วันเวลาปัจจุบัน 04 พ.ค. 2025, 02:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 132 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2013, 11:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ส.ค. 2013, 13:25
โพสต์: 41

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
เอาอานาปานสติ เอาสติปัฏฐานสี่ เอา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เอาอายตนะภายใน ภายนอก วิญญาณ ผัสสะ เวทนาเป็นวัตถุดิบ เอาอนิจจัง อนัตตา มาพิสูจน์ แล้วจะเห็นสุญญตาเอง



ศัพท์เป็นต้นเหล่านี้ นอกจากจะนำมาคิดมาปรุงให้เป็นสุญญตาแล้ว ยังใช้คิดให้เป็นอย่างอื่นได้อีกนะ คนอื่นๆจะทดลองทำก็ได้ (แต่มันไม่ใช่สัจธรรมนะ เป็นการปรุงแต่งความคิด) จะให้เป็นอะไรก็คิดนึกเอา ยิ่งคิดยิ่งเห็นๆ เหมือนเป็นตามที่คิด เช่น คิดถึงนิพพานคิดให้เป็นนิพพาน ให้เป็น วิโมกข์ วิมุตติ เป็นความไม่ยึดมั่นถือมั่น ฯลฯ ก็คิดเอา แล้วก็ยึดความคิดเอาไว้ให้มั่น :b1:

รูปภาพ

ตามสบายนะคะ คุณกรัชกายไปเล่นกับคุณโฮฮับต่อเถอะนะคะ ดิฉันขี้เกียจเล่นด้วยละ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2013, 11:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปรมนุตตรสุญญตา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
เอาอานาปานสติ เอาสติปัฏฐานสี่ เอา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เอาอายตนะภายใน ภายนอก วิญญาณ ผัสสะ เวทนาเป็นวัตถุดิบ เอาอนิจจัง อนัตตา มาพิสูจน์ แล้วจะเห็นสุญญตาเอง



ศัพท์เป็นต้นเหล่านี้ นอกจากจะนำมาคิดมาปรุงให้เป็นสุญญตาแล้ว ยังใช้คิดให้เป็นอย่างอื่นได้อีกนะ คนอื่นๆจะทดลองทำก็ได้ (แต่มันไม่ใช่สัจธรรมนะ เป็นการปรุงแต่งความคิด) จะให้เป็นอะไรก็คิดนึกเอา ยิ่งคิดยิ่งเห็นๆ เหมือนเป็นตามที่คิด เช่น คิดถึงนิพพานคิดให้เป็นนิพพาน ให้เป็น วิโมกข์ วิมุตติ เป็นความไม่ยึดมั่นถือมั่น ฯลฯ ก็คิดเอา แล้วก็ยึดความคิดเอาไว้ให้มั่น :b1:


ตามสบายนะคะ คุณกรัชกายไปเล่นกับคุณโฮฮับต่อเถอะนะคะ ดิฉันขี้เกียจเล่นด้วยละ



เรื่องนี้กรัชกายเอาจริงนะครับ :b11: ว่าแต่ว่า คุณปรมนุตตรสุญญตา ยังต้องการให้กรัชกายสอนอยู่ไหมครับ จะได้เริ่มกันเลย เพราะว่าชีวิตสั้นนัก จะตายวันตายพรุ่งก็หารู้ไม่ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2013, 11:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:

ญาณในสุญญตาผลสมาบัติจะรู้เช่นนี้
อ้างคำพูด:
เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในเจโตสมาธินั้นเลย และรู้ชัดสิ่งที่เหลือ
อยู่ในเจโตสมาธินั้นอันยังมีอยู่ ว่ามี


เจริญธรรม

พูดไปเรื่อย ที่เขากำลังปุจฉา-วิสัชนากันอยู่ มันเป็นเรื่องของบัญญัติที่ว่า......สุญญตา

มันต้องอธิบายหรือวิสัชชนาให้ชาวบ้านเขารู้ว่า ตัวสภาวะที่เรียกว่า สุญญตา มันเป็นอย่างไร

เช่นนั้นฟังน่ะ จะบอกให้ว่า มันต้องหาเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดสุญญตา
แต่ที่เช่นนั้นพูด มันเป็นเรื่องของการเอาสุญญตาไปเป็นเหตุปัจจัย.....มันคนล่ะเรื่อง
พูดเพื่อให้เช่นนั้นเข้าใจง่ายๆ ยังไม่รู้เลยว่า สิ่งที่เหลืออยู่หรือไม่เหลือมันคืออะไร
ก็สภาวะมันว่างๆ แล้วจะรู้ได้ไงว่ามันยังมีหรือไม่มี

ทั้งหมดทั้งมวล มันต้องไปดูหาเหตุปัจจัยแห่งความว่างนั้นเสียก่อน
ไม่ใช่มาดูความว่างว่ามีหรือไม่ความว่าง แบบนี้เขาเรียกกำปั่นทุบดิน หาใช่การพิจารณาธรรม


ไปอ่านพระสูตร นะ โฮฮับ
พระพุทธองค์ แสดงไว้ดีแล้วทั้งหมดทั้งสิ้น

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2013, 13:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ปรมนุตตรสุญญตา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
เอาอานาปานสติ เอาสติปัฏฐานสี่ เอา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เอาอายตนะภายใน ภายนอก วิญญาณ ผัสสะ เวทนาเป็นวัตถุดิบ เอาอนิจจัง อนัตตา มาพิสูจน์ แล้วจะเห็นสุญญตาเอง



ศัพท์เป็นต้นเหล่านี้ นอกจากจะนำมาคิดมาปรุงให้เป็นสุญญตาแล้ว ยังใช้คิดให้เป็นอย่างอื่นได้อีกนะ คนอื่นๆจะทดลองทำก็ได้ (แต่มันไม่ใช่สัจธรรมนะ เป็นการปรุงแต่งความคิด) จะให้เป็นอะไรก็คิดนึกเอา ยิ่งคิดยิ่งเห็นๆ เหมือนเป็นตามที่คิด เช่น คิดถึงนิพพานคิดให้เป็นนิพพาน ให้เป็น วิโมกข์ วิมุตติ เป็นความไม่ยึดมั่นถือมั่น ฯลฯ ก็คิดเอา แล้วก็ยึดความคิดเอาไว้ให้มั่น :b1:


ตามสบายนะคะ คุณกรัชกายไปเล่นกับคุณโฮฮับต่อเถอะนะคะ ดิฉันขี้เกียจเล่นด้วยละ



เรื่องนี้กรัชกายเอาจริงนะครับ :b11: ว่าแต่ว่า คุณปรมนุตตรสุญญตา ยังต้องการให้กรัชกายสอนอยู่ไหมครับ จะได้เริ่มกันเลย เพราะว่าชีวิตสั้นนัก จะตายวันตายพรุ่งก็หารู้ไม่ :b1:


จขกทเขาบอกจะสอนอะไรให้สอนมา ตั้งหลายความเห็นแล้ว นี่ยังมาอ้างโน้นอ้างนี่อยู่นั้นแหล่ะ
เริ่มซะที่ซิ ขออย่างเดียว อย่าไปก็อปปี้ บทความคนอื่นมามั่วก็พอ

เอาเลยพี่โฮรอดูอยู่ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2013, 13:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:

ญาณในสุญญตาผลสมาบัติจะรู้เช่นนี้
อ้างคำพูด:
เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในเจโตสมาธินั้นเลย และรู้ชัดสิ่งที่เหลือ
อยู่ในเจโตสมาธินั้นอันยังมีอยู่ ว่ามี


เจริญธรรม

พูดไปเรื่อย ที่เขากำลังปุจฉา-วิสัชนากันอยู่ มันเป็นเรื่องของบัญญัติที่ว่า......สุญญตา

มันต้องอธิบายหรือวิสัชชนาให้ชาวบ้านเขารู้ว่า ตัวสภาวะที่เรียกว่า สุญญตา มันเป็นอย่างไร

เช่นนั้นฟังน่ะ จะบอกให้ว่า มันต้องหาเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดสุญญตา
แต่ที่เช่นนั้นพูด มันเป็นเรื่องของการเอาสุญญตาไปเป็นเหตุปัจจัย.....มันคนล่ะเรื่อง
พูดเพื่อให้เช่นนั้นเข้าใจง่ายๆ ยังไม่รู้เลยว่า สิ่งที่เหลืออยู่หรือไม่เหลือมันคืออะไร
ก็สภาวะมันว่างๆ แล้วจะรู้ได้ไงว่ามันยังมีหรือไม่มี

ทั้งหมดทั้งมวล มันต้องไปดูหาเหตุปัจจัยแห่งความว่างนั้นเสียก่อน
ไม่ใช่มาดูความว่างว่ามีหรือไม่ความว่าง แบบนี้เขาเรียกกำปั่นทุบดิน หาใช่การพิจารณาธรรม


ไปอ่านพระสูตร นะ โฮฮับ
พระพุทธองค์ แสดงไว้ดีแล้วทั้งหมดทั้งสิ้น


อ่านทั้งพระสูตรอ่านทั้งความเห็นของเช่นนั้น
ก็เลยรู้ว่า เช่นนั้นกำลังเอาพระสูตรมามั่วครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2013, 13:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ข้อพิจารณาจากพระสูตร
จูฬสุญญตสูตร
http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=14&A=4714&Z=4845&pagebreak=0

Quote Tipitaka:
[๓๔๑] ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุไม่ใส่ใจอากิญจัญญาตน-
*สัญญา ไม่ใส่ใจเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะเจโตสมาธิ
อันไม่มีนิมิต จิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น และนึกน้อมอยู่ใน
เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิตนี้แล ยังมี
ปัจจัยปรุงแต่ง จูงใจได้ ก็สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง จูงใจได้นั้น ไม่เที่ยง
มีความดับไปเป็นธรรมดา เมื่อเธอรู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้นแม้จาก
กามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณรู้ว่า
หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จ
แล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่าในญาณนี้ไม่มีความ
กระวนกระวายชนิดที่อาศัยกามาสวะ ชนิดที่อาศัยภวาสวะและชนิดที่อาศัยอวิชชา-
*สวะ มีอยู่ก็แต่เพียงความกระวนกระวาย คือ ความเกิดแห่งอายตนะ ๖ อาศัย
กายนี้เองเพราะชีวิตเป็นปัจจัย เธอรู้ชัดว่า สัญญานี้ว่างจากกามาสวะ สัญญานี้
ว่างจากภวาสวะ สัญญานี้ว่างจากอวิชชาสวะ และรู้ชัดว่ามีไม่ว่างอยู่ก็คือความเกิด
แห่งอายตนะ ๖ อาศัยกายนี้เองเพราะชีวิตเป็นปัจจัย ด้วยอาการนี้แหละ เธอจึง
พิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในเจโตสมาธินั้นเลย และรู้ชัดสิ่งที่เหลือ
อยู่ในเจโตสมาธินั้นอันยังมีอยู่ ว่ามี ดูกรอานนท์ แม้อย่างนี้ เป็นการก้าวลงสู่
ความว่าง ตามความเป็นจริง ไม่เคลื่อนคลาด บริสุทธิ์ ของภิกษุนั้น ฯ


ญาณในสุญญตาผลสมาบัติจะรู้เช่นนี้
อ้างคำพูด:
เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในเจโตสมาธินั้นเลย และรู้ชัดสิ่งที่เหลือ
อยู่ในเจโตสมาธินั้นอันยังมีอยู่ ว่ามี


เจริญธรรม


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2013, 14:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
จขกทเขาบอกจะสอนอะไรให้สอนมา ตั้งหลายความเห็นแล้ว นี่ยังมาอ้างโน้นอ้างนี่อยู่นั้นแหล่ะ
เริ่มซะที่ซิ ขออย่างเดียว อย่าไปก็อปปี้ บทความคนอื่นมามั่วก็พอ

เอาเลยพี่โฮรอดูอยู่



ปัญหานี้ ถ้าพี่โฮบอกเค้าเองได้ กรัชกายก็ขอบาย บอกเขาสิครับเนี่ย เป็นอะไร เพราะอะไร ?

อ้างคำพูด:
ขอรบกวนถามท่านผู้รู้ว่าถ้านั่งสมาธิจนรู้สึกว่าไม่มีร่างกายอย่างนี้คืออะไรครับ

......

เมื่อสิบปีก่อน ระหว่างที่นั่งสมาธิอยู่
ทุกอย่างรอบตัวหายไป ตัวเราก็หายไป สัมผัสทั้งหมดหายไป

เป็นเวลานานเท่าไหร่ ก็ไม่รู้
แต่จู่ๆก็เกิด อารมณ์พลุ่งพล่าน ทั้ง โกรธ รัก เกลียด แทบทุกอย่าง ขึ้นมาพร้อมๆกัน
ก็เลย ตกใจออกจากสมาธิมา หลังจากนั้น ก็เลยไม่ได้นั่ง สมาธิอีกเลย
เคยมีใครเป็นแบบนี้ ไหม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2013, 14:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เอาอานาปานสติ เอาสติปัฏฐานสี่ เอา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เอาอายตนะภายใน ภายนอก วิญญาณ ผัสสะ เวทนาเป็นวัตถุดิบ เอาอนิจจัง อนัตตา มาพิสูจน์ แล้วจะเห็นสุญญตาเอง


ถามพี่โฮอีกคำถามหนึ่ง

ไม่ต้องไปหาไกล เอานี่ล่ะ

อานาปานสติ แปลว่าอะไร มีวิธีปฏิบัติอย่างไร

สติปัฏฐาน แปลว่าอะไร มีกี่อย่าง อะไรบ้าง มีวิธีปฏิบัติอย่างไร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2013, 04:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
จขกทเขาบอกจะสอนอะไรให้สอนมา ตั้งหลายความเห็นแล้ว นี่ยังมาอ้างโน้นอ้างนี่อยู่นั้นแหล่ะ
เริ่มซะที่ซิ ขออย่างเดียว อย่าไปก็อปปี้ บทความคนอื่นมามั่วก็พอ
เอาเลยพี่โฮรอดูอยู่


ปัญหานี้ ถ้าพี่โฮบอกเค้าเองได้ กรัชกายก็ขอบาย บอกเขาสิครับเนี่ย เป็นอะไร เพราะอะไร ?
อ้างคำพูด:
ขอรบกวนถามท่านผู้รู้ว่าถ้านั่งสมาธิจนรู้สึกว่าไม่มีร่างกายอย่างนี้คืออะไรครับ

เมื่อสิบปีก่อน ระหว่างที่นั่งสมาธิอยู่
ทุกอย่างรอบตัวหายไป ตัวเราก็หายไป สัมผัสทั้งหมดหายไป
เป็นเวลานานเท่าไหร่ ก็ไม่รู้
แต่จู่ๆก็เกิด อารมณ์พลุ่งพล่าน ทั้ง โกรธ รัก เกลียด แทบทุกอย่าง ขึ้นมาพร้อมๆกัน
ก็เลย ตกใจออกจากสมาธิมา หลังจากนั้น ก็เลยไม่ได้นั่ง สมาธิอีกเลย
เคยมีใครเป็นแบบนี้ ไหม

พี่โฮจะบอกให้ ตัวอย่างที่ยกมา เป็นเรื่องของคนที่เริ่มต้นด้วยความอยาก
กระทำในสิ่งที่ยังขาดความเข้าใจ ไม่รู้ว่าผลที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นเป็นอะไร
ขาดจุดมุ่งหมาย หรือไม่ก็เข้าใจผิดในจุดมุ่งหมาย
ผลก็คือเกิดความกลัวไม่กล้าที่จะปฏิบัติในสิ่งนั้นอีก..........

จากการที่ถามว่า.... นั่งสมาธิจนไม่รู้สึกว่ามีร่างกาย
มันเกิดจากการที่จิต ไปอยู่ทวารใดทวารหนึ่งเป็นเวลานานๆ ไม่ได้รับรู้ทวารส่วนอื่นเลย
มันเป็นผลให้จิตเกิดเป็นสภาวะว่างๆ เพราะว่าจิตไม่มีอาการแตกต่างหรือเปรียบเทียบ
ร่างกายของคนเรามีทวารประกอบด้วยทวารทั้งหก ความรู้สึกสลับสับเปลี่ยนของทวารทั้งหก
ทำให้รู้ถึงความมีอยู่ของร่างกาย .........เหตุนี้เมื่อจิตเราไปอยู่กับทวารเพียงทวารเดียว
มันจึงเหมือนว่าร่างกายนั้นได้หายไป


ส่วนเรื่องที่บอกว่าจู่ๆเกิดอารมณ์พุ่งพล่าน รัก โกรธ เกลียด
ผู้ปฏิบัติบอกว่า อารมณ์เหล่านั้นเกิดในสมาธิ ผู้ปฏิบัติเข้าใจผิดครับ
เป็นเพราะขาดจากสมาธิมันจึงเกิดอารมณ์เหล่านั้นขึ้น
จิตขาดจากสมาธิหรือจิตไปรับรู้ทวารอื่นมาร่วมด้วย อย่าลืมว่าปุถุชนเมื่อ
เกิดการกระทบที่ทวารจะมีกิเลสเกิดร่วมด้วยเสมอ ด้วยเหตุนี้จากจิตที่ว่างๆเมื่อรับกิเลสตัวใหม่เข้ามา
มันจึงรู้สึกรุนแรงเห็นชัด

ที่พี่โฮอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติ มันล้วนแล้วแต่เป็นเหตุปัจจัยทำให้เกิดปัญญา(มรรควิธี)
ผู้ปฏิบัติไม่รู้เพราะขาดคนแนะนำที่ดี สิ่งที่เกิดกับผู้ปฏิบัติก็คือการเห็น....ไตรลักษณ์
ผู้ปฏิบัติได้เห็นการเกิดดับเปลี่ยนแปลงของสังขาร แต่เป็นเพราะไม่รู้ มันจึงยังไม่เกิดปัญญา

ถ้าผู้ปฏิบัติดำเนินการต่อโดยเอาสิ่งที่เกิดมาทำวิปัสสนาต่อเรียกว่า......"ลักขณูปนิชฌาน"
คือเพ่งลงไปที่ลักษณะของสังขาร ผลที่ได้.....สุญญตะ อนิมิตตะ และอัปปณิหิตะ

เหตุเพราะมรรควิธีที่เราใช้ เป็นฌาน นั้นก็คืออาศัยความว่างหรือสุญญตามาเป็นเหตุ
ในการทำวิปัสสนา ผลที่ได้เราจึงเรียกมันว่า....."ปรมนุตตรสุญญตา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2013, 05:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
เอาอานาปานสติ เอาสติปัฏฐานสี่ เอา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เอาอายตนะภายใน ภายนอก วิญญาณ ผัสสะ เวทนาเป็นวัตถุดิบ เอาอนิจจัง อนัตตา มาพิสูจน์ แล้วจะเห็นสุญญตาเอง


ถามพี่โฮอีกคำถามหนึ่ง

ไม่ต้องไปหาไกล เอานี่ล่ะ

อานาปานสติ แปลว่าอะไร มีวิธีปฏิบัติอย่างไร

สติปัฏฐาน แปลว่าอะไร มีกี่อย่าง อะไรบ้าง มีวิธีปฏิบัติอย่างไร



ที่เหลืออีกข้อไม่ตอบด้วยล่ะพี่โฮ :b10: :b1:

จะได้เอาสะคราวเดียวกัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2013, 05:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถามพี่โฮไว้ที่กระทู้พุทธวจน แต่กระทู้นั้นถูกส่งเข้าห้องดับจิตไปแล้ว จึงขุดมาถามตรงนี้ด้วย


อ้างคำพูด:
สวัสดีคะ ดิฉันสนใจธรรมะ แต่ส่วนมากจะศึกษาเอง อ่านเอง ปฏิบัติเอง ไม่มีอาจารย์สอนเป็นตัวเป็นตน จึงรบกวนผู้รู้และมีประสบการณ์ชี้แนะเพื่อเป็นธรรมทานด้วยคะ

ลำดับการฝึกดิฉันก็คือ พิจารณาร่างกายตลอดเวลา อาบน้ำ กินข้าว ขับถ่าย จนรู้สึกว่าเราแค่มาอาศัย มันไม่ใช่ของเรา ส่วนการนั่งสมาธิก็ใช้คำพุธโธ จนเกิดปีติ อาการปีติก็จะขนลุก ตัวสั่น ตัวโยก (บางครั้ง) หลังจากนั้นลมหายใจก็แผ่วเบา รู้สึกว่าตัวเป็นเป็นเพียงจุดเล็กๆในจักรวาล ไม่มีกาย ไม่มีลมหายใจ เป็นเพียงจุดเท่านั้น อยู่ในที่เวิ้งว้าง ไม่มีขอบเขต ไม่มีอะไรเลย ความรู้สึกคือสุขมากกกกกกกกก



พี่โฮพอเข้าใจไหม ไหนลองวิจารณ์อีกดิ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2013, 05:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
เอาอานาปานสติ เอาสติปัฏฐานสี่ เอา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เอาอายตนะภายใน ภายนอก วิญญาณ ผัสสะ เวทนาเป็นวัตถุดิบ เอาอนิจจัง อนัตตา มาพิสูจน์ แล้วจะเห็นสุญญตาเอง


ถามพี่โฮอีกคำถามหนึ่ง

ไม่ต้องไปหาไกล เอานี่ล่ะ

อานาปานสติ แปลว่าอะไร มีวิธีปฏิบัติอย่างไร

สติปัฏฐาน แปลว่าอะไร มีกี่อย่าง อะไรบ้าง มีวิธีปฏิบัติอย่างไร



ที่เหลืออีกข้อไม่ตอบด้วยล่ะพี่โฮ :b10: :b1:

จะได้เอาสะคราวเดียวกัน

บอกเป็นร้อยครั้งแล้วว่า อย่าถามคำศัพท์ ถามให้ถามความหมาย
มั่วแต่ถามคำศัพท์ แบบนี้เมื่อไรกรัชกายจะเกิดปัญญา

วันๆเอาแต่เรื่องรกสมองมาใส่หัว แล้วก็มาตั้งหน้าตั้งตาถามๆๆๆ
ทั้งๆที่รู้อยู่ว่า ไอ้ที่ถามน่ะ มีทั้งพจนานุกรม มีทั้งวิกิพีเดียให้ดู

เลิกเสียที่ปูนนี้แล้ว เป็นถึงผู้ทรงคุณวุฒิ แต่ทำตัวเป็นเด็ก๒ขวบ๓ขวบที่ชอบถาม
ถามจนผู้ใหญ่รำคาญ ที่รำคาญหนักกว่านั้นคือ ตอบไปแล้วดันไม่รู้เรื่อง :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2013, 05:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ถามพี่โฮไว้ที่กระทู้พุทธวจน แต่กระทู้นั้นถูกส่งเข้าห้องดับจิตไปแล้ว จึงขุดมาถามตรงนี้ด้วย


อ้างคำพูด:
สวัสดีคะ ดิฉันสนใจธรรมะ แต่ส่วนมากจะศึกษาเอง อ่านเอง ปฏิบัติเอง ไม่มีอาจารย์สอนเป็นตัวเป็นตน จึงรบกวนผู้รู้และมีประสบการณ์ชี้แนะเพื่อเป็นธรรมทานด้วยคะ

ลำดับการฝึกดิฉันก็คือ พิจารณาร่างกายตลอดเวลา อาบน้ำ กินข้าว ขับถ่าย จนรู้สึกว่าเราแค่มาอาศัย มันไม่ใช่ของเรา ส่วนการนั่งสมาธิก็ใช้คำพุธโธ จนเกิดปีติ อาการปีติก็จะขนลุก ตัวสั่น ตัวโยก (บางครั้ง) หลังจากนั้นลมหายใจก็แผ่วเบา รู้สึกว่าตัวเป็นเป็นเพียงจุดเล็กๆในจักรวาล ไม่มีกาย ไม่มีลมหายใจ เป็นเพียงจุดเท่านั้น อยู่ในที่เวิ้งว้าง ไม่มีขอบเขต ไม่มีอะไรเลย ความรู้สึกคือสุขมากกกกกกกกก



พี่โฮพอเข้าใจไหม ไหนลองวิจารณ์อีกดิ :b1:

ความเห็นนี้ เอาไว้ก่อน พี่โฮไปประประโยชน์อย่างอื่นก่อน
ว่างๆอารมณ์บรรเจิดค่อยมาตอบ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2013, 07:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
เอาอานาปานสติ เอาสติปัฏฐานสี่ เอา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เอาอายตนะภายใน ภายนอก วิญญาณ ผัสสะ เวทนาเป็นวัตถุดิบ เอาอนิจจัง อนัตตา มาพิสูจน์ แล้วจะเห็นสุญญตาเอง


ถามพี่โฮอีกคำถามหนึ่ง

ไม่ต้องไปหาไกล เอานี่ล่ะ

อานาปานสติ แปลว่าอะไร มีวิธีปฏิบัติอย่างไร

สติปัฏฐาน แปลว่าอะไร มีกี่อย่าง อะไรบ้าง มีวิธีปฏิบัติอย่างไร



ที่เหลืออีกข้อไม่ตอบด้วยล่ะพี่โฮ :b10: :b1:

จะได้เอาสะคราวเดียวกัน

บอกเป็นร้อยครั้งแล้วว่า อย่าถามคำศัพท์ ถามให้ถามความหมายมั่วแต่ถามคำศัพท์ แบบนี้เมื่อไรกรัชกายจะเกิดปัญญา

วันๆเอาแต่เรื่องรกสมองมาใส่หัว แล้วก็มาตั้งหน้าตั้งตาถามๆๆๆ
ทั้งๆที่รู้อยู่ว่า ไอ้ที่ถามน่ะ มีทั้งพจนานุกรม มีทั้งวิกิพีเดียให้ดู

เลิกเสียที่ปูนนี้แล้ว เป็นถึงผู้ทรงคุณวุฒิ แต่ทำตัวเป็นเด็ก๒ขวบ๓ขวบที่ชอบถาม
ถามจนผู้ใหญ่รำคาญ ที่รำคาญหนักกว่านั้นคือ ตอบไปแล้วดันไม่รู้เรื่อง :b13:



นั่นๆ ความหมายของศัพท์เค้าไงพี่โฮ คิกๆ หมายความว่าอย่างไร :b1:

โฮฮับคือบุคคลตัวอย่าง ที่ยกศัพท์ทางธรรมเขามาพูดแล้ว ก็คิดเตลิดไปว่า คำนั้นๆศัพท์นั้นจะดลบันดาลสิ่งที่ตนต้องการให้ได้ เช่นที่พูดบ่อยๆ คือ สติ สมาธิ หมายความว่า เมื่อยกขึ้นพูดหรือนำมาบูชาแล้ว จะบันดาลสติเป็นต้นให้ได้ ถึงได้ว่า จินตนาการ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2013, 07:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
จขกทเขาบอกจะสอนอะไรให้สอนมา ตั้งหลายความเห็นแล้ว นี่ยังมาอ้างโน้นอ้างนี่อยู่นั้นแหล่ะ
เริ่มซะที่ซิ ขออย่างเดียว อย่าไปก็อปปี้ บทความคนอื่นมามั่วก็พอ
เอาเลยพี่โฮรอดูอยู่


ปัญหานี้ ถ้าพี่โฮบอกเค้าเองได้ กรัชกายก็ขอบาย บอกเขาสิครับเนี่ย เป็นอะไร เพราะอะไร ?
อ้างคำพูด:
ขอรบกวนถามท่านผู้รู้ว่าถ้านั่งสมาธิจนรู้สึกว่าไม่มีร่างกายอย่างนี้คืออะไรครับ

เมื่อสิบปีก่อน ระหว่างที่นั่งสมาธิอยู่
ทุกอย่างรอบตัวหายไป ตัวเราก็หายไป สัมผัสทั้งหมดหายไป
เป็นเวลานานเท่าไหร่ ก็ไม่รู้
แต่จู่ๆก็เกิด อารมณ์พลุ่งพล่าน ทั้ง โกรธ รัก เกลียด แทบทุกอย่าง ขึ้นมาพร้อมๆกัน
ก็เลย ตกใจออกจากสมาธิมา หลังจากนั้น ก็เลยไม่ได้นั่ง สมาธิอีกเลย
เคยมีใครเป็นแบบนี้ ไหม



พี่โฮจะบอกให้ ตัวอย่างที่ยกมา เป็นเรื่องของคนที่เริ่มต้นด้วยความอยากกระทำในสิ่งที่ยังขาดความเข้าใจ ไม่รู้ว่าผลที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นเป็นอะไร
ขาดจุดมุ่งหมาย หรือไม่ก็เข้าใจผิดในจุดมุ่งหมาย
ผลก็คือเกิดความกลัวไม่กล้าที่จะปฏิบัติในสิ่งนั้นอีก..........

จากการที่ถามว่า.... นั่งสมาธิจนไม่รู้สึกว่ามีร่างกาย
มันเกิดจากการที่จิต ไปอยู่ทวารใดทวารหนึ่งเป็นเวลานานๆ ไม่ได้รับรู้ทวารส่วนอื่นเลย
มันเป็นผลให้จิตเกิดเป็นสภาวะว่างๆ เพราะว่าจิตไม่มีอาการแตกต่างหรือเปรียบเทียบ
ร่างกายของคนเรามีทวารประกอบด้วยทวารทั้งหก ความรู้สึกสลับสับเปลี่ยนของทวารทั้งหก
ทำให้รู้ถึงความมีอยู่ของร่างกาย .........เหตุนี้เมื่อจิตเราไปอยู่กับทวารเพียงทวารเดียว
มันจึงเหมือนว่าร่างกายนั้นได้หายไป


ส่วนเรื่องที่บอกว่าจู่ๆเกิดอารมณ์พุ่งพล่าน รัก โกรธ เกลียด
ผู้ปฏิบัติบอกว่า อารมณ์เหล่านั้นเกิดในสมาธิ ผู้ปฏิบัติเข้าใจผิดครับ
เป็นเพราะขาดจากสมาธิมันจึงเกิดอารมณ์เหล่านั้นขึ้น
จิตขาดจากสมาธิหรือจิตไปรับรู้ทวารอื่นมาร่วมด้วย อย่าลืมว่าปุถุชนเมื่อ
เกิดการกระทบที่ทวารจะมีกิเลสเกิดร่วมด้วยเสมอ ด้วยเหตุนี้จากจิตที่ว่างๆเมื่อรับกิเลสตัวใหม่เข้ามา
มันจึงรู้สึกรุนแรงเห็นชัด

ที่พี่โฮอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติ มันล้วนแล้วแต่เป็นเหตุปัจจัยทำให้เกิดปัญญา(มรรควิธี)
ผู้ปฏิบัติไม่รู้เพราะขาดคนแนะนำที่ดี สิ่งที่เกิดกับผู้ปฏิบัติก็คือการเห็น....ไตรลักษณ์
ผู้ปฏิบัติได้เห็นการเกิดดับเปลี่ยนแปลงของสังขาร แต่เป็นเพราะไม่รู้ มันจึงยังไม่เกิดปัญญา

ถ้าผู้ปฏิบัติดำเนินการต่อโดยเอาสิ่งที่เกิดมาทำวิปัสสนาต่อเรียกว่า......"ลักขณูปนิชฌาน"
คือเพ่งลงไปที่ลักษณะของสังขาร ผลที่ได้.....สุญญตะ อนิมิตตะ และอัปปณิหิตะ

เหตุเพราะมรรควิธีที่เราใช้ เป็นฌาน นั้นก็คืออาศัยความว่างหรือสุญญตามาเป็นเหตุ
ในการทำวิปัสสนา ผลที่ได้เราจึงเรียกมันว่า....."ปรมนุตตรสุญญตา"



เริ่มต้นด้วยความไม่อยากทำไงขอรับ

ความอยากมีกี่อย่าง อะไรบ้าง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 132 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร