ทันองค์ธรรมในสังขตธรรมได้อย่างไร นั้นก็ต้องไปดูที่กายใจของเรา
ยกตัวอย่าง เกิดการกระทบที่หู เราก็ต้องไปพิจารณาที่หู
หูเป็นธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ถ้ากล่าวเพียงเท่านี้ หูก็คือกาย
แต่ตามที่บอกไว้ตอนต้นว่า กายไม่สามารถอยู่เดียวโดดได้ จะต้องมีใจ(ผู้รู้)อยู่ด้วย
เหตุนี้รูปในสังขตธรรม จึงต้องเรียกว่า มหาภูติรูป๔

แท้จริงแล้ว รูปในสังขตะก็คือกาย(ธาตุ๔) เพียงแต่กายหรือธาตุ๔มันไม่สามารถอยู่ตัวเดียวโดดๆ
มันยังมีใจ(ผู้รู้)อาศัยซึ่งกันและกันอยู่ จึงต้องเรียกให้ถูกต้องตามลักษณะ เพื่อให้รู้ว่า...
มันไม่สามารถอยู่เดียวโดดๆได้ ฉะนั้นถ้ากล่าวถึงรูปในสังขตะและกาย จะต้องกล่าวว่า มหาภูติรูป๔

มันยังมีองค์ธรรมที่เหลืออีก คือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน สี่ตัวนี้ที่เกิดพร้อมรูปอย่าลืม
แต่ขออธิบายแค่ที่เป็นปัญหา เดียวจะงง ...หรือถ้าอยากรู้ก็ถามมาได้ครับ :b13:

ปล. ธรรมใดเกิดตามเหตุปัจจัย นับเป็นตถตา
ตถตาคือธรรมมันเกิดตามธรรมชาติหลีกเลี่ยงไม่ได้ สังขตะก็เป็นธรรมชาติ
มหาภูติรูป๔นั้นก็เกิดตามเหตุปัจจัยก็คือสังขตะ มหาภูติรูป๔จึงเป็นธรรมแท้ ไม่ใช่สิ่งปรุงแต่ง
ถ้าหลังจากมีการยึดมั่นแล้วเท่านั้นจึงถือว่ามีการปรุงแต่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2016, 17:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
คำว่าจิตพระอรหันต์ กำลังพูดถึงจิตอะไร?


พูดให้คิดนะ มิได้พูดให้เข้าใจ :b13:
พระอรหันต์เป็นคนมั้ย ถ้าจิตหมดกิเลสแล้ว เรียก จิตบริสุทธิ์จากกิเลส ได้ ไม่ได้ :b1:


จิตบริสุทธิ์จากกิเลสไม่ได้ เพราะกิเลสเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดจิต
เมื่อหมดกิเลส จิตย่อมหมดไป ดังคำที่ว่า ....
ธรรมล้วนเกิดแต่เหตุ เมื่อหมดเหตุธรรมก็ย่อมหมดไปตามเหตุนั้น

กรัชกาย เขียน:

อ้างคำพูด:
ถ้าขันธ์5 ถ้าสัตว์โลกไม่เข้าใจหรือวิชชายังไม่เกิดเรียกอุปทานขันธ์5


เป้าประสงค์ที่จำแนกชีวิตโดยความเป็นขันธ์ เป็นกอง ได้ ๕ ขันธ์ ๕ กอง เพื่อให้คนทั่วๆไป ซึ่งยึดติดคิดว่า ชีวิต นี้เป็นเรา เป็นเขา เป็นสัตว์ บุคคล เป็นตัวเป็นตน ให้คิดมองแบบใหม่ว่าเป็นเพียงขันธ์ เป็นกอง เป็นธรรมชาติ
แต่พวกเราไปติดที่ท่านจำแนกแยกแยะเข้าไปอีก ใช่ ไม่ใช่


ไม่ใช่ ! เพราะไอ้ที่พูดมันไม่ใช่ธรรม แต่มันเป็นเนื้อหาที่ครูนอกหลักสูตรแต่งขึ้นเอง
เนื้อหาเป็นโวหารของตนเองล้วน คำบางคำที่พระพุทธไม่ใช่ก็ทลึ่งเอามาใช้

พระพุทธองค์ไม่เคยไปจำแนกชีวิตใคร ผู้แต่งตำราแต่งด้วยความเลอะเทอะ
ยิ่งกว่านั้นขันธ์ห้าก็ไม่ใช่ชีวิต และมันก็ไม่เกียวกับชีวิตบ้าบอคอแตกตามที่กรัชกายพร่าม

กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
แล้วผู้มีวิชชาบรรลุ ที่มีชีวิตอยู่เข้าใจขันธ5แล้ว เรียกขันธ์5ว่าอะไร?


เวลาพระอรหันต์สอนพระบวชใหม่ ท่านก็สอนว่าชีวิตนี้ แยกเป็น ๕ ส่วน ๕ กองนะท่าน (๑-๕) ท่านก็บอกต่อว่า เมื่อพูดโดยปรมัตถ์แล้วชีวิตเราๆท่านๆเนี่ยนะ แยกแยะแจกแจงแล้วเป็นขันธ์ เป็นอายตนะ เป็นธาตุ เป็นอินทรีย์ ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัว ตน เรา เขา นะ

แต่ในใจของท่านเอง ไม่ยึดแล้วว่าเป็นอะไร จะเรียกชื่อยังไง อุปมาเหมือนพระอรหันต์มี "รถ" อยู่คันหนึ่ง โดยปรมัตถ์คำว่า "รถ" ไม่มี เป็นคำบัญญัติเรียกกันเพื่อสื่อสารกันเข้าใจ .... แต่ถึงวันไปต่อทะเบียน จนท. ว่ามาทำอะไรคะ/ครับ ก็บอกเขาว่า มาต่อทะเบียน รถ ค่ะ/ครับ :b1: :b32:

อย่ายืนส่ายหน้า อึ อึ จะเรียก รถ ก็กลัวเป็นโลกียะ เดี๋ยวเขาก็ชี้ไปห้องน้ำทำธุระส่วนตัวก่อน :b32:


อรหันต์ที่ไหนสอน เจอจะตบปากฉีก!! :b6:

ขันธ์ห้าเป็นสภาวธรรม มันเกิดเพราะเรานั้นแหละทำให้มันเกิด
ถ้าเราไม่สร้างเหตุมันก็เกิดไม่ได้ แบบนี้แล้วมันเกี่ยวกับชีวิตตรงไหน

สภาวธรรมไม่เป็นเพราะธรรมชาติรอบตัวเราเป็นเหตุให้เกิด กายใจเรานั้นแหล่ะเป็นเหตุ
มันมีแค่สองอย่างนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2016, 08:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
คำว่าจิตพระอรหันต์ กำลังพูดถึงจิตอะไร?


พูดให้คิดนะ มิได้พูดให้เข้าใจ :b13:
พระอรหันต์เป็นคนมั้ย ถ้าจิตหมดกิเลสแล้ว เรียก จิตบริสุทธิ์จากกิเลส ได้ ไม่ได้ :b1:


จิตบริสุทธิ์จากกิเลสไม่ได้ เพราะกิเลสเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดจิต
เมื่อหมดกิเลส จิตย่อมหมดไป ดังคำที่ว่า ....
ธรรมล้วนเกิดแต่เหตุ เมื่อหมดเหตุธรรมก็ย่อมหมดไปตามเหตุนั้น

กรัชกาย เขียน:

อ้างคำพูด:
ถ้าขันธ์5 ถ้าสัตว์โลกไม่เข้าใจหรือวิชชายังไม่เกิดเรียกอุปทานขันธ์5


เป้าประสงค์ที่จำแนกชีวิตโดยความเป็นขันธ์ เป็นกอง ได้ ๕ ขันธ์ ๕ กอง เพื่อให้คนทั่วๆไป ซึ่งยึดติดคิดว่า ชีวิต นี้เป็นเรา เป็นเขา เป็นสัตว์ บุคคล เป็นตัวเป็นตน ให้คิดมองแบบใหม่ว่าเป็นเพียงขันธ์ เป็นกอง เป็นธรรมชาติ
แต่พวกเราไปติดที่ท่านจำแนกแยกแยะเข้าไปอีก ใช่ ไม่ใช่



ไม่ใช่ ! เพราะไอ้ที่พูดมันไม่ใช่ธรรม แต่มันเป็นเนื้อหาที่ครูนอกหลักสูตรแต่งขึ้นเอง
เนื้อหาเป็นโวหารของตนเองล้วน คำบางคำที่พระพุทธไม่ใช่ก็ทลึ่งเอามาใช้

พระพุทธองค์ไม่เคยไปจำแนกชีวิตใคร ผู้แต่งตำราแต่งด้วยความเลอะเทอะ
ยิ่งกว่านั้นขันธ์ห้าก็ไม่ใช่ชีวิต และมันก็ไม่เกียวกับชีวิตบ้าบอคอแตกตามที่กรัชกายพร่าม

กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
แล้วผู้มีวิชชาบรรลุ ที่มีชีวิตอยู่เข้าใจขันธ5แล้ว เรียกขันธ์5ว่าอะไร?


เวลาพระอรหันต์สอนพระบวชใหม่ ท่านก็สอนว่าชีวิตนี้ แยกเป็น ๕ ส่วน ๕ กองนะท่าน (๑-๕) ท่านก็บอกต่อว่า เมื่อพูดโดยปรมัตถ์แล้วชีวิตเราๆท่านๆเนี่ยนะ แยกแยะแจกแจงแล้วเป็นขันธ์ เป็นอายตนะ เป็นธาตุ เป็นอินทรีย์ ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัว ตน เรา เขา นะ

แต่ในใจของท่านเอง ไม่ยึดแล้วว่าเป็นอะไร จะเรียกชื่อยังไง อุปมาเหมือนพระอรหันต์มี "รถ" อยู่คันหนึ่ง โดยปรมัตถ์คำว่า "รถ" ไม่มี เป็นคำบัญญัติเรียกกันเพื่อสื่อสารกันเข้าใจ .... แต่ถึงวันไปต่อทะเบียน จนท. ว่ามาทำอะไรคะ/ครับ ก็บอกเขาว่า มาต่อทะเบียน รถ ค่ะ/ครับ :b1: :b32:

อย่ายืนส่ายหน้า อึ อึ จะเรียก รถ ก็กลัวเป็นโลกียะ เดี๋ยวเขาก็ชี้ไปห้องน้ำทำธุระส่วนตัวก่อน :b32:


อรหันต์ที่ไหนสอน เจอจะตบปากฉีก!! :b6:

ขันธ์ห้าเป็นสภาวธรรม มันเกิดเพราะเรานั้นแหละทำให้มันเกิด
ถ้าเราไม่สร้างเหตุมันก็เกิดไม่ได้ แบบนี้แล้วมันเกี่ยวกับชีวิตตรงไหน

สภาวธรรมไม่เป็นเพราะธรรมชาติรอบตัวเราเป็นเหตุให้เกิด กายใจเรานั้นแหล่ะเป็นเหตุ
มันมีแค่สองอย่างนี้



อ้างคำพูด:
พระพุทธองค์ไม่เคยไปจำแนกชีวิตใคร ผู้แต่งตำราแต่งด้วยความเลอะเทอะ
ยิ่งกว่านั้นขันธ์ห้าก็ไม่ใช่ชีวิต และมันก็ไม่เกียวกับชีวิตบ้าบอคอแตกตามที่กรัชกายพร่าม


อ้างคำพูด:
ขันธ์ห้าก็ไม่ใช่ชีวิต


แล้วมันเป็นอะไร พระพุทธเจ้าจำแนกอะไร ถึงได้ ๕ กอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2016, 09:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
โฮฮับ
จิตบริสุทธิ์จากกิเลสไม่ได้ เพราะกิเลสเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดจิต
เมื่อหมดกิเลส จิตย่อมหมดไป ดังคำที่ว่า ....
ธรรมล้วนเกิดแต่เหตุ เมื่อหมดเหตุธรรมก็ย่อมหมดไปตามเหตุนั้น


แนะๆทำเป็นอ้างบาลี บาลีเถื่อนซี่ คิกๆๆ นี่คือลักษณะคน (บ้า) ดิ้นหนีตาย

นี่คือความเพี้ยนของศาสดาโฮฮับ จิตบบริสุทธิ์จากกิเลสไม่ได้ ฯลฯ คิกๆๆ

อ้างคำพูด:
จิตบริสุทธิ์จากกิเลสไม่ได้ เพราะกิเลสเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดจิต
เมื่อหมดกิเลส จิตย่อมหมดไป



กิเลส สิ่งที่ทำใจให้เศร้าหมอง ความชั่วที่แฝงอยู่ในความรู้สึกนึกคิด ทำให้จิตใจขุ่นมัวไม่บริสุทธิ์ ่ และเป็นเครื่องปรุงแต่งความคิดให้ทำกรรม ซึ่งนำไปสู่ปัญหา ความยุ่งยากเดือดร้อนและความทุกข์,

กิเลส ๑๐ (ในบาลีเดิม เรียกว่า กิเสลวัตถุ คือ สิ่งก่อความเศร้าหมอง ๑๐) ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตัปปะ,


เมื่อเป็นดังศาสดาโฮฮับว่า นั้น ก็เก็บกิเลสไว้รักษาจิตนะขอรับผม

เจริญพวงล่ะทีนี้ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2016, 09:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขั้นต้น ตั้งโจทก์ในใจผิดเพี้ยน (มิจฉาทิฏฐิ) เสียแล้ว ผลลัพธ์ที่ออกจากความคิดที่คิดต่อยอด ก็ผิดเพัี้ยน (มิจฉาสังกัปปะ) ตามไปหมด ยิ่งไปคิดถึงนิพงนิพพาล นิรงนิโลด เละครับ เพราะมันผิดแต่ออกสตาร์ทแล้ว :b1: :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2016, 14:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ประเด็นนี้ถามไม่ตอบ

อ้างคำพูด:
โฮฮับ
พระพุทธองค์ไม่เคยไปจำแนกชีวิตใคร ผู้แต่งตำราแต่งด้วยความเลอะเทอะ
ยิ่งกว่านั้น ขันธ์ห้าก็ไม่ใช่ชีวิต และมันก็ไม่เกียวกับชีวิตบ้าบอคอแตกตามที่กรัชกายพร่าม


อ้างคำพูด:
ขันธ์ห้าก็ไม่ใช่ชีวิต


ศาสดาโฮ ตอบหน่อย ที่ว่า ขันธ์ไม่ใช่ชีวิตบ้าบอคออักเสบ คิกๆๆ แล้วพระพุทธจำแนกอะไรที่ไหนล่ะ ถึงได้ ๕ กอง ตอบให้กรัชกายนอนตายตาหลับที

1. รูปขันธ์

2. เวทนาขันธ์

3. สัญญาขันธ์

4. สังขารขันธ์

5. วิญญาณขันธ์

พระพุทธเจ้าไปเอามาจากไหน ถ้าไม่ใช่เอามาจากชีวิตนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 51 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร