วันเวลาปัจจุบัน 20 มิ.ย. 2025, 03:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2014, 23:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 20:58
โพสต์: 36

แนวปฏิบัติ: ยุบหนอ-พองหนอ
งานอดิเรก: ฟังเพลง
ชื่อเล่น: เด่น
อายุ: 32

 ข้อมูลส่วนตัว


โดยปกติ มักจะเคยได้เห็นได้ยินว่าทุกข์นั้นเป็นสิ่งควรกำหนดรู้
แต่ในสูตรนี้กลับเขียนว่าละ ขอความอธิบายเห็น
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=23&A=9773&Z=9908

อุปาทานขันธสูตร
[๒๗๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้ ๕ ประการ
เป็นไฉน คือ รูปูปาทานักขันธ์ ๑ เวทนูปาทานักขันธ์ ๑ สัญญูปาทานัก-
*ขันธ์ ๑ สังขารูปาทานักขันธ์ ๑ วิญญาณูปาทานักขันธ์ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้แล ฯลฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ เพื่อละ
อุปาทานักขันธ์ ๕ ประการนี้และ ฯ

ขอผู้รู้ช่วยอธิบายหน่อยจ้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2014, 00:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ความเห็นผมเองนั้น ละอุปาทานขันธ์ 5 คือ อุปาทานแปลว่าแสวงหา เช่น เรามองรถอยู่คันหนึ่ง อารมณ์ชอบไม่ชอบจะแสดงออกมา ถ้าชอบก็อยากทอดสายตามอง พิจารณาความสวยของมัน ทั้งความคิด ทั้งทอดสายตา ถ้าอยู่ใกล้ก็อยากจับ อยากลูบดู อยากทดลองขับ ถ้ามีเงินก็อาจจะอยากซื้อเลย เพราะมันมีตัญหาคือความติดใจอยู่ก่อนหน้านี้

ถ้าไม่ชอบก็จะทำในสิ่งตรงข้าม เบือนหน้าหนี เพราะตัญหาคือความอยากพาไป แต่ทั้งอารมณ์นี้เกิดขึ้นก็เพราะความเห็นว่ารถนั้นเป็นสิ่งสวยงาม หรือขี้เหร่ เป็นตัวตนนั่นเอง มีสิ่งที่บดบังไม่ให้เห็นความจริงคือ วิปาลาส หรือความเห็นผิด

เช่น เห็นว่ากายนี่เป็นก้อน เป็นแขนขา เป็นตัวตน เป็นของเราเพราะจิตผูกเอาไว้ เห็นสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าสุข เห็นสิ่งที่ไม่งามว่างาม เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง

ถ้าเที่ยง ทำไมเราบังคับตัวเองไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตายได้ แสดงว่าเราบังคับไม่ได้

ถ้าบังคับไม่ได้แสดงว่าขันธ์5ตกอยู่ในอำนาจของพลังบางอย่าง นั่นคือ กฎ สามัญลักษณะ คือ ทุกข์ อนิจจัง อนัตตา

สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง

เมื่อกำหนดสติ เราย่อมใช้จิตเข้าไปตั่ง เมื่อใช้จิตเข้าไปตั้งเราย่อมรับรู้สภาวะธรรมที่กำลังดำเนินอยู่ ถ้าปวดขาตอนนั่งสมาธิ อาการปวดขาไม่มีเจ้าของ เพราะเป็นอนัตตา คำว่าอนัตตา คือ สามัญลักษณะ คือ อาการที่แสดงเป็นแบบนี้ เป็นทุกข์ พอขยับขามันก็หายปวด

การละคือ การไม่เข้าไปสร้างอารมณ์ว่า นี่ขันธ์เรา ขันธ์เขา. โดยเข้าไปมีสติเพื่อพิจารณาธรรมที่เกิดขึ้น ว่าสิ่งที่ปรากฎนั้นเป็นแค่ธรรม เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา เป็นการละความเป็นอุปาทานขันธ์5 ว่าเป็นอัตตานั่นเองครับผม

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2014, 00:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อย่างเรื่องราวของพระพุทธเจ้า ประวัติที่เสด็จไปโปรดคนนั้นคนนี้ ทุกคนที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรด ล้วนแล้วแต่ถูกบดบังจากความเห็นจริงทั้งนั้น

จึงจำเป็นที่จะต้องถ่ายถอนอุปาธานของขันธ์5 นี้ให้ได้เสียก่อน

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2014, 01:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


denchai เขียน:
โดยปกติ มักจะเคยได้เห็นได้ยินว่าทุกข์นั้นเป็นสิ่งควรกำหนดรู้
แต่ในสูตรนี้กลับเขียนว่าละ ขอความอธิบายเห็น
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=23&A=9773&Z=9908

อุปาทานขันธสูตร
[๒๗๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้ ๕ ประการ
เป็นไฉน คือ รูปูปาทานักขันธ์ ๑ เวทนูปาทานักขันธ์ ๑ สัญญูปาทานัก-
*ขันธ์ ๑ สังขารูปาทานักขันธ์ ๑ วิญญาณูปาทานักขันธ์ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้แล ฯลฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ เพื่อละ
อุปาทานักขันธ์ ๕ ประการนี้และ ฯ

ขอผู้รู้ช่วยอธิบายหน่อยจ้า


Quote Tipitaka:
[๒๗๐] ปญฺจิเม ภิกฺขเว อุปาทานกฺขนฺธา ฯ กตเม ปญฺจ
รูปูปาทานกฺขนฺโธ เวทนูปาทานกฺขนฺโธ สญฺญูปาทานกฺขนฺโธ สงฺขารูปาทานกฺ-
ขนฺโธ วิญฺญาณูปาทานกฺขนฺโธ ฯ อิเม โข ภิกฺขเว ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ฯ
อิเมสํ โข ภิกฺขเว ปญฺจนฺนํ อุปาทานกฺขนฺธานํ ปหานาย ฯเปฯ
อิเม จตฺตาโร สติปฏฺฐานา ภาเวตพฺพาติ ฯ


ในบทนี้ ทุกข์เป็นสิ่งควรกำหนดรู้
พระพุทธองค์แสดง ไว้ในวรรคแรก ว่า ควรกำหนดรู้อะไรบ้าง อันเป็น ญาตปริญญา

พอมาวรรคสอง พระพุทธองค์ แสดง โดยหมายเอาปหานปริญญา คือ การกำหนดรู้ด้วยการละ โดยอาศัยการเจริญสติปัฏฐาน 4.
และด้วยอาศัยการเจริญสติปัฏฐาน 4 ก็เท่ากับ เป็นการทำ ตีรณปริญญา ไปจนสุด ปหานปริญญา ครับ.

ในบาลี พระพุทธองค์ใช้คำว่า "ปหานาย"......

เจริญธรรม

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2014, 08:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b45:
ทุกข์ กำหนดรู้ได้แต่กำหนดละไม่ได้

ถ้าจะละต้องไปละที่สมุทัย เหตุทุกข์

พระบรมศาสดาทรงสอนให้ละด้วยสติปัฏฐาน4 ซึ่งมีประเด็นสำคัญคือละยินดียินร้ายก่อน

ในยินดียินร้ายนั้นมีต้นเหตุขิองทุกข์คือ.....ผู้ยินดียินร้าย.....หรือความเห็นผิดว่ากายใจนี้เป็นกูเป็นเรา

ละยินดียินร้ายได้บ่อยๆ กู เราก็จักตาย กูเราตายก็เสร็จงานครับ
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2014, 14:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 20:58
โพสต์: 36

แนวปฏิบัติ: ยุบหนอ-พองหนอ
งานอดิเรก: ฟังเพลง
ชื่อเล่น: เด่น
อายุ: 32

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอ...อนุโมทนาสมาชิกทุกท่านที่ช่วยชี้แนะ ครับ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2014, 08:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


denchai เขียน:
โดยปกติ มักจะเคยได้เห็นได้ยินว่าทุกข์นั้นเป็นสิ่งควรกำหนดรู้
แต่ในสูตรนี้กลับเขียนว่าละ ขอความอธิบายเห็น
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=23&A=9773&Z=9908

อุปาทานขันธสูตร
[๒๗๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้ ๕ ประการ
เป็นไฉน คือ รูปูปาทานักขันธ์ ๑ เวทนูปาทานักขันธ์ ๑ สัญญูปาทานัก-
*ขันธ์ ๑ สังขารูปาทานักขันธ์ ๑ วิญญาณูปาทานักขันธ์ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้แล ฯลฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ เพื่อละ
อุปาทานักขันธ์ ๕ ประการนี้และ ฯ

ขอผู้รู้ช่วยอธิบายหน่อยจ้า


ทุกข์ กำหนดรู้
สมุทัย กำหนดละ

"อุปทานขันธ์ทั้งห้า คือ สมุุทัย"


:b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2014, 15:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
ทุกข์ กำหนดรู้
สมุทัย กำหนดละ

"อุปทานขันธ์ทั้งห้า คือ สมุุทัย"


:b1:


น่าสนใจ คุณวิริยะ มีเหตุผลอย่างไรจึงสรุปว่า อุปาทานขันธ์ทั้งห้าคือ สมุทัย
:b10:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2014, 17:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
น่าสนใจ คุณวิริยะ มีเหตุผลอย่างไรจึงสรุปว่า อุปาทานขันธ์ทั้งห้าคือ สมุทัย
:b10:

กตญาณ ปรีชากำหนดรู้ว่าได้ทำกิจเสร็จแล้ว คือ
ทุกข์ ควรกำหนดรู้ได้ รู้แล้ว
สมุทัย ควรละ ได้ละแล้ว
นิโรธ ควรทำให้แจ้ง ได้ทำให้แจ้งแล้ว
มรรค ควรเจริญ ได้เจริญ คือปฏิบัติหรือทำให้เกิดแล้ว
(ข้อ ๓ ในญาณ ๓)

กิจจญาณ ปรีชากำหนดรู้กิจที่ควรทำในอริยสัจ ๔ แต่ละอย่าง
คือรู้ว่า
ทุกข์ ควรกำหนดรู้
สมุทัย ควรละ
นิโรธ ควรทำให้แจ้ง
มรรค ควรทำให้เจริญ คือควรปฏิบัติ
(ข้อ ๒ ในญาณ ๓)

กิจในอริยสัจ ข้อที่ต้องทำในอริยสัจ ๔ แต่ละอย่าง คือ
ปริญญา กำหนดรู้ เป็นกิจในทุกข์
ปหานะ การละ เป็นกิจในสมุทัย
สัจฉิกิริยา การทำให้แจ้งหรือการบรรลุ เป็นกิจในนิโรธ
ภาวนา การเจริญคือปฏิบัติบำเพ็ญ เป็นกิจในมรรค

http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.ph ... &detail=on

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ..
เธอทั้งหลายพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ เพื่อละ อุปาทานักขันธ์ ๕ ประการ นี้แล ฯ ..

http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 773&Z=9908

อุปาทาขันธ์ ๕ เป็นสิ่งควรละและต้องละ
ตามที่พระองค์ตรัสไว้ข้างต้น

อุปาทาขันธ์ ๕ จึงจัดเป็นสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ เป็นสิ่งที่ต้องละ
ตามที่เข้าใจ ..


:b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2014, 12:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
น่าสนใจ คุณวิริยะ มีเหตุผลอย่างไรจึงสรุปว่า อุปาทานขันธ์ทั้งห้าคือ สมุทัย
:b10:

กตญาณ ปรีชากำหนดรู้ว่าได้ทำกิจเสร็จแล้ว คือ
ทุกข์ ควรกำหนดรู้ได้ รู้แล้ว
สมุทัย ควรละ ได้ละแล้ว
นิโรธ ควรทำให้แจ้ง ได้ทำให้แจ้งแล้ว
มรรค ควรเจริญ ได้เจริญ คือปฏิบัติหรือทำให้เกิดแล้ว
(ข้อ ๓ ในญาณ ๓)

กิจจญาณ ปรีชากำหนดรู้กิจที่ควรทำในอริยสัจ ๔ แต่ละอย่าง
คือรู้ว่า
ทุกข์ ควรกำหนดรู้
สมุทัย ควรละ
นิโรธ ควรทำให้แจ้ง
มรรค ควรทำให้เจริญ คือควรปฏิบัติ
(ข้อ ๒ ในญาณ ๓)

กิจในอริยสัจ ข้อที่ต้องทำในอริยสัจ ๔ แต่ละอย่าง คือ
ปริญญา กำหนดรู้ เป็นกิจในทุกข์
ปหานะ การละ เป็นกิจในสมุทัย
สัจฉิกิริยา การทำให้แจ้งหรือการบรรลุ เป็นกิจในนิโรธ
ภาวนา การเจริญคือปฏิบัติบำเพ็ญ เป็นกิจในมรรค

http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.ph ... &detail=on

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ..
เธอทั้งหลายพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ เพื่อละ อุปาทานักขันธ์ ๕ ประการ นี้แล ฯ ..

http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 773&Z=9908

อุปาทาขันธ์ ๕ เป็นสิ่งควรละและต้องละ
ตามที่พระองค์ตรัสไว้ข้างต้น

อุปาทาขันธ์ ๕ จึงจัดเป็นสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ เป็นสิ่งที่ต้องละ
ตามที่เข้าใจ ..


:b1:

Quote Tipitaka:
๓. ปริชานสูตร
ว่าด้วยผู้ไม่ควรและผู้ควรสิ้นทุกข์
[๕๖] พระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเมื่อไม่รู้ยิ่ง
ไม่กำหนดรู้ ไม่หน่าย ไม่ละซึ่งรูป เป็นผู้ไม่ควรเพื่อสิ้นทุกข์ บุคคลเมื่อไม่รู้ยิ่ง ไม่กำหนดรู้
ไม่หน่าย ไม่ละซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ เป็นผู้ไม่ควรเพื่อสิ้นทุกข์.
[๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเมื่อรู้ยิ่ง เมื่อกำหนดรู้ เมื่อหน่าย เมื่อละได้ซึ่งรูป
จึงเป็นผู้ควรเพื่อสิ้นทุกข์ บุคคลเมื่อรู้ยิ่ง เมื่อกำหนดรู้ เมื่อหน่าย เมื่อละได้ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา
ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ จึงเป็นผู้ควรเพื่อสิ้นทุกข์.


โดยอาศัย การอธิบายดังกล่าวข้างต้นซึ่ง คุณวิริยะแสดงมา
พระสูตร ปริชานสูตรดังกล่าว ข้างต้น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เป็นสมุทัย เช่นกัน ????

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2014, 12:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
[๔๙] พระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงภาระ
ผู้แบกภาระ เครื่องถือมั่นภาระ และเครื่องวางภาระ แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่
ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับสนองพระพุทธดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภาระเป็นไฉน? พึงกล่าวว่า ภาระ คืออุปาทานขันธ์ ๕ อุปาทานขันธ์ ๕
เป็นไฉน? คือ อุปาทานขันธ์ คือรูป อุปาทานขันธ์ คือเวทนา อุปาทานขันธ์ คือสัญญา อุปาทาน
ขันธ์ คือสังขาร และอุปาทานขันธ์ คือวิญญาณ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าภาระ.
[๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้แบกภาระเป็นไฉน? พึงกล่าวว่าบุคคล บุคคลนี้นั้น คือ
ท่านผู้มีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าผู้แบกภาระ.
[๕๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เครื่องถือมั่นภาระเป็นไฉน? ตัณหานี้ใด นำให้เกิดภพใหม่
ประกอบด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน มีปกติเพลิดเพลินยิ่งในภพหรืออารมณ์
นั้นๆ ได้แก่กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าเครื่องถือมั่นภาระ.
[๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็การวางภาระเป็นไฉน? ความที่ตัณหานั่นแลดับไปด้วย
สำรอกโดยไม่เหลือ ความสละ ความสละคืน ความพ้น ความไม่อาลัย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย
นี้เรียกว่าการวางภาระ. พระผู้มีพระภาคผู้พระสุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลง
แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกในภายหลังว่า
[๕๓] ขันธ์ ๕ ชื่อว่าภาระแล และผู้แบกภาระคือบุคคล เครื่องถือมั่น
ภาระเป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ในโลก การวางภาระเสียได้เป็นสุข
บุคคลวางภาระหนักเสียได้แล้ว ไม่ถือภาระอื่น ถอนตัณหาพร้อม
ทั้งมูลรากแล้ว เป็นผู้หายหิว ดับรอบแล้วดังนี้.


ในพระสูตรนี้ เมื่อพระพุทธองค์ แสดงอุปาทานขันธ์ พระองค์กล่าวว่าภาระ คืออุปาทานขันธ์
แต่เมื่อแสดงการวางภาระ คือการละการวางอุปาทานขันธ์ พระพุทธองค์ แสดงด้วยการดับตัณหา
เมื่อดับตัณหาได้ ก็เป็นการละอุปาทานขันธ์.

Quote Tipitaka:
อุปาทานขันธสูตร
[๒๗๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้ ๕ ประการ
เป็นไฉน คือ รูปูปาทานักขันธ์ ๑ เวทนูปาทานักขันธ์ ๑ สัญญูปาทานัก-
*ขันธ์ ๑ สังขารูปาทานักขันธ์ ๑ วิญญาณูปาทานักขันธ์ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้แล ฯลฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ เพื่อละ
อุปาทานักขันธ์ ๕ ประการนี้และ ฯ


พระพุทธองค์ แสดงพระสูตรนี้ พร้อมด้วยมรรควิธี คือ สติปัฏฐาน 4
จึงต้องนำพระสูตร สติปัฏฐานสูตร มาร่วมพิจารณาด้วย
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=10&A=6257&Z=6764&pagebreak=0
ในหมวดธรรมานุปัสสนา
แสดง ทุกขสัจจ์ คืออุปาทานขันธ์ สมุทย คือตัณหา นิโรธ คือความดับตัณหา.

อุปาทานขันธ์ ตามพุทธดำรัสแล้ว ไม่ปรากฏการแสดงไว้ว่าเป็น สมุทัย ครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2014, 07:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
Quote Tipitaka:
๓. ปริชานสูตร
ว่าด้วยผู้ไม่ควรและผู้ควรสิ้นทุกข์
[๕๖] พระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเมื่อไม่รู้ยิ่ง
ไม่กำหนดรู้ ไม่หน่าย ไม่ละซึ่งรูป เป็นผู้ไม่ควรเพื่อสิ้นทุกข์ บุคคลเมื่อไม่รู้ยิ่ง ไม่กำหนดรู้
ไม่หน่าย ไม่ละซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ เป็นผู้ไม่ควรเพื่อสิ้นทุกข์.
[๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเมื่อรู้ยิ่ง เมื่อกำหนดรู้ เมื่อหน่าย เมื่อละได้ซึ่งรูป
จึงเป็นผู้ควรเพื่อสิ้นทุกข์ บุคคลเมื่อรู้ยิ่ง เมื่อกำหนดรู้ เมื่อหน่าย เมื่อละได้ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา
ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ จึงเป็นผู้ควรเพื่อสิ้นทุกข์.


โดยอาศัย การอธิบายดังกล่าวข้างต้นซึ่ง คุณวิริยะแสดงมา
พระสูตร ปริชานสูตรดังกล่าว ข้างต้น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เป็นสมุทัย เช่นกัน ????

พระอริยะเจ้าทั้งหลาย ท่านสอนเสมอว่า ..
ให้ละ ให้วาง ขันธ์ ๕ อย่าเข้าไปยึด ไปถือเอาว่าเป็นตน เป็นของตน
เพราะเป็นสิ่งที่ไม่มีสาระ ไม่มีแก่นสาร ถือเอาไม่ได้ เป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ ..

ถาม คุณเช่นนั้น ..

สิ่งที่พระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ท่านสอน
ให้ละให้ปล่อยวาง คืออะไร?


:b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2014, 08:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
พระอริยะเจ้าทั้งหลาย ท่านสอนเสมอว่า ..
ให้ละ ให้วาง ขันธ์ ๕ อย่าเข้าไปยึด ไปถือเอาว่าเป็นตน เป็นของตน
เพราะเป็นสิ่งที่ไม่มีสาระ ไม่มีแก่นสาร ถือเอาไม่ได้ เป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ ..

ถาม คุณเช่นนั้น ..

สิ่งที่พระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ท่านสอน
ให้ละให้ปล่อยวาง คืออะไร?


สิ่งที่พระพุทธเจ้า และพระอริยสงฆ์ทั้งหลายสอน คือให้ละให้ปล่อยวางอุปาทานขันธ์

Quote Tipitaka:
[๔๙] พระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงภาระ
ผู้แบกภาระ เครื่องถือมั่นภาระ และเครื่องวางภาระ แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่
ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับสนองพระพุทธดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภาระเป็นไฉน? พึงกล่าวว่า ภาระ คืออุปาทานขันธ์ ๕ อุปาทานขันธ์ ๕
เป็นไฉน? คือ อุปาทานขันธ์ คือรูป อุปาทานขันธ์ คือเวทนา อุปาทานขันธ์ คือสัญญา อุปาทาน
ขันธ์ คือสังขาร และอุปาทานขันธ์ คือวิญญาณ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าภาระ.
[๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้แบกภาระเป็นไฉน? พึงกล่าวว่าบุคคล บุคคลนี้นั้น คือ
ท่านผู้มีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าผู้แบกภาระ.
[๕๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เครื่องถือมั่นภาระเป็นไฉน? ตัณหานี้ใด นำให้เกิดภพใหม่
ประกอบด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน มีปกติเพลิดเพลินยิ่งในภพหรืออารมณ์
นั้นๆ ได้แก่กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าเครื่องถือมั่นภาระ.

[๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็การวางภาระเป็นไฉน? ความที่ตัณหานั่นแลดับไปด้วย
สำรอกโดยไม่เหลือ ความสละ ความสละคืน ความพ้น ความไม่อาลัย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย
นี้เรียกว่าการวางภาระ.
พระผู้มีพระภาคผู้พระสุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลง
แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกในภายหลังว่า
[๕๓] ขันธ์ ๕ ชื่อว่าภาระแล และผู้แบกภาระคือบุคคล เครื่องถือมั่น
ภาระเป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ในโลก การวางภาระเสียได้เป็นสุข
บุคคลวางภาระหนักเสียได้แล้ว ไม่ถือภาระอื่น ถอนตัณหาพร้อม
ทั้งมูลรากแล้ว เป็นผู้หายหิว ดับรอบแล้วดังนี้.

ในมหาสติปัฏฐานสูตร สัจจบรรพ แสดงไว้ดังนี้
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=10&A=6257&Z=6764&pagebreak=0
Quote Tipitaka:
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขอริยสัจเป็นไฉน แม้ชาติก็เป็นทุกข์ แม้ชราก็
เป็นทุกข์ แม้มรณะก็เป็นทุกข์ แม้โสกะ ปริเทวะทุกข์โทมนัสอุปายาส ก็เป็น
ทุกข์ แม้ความประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ แม้ความพลัดพรากจากสิ่ง
ที่รักก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ แม้อันนั้นก็เป็นทุกข์ โดยย่อ อุปาทานขันธ์
ทั้ง ๕ เป็นทุกข์ฯ
......ก็โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ เป็นไฉน อุปาทานขันธ์ คือรูป
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เหล่านี้เรียกว่า โดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕
เป็นทุกข์ ฯ
[๒๙๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขสมุทัยอริยสัจ เป็นไฉน ตัณหานี้ใด
อันมีความเกิดอีก ประกอบด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน เพลิด-
*เพลินยิ่งนักในอารมณ์นั้นๆ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ฯ
[๒๙๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ตัณหานี้นั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดในที่
ไหน เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่ไหน ที่ใดเป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา
นั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดในที่นี้ เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้ อะไรเป็นที่รัก
ที่เจริญใจในโลก ฯ
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อจะเกิด
ย่อมเกิดที่นี้ เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ณ ที่นี้ ฯ
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เป็นที่รักที่เจริญใจใน
โลก ตัณหาเมื่อจะเกิด ย่อมเกิดในที่นี้ เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้ ฯ
จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ
มโนวิญญาณ เป็นที่รักที่เจริญในโลก ตัณหา เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้นในที่นี้
เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้ ฯ
จักขุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโน
สัมผัส เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหาเมื่อจะเกิด ย่อมเกิดในที่นี้ เมื่อจะ
ตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้ ฯ
จักขุสัมผัสสชาเวทนา โสตสัมผัสสชาเวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา
ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา เป็นที่รัก
ที่เจริญใจในโลก ตัณหาเมื่อจะเกิด ย่อมเกิดในที่นี้ เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่
ในที่นี้ ฯ
รูปสัญญา สัททสัญญา คันธสัญญา รสสัญญา โผฏฐัพพสัญญา ธัมม-
*สัญญา เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหาเมื่อจะเกิด ย่อมเกิดในที่นี้ เมื่อจะ
ตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้ ฯ
รูปสัญเจตนา สัททสัญเจตนา คันธสัญเจตนา รสสัญเจตนา โผฏฐัพพ
สัญเจตนา ธัมมสัญเจตนา เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อจะเกิด ย่อม
เกิดในที่นี้ เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้ ฯ
รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธัมม-
*ตัณหา เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดในที่นี้ เมื่อจะ
ตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้ ฯ
รูปวิตก สัททวิตก คันธวิตก รสวิตก โผฏฐัพพวิตก ธัมมวิตก
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดในที่นี้ เมื่อจะตั้งอยู่
ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้ ฯ
รูปวิจาร สัททวิจาร คันธวิจาร รสวิจาร โผฏฐัพพวิจาร ธัมมวิจาร
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดในที่นี้ เมื่อจะตั้งอยู่
ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรียกว่า ทุกขสมุทัยอริยสัจ
[๒๙๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขนิโรธอริยสัจเป็นไฉน ความสำรอก
และความดับโดยไม่เหลือ ความสละ ความส่งคืน ความปล่อยวาง ความไม่มี
อาลัย ในตัณหานั้น ก็ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่ไหน
เมื่อจะดับ ย่อมดับในที่ไหน ที่ใดเป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหานั้น เมื่อบุคคล
จะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้ เมื่อจะดับย่อมดับในที่นี้ อะไรเป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ฯ
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อบุคคล
จะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้ เมื่อจะดับย่อมดับในที่นี้ รูปเสียง กลิ่น รส
โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ
ย่อมละเสียได้ในที่นี้ เมื่อจะดับย่อมดับในที่นี้ ฯ
จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ
มโนวิญญาณ เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสีย
ได้ในที่นี้ เมื่อจะดับ ย่อมดับในที่นี้ ฯ
จักขุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโน
สัมผัส เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้
เมื่อจะดับ ย่อมดับในที่นี้ ฯ
จักขุสัมผัสสชาเวทนา โสตสัมผัสสชาเวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา
ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา เป็นที่รัก
ที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้ เมื่อจะดับ
ย่อมดับในที่นี้ ฯ
รูปสัญญา สัททสัญญา คันธสัญญา รสสัญญา โผฏฐัพพสัญญา
ธัมมสัญญา เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสีย
ได้ในที่นี้ เมื่อจะดับ ย่อมดับในที่นี้ ฯ
รูปสัญเจตนา สัททสัญเจตนา คันธสัญเจตนา รสสัญเจตนา
โผฏฐัพพสัญเจตนา ธัมมสัญเจตนา เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อ
บุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้ เมื่อจะดับ ย่อมดับในที่นี้ ฯ
รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธัมม
ตัณหา เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้
เมื่อจะดับ ย่อมดับในที่นี้ ฯ
รูปวิตก สัททวิตก คันธวิตก รสวิตก โผฏฐัพพวิตก ธัมมวิตก เป็น
ที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้ เมื่อจะดับ
ย่อมดับในที่นี้ ฯ
รูปวิจาร สัททวิจาร คันธวิจาร รสวิจาร โผฏฐัพพวิจาร ธัมมวิจาร
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้ เมื่อ
จะดับ ย่อมดับในที่นี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรียกว่า ทุกขนิโรธอริยสัจ

วิริยะ เขียน:
อุปาทาขันธ์ ๕ เป็นสิ่งควรละและต้องละ
ตามที่พระองค์ตรัสไว้ข้างต้น

อุปาทาขันธ์ ๕ จึงจัดเป็นสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ เป็นสิ่งที่ต้องละ


การที่พระพุทธองค์แสดงว่า ละอุปาทานขันธ์อันเป็นทุกข์ นั้น ให้รู้ไว้ว่า หมายเอาตัณหาอันเป็นสมุทัย
นิโรธ ความดับ ก็จึงเป็นการดับตัณหา เมื่อเหตุดับ ทุกข์ก็เป็นอันละวางไป.

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2014, 10:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
ตัณหา ความทะยานอยาก คือสมุทัย เหตุทุกข์ เป็นเหตหลัก

ขันธ์ 5 เป็นที่ตั้งแห่งความเห็นผิดยึดผิด เป็นเหตุรอง

อัตตา...สักกายทิฏฐิ มานะทิฏฐิ เป็นเหตุลึก ที่ไม่บอกแต่ให้ผู้ปฏิบัติจริงค้นพบด้วยตัวเอง

เพราะฉนั้นผลขั้นที่ 1 หรือการรับรองครั้งที่ 1 คือเหตุทุกข์ตัวแรกคือสักกายทิฏฐิดับไป แล้วอวิชชาอย่างอ่อนคือ วิจิกิจฉาก็ดับตาม
:b45:
onion


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron