วันเวลาปัจจุบัน 23 ส.ค. 2025, 05:44  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 43 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2013, 20:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2013, 06:03
โพสต์: 95

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ประกอบความเพียร......ในอันเจริญอินทรีย์ 5


สนทนาธรรมตามกาล เพื่อความรู้แจ้งในธรรม


ผมเริ่มต้นปฏิบัติภาวนาแบบตั้งใจ ประมาณ พ.ศ. 2532 ก่อนหน้านั้นเป็นแบบ
ทำบ้าง ทิ้งบ้าง ในครั้งนั้นมีโอกาสได้อ่านหนังสือ พบธรรมบทหนึ่ง ประทับใจ
กับบทธรรมประโยคนี้มาก


“......ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้

ที่เป็นผู้ประกอบความเพียร ......ในอันเจริญอินทรีย์ 5 ......"



จึงเริ่มต้นค้นหาความหมาย เพื่อทำความเข้าใจกับคำว่า

......ในอันเจริญอินทรีย์ 5


อินทรีย์ 5 คือ อะไร
อินทรีย์ 5 เป็นอย่างไร
ด้วยเหตุเพียงเท่าใด จึงได้ชื่อว่า ......ในอันเจริญอินทรีย์ 5


อินทรีย์ 5 หมายถึง ......ความเป็นใหญ่ สภาพที่เป็นใหญ่ในกิจของตน คือ ศรัทธา
วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา



ความเพียร หมายถึง ความไม่เกียจคร้าน ความพยายาม ความอุตสาหะ ความหมั่น
ความบากบั่น ความขยัน ความกล้าแข็ง ความพยายามจนกว่าจะสำเร็จ


พยายามศึกษาจากตำรา จะให้ปฏิบัติอย่างไร ปฏิบัติท่าไหน ไม่พบคำตอบ

มีอยู่วันหนึ่ง เก็บชั้นหนังสือที่บ้าน เห็นรูปสมเด็จโต ฯ ท่านนั่งถือประคำ
มีความคิดในใจว่า ท่านั่ง นี่ละใช่เลย ต่อมาได้อ่านหนังสือโลกทิพย์ หน้าปก
หนังสือ เป็นรูปหลวงปู่มั่น นั่งสมาธิ คราวนี้มั่นใจ ท่านั่ง นี่ใช่แน่

ต่อมาได้อ่านหนังสือประวัติ หลวงปู่มั่น และพระภิกษุสงฆ์อีกหลายรูป
ท่านปฏิบัติภาวนา ในท่า ยืน เดิน นั่ง นอน

คราวนี้มั่นใจเลย ......ในอันเจริญอินทรีย์ 5 ...... ต้องใช้ ยืน เดิน นั่ง นอน


ปฏิบัติจนกระทั่งปัจจุบัน เจริญขึ้นไป ตามลำดับ

เพื่อนสมาชิกแต่ละท่านใช้ท่า อะไรบ้างครับ ......ในอันเจริญอินทรีย์ 5 ......


แบ่งปัน แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันนะครับ


......ขอความร่วมมือ เพื่อนสมาชิกทุกท่าน แสดงความเห็นในแนวสร้างสรรค์ และ
จรรโลงหลักธรรม ความดีงาม อันจะก่อให้เกิดความอาจหาญ ร่าเริงในสัมมาปฏิบัติ
ให้ยิ่งขึ้นไป

......โปรดงดเว้น การใช้วาจาหยาบคาย ส่อเสียด ใส่ความ กล่าวหาให้ร้าย
ดูหมิ่น หมิ่นประมาท

......พึงพูดคุยกันเยี่ยงบัณฑิตทั้งหลายคุยกัน มีเมตตา เคารพในเหตุผลด้วยสุภาพ
มีความเอื้ออาทรต่อกันและกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2013, 22:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านหนังสือ วิปัสสนาภาวนา ของฐิตวณโณ ภิกขุ ก็ถือเป็นครูอีกท่านหนึ่งที่ทำให้student เป็นนักเรียนที่ไม่มีครูอาจารย์เป็นตัวตน แต่มีครูอาจารย์รายล้อมอยู่ทุกที่

อินทรีย์5 หากนำมาปฎิบัติ ต้องจับออกมาเป็นคู่ คือ ศรัทธา คู่กับ ปัญญา ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นความเชื่อที่งมงายไปหากเป็นความศรัทธาที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา

วิริยะ คู่กับ สมาธิ คือ ระลึกชอบ

สติ คือ มีกำลังของสติดี

ในการเจริญวิปัสสนานั้น ส่วนตัวก็สนใจในเรื่องของอินทรีย์มากๆ เช่นกัน เช่น จักขุนทรีย์ โสตินทรีย์ ฆานินทรีย์ ชิวหินทรีย์ กายินทรีย์ มนินทรีย์(ใจ) เป็นส่วนหนึ่งในอินทรีย์22

สมมุติยกเรื่องเสียงมาพิจารณา หากได้ยินเสียง เพราะมีเหตุคือ อายตนะภายในกระทบอายตนะภายนอก มีวิญญาณคือความสนใจเกิดผัสสะ ตอนแรกๆที่ส่วนตัวไม่รู้เรื่องอะไรเลย ก็นั่งพิจารณาเสียง แล้วส่วนตัวก็เกิดคำถามกับตัวเองว่า ทำอย่างไรจึงจะเป็นคนที่คิดพิจารณาเป็น ตอนนั้นเรื่องเกิดดับของธรรมนั้นไม่รู้เรื่องเลย จู่ๆ ก็เกิดการพิจารณาตามเสียง หากเสียงเกิด เสียงเกิดขึ้นมาเพราะเรามีโสตที่ทำงานอยู่ คือเป็นธรรมในส่วนที่เป็น โสตินทรีย์ หรือ ประสาทหู แต่หากปรุงแต่งเสียงว่า นี่เสียงมอเตอร์ไซค์ นี่เสียงรถ ก็จะกลายเป็นมโน หรือ ผัสสะที่เกิดจากมโนทันที ตั้งแต่วันนั้นมา ส่วนตัวจึงเกิดความสนใจในการเรียนรู้ธรรม ให้เรารู้จักคิดพิจารณา ว่าอะไรเป็นอะไร แยกแยะธรรมออกมา ตามรู้ โดยเฉพาะ กายินทรีย์ ความร้อนหนาว อยู่ๆร้อนวูบวาบๆ นี่ก็กาย ลมหายใจเข้าออก นี่ก็กาย แล้วที่เป็นแขนขานั้นเรียกอะไร คือความเด่นขึ้นมาของธรรมนั้นเป็น จักขุทรีย์ หรือ รูปที่เกิดจากประสาทตา คือธรรมต่างๆก็จะหมุนเวียนให้เราได้พิจารณากำหนดรู้ แล้วแต่ว่าธรรมอะไรจะเด่นขึ้นมาครับผม

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ย. 2013, 22:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2013, 06:03
โพสต์: 95

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอบคุณ student

การปฏิบัติภาวนาในแบบของผม จะเป็นในอีกรูปแบบหนึ่งครับ

ของผมตั้งแต่ต้น เริ่มปฏิบัติภาวนา จะเป็นประเภท ......อินทรีย์น้อย...... พิจารณา
พร้อมกันหลายบทธรรม จะออกแนวมั่วไปเลย คือไม่ได้อะไรเลย

ผมจะต้องเริ่มต้นพิจารณาไปทีละบท โดยเริ่มต้นจากการพิจารณา ......ศรัทธา......

ศรัทธา คือ อะไร
ศรัทธา เป็นอย่างไร
ด้วยเหตุเพียงเท่าใด จึงได้ชื่อว่า ......ศรัทธา

ศรัทธา หมายถึง ความเชื่อ กล่าวคือ ความเชื่อมั่นในสิ่งดีงาม

ในการค้นหาศรัทธาในแบบที่ผม มีความชื่นชมยินดี ชอบใจประโยคนี้

......สพฺพปาปสฺส อกรณํ
กุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํ
เอตํ พุทฺธาน สาสนํ . ......

และมีความศรัทธาใน ธรรมบทนี้

“......ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ถ้าภิกษุอาศัย ......ฉันทะ...... แล้ว ได้สมาธิ ได้เอกัคคตาจิต
นี้เรียกว่า ......ฉันทสมาธิ......


......เธอยังฉันทะให้เกิด
......พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้

......เพื่อไม่ให้บาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น
......เพื่อละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
......เพื่อให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น
......เพื่อความตั้งอยู่ เพื่อความไม่เลือนหาย เพื่อเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อความไพบูลย์
เพื่อความเจริญบริบูรณ์ แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว


......เหล่านี้เรียกว่า ปธานสังขาร

......ฉันทะนี้ด้วย ฉันทสมาธินี้ด้วย และ ปธานสังขาร เหล่านี้ด้วย

ดังพรรณนามานี้

......นี้เรียกว่า อิทธิบาท ประกอบด้วย ......ฉันทสมาธิและปธานสังขาร......”

ความมีศรัทธาในการปรารภความเพียร ความมีสติ ความเป็นผู้รู้สึกตัว
ในการดำเนินชีวิตประจำวัน ในการทำงาน ในการปฏิบัติภาวนา และ ใน อิริยาบถสี่
คือ ยืน เดิน นั่ง นอน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2013, 04:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สัมมาทิฏฐิ เขียน:
จึงเริ่มต้นค้นหาความหมาย เพื่อทำความเข้าใจกับคำว่า
......ในอันเจริญอินทรีย์ 5


อินทรีย์ 5 คือ อะไร
อินทรีย์ 5 เป็นอย่างไร
ด้วยเหตุเพียงเท่าใด จึงได้ชื่อว่า ......ในอันเจริญอินทรีย์ 5


อินทรีย์ 5 หมายถึง ......ความเป็นใหญ่ สภาพที่เป็นใหญ่ในกิจของตน คือ ศรัทธา
วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา



ความเพียร หมายถึง ความไม่เกียจคร้าน ความพยายาม ความอุตสาหะ ความหมั่น
ความบากบั่น ความขยัน ความกล้าแข็ง ความพยายามจนกว่าจะสำเร็จ

ไม่ทราบว่าจขกทเอาประโยคที่ว่า.."ในอันเจริญอินทรีย์๕"
แล้วก็มาให้ความหมายอินทรีย์๕ว่า.....หมายถึง"สภาพความเป็นใหญ่ในกิจของตน"
ถ้าเป็นแบบนี้ผมว่า จขกทพูดโดยขาดความเข้าใจในหลักธรรมนะครับ

ความหมายที่ว่า.....สภาพที่เป็นใหญ่ในกิจของตน นั้นคือ อินทรีย์๒๒ครับ
จขกทต้องเข้าใจก่อนว่า กิจของตนนั้นคืออะไร ควรใช้อินทรีย์ตัวไหนเพื่อกิจนั้นๆ
ดังนั้นที่กล่าวถึงอินทรีย์ห้า เป็นการกล่าวจำเพาะเจาะจงในกิจ นั้นก็คือ.....โพธิปักขิยธรรม

เพื่อความเข้าใจผมจะแยกคำให้ดูน่ะครับ
...อินทรีย์(๒๒) คือสภาพที่เป็นใหญ่ในกิจของตน
การจะกล่าวถึงอินทรีย์ตัวใดตัวหนึ่ง จะต้องคำนึงถึงกิจนั้นๆด้วย
อย่างเช่น ในขณะที่เรากำลังมอง การมองเป็นกิจ อินทรีย์ที่เป็นใหญ่ในการมองก็คือ
จักขุอินทรีย์ฯลฯ

แต่เรากำลังกล่าวถึงอินทรีย์ห้า ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ดังนั้นกิจของอินทรีย์๕นี้
ก็คือ....โพธิปักขิยธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2013, 04:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สัมมาทิฏฐิ เขียน:
คราวนี้มั่นใจเลย ......ในอันเจริญอินทรีย์ 5 ...... ต้องใช้ ยืน เดิน นั่ง นอน
ปฏิบัติจนกระทั่งปัจจุบัน เจริญขึ้นไป ตามลำดับ

เพื่อนสมาชิกแต่ละท่านใช้ท่า อะไรบ้างครับ ......ในอันเจริญอินทรีย์ 5 ......

การยืน เดิน นั่ง นอนที่เรีกยว่า อิริยาบท๔นั้น ไม่ใช่หลักในการเจริญอินทรีย์ห้าครับ
อิริยาบท๔เป็นเพียงที่อาศัยของอินทรีย์๕ หรือที่นักปฏิบัติเรียกสิ่งนี้ว่า...วิหารธรรม

หลักในการเจริญอินทรีย์๕ เราต้องใช้หลักของ อิทธิบาท๔และสัมมัธปธาน๔
ถ้าเรามีฉันทะในกิจที่กระทำ ความเพียรก็จะบังเกิดครับ
เมื่อเกิดความเพียรแล้ว ก็ใช้ความเพียรในสัมมัปปธาน๔ ย่อมทำให้เกิดพละ๕
แบบนี้เรียกว่า อินทรีย์ห้าเจริญแล้วด้วยพละ๕


ถ้าคุณจำได้ในกระทู้ก่อนหน้า ที่ผมแย้งว่า คุณกล่าวธรรมผิดเพี้ยน
ก็เพราะว่า ......ความเพียรเขาไม่ได้ใช้กับอิริยาบท๔ ความเพียรที่ว่าเขาใช้กับธรรมที่เป็น
นามธรรม(จิตสังขาร)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2013, 08:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2013, 06:03
โพสต์: 95

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอบคุณโฮฮับ

คุณกล่าวว่า “......ถ้าเป็นแบบนี้ผมว่า จขกทพูดโดยขาดความเข้าใจในหลักธรรม
นะครับ......”

คุณโฮฮับ กำลังใช้คำพูดดูหมิ่นผม ผิดกฎกติกามารยาท ข้อ 1 นะครับ


ขอให้ คุณพุทธคุณ ผู้รักษาลาน ช่วยพิจารณาความเหมาะสมด้วยครับ


การใช้คำพูดดังกล่าว ถ้าจะใช้ กับเพื่อนสมาชิก ในการสนทนา ความเห็นในแนว
สร้างสรรค์ และ จรรโลงหลักธรรม ความดีงาม อันจะก่อให้เกิดความอาจหาญ
ร่าเริงในสัมมาปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นไป มีความเอื้ออาทรต่อกันและกัน

ควรให้โอกาสผมชี้แจง หรือ แสดงความคิดเห็นจนจบ และได้ข้อสรุปที่ชัดเจน
ตรงกันก่อน ว่าเป็นอย่างไร

ในกรณีที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน ควรให้ความเคารพในเหตุผลของเพื่อนสมาชิก
ไม่ควรกล่าวดูหมิ่น ความคิดเห็นของเพื่อนสมาชิกที่มีความเห็นที่ไม่ตรงกับคุณ

ในการเป็นสมาชิก เวปธรรมจักร ผมไม่ได้รับแจ้งว่า คุณมีสิทธิตัดสิน
ความคิดเห็นของผม หรือ เพื่อนสมาชิกท่านใด ว่า เข้าใจ หรือ ขาดความเข้าใจ
ในหลักธรรม

คุณไม่มีสิทธิโดยชอบธรรมอันใด ในการตัดสินหลักธรรม ในความคิดเห็นของผม
หรือ เพื่อนสมาชิก ที่จะตัดสินความเห็นดังกล่าวว่า เข้าใจ หรือ ขาดความเข้าใจ
ในหลักธรรมนั้น


......พึงพูดคุยกันเยี่ยงบัณฑิตทั้งหลายคุยกัน...... ควรให้ความเคารพความคิดเห็น
ของบุคคลอื่นด้วยครับ


ถ้าเพื่อนสมาชิกทุกคนมีความคิดว่า ความคิดของตนเท่านั้นที่ถูกต้อง ความเห็น
ของบุคคลอื่นที่ไม่ตรงกับตน ......ผิด...... หรือ ผิดเพี้ยน หรือ ขาดความเข้าใจ
ในหลักธรรม


การสนทนาจะเกิด ......กรรมวาทะ...... อันไม่จบสิ้น


รอคำตอบจาก ......คุณพุทธคุณ...... ดังนี้นะครับ

ข้อ 1 คุณโฮฮับ มีสิทธิตัดสิน หรือ กล่าวถึง ความเห็นของเพื่อนสมาชิกว่า

“......ถ้าเป็นแบบนี้ผมว่า จขกทพูดโดยขาดความเข้าใจในหลักธรรม
นะครับ......”

หรือไม่ครับ

ข้อ 2 ถ้า คุณโฮฮับ มีสิทธิใช้คำพูดดังกล่าว กับเพื่อนสมาชิก ผมมีสิทธิชี้แจง
ก่อนที คุณโฮฮับ จะตัดสินความคิดเห็นของผม หรือไม่ครับ

ข้อ 3 ถ้า คุณโฮฮับ ไม่มีสิทธิ ช่วยแจ้งการใช้คำพูดที่เหมาะสม ให้คุณโฮฮับ
รับทราบ และ ทำการแก้ไขด้วยครับ


......พึงพูดคุยกันเยี่ยงบัณฑิตทั้งหลายคุยกัน......


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2013, 08:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2011, 10:18
โพสต์: 590

โฮมเพจ: www.bhuddhakhun.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


สิ่งที่ท่านสมาชิกสัมมาทิฏฐิถามพุทธคุณมาเป็นเพียงการประชดประชันสมาชิกโฮฮับ
เพื่อระบายโทสะ ทั้งที่ท่านเองรู้ดีอยู่แล้วกับคำตอบนั้น พุทธคุณจึงไม่ขอตอบนะครับ

ส่วนเรื่องการใช้คำพูดของท่านสมาชิกโฮฮับ พุทธคุณได้ขอความร่วมมือไปยังท่าน
สมาชิกโฮฮับแล้วนะครับ หวังว่าท่านสมาชิกสัมมาทิฏฐิคงไม่ติดใจและให้อภัยกันได้
ก็ให้อภัยกันนะครับ

.....................................................
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2013, 09:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกคน ที่เข้ามาในเว็บบอร์ดนี้ มีสิทธิเท่าเทียมกัน เหมือนกันหมด

คือ สามารถแสดงข้อคิดเห็นแบบใด หรืออะไรก็ได้

ถ้าไม่ถึงขั้น มีวิวาทะกัน ยังคงแสดงข้อคิดเห็นต่อไปได้

ถ้าถึงขั้นมีวิวาทะ เจ้าหน้าที่ดูแลเว็บบอร์ด จะทำการล็อคกระทู้เอง เพื่อยุติวิวาทะ ที่กำลังเกิดขึ้น


การตั้งกระทู้ ถ้าไม่ต้องการ ให้ผู้อื่น เข้ามาแสดงข้อคิดเห็น

ถ้าต้องการเพียงแค่ ระบาย สิ่งที่ตนเองคิดว่า "รู้"

ควรหมายเหตุไว้ว่า ไม่ต้องการให้ผู้ใด แสดงข้อคิดเห็น

คนที่เข้ามาอ่าน เขาก็จะไม่มายุ่งกับจขท.

ถ้าไม่ต้องการให้คนหนึ่งคนใด เป็นพิเศษ
สามารถตั้งค่า เจาะจงลงไปว่า ไม่ให้ชื่อนี้ เห็นข้อความที่ตนโพส

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2013, 10:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


การเจริญสติปัฏฐาน โดยการใช้อริยาบท ๔ คือ รูปเดิน รูปยืน รูปนั่ง รูปนอน
ทั้ง ๔ อย่างคือ เป็นรูปธรรม ในเมื่อการเจริญรูปธรรมนั้นก็ต้องมีนามธรรมปรากฎด้วย
ดังที่ท่าน จขกท.นั้นมุ่งหมายเอาธรรมที่เป็นโพธิปักขิธรรม ได้แก่อินทรีย์ ๕ คือ
ศรัทธา คือ สัทธินทรีย์ มีความเป็นใหญ่ ในสภาพธรรมของตนคือ น้อมใจเชื่อ
วิริยะ คือ วิริยินทรีย์ มีความเป็นใหญ่ ในการประคองไว้
สติ คือ สตินทรีย์ มีความเป็นใหญ่ในการระลึก
สมาธิ คือ สมาธินทรีย์ มีความเป็นใหญ่ ในการไม่ฟุ้งซ่าน
ปัญญา คือ ปัญญินทรีย์ มีความเป็นใหญ่ในการเห็นตามความเป็นจริง
เป็นหมวดกายานุปัสสนาสติปัฏฐานครับ

สนทนาตามกาลครับ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2013, 10:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2013, 06:03
โพสต์: 95

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอบความคิดเห็นของ คุณพุทธคุณ

ขอบคุณมากครับที่เข้าใจ

ส่วนการสนทนากับ คุณโฮฮับ ขอไปทำงานก่อนครับ ช่วงค่ำจะกลับเข้ามาตอบให้


ตอบความคิดเห็นของ คุณ walaiporn

ขอบคุณมากครับสำหรับคำแนะนำ ในกรณีของผม ยินดีสนทนากับเพื่อนสมาชิก
ทุกท่านนะครับ ไม่มีงดเว้น บนพื้นฐานของหลักธรรม ดังนี้


...... แสดงความเห็นในแนวสร้างสรรค์ และ จรรโลงหลักธรรม ความดีงาม อันจะ
ก่อให้เกิดความอาจหาญ ร่าเริงในสัมมาปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นไป

......งดเว้น การใช้วาจาหยาบคาย ส่อเสียด ใส่ความ กล่าวหาให้ร้าย
ดูหมิ่น หมิ่นประมาท

......พึงพูดคุยกันเยี่ยงบัณฑิตทั้งหลายคุยกัน มีเมตตา เคารพในเหตุผลด้วยสุภาพ
มีความเอื้ออาทรต่อกันและกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2013, 11:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 13:41
โพสต์: 57

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: ในบทเทศนาของท่านหลวงพ่อพุธฐานิโย เกี่ยวกับกัมมัฏฐานท่านมักใช้บ่อยครั้งคือ ท่านมักกล่าวว่า"ในอิริยาบทกิน ยืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม ทำ พูด คิด"ครับผม...? :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2013, 11:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สัมมาทิฏฐิ เขียน:
ตอบคุณโฮฮับ

ผมขออนุญาตผู้ดูแล ทำความเข้าใจกับจขกทหน่อย เพื่อให้เกิดกุศลในใจกับทุกฝ่าย
ขอลงในรายละเอียดนะครับ..........................

สัมมาทิฏฐิ เขียน:
คุณกล่าวว่า “......ถ้าเป็นแบบนี้ผมว่า จขกทพูดโดยขาดความเข้าใจในหลักธรรม
นะครับ......”

คุณโฮฮับ กำลังใช้คำพูดดูหมิ่นผม ผิดกฎกติกามารยาท ข้อ 1 นะครับ
ขอให้ คุณพุทธคุณ ผู้รักษาลาน ช่วยพิจารณาความเหมาะสมด้วยครับ

ผมว่าคุณกำลังเข้าใจผิดกับคำพูดของผมอยู่นะครับ ห้องนี้เป็นห้องสนทนาธรรม
การสนทนาต่างฝ่ายย่อมต้องแสดงความเห็นของตน และการแสดงความเห็น
ทุกคนย่อมต้องเข้าใจว่า ความเห็นของตนเป็นสิ่งที่ถูก เมื่อความเห็นของทั้งสองไม่ตรงกัน
อีกฝ่ายย่อมต้องบอกว่า...."ไม่ถูกต้อง"
คำพูดแบบนี้จะเป็นทางโลกหรือทางธรรม เขาเรียกว่า เน้นสาระในการเห็นต่าง

อยากบอกว่าครับว่า......การดูหมิ่นมันต้องเป็นลักษณะของการพูดว่ากล่าวลอยๆ
โดยไม่มีเหตุผลมาอธิบายประกอบ
คุณลองกลับไปดูซิว่า ผมให้เหตุผลประกอบคำกล่าวผมมั้ย

สัมมาทิฏฐิ เขียน:
การใช้คำพูดดังกล่าว ถ้าจะใช้ กับเพื่อนสมาชิก ในการสนทนา ความเห็นในแนว
สร้างสรรค์ และ จรรโลงหลักธรรม ความดีงาม อันจะก่อให้เกิดความอาจหาญ
ร่าเริงในสัมมาปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นไป มีความเอื้ออาทรต่อกันและกัน

อย่าเอาความรู้สึกของตนเองไปตัดสินคนอื่นแบบนี้ซิครับ
คำพูดของผมที่แสดงไป ถ้าคุณจะหาเหตุผลมาแย้ง การสนทนาก็จะเกิดในสิ่งที่คุณว่า
แต่มันไม่เกิด เพราะคุณไม่ทำไงครับ แทนที่จะหาธรรมมาโต้แย้ง
กลับปล่อยให้อารมณ์มาครอบงำ ทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้เกิดเรื่อง


สัมมาทิฏฐิ เขียน:
ควรให้โอกาสผมชี้แจง หรือ แสดงความคิดเห็นจนจบ และได้ข้อสรุปที่ชัดเจน
ตรงกันก่อน ว่าเป็นอย่างไร

ใครไปปิดโอกาสคุณครับ ไม่มีใครไปล็อกหรือลบความเห็นในกระทู้นี้เลยครับ
โอกาสชี้แจงมีแต่คุณไม่แสดง เลือกที่จะแสดงอารมณ์โกรธเกรี้ยว แบบนี้จะโทษใครได้ครับ
กระทู้ก่อนหน้าก็เพราะแสดงอารมณ์แบบนี้ ทางผู้ดูแลจึงล็อกกระทู้
คุณไม่เอาการกระทำก่อนหน้ามาเป็นบทเรียน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2013, 11:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ปริยัติ

แรกรู้ เรียกว่า พอจะรู้ความหมายต่างๆ ก็เริ่มแบกไว้แล้ว ของกรู ของกรู

เหมือนคนที่ไม่เคยแต่งตัว พอแต่งแล้ว คิดเอาเองว่า ดี เริ่มแต่งมากขึ้น
พอโดนใครชม หน้าบาน เป็นจานเชิง
พอโดนติ ตำหนิติติง หน้ายังกะตูดลิง

เมื่อทำความเพียรต่อเนื่อง การปล่อยวาง ที่เกิดจากใจ ก็มีมากขึ้น
เมื่อจิตเกิด การปล่อยวางมากขึ้น "ของกรู ของกรู" ที่เคยแบกเอาไว้ ก็เริ่มโยนทิ้งออกไปเรื่อยๆ


สุดท้าย เดินตัวเปล่า เบาสบาย ถึงที่หมายไวมากขึ้น
เพราะไม่มีอะไรที่ต้องมาแบกหามให้หนักกายใจ



การทสนทนาก็เช่นเดียวกัน แบกเอาไว้ ก็หนัก(ยึดติด)
ใครเข้ามาหา(สนทนา) พอไม่ถูกใจ ปาขี้(กิเลส)ใส่ทันที อย่ามายุ่งกับกรู

กรูสวย กรูดี กรูถูก มรึงน่ะผิด(ข้อคิดเห็น)

หากรู้จักวางกรู(อุปทาน) ลงเสียได้
จะเห็นเหตุและผล ที่ตนได้รับ จากการสนทนา ได้แก่ กิเลสและสัญญา

ส่วนปัญญา หากไม่รู้แจ้งด้วยตนเอง
แต่เชื่อในคำของผู้อื่น ที่มีเหตุปัจจัยร่วมกัน ล้วนเป็นเพียง สัญญา

สัญญา มีแต่การยืดเยื้อ
ยืดเยื้อ มากน้อยแค่ไหน ก็แล้วแต่เหตุปัจจัย ที่มีต่อกัน

ปัญญา รู้แล้วจบ(ดับ)

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2013, 13:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2013, 06:03
โพสต์: 95

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำงานเสร็จแล้ว เข้ามาสนทนาธรรมต่อครับ


ตั้งใจจะเข้ามาตอบ คุณโฮฮับ ที่ติดค้างเมื่อตอนเช้า แต่อ่านกระทู้พบว่า คุณลุงหมาน
ได้ตอบให้แล้ว ขออนุญาตลอกข้อสอบ เป็นแบบนั้นละครับ จะโดนตัดคะแนนไหมนี่
ยิ่งมีอยู่คะแนนเดียวด้วย

แต่ของผมจะแตกต่างจากบุคคลอื่นนะครับ คุณลุงหมาน คือ เป็นประเภทเชื่องช้า
ปัญญาน้อย ต้องพิจารณาไปตามลำดับ ทีละบท เท่านั้น


ตอบ คุณโฮฮับ ที่กล่าว ในวันที่ 24 กันยายน 2556 เมื่อเวลา 11.30 น.


การสนทนาธรรม ในมุมมองของผมมีหลากหลายรูปแบบ เช่น
......บุคคลบางคน สอดคล้องกับ การอธิบาย จำแนก แสดงรายละเอียด
......บุคคลบางคน สอดคลองกับ การถาม ตอบ
......บุคคลบางคน สอดคล้องกับ การฟังบทสรุปธรรม
......บุคคลบางคน สอดคล้องกับ การเปรียบเทียบ ยกตัวอย่างประกอบ ฯลฯ


การสนทนาธรรมในรูปแบบของ คุณโฮฮับ ที่กล่าวว่า เน้นสาระในการเห็นต่าง

ผมเป็นบุคคลประเภท มีปัญญาน้อยนะครับ คงไม่มีความสามารถในการสนทนาด้วย
ในเรื่อง ......เน้นสาระในการเห็นต่าง...... ถ้าผมไม่ตอบบทสนทนาของคุณ ขอให้
รับรู้ว่า การสนทนาของคุณ เกินกว่า ระดับ สติ ปัญญา ของผมจะสนทนาด้วยได้

ในการปฏิบัติภาวนา ผมอาจจะมีมุมมองที่แตกต่างจากบุคคลบางประเภท
ผมไม่เคยมองว่าใครปฏิบัติ ผิด หรือ ปฏิบัติไม่ถูกต้อง นะครับ

การปฏิบัติภาวนาเปรียบเหมือนการเดินทางไกล ต้องมีก้าวแรกของการเดินทางเสมอ
......บุคคลบางคนเริ่มต้นเดินก้าวแรก
......บุคคลบางคนเดินไปได้ถึงครึ่งทาง
......บุคคลบางคนเดินทางใกล้ถึงที่สุดแล้ว


บุคคลบางคน มีนิสัยไปทาง อนัตตลักขณสูตร คือ พิจารณา ไตรลักษณ์

บุคคลบางคน มีนิสัยไปทาง อาทิตตปริยายสูตร คือ พิจารณา อายตนะ


แต่บุคคลทั้งสองประเภท ไม่มีใครปฏิบัติผิด หรือ ไม่ถูกต้อง นะครับ ทุกคนสามารถ
ปฏิบัติไปได้ ถึงที่สุดของเส้นทาง ได้เช่นเดียวกัน ขอให้ทุกคนมีก้าวแรกของการ
เดินทางเท่านั้น


การสนทนาธรรม ในรูปแบบของผมจะเป็นการแบ่งปัน ประสบการณ์ เพื่อเป็น
มุมมองใหม่ พร้อมทั้ง ยินดีรับฟังความคิดเห็นของเพื่อนสมาชิกทุกท่านเสมอ


ผมสนทนากับ คุณ student ในความคิดเห็นก่อนหน้านี้ เป็นรูปแบบของผม


ตอบความคิดเห็นของ คุณ walaiporn

ขอบคุณสำหรับการเสนอมุมมองในธรรมของคุณ

ผมขอฝากโศลกธรรมบทหนึ่ง

......สังขารไม่ใช่โพธิ
......จิตไม่ใช่กระจกเงาใส
......ไปเอา กิเลส และ สัญญา มาจากไหน ./


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2013, 13:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สัมมาทิฏฐิ เขียน:
ในการเป็นสมาชิก เวปธรรมจักร ผมไม่ได้รับแจ้งว่า คุณมีสิทธิตัดสิน
ความคิดเห็นของผม หรือ เพื่อนสมาชิกท่านใด ว่า เข้าใจ หรือ ขาดความเข้าใจ
ในหลักธรรม

คุณก็พูดเองว่าเป็นความคิดเห็น ที่ผมพูดว่า "คุณขาดความเข้าใจในหลักธรรม"
มันก็เป็นเพียงความคิดเห็น ซึ่งคุณก็มีสิทธิ์แสดงคำพูดนั้นกับผมเช่นกัน
เมื่อแสดงแล้วต่างฝ่ายก็หาเหตุผลมาแสดงว่า คนอื่นผิดอย่าง ของตัวถูกอย่างไร

มันไม่ใช่ว่า ใครเขาเข้ามาแสดงความเห็นแย้ง โดยบอกว่าจขกทขาดความเข้าใจ
มันไม่เป็นเหตุให้จขกทจะ ไปปรามาสเสียดสีเรื่องศาสดาของเขาเป็นใคร
ประชดประชันเหมือนอีกฝ่ายเป็นคนนอกศาสนา

ถ้าจขกทตั้งสติให้ดีแล้วลำดับเหตุการณ์
ก็จะรู้ครับว่า ใครกันแน่ที่พูดจาดูหมิ่น ใครกันแน่ที่ส่อเสียด


สัมมาทิฏฐิ เขียน:
คุณไม่มีสิทธิโดยชอบธรรมอันใด ในการตัดสินหลักธรรม ในความคิดเห็นของผม
หรือ เพื่อนสมาชิก ที่จะตัดสินความเห็นดังกล่าวว่า เข้าใจ หรือ ขาดความเข้าใจ
ในหลักธรรมนั้น

มีสิทธิซิครับทำไมจะไม่มีสิทธิ์ ก็ในเมื่อห้องสนทนาธรรมเขามีไว้ให้สมาชิก
แสดงความเห็น เอาความรู้ที่ตนมีออกมาพูดคุย ซึ่งมันจำเป็นอยู่แล้วที่ต้องเห็นแย้งเห็นต่าง

เมื่อเห็นต่างย่อมต้องบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่า ที่พูดออกมายังสับสนหรือขาดความเข้าในตรงส่วนไหน
พิจารณาดีๆมันก็เป็นเหตุเป็นผลกัน ไม่เห็นว่าจะไปดูหมิ่นอะไร

เรื่องของเรื่องมันก็แค่จขกททนไม่ได้ ที่มีคนมาแย้งแถมยังบอกธรรมให้อีก
สรุปมันก็เป็นเรื่องทิฐิมานะ จะเป็นของคุณหรือผมก็ตามที


แนะนำจขกทอย่าสับสน ในเหตุการณ์และสถานที่
เรากำลังสนทนากันในเว็บบอร์ดที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็น
เรื่องที่เกี่ยวกับสิทธิ์ที่คุณอ้าง มันเป็นเรื่องของกฎหมาย
เป็นเรื่องของการรักษาสิทธิในความเป็นส่วนตัว อย่าเอามาเกี่ยวกับห้องสนทนาธรรมครับ

สัมมาทิฏฐิ เขียน:
......พึงพูดคุยกันเยี่ยงบัณฑิตทั้งหลายคุยกัน...... ควรให้ความเคารพความคิดเห็น
ของบุคคลอื่นด้วยครับ

สงสัยคุณจะเข้าใจผิด เรื่องการเคารพความเห็นนะครับ
ผมเกริ่นนำในการเข้ามาแย้งความเห็นของคุณ แล้วก็ให้เหตุผล
แบบนี้ไม่เคารพความเห็นคนอื่นตรงไหนครับ

ตรงข้ามกับการที่คุณเห็นความเห็นของผม แล้วโมโหโกธา พูดจาปรามาสไปถึงศาสดาของผม
แถมเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องไปทำให้ผู้ดูแลต้องมาเสียเวลากับเรื่องนี้
คุณว่าใครกันแน่ที่ไม่เคารพความเห็น


สัมมาทิฏฐิ เขียน:
ถ้าเพื่อนสมาชิกทุกคนมีความคิดว่า ความคิดของตนเท่านั้นที่ถูกต้อง ความเห็น
ของบุคคลอื่นที่ไม่ตรงกับตน ......ผิด...... หรือ ผิดเพี้ยน หรือ ขาดความเข้าใจ
ในหลักธรรม
การสนทนาจะเกิด ......กรรมวาทะ...... อันไม่จบสิ้น


มันก็ถูกแล้วด้วยเหตุและผล มันต้องแน่ใจเสียก่อนว่า ความเห็นเราถูกต้อง
มันถึงจะกล้าที่จะมาแย้งความเห็นคนอื่น
คนที่ตั้งกระทู้แสดงความเห็นในทางธรรมก็ต้องแน่ใจว่า ความเห็นของตนถูก
แบบนี้การสนทนาธรรม มันจึงจะเกิดขึ้นได้

อีกอย่างเรื่องกรรมวาทะไม่จบสิ้น มันก็แค่ข้ออ้าง
ห้องสนทนาธรรม มันก็ต้องมีวาทะกรรม ยิ่งมากยิ่งดีมันจะได้หลากหลาย
ถ้าไม่อยากมีวาทะกรรมกับใคร มีห้องอื่นให้เลือกตั้งมากมาย
แต่ถ้ามาห้องนี้แล้ว กรุณาอย่าอ้างโน้นอ้างนี่เลยครับ

ผมว่านะครับ ตอนนี้มีหลายท่านกำลังกระทำให้ห้องสนทนาธรรม
ผิดไปจากแนวทางหรือผิดจากจุดประสงค์ของห้องสนทนาธรรมนะครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 43 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร